คองรักคองข้า

ไปดูหนังกับแฟนมาครับ แน่นอนครับ โอกาสพิเศษแบบนี้ทั้งที เลยไปดูลิงยักษ์ถล่มโลกมา…

เรื่องรีวิวหนังไม่ใช่งานถนัดของผม เอาเป็นว่าดูแล้วก็เออ สนุกดีละกัน (ยังยึดมั่นตำราของ บ.ก.โชเน็นจั๊มป์เสมอ ที่บอกว่าการ์ตูนมันต้องสนุก — เท่านั้นแหละ เลยยึดถือเรื่อยมาเวลาใครถามว่าเรื่องนี้เป็นไง ดีไหม ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแฝงสัญญะแมวน้ำอะไรไหม เราก็จะเหลือปัญญามาตอบได้แค่สนุกหรือไม่สนุกเท่านั้นเอง จบ)

(อ้อ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าดูหนังตัวอย่างเลยเหอะ หรือพวกสกู๊ปอะไรๆ ก่อนไปดูจริง โดยเฉพาะพวกรีวิวสัตว์ประหลาดสุดโหด 5 อันดับที่จะมาปรากฏตัวในหนัง มึงเล่าอย่างละเอียดเลยอีเว้ร การรู้อะไรแบบนี้มันคงมีคนที่ชอบอยู่หรอก แต่กับผมแล้วมันทำให้หนังจืดมากอะ พอดูจริงแล้วจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับการรู้แค่คร่าวๆ หรือไม่รู้เลยยิ่งดี ความเซอร์ไพรส์มีมูลค่าของมันนะ จำไว้นะ Beauty and the Beast และ Wonder Woman … อ้อ Spider-man เวอร์ชันนู้นด้วย เบื่ออออ)

ทีนี้ พอดูจบเลยนึกถึงหนังแนวที่ตัวเองชอบ แล้วก็ลามเลียไปถึงยุคที่เคยเขียนบล็อกลง blogger.com (โอ้โห เก่าจนแทบจะบรรจุลง #เน็ตเมื่อวานซืน) ตอนนั้นหน้า bio เขาให้ระบุประเภทหนังที่ชอบ ก็นั่งนึกอยู่นานว่าชอบแนวไหน

จึงกรอกไปว่า หนังแมงมุมยักษ์ สัตว์ประหลาด จระเข้ยักษ์ อะไรแบบนี้

ลืมเขียนเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกอย่าง…

ด้วยความสัตย์จริง เออผมก็ชอบดูนี่หว่า ไอ้อะไรที่ว่าเนี่ย แม่งสนุก ยิ่งถ้าเป็นหนังที่มีฉากอยู่ในเมือง หรือมันพอจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับตัวเองด้วย และยิ่งพล็อตเรื่องเป็นประมาณว่า กูอยู่ของกูดีๆ แล้วโดนไอ้พวกอสุรกายถล่มโลกนี่มารังควานจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จับกลุ่มกับคนรอบข้างแล้วทุลักทุเลพากันหนี หนีอยู่ดีๆ ก็ทยอยตายกันทีละคน มีพระเอกลากนางเอกตึงๆ หน่อย พากันรอดไปจนจบเรื่องไรงี้ ยิ่งรู้สึกอินใหญ่ (มึงอินได้ยังไง)

นี่ถ้าให้นึกถึงหนังที่แว้บเข้ามาตอนพิมพ์บรรทัดนี้แล้วนึกได้ว่าชอบจัดๆ เลย ก็คงเป็น Cloverfield ครับ เรียกได้ว่ารวมฮิตเม็กกะแดนซ์ ครบทุกความกระสันที่ผมต้องการเลย นั่นจึงเป็นโคตรสุดยอดหนังสนุกในดวงใจที่ดูมาแล้วรอบเดียว (อ้าว) เออไว้เดี๋ยวจะหาโอกาสซ้ำอีกที

แล้ววันก่อนก็เพิ่งดูหนังเซอร์ไพรส์เรื่อง 10 Cloverfield Lane อันนี้ไม่บอกละกันว่ามันเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวยังไง เพราะแค่บอกก็ไม่สนุกแล้ว (ที่เพิ่งได้ดูก็เพราะตอนนั้นพลาดการดูในโรง แล้วดันไปอ่านนั่นนี่มาด้วยความที่หนังมันเก่งในด้านการขายแบบยุทธการไวรัสไง ให้เหล่าติ่งหยอดนั่นแปะนี่นิดๆ หน่อยๆ) (ขออีกวงเล็บละกัน ใครยังไม่ได้ดู อย่าดูหนังตัวอย่างเด็ดขาด!!!!!!! ไอ้สัส สปอยล์จนจบเรื่อง แบบเน้นๆ จะจะด้วยนะ อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดันไปอ่านสกู๊ปมาแล้วรู้ว่าคนทำหนังกับค่ายแม่งไม่ลงรอยกัน อีค่ายก็จะขาย คนทำหนังก็จะเก็บความลับ พอตัดตัวอย่างออกมาปั๊บ พัง เฉลยตอนจบในนั้น ฆ่าหนังได้ทั้งเรื่อง)

แต่ก็ต้องบอกว่า สนุกดีครับ

แล้วทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่เมียผมไม่ชอบทั้งคู่ 55555555555555 อันแรกเพราะกล้องมันส่าย อันสองคือมันกดดัน 555555555

ตอนดู War of the World นั่นก็ชอบนะ ค่อนข้างลืมไปแล้วว่าตอนนั้นทำไมมีคนวิจารณ์ในทางลบเยอะอยู่ แต่แม่คุณเอ๋ย ฉากที่อีพระเอกหลบหูลู่ไม่ให้มนุษย์ต่างดาวทำร้ายนั่นแหละ คือฉากเดียวกับที่ผมฝันบ่อยๆ

ผมชอบฝันเรื่องหลบๆ หนีๆ ซ่อนๆ ไอ้พวกอสุรกายที่มันจะมาฆ่าเราแบบนี้ (คำว่า “ชอบ” นี่หมายถึงทั้ง like และ usualy)

เป็นความฝันที่ไม่รู้ต้องเตรียมสภาพร่างกายอยู่ในโหมดไหน ถึงจะได้นอนหลับและออกผจญภัยในจินตนาการได้ขนาดนั้น หลายครั้งพล็อตแม่งสนุกมากจนอยากตื่นมาเขียนการ์ตูนไว้กันลืม ยิ่งเป็นช่วงที่โตมาแล้วพานพบประสบการณ์ชีวิตที่มันซับซ้อนกว่าวัยเยาว์แล้วล่ะก็ ฝันแนวหนีตายแบบนี้ก็ดันยิ่งสนุก มีดราม่า มีการผูกเรื่อง

แต่ที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ฝันจะมีจุดร่วมคล้ายๆ War of the World และ Cloverfield คือ กูอยู่ของกูดีๆ ก็ต้องมาหนีตาย

ตัดจบเท่านี้.

รูของทีน

เรื่องน่าเศร้าก็คือ นี่เราแก่ป่านนี้แล้วยังจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตไม่ถูกเลย ไม่ได้เฉพาะเรื่องงาน แต่เป็น To-do list หลายๆ อย่างในชีวิต

เรียกว่าการบริหารเวลาส่วนตัวพังพินาศเลยก็คงไม่ผิด

ชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาก็ลองนึกอยู่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ว่า ที่ผ่านมาเราเกลียดการทำอะไรแบบรูทีน (รวมถึงการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน) ก็เลยหนีรูทีนมา พอหมดข้อจำกัดที่เคยมาฟาดแส้บังคับให้เราทำนั่นนี่ปั๊บ อิสระที่ได้มากลับทำให้วินัยพัง

ไม่ใช่แค่เรื่องงาน เพราะเรื่องงานไม่ค่อยซีเรียส เราห่วงเรื่องเล่นมากกว่า

ทั้งกองการ์ตูนที่วางพะเนิน รอให้เปิดอ่าน (ก่อนหน้านี้ไม่เคยเลยนะ การ์ตูนนี่เป็น priority แรกสุดเสมอไม่ว่าจะยังไงก็ตาม) ตอนนี้ซื้อมาตุนไว้เต็มมุมห้อง นี่ถ้าแอนตอนมัธยมหรือมหาลัยมาเห็นเข้าคงชี้หน้าด่าเหี้ยเลยนะ ถือเป็นปาราชิกขั้นสูงสุด

ขนาดการ์ตูนยังดอง นับประสาอะไรกับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเอย นิตยสารเอย ที่กะว่าเดี๋ยวนี้เราตั้งกฏเหล็ก งดซื้อเล่มที่พิจารณาว่าถ้าซื้อมาแล้วคงยังไม่ได้อ่านทันที (ว่างๆ ค่อยอ่าน ไรงี้) แต่สุดท้าย ทุกเล่มตอนนี้ก็ไปกองอยู่ในโซนว่างๆ ค่อยอ่านไรงี้ทั้งหมด

ไหนจะสีน้ำที่อุปกรณ์พร้อม มิตรสหายร่วมอุดมการณ์ในกรุ๊ปไลน์ก็ขยันเอางานมาอวด

ไหนจะการลุกมาออกกำลังกายทุกวัน วันละนิดหน่อยก็ยังดี ที่ตั้งใจว่าจะเริ่มทันทีหลังจากหายปวดหลังครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

ไหนจะการเขียนบล็อกทุกสัปดาห์ (เคยคุยกับพี่ปอง พี่ปองโยนมาประโยคนึง บอกว่าต้องลับสมองด้วยการเขียนซะบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี อะไรงี้แหละ จำเป๊ะๆ ไม่ได้ นี่ไง สมองไปแล้ว) ที่จริงประเด็นเขียนมีล้นไปหมด อยากเล่านั่นนี่ แบบที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอ่านไหม (เป็นข้อดีของยุคที่แทบไม่มีใครอ่านบล็อกกันแล้ว) — เออ เสริมหน่อยว่า กะว่าจะเขียน Year in Review 2016 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับตัวเองในวินาทีแรกที่อายุ 35 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนการ์ตูนที่ปิ๊งมุกแว้บขึ้นมาแล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม ฯลฯ

ไหนจะการขี่จักรยานเล่นไปเรื่อยๆ แบบร้อนก็ช่างแม่ง

ทั้งหมดนี้นับว่าเหลวสิ้นดี

กลายเป็นว่ากิจกัตรประจำวัน (ไม่นับงานรายวันนะ อันนั้นไม่อยู่ในโฟกัส) ที่ยังทำอย่างแข็งแรงมั่นคง คือตื่นเช้าเสมอ และไปส่งลูกเข้าโรงเรียนให้ทันมาตรฐานเวลาที่ตั้งใจไว้ แล้วก็การจัดรายการพอดแคสต์ที่ตรงเวลาเป๊ะๆ ทีแรกมียูธูปรายการเดียว นี่แม่งงอกเสาเสาเสามาอีกรายการ แล้วเสือกสนุกและมีแนวโน้มจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ก็น่าจะทำไปอีกนาน

นอกนั้นพังหมด เปิดฮาวทูของอดีตรัฐมนตรีท่านไหนก็ไม่ช่วย

ลองวิเคราะห์ดูว่าแต่ละวันเราใช้เวลาไปกับอะไร แน่นอน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เน้นไปทางการนั่งทำงาน สลับกับเปิดนั่นนี่ดู ต้องบอกไว้นิดนึงว่าถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในใจกลางโซเชียล แต่ไม่เสพติดโซเชียลเท่าไหร่ เสือกไปติดพวกการอ่านข้อมูลล้นเกินมากกว่า เนี่ย เวลาเหลือนิดหน่อยก็ถูกใช้ไปกับสิ่งเหล่านี้ รวมๆ แล้วก็เยอะนะ

จนกลายเป็นว่าวันอาทิตย์หรือวันจันทร์เช้าๆ ที่เคลียร์กองฟีดหมดแล้ว นั่นแหละเป็นเวลาที่เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเกิดมาคุ้มค่า ไม่ได้หายใจและขี้ไปวันๆ

แต่เมื่อเทียบกับการเสียเวลาไปอาศัยอยู่บนหน้าจอ ก็ทุเรศตัวเองอยู่ไม่น้อย

ตะกี้พิมพ์แล้วย้อนขึ้นไปอ่านตรงที่บอกว่าไม่เสพติดโซเชียล อันนี้มันแว้บขึ้นมาว่าที่จริงมึงติดนะ ไม่ติดแค่เฟซบุ๊กอย่างเดียว แต่หนักมากในทวิตเตอร์นะ สารภาพเลย เวลาว่างถูกถมไปกับการรูดจอดูคนอื่นเล่นมุก และหักห้ามใจไม่ให้ทวีตวันละเยอะๆ ให้ได้ แต่แม่ง ก็นะ

ไอ้การถมเวลานิดๆ หน่อยๆ ให้หมดไปกับการรูดจอเนี่ย แม่งจั๊งก์ฟู้ดในโลกของการบริหารเวลาเลย

สิ่งนี้ต้องแก้โดยไว และขอบันทึกไว้ตรงนี้.

Natural Swimming Pool สระว่ายน้ำธรรมชาติ

ความสนใจที่เริ่มก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 1-2 ปีมานี้ ก็คือการทำสระว่ายน้ำ…

เฮ้ย มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

ได้สิ คือตอนนี้บ้านที่กำลังสร้างอยู่แม่งงบไม่พอ ก่อนหน้านี้ในแปลนเขียนว่าอยากให้มีสระว่ายน้ำเล็กๆ อยู่กลางบ้าน ซึ่งก็ไปดูงานบ้านและสวนเอย งานสถาปนิกเอย นับได้ 3 ปีแล้วก็พบว่า เออ บ้านเรานอกจากจะที่ไม่พอแล้ว ตังค์ยังไม่พออีก

แต่พอโครงการก่อสร้างสารพัดที่เริ่มเป็นชิ้นเป็นอันเรื่อยๆ (ก็ตามระยะเวลาและกำลังทรัพย์น่ะเนอะ) ในที่สุดก็มาเล็งโปรเจ็กต์นี้ครับ ปักไว้เต็มพินเทอเรสต์เลย 55555

ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนว่าอะไรคือ Natural Swimming Pool


(ภาพนี้หาต้นตอไม่เจอ ก๊อปกันเกลื่อนเน็ต)

คืองี้ครับ สระว่ายน้ำที่เราเห็น เรารู้จักกันนั้น เราจะเห็นว่าหลักการมันคือ ทำไงดีหนอให้น้ำใสจนคนเล่นได้ ควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ในน้ำให้เป็นมิตรกับมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้นในเชิงพาณิชย์ เขาก็เลยนิยมบำบัดน้ำอยู่สองระบบ คือระบบที่เติมคลอรีนลงไปในน้ำ กับระบบเกลือ ซึ่งสุดท้ายในทางเคมีมันก็สร้างคลอรีนเหมือนกัน แต่เป็นมิตรกว่าแบบแรก

แน่นอนว่าทั้งสองวิธีนั้นใช้เงินมหาศาลในการสร้าง และยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลต่อเดือนอีก ที่สำคัญคือต้องใส่ใจดูแลต่อเนื่อง เกิดไม่อยู่สักสามเดือนกลับมาดูนี่ สระน้ำกลายเป็นขี้เลยนะ

และแล้ว ระบบบำบัดแบบที่กำลังฮิตมากในยุโรป (ใช้คำนี้แล้วดูตามตูดฝรั่งดี) ก็เกิดขึ้นมา มันคือ “Natural Swimming Pool” (NSPs) นี่แหละครับ อะ กดดูใน Pinterest ก่อนเพื่อกระตุ้นกิเลส

ถ้าแบบคลิป แนะนำอันนี้ที่ออสเตรีย (เลือกมาเพราะว่ามีสาวบิกินีดำผุดดำว่ายนั่นเอง)

ในคลิปจะเห็นได้ว่าพอมีสาวบิกินีดำผุดดำว่ายเสร็จแล้ว อีตาลุงก็ชวนเพื่อนก้มลงไปตักน้ำดื่มได้เฉยเลย (ทำไมดูจิตๆ) ซึ่งนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าระบบบำบัดโดยธรรมชาตินั้นมันทำให้น้ำสะอาดใสแจ๋วและเป็นมิตรต่อร่างกายจริงๆ (ไม่ใช่ว่าอีกห้าปีลุงแกตายนะ)

แล้วมันคืออะไรยังไง

สระว่ายน้ำแบบธรรมชาตินั้นไม่ได้ใช้เคมีบำบัดครับ แต่เปลี่ยนคำว่าเคมี เป็นธรรมชาติแทน เปลี่ยนจากการเติมคลอรีนหรือเติมเกลือ (จนแบคทีเรียในน้ำตายห่าหมด น้ำจึงสะอาดใส) กลายเป็นใส่พืชน้ำให้มาบำบัด และเติมออกซิเจนอากาศลงไป อาจจะด้วยการทำปั๊มน้ำผุด น้ำพุ น้ำตก หรือกังหันน้ำก็ว่าไป แต่แกนของมันก็คือปล่อยให้ธรรมชาติสร้างสมดุลขึ้นมาเอง

ขุดสระ – เติมน้ำ – ปลูกไม้น้ำ แล้วจ้างพระเจ้าดูแลต่อฟรี จบแล้ว!

ซึ่งเอาจริงๆ ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานี้ มันก็คือ Pond (หนองน้ำ) ธรรมดาๆ นี่เอง ปัดโธ่

แต่เดี๋ยวก่อน สระว่ายน้ำ กับสระน้ำ มันต่างออกไปนิดหน่อยนะครับ สระว่ายน้ำเป็นสมบัติของมนุษย์ ผู้ไม่ยอมให้มีสัตว์อื่นเข้ามากล้ำกรายไม่ว่าจะเป็นกบ เขียด หรืองู! แน่นอนว่ามันต้องใสแหนว ว่ายน้ำได้สบายใจ

เท่าที่อ่านมานี่เจอกระทั่งว่าทำมา 3 ปีแล้ว พี่แกขุดลึกถึง 24 ฟุต แต่น้ำก็ยังใสจนมองเห็นกรวดใต้น้ำอยู่เลย!

ดังนั้นในขั้นตอนของการขุดสระ จึงต้องเตรียมพื้นให้เคลียร์ ไม่มีฝุ่นดินเลนเข้ามาปะปน โดยอาจจะขุดเสร็จ เคลียร์พื้นให้เรียบ แล้วปูผ้ายางสำหรับทำบ่อเลี้ยงปลา หรือไม่ก็ก่อผนังด้วยอิฐหรือซีเมนต์ไปเลย (ถ้าอยากให้พื้นสระดูใสสว่างก็ใช้สีอ่อนๆ เช่นพวกเทอร์ราซโซตราเสือ)

คลิปการสร้างสระแบบนี้ในเมืองไทย (เจ้าของคลิปเป็นฝรั่ง)

อันล่างนี่เป็นการทำสระที่อเมริกา มีเขียนกระดานดำให้ดูหลักการด้วย

เสร็จแล้วก็เผื่อพื้นที่ไว้ปลูกไม้น้ำ ส่วนนี้จะเป็นส่วนบำบัด ที่อยู่นอกเหนือจากส่วนเล่นน้ำ — ตรงนี้ผมยังไม่มีความรู้จริงๆ ครับว่าบ้านเราต้องปลูกต้นอะไรบ้าง ใครทราบรบกวนช่วยบอกเป็นวิทยาทานต่อยอดกันนะครับ ส่วนในยุโรปหรืออเมริกาที่เห็นเขาทำๆ กันนั้นก็ไม้น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาตินี่แหละ ต้นกก ต้นบัว ฯลฯ ปลูกมันไว้ตรงส่วนน้ำล้นขึ้นมาตื้นๆ


(ที่มา)

อันนี้คลิปที่ดูเคลียร์มาก (แต่น้ำไม่ค่อยใสเท่าไหร่)

ถ้าพูดถึงเรื่องของคุณภาพน้ำ น้ำในสระว่ายน้ำเราต้องควบคุมระดับความเน่าได้ (ว่าต้องไม่ให้เน่า) คือจะต้องไม่ไปปะปนกับแหล่งน้ำข้างนอกที่เราควบคุมให้สมดุลตลอดเวลาไม่ได้ ถ้าเผอิญอยู่ติดแหล่งน้ำ เราทำระบบน้ำล้นออกไปสู่ภายนอกได้ แต่ไม่เอาน้ำข้างนอกเข้ามาข้างใน อีข้างในนี่เราขอคุมเอง เก็ตนะ

ด้วยความที่ข้อจำกัดมันน้อยมาก การดูแลก็แค่มาดูว่าธรรมชาติมันสมดุลดีไหม มีกบลงไปวางไข่ไหม ตะไคร่ขึ้นหรือเปล่า (เห็นว่ามีบริษัทที่รับทำความสะอาดสระแบบธรรมชาตินี่ด้วย) ฯลฯ

สุดท้าย ทำยากไหม?

ไม่รู้สิ คลิปนี้พี่แกทำ(แทบจะ)คนเดียว ก็เสร็จเป็นสระสวยๆ หลังบ้านได้ โคตรดี

ปิดท้ายด้วยสระในไทย (แม่ริม เชียงใหม่) บ่อลึก 2 เมตร สระกว้าง 2.80 x 5.00 เมตร (ซื้อแบบมาจากอังกฤษ) คลิปนี้เพิ้งอัปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง

เออ แถมอีกอย่าง มีตำราเป็น PDF ให้อ่านด้วย เห็นเขาแชร์กันใน Pinterest

ส่วนผมคงนั่งอ่านและรอดูคนทำในไทยไปก่อน อีก 10 กว่าปีเจอกันแน่นอน ถ้ายังไม่แก่จนถือจอบไม่ไหวน่ะนะ 5555

บันทึกเบื้องหลังหนังสือ #เน็ตเมื่อวานซืน

ว่าจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ที่ได้วางแผงอย่างเป็นทางการในงานหนังสือที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่พาให้เขียนอะไรไม่ออก (ถ้าเอาอันนี้เป็นข้ออ้างจะบาปไหม …บาป) จนบัดนี้สิ้นสุดงานหนังสือลงแล้ว ถามว่าช้าไปไหมที่จะมาเขียนเอาตอนนี้ ในทางการขายของถือว่าช้าไปครับ

แต่ในแง่ความประทับใจนั้นไม่มีอะไรสาย …มึงจะคมทำไม

ผมคงไม่เล่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มากนะครับ ถ้าสนใจ ลองกดไปอ่านตัวอย่างฟรีและสั่งซื้อออนไลน์ได้เลย (#ขายของ) หรืออ่านบทความเกี่ยวกับที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ก่อนได้ หรือหนักข้อกว่านั้นก็ไปอ่านฟีดแบ็ก (เฉพาะจากทวิตเตอร์นะครับ ไม่ได้เก็บจากแหล่งอื่นๆ) ที่พูดถึงเน็ตเมื่อวานซืนคร่าวๆ ได้ในนี้: รวมทวีตเกี่ยวกับหนังสือเน็ตเมื่อวานซืน

ส่วนบล็อกนี้จะขอเก็บบันทึกเรื่องราวที่ตัวเองในฐานะผู้แต่งเรื่องและวาดภาพรู้สึกว่า เออ เก็บความประทับใจไว้หน่อย เดี๋ยวผ่านไปนานๆ แล้วลืม (ถ้าอ่านแล้วไม่อินไม่เก็ตก็ ก็ช่างละกันครับ 555)

แน่นอนครับ ยาว…

เน็ตเมื่อวานซืน

1.
‘เน็ตเมื่อวานซืน’ เป็นโปรเจกต์ร่วมระหว่างผมกับเว็บพันทิป.คอม (ที่จริงตรงนี้จะต้องทำลิงก์ไปที่เว็บปลายทางด้วย แต่อันนี้ไม่ต้องก็ได้มั้ง หวังว่าคงรู้จักกันนะ) เอาเข้าจริงว่ากันตรงๆ พันทิปเขามีอีเวนต์ฉลองครบรอบ 20 ปีของเว็บ หนึ่งในการฉลองนั้น เขาตั้งใจทำพงศาวดารออกมาเป็นรูปเล่มจับต้องได้ โดยไม่รู้น้าๆ แกคิดอะไรอยู่ ถึงได้ตั้งใจจะนำเสนอเป็นการ์ตูนเว้ย

2.
ตัดภาพมาที่ผมซึ่งยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในข้อ 1.ข้างบน พักหลังๆ มานี้ผมประกาศตัวชัดว่ากูขี้เกียจเขียนหนังสือจังเลยว่ะ ถึงมันจะเป็นงานที่สนุกมาก และประทับใจมากทุกครั้งที่เห็นหนังสือตัวเองงอกออกมา แต่ในขณะเดียวกัน มันดันใช้เวลาและพลังงานชีวิตสูงมาก ยิ่งกับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ สองคน ที่ต้องการความเอาใจใส่อย่างแรงตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้ การปลีกวิเวกฉีกตัวเองไปจำศีล นั่งเขียนหนังสือคนเดียวนานๆ นั้น มันให้ความรู้สึกผิดฐานกัดกินความสัมพันธ์ของครอบครัวอย่างร้ายกาจ ผมเลยประกาศตัวว่าขอยังไม่เขียนอะไรไปพักใหญ่

3.
จนวันหนึ่ง อีกายผู้หายไปนานก็ติดต่อมาทางกล่องข้อความ บอกว่า (…ขออนุญาตแคปจอมาเลยละกัน)
เน็ตเมื่อวานซืน
เนี่ยครับ บทจะโดนมันก็โดนภายใน 3 นาทีแบบนี้เลย

4.
และแล้วโปรเจ็กต์เน็ตเมื่อวานซืน (ซึ่งตอนแรกยังไม่มีชื่อนี้ แต่เป็นที่รู้กันและเรียกขานกันตอนทำงานไปคิดชื่อเรื่องไปว่า ‘หนังสือพันทิป’) ก็เริ่มต้นขึ้น โดยเป็นลักษณะของงานร่วมกันสร้างระหว่างพันทิป (ที่เป็นเจ้าของตังค์ เปรียบเสมือนเสี่ยเจียง) กับอีกาย (ผู้เป็นดั่งโปรดิวเซอร์) และผม (กูเป็นพี่ตูนละกัน) คือถ้าจะนับว่านี่เป็นผลงานที่ผมทำกับแซลมอน นี่ก็เป็นเล่มที่ 5 แล้ว นับรวม ‘เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส‘ (ที่ออกในนามเฟลาธิการ),​ ‘คือปะป๊าครองพิภพ‘, ‘Sloth Machine‘, ‘ศิลป์ซิตี้’ (เล่มนี้เสียดายมาก มัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ไม่ยอมมาเขียนบล็อก), และเล่มล่าสุด ‘เน็ตเมื่อวานซืน’ นี้ ไม่ได้ออกในนามแซลมอนบุ๊คส์นะ แต่เป็น Pantip.com เลย ประสบการณ์แปลกใหม่สุด

5.
วันที่ไปประชุมบรีฟงานกับพันทิปนั้น ผมไปสายครับ สายแบบ 15 นาทีเลย ซึ่งถือว่าบัดซบมากอย่างไม่น่าให้อภัยไม่ว่าจะเป็นการนัดกับลูกค้าหรือนัดกับแฟนก็ตาม นี่คือภาพบรรยากาศขณะที่ห้องประชุมนั่งรอไอ้บ้านี่


พอไปถึงปั๊บ ก็เริ่มคุยกัน (เขาคุยกันมาแป๊บนึงแล้วแหละ) ว่าทิศทางของหนังสือจะไปทางไหน ซึ่งผมเหวอมากที่ทางบอสใหญ่บอกว่า อยากได้เป็นแบบการ์ตูน ลายเส้นเราเลย เอาแบบที่เราวาดเลย แล้วเล่าเรื่องความเป็นมาของโลกออนไลน์ในประเทศไทย โดยไม่ต้องมาเล่าเรื่องพันทิปทั้งเล่มนะ เดี๋ยวจะน่าเบื่อไป (ซึ่งอันนี้ถือว่าเฮ้ยมาก เพิ่งเคยเจอลูกค้าที่พูดเองแบบนี้เลยวุ้ย) ก็เป็นการคุยงานที่เปลี่ยนความคิดที่ผมมีต่อเว็บเก๋ากึ้กขนาดนี้ไปโดยสิ้นเชิง คือพี่วัยรุ่นมาก มากกว่าวัยรุ่นที่ผมเคยดีลงานด้วยเยอะเลย

6.
ระหว่างที่คุยกันก็จะมีคำถามเกี่ยวกับเกร็ดต่างๆ ของเว็บที่ทีมงานแซลมอนและผมคอนตะล่อมหลอกถามเผื่อเป็นข้อมูลในหนังสือ บางอย่างก็เป็นความอยากรู้ของอีแบงค์เอง ก็จดๆ ใส่สมุดไว้ (ขอไม่เอามาเล่าในนี้ทั้งหมดเนอะ) มีหลายประเด็นที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มาก เพราะคนเบื้องหลังพันทิปแต่ละท่านนั้นได้เป็นเจ้าของตำนานมากมายแบบที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน เช่น การส่งสแปมเมลครั้งแรกของไทยนั้นเกิดจากทั่นผู้บริหารสูงสุด การรับทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตครั้งแรกน่าจะเป็นที่นี่ มีเกรียนคีย์บอร์ดเกิดขึ้นครั้งแรกก็ที่นี่ แถมการตบเกรียนครั้งแรกก็ที่นี่เช่นกัน! ฯลฯ (คือถ้ามีเวลานั่งสัมภาษณ์สักสามวันน่าจะได้รวมเล่มว่าด้วยการบุกเบิกต่างๆ อีกเล่มแน่นอน)

7.
ไหนๆ ก็ขอลงรายละเอียดขั้นตอนการทำงานอีกหน่อยละกัน สเต็ปใหญ่ๆ จะเป็น 1.คิดโครงเรื่องและวิธีการเล่าเรื่อง 2.เปลี่ยนจากโครงเรื่องเป็นลายเส้นแบบร่าง 3.วาดภาพจริง โดยทุกขั้นตอนเมื่อคิดเสร็จแล้วผมจะเอามาคุยกับคุณผู้ดูแล (นึกภาพกองบอกอจั๊มป์นั่นแหละ) ว่าไปในแนวทางนี้เวิร์กไหม ถ้าเวิร์กก็ไปต่อ ถ้าไม่เวิร์กก็แก้ใหม่ ถ้าไม่เวิร์กเลยก็ขยำทิ้ง แล้วเริ่มใหม่หมด พอเกลาเสร็จแล้วก็เอาไปให้เสี่ยเจียงอ่านและพิจารณา

เน็ตเมื่อวานซืน

8.
ซึ่งฟีดแบ็กที่ได้รับมานั้นดันเวิร์กหมด (อะ ไม่หมดก็ได้ แต่สอบผ่านประมาณ 99.72% บริสุทธิ์กว่าทองคำแท่งเยาวราชอีก) ผมนี่งงมาก เฮ้ย นี่พี่ได้อ่านแบบร่างที่ผมเขียนให้หรือเปล่าครับ หรือว่าพี่งานยุ่งกัน หรือยังไง อะไร บอกหน่อยสิ ไม่ใช่มาโอเคทั้งหมดง่ายๆ แบบนี้ (มารู้ทีหลังตอนที่เจอทั่นบอสใหญ่ แกบอกว่ามันโอเคหมดเลยจริงๆ) นั่นทำให้การทำงานหนังสือเล่มนี้ทั้งส่วนงานเนื้อเรื่องและงานภาพผ่านฉลุยตั้งแต่เริ่มจนจบ

9.
ขั้นตอนการค้นคว้าหาข้อมูลของเล่มนี้สนุกมาก และดักแก่มากๆ ในทุกวิถีทาง ได้รู้ประโยชน์ของการบ้าสะสมนิตยสารคอมพิวเตอร์เก่าๆ และการเซฟ การจดบันทึกนั่นนี่เก็บไว้ (บล็อกอายุสิบกว่าปีนี้ก็เช่นกัน!) รวมถึงการได้ไปเดินห้างพันธุ์ทิพย์อีกครั้งในรอบเท่าไหร่วะ เป็นสิบปีได้มั้ง ตั้งแต่สมัยมหาลัยที่เด็กเนิร์ด(จนด้วย แต่ดันใฝ่ทางนี้)คนนึงชอบนั่งรถเมล์ไปเดินตากแอร์ อัปเดตราคาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และถือโบชัวร์กลับหอทีละเยอะๆ ไม่รู้จะสะสมไปทำไม

10.
แล้วนึกย้อนไปถึงสมัย ม.1 ที่พ่อผมผู้เป็นข้าราชการก็จริง แต่ดันมีวิสัยทัศน์อะไรไม่รู้ กัดก้อนเกลือซื้อคอมพ์มาให้เครื่องนึง เป็นรุ่นที่มีฮาร์ดดิสก์ด้วย! แล้วส่งพี่ผมไปเรียนจนผมได้อานิสงส์เป็นโปรโมชันแถมฟรี ด้วยการไปนั่งเรียนโปรแกรม Lotus 1-2-3, dBase, DB Form สามตัว ซึ่งดีมากๆ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ทุ้ย ที่ไหนล่ะ ไม่เคยใช้เลย แล้วทำให้รู้จักกับ ‘พวกเล่นคอมพ์’ (หมายถึงพวกแกะเครื่องซ่อมเครื่องประกอบเครื่องเป็นทุกอย่าง ลงโปรแกรม แก้นั่นขยำนี่เขียนนู่นสารพัด) แบบตัวเป็นๆ แลกเปลี่ยนวิชาทั้งซอฟต์แวร์ฮาร์ดแวร์ ทั้งเกมเกิมกันสนุกสนาน ในสมัยนั้นยังไม่มีเน็ตใช้เนอะ แต่ว่าหลายๆ คนก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมเลยไม่แปลกใจที่พอมาถึงยุคที่ตัวเองทำเว็บฟอนต์.คอม แล้วมีน้องคนนึงที่ทำฟอนต์ได้ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ (แถมยังเป็นคนวางรากฐานระบบภาษาไทยให้กับฟอนต์ส่วนใหญ่ในเว็บด้วย!) ก็นั่นแหละครับ ถ้าให้เล่าก็ยาว เอาเป็นว่าประสบการณ์ใน ‘ยุคออฟไลน์’ ของหนังสือเล่มนี้ มันก็กูนี่แหละ แต่โกงอายุไปห้าปีเท่านั้นเอง

11.
การดำเนินเรื่องในเน็ตเมื่อวานซืนนั้นถูกเล่าผ่านตัวละคนสามวัย (อายุ 40 / 30 / 20) ซึ่งแต่ละคนรับรู้ประสบการณ์ผ่านโลกออนไลน์มาต่างยุคต่างสมัยกัน ทีแรกกะว่าจะวาดให้น้องอายุ 20 เป็นสาวแว่น (เป็นตัณหาส่วนตัวมากๆ) แต่พอวาดจริงก็พบว่าพอใส่แว่นแล้วมันระบายสีให้ดูเป็นสาวน่ารักลำบาก โอเคคนอื่นที่วาดเก่งๆ อาจจะไม่ลำบากหรอกครับ แต่กูนี่แหละลำบาก มีปัญญาแค่นี้
เน็ตเมื่อวานซืน
ส่วนทรงผมของน้องก็ลองนั่งๆ ส่องเด็กสาวมหาลัย (ด้วยใจบริสุทธิ์นะ…) แล้วพบว่าทรงแบบในเรื่องมันน่ารักดี ชอบเป็นการส่วนตัวด้วย เอามาผูกผมให้ลูกสาวแล้ววาดแบบตาม ก็เออ ดี เอานิสัยกวนตีนของลูกสาวมาใช้ด้วย (ซึ่งลูกสาวอายุ 4 ขวบ)
ทั้งนี้เนือ้หาที่หยิบนำมาเล่านั้นก็ based on สังคมออนไลน์ไทยเนอะ จะเป็นภาพรวมแบบ overall อันไหนที่แตะเยอะๆ ได้ก็จะแตะ อันไหนที่บวกลบดูแล้วจะพาเนื้อเรื่องหลุดออกไปไกลก็จะตัดออกด้วยความเสียดาย แต่บางเรื่องเราก็ขอไม่เล่าละกัน อย่างเช่นดราม่าเว็บพันทิปเงี้ยะ แกจะให้เล่าจริงๆ เหรอ! รวมถึงบอร์ดประมูล หลุดโลก ซังกะบ๊วย ฯลฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งของตำนานเหมือนกัน แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มแหละ เดี๋ยวพาไถลออกไปเยอะเกิน 5555 (เว็บเฟลก็ไม่ได้เล่านะ!)

12.
อุปสรรคใหญ่หลวงในการทำงานเล่มนี้คือ มือเน่าครับ นิ้วพังเพราะภูมิแพ้ มีบางช่วงที่ร่างต้นฉบับไปก็ต้องพันนิ้วไปแบบนี้
เน็ตเมื่อวานซืน
ซึ่งทรมานมาก ข้างใต้กระดาษทิชชู่คือหนองเยิ้มๆ ทั้งสองนิ้ว พังมาก ถามหมออิม หมออิมบอกว่ายุ่นต้องนอนแต่หัวค่ำนะ ซึ่งยุ่นบอก กูทำไม่ได้ (จนถึงบัดนี้เสร็จงานหนังสือแล้ว ยุ่นเพิ่งเริ่มหัดนอนก่อนเที่ยงคืนอยู่เนี่ย)

13.
เล่มนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆ แล้วคำว่าคอม ต้องสะกดว่า ‘คอมพ์’ ซึ่งนำความไม่ชินอย่างแรงมาสู่ตัวเอง แน่นอนว่าทุกๆ เล่มที่ได้เขียนหนังสือ ก็จะได้ความรู้ด้านการสะกดแบบนี้เพิ่มขึ้นฉบับละคำสองคำ นับเป็นกำไรชีวิตอย่างมากที่ได้ความรู้ใหม่ในวัยที่น้ำเริ่มเต็มแก้วแบบนี้ แต่ส่วนมากเราเห็นดีเห็นงามกับน้องภัทรผู้เป็นพิสูจน์อักษรในตำนานของแซลมอนมาตลอดเลยนะ ด้วยความที่เป็นมนุษย์ที่รักการพิสูจน์อักษรเหมือนกัน (ถึงกูจะผิมพิดบ่อยมากก็ตาม) (และน้องภัทรจะติ่งนวพลจนยอมให้หนังสือของบักตี๋นั่นเขียนตัวโตๆ บนปกเป็นชื่อหนังสือที่ผิดหลักแบบมึงยอมได้ยังไงวะภัทร ว่า ‘เวิร์ค แอนด์ ทราเวล’)

14.
อ้อ ระบบการทำงานในฉบับนี้พัฒนาเป็นเวอร์ชันนี้ครับ
– ก่อนอื่นร่างในกระดาษ (บทกลางๆ พอเริ่มนิ้วพัง ก็เปลี่ยนมาร่างในคอมพ์แทน)
– เก็บไฟล์แยกโฟลเดอร์ 1.บรีฟ 2.ร่าง 3.เอาจริง(PSD)
– ซึ่งก็มีเวอร์ชันย่อยแบ่งเป็น v1,v2,v3 ไปเรื่อยๆ (ไม่มีคำว่าไฟนอล)
ทุกอย่างซิงก์สดๆ ไว้บนกูเกิลไดรฟ์ วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาการดองงานและการอู้ได้อย่างชะงัด เพราะบอกอจะเห็นความคืบหน้าแบบเรียลไทม์ ต่างจากฉบับที่ผ่านๆ มา ที่เราสามารถหมกเม็ดได้ คือเล่มนี้เราเองก็อยากทำให้เสร็จด้วย เพราะทำไปแล้วรู้สึกว่ากูต้องมืออาชีพหน่อยเพราะมีคนจ้างมา ไม่เหมือนเล่มก่อนๆ ที่จะเอ้อระเหยยังไงก็ได้ เห็นเดดไลน์งานหนังสืออยู่ก็เท่านั้น แต่เล่มนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ ลูกค้าด่าตายห่า งี้
ดังนั้นนี่จึงเป็นหนังสือไม่กี่เล่มที่ไม่ค่อยเห็นอีกายทวงงานผมในโซเชียลต่างๆ! เออ ดีจริง (หรือไม่ดีวะ เพราะมันทวงจนเป็นยี่ห้อไปแล้ว พอไม่ทวงเลยรู้สึกเหงาๆ หว่องๆ หน่อย)
เน็ตเมื่อวานซืน
อันนี้ภาพร้านกาแฟที่ออกแบบไว้เป็นฉากในหนังสือ (เพิ่งมาทำเอาทีหลัง ไม่งั้นได้เขียนฉากเล่นทั้งเล่มแน่)

15.
wallpaper
อันนี้วอลเปเปอร์ช่วงที่รู้สึกว่าต้องเร่งละ เลยเอา schedule มาทำเป็นพื้นหลังคอมพ์ซะเลย (ขอเบลอไว้นิดนึงเผื่อเซ้นสิทีฟ) ส่วนช่วงหลังสุดก่อนส่งงานไฟนอลปิดเล่ม ผมเปลี่ยนเป็นอันที่โหดกว่าคือ The Final Countdown (ทำแจกด้วยเหอะ)

16.
ความงึดในบางอารมณ์ของการผลิตงานก็คือ บอกอของเราอายุเพียงเบญจเพส หรือยังไม่ถึงก็ไม่รู้ ซึ่งแน่นอน มันห่างจากเราเป็นสิบปี ถึงมันจะเป็นคนทันสมัย แต่ประสบการณ์การเจอนั่นนี่มาก็ต่างจากเรา แล้วแต่ละวันต้องเสียน้ำตาให้กับการอธิบายความแก่ของเราให้มันฟังบ่อยๆ เช่น มันไม่รู้ว่าห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ เป็นแหล่งพระเครื่อง, มันไม่เข้าใจว่าโลกยุคก่อนซีดีเอ็มพีสามประเทืองนี่มีจริงด้วยเหรอ (ถ้าถามเด็กยุคนี้คือ ประเทืองคืออะไร ไม่สิ เผลอๆ ยุคอนาคตอันใกล้อาจจะถามว่าซีดีคืออะไร) หรือคอมพ์ยุคเรามันไม่มีไดรฟ์ซีดีเหรอ แล้วอยู่กันได้ยังไง (เช่นเดียวกัน เด็กยุคนี้เกิดมาก็ไม่เจออีไดรฟ์ที่ว่านี่แล้ว อย่าว่าไปถึงพวกฟล็อปปี้ดิสก์อะไรนั่นเลย อันนั้นชินแล้ว) เออใช่ เลยนึกได้ ณ ตอนนี้ว่ายุค 2016 กับยุค 1996 อาจจะเหมือนกันตรงที่ซื้อคอมพ์มาแล้วไม่มีไดรฟ์ซีดีเหมือนกันก็เป็นได้

17.
ที่จริงอยากจะเขียนกิตติกรรมประกาศให้กับเมีย แต่เล่มก่อนก็เขียนไปแล้วทีนึง คืออย่างที่บอกแหละครับว่าการเขียนงานทีนึงเนี่ยมันใช้พลังงาน สมาธิ และเวลามากๆ เราต้องการสมาธิเป็นก้อน เวลาเป็นก้อน และพลังงานเป็นก้อน ไม่ใช่ทำ 30 นาที เมียเรียกไปเก็บผ้า กลับมาทำต่อ หรือลูกมาร้องไห้ระหว่างทำงาน สิ่งเหล่านี้คนที่เก่งๆ เขาอาจจะสามารถรับมือได้ แต่ผมไม่ใช่น่ะสิ ผมต้องการทำงานแบบเงียบๆ (เปิดพอดแคสต์ฟังไปด้วยนี่โอเคมาก) และใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่คนเดียว จนผลิตงานเสร็จได้ด้วยดี สิ่งเหล่านี้ผมหันไปถามเมียตั้งแต่แรก (ถ้าเป็นข้างบนก็ประมาณข้อ 2-3) แล้วว่าโอเคไหม เมียบอกว่าโอเค อยากเห็นเตงเขียนหนังสือ พอออกมาเป็นเล่มแล้วเจ๋งดี รู้สึกว่าผัวเท่ อะไรแบบนี้
แน่นอนว่าระหว่างทางมันไม่ได้ง่าย หลายครั้งเกือบมีปากเสียงกัน แต่พอหันไปมองหน้าเมีย ผมก็จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะผมนั้นเขียนหนังสือคนเดียว ทำงานคนเดียวเพื่อให้ได้งานมาสนองความอยากของตัวเอง (อันนี้พูดยากมากเพราะค่าตัวค่าแรงอะไรนี่ผมเฉยๆ เป็นคนเฉยๆ กับเงิน (แต่เอานะไม่ใช่ไม่เอา) แต่ความภูมิใจเมื่องานเสร็จออกมาเป็นอันๆ นั้นสำคัญกว่ากัน 38 ล้านเท่า) ในขณะที่เมียนั้นต้องรับภาระทุกอย่างที่เคยช่วยกัน โดยเฉพาะลูกสองคนที่อยู่ในวัยที่ต้องการความดูแลจากพ่อแม่แบบสุดๆ ซึ่งช่วงที่ทำงานนั้นผมให้ไม่ได้ บอกเลยเป็นพ่อที่แย่จนบางทีก็นึกเสียใจ แต่ แม่งไม่ได้ว่ะ ต้องสะบัดหัวแล้วสวมวิญญาณซามูไร หันกลับมาปั่นงานต่อ เพราะถ้าเสร็จก่อนกำหนดการ นั่นหมายถึงเราจะมีเวลาเล่นกับลูกได้นานขึ้น เหี้ย แฟมิลี่แมนยังไงวะ
เน็ตเมื่อวานซืน
มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนเกือบเช้าเพื่อปิดงานให้จบบท พอตื่นมาบ่ายๆ ก็พบว่าลูกเมียหอบข้าวของหนีไปแล้ว ไปอยู่บ้านตายาย และทิ้งโน้ตใบนี้ไว้ให้พร้อมของกินเล่นแก้ง่วงตามภาพ ผมนี่แม่ง … พูดไม่ออก รู้แต่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจนอยากจะตีลังกากราบแล้วซักผ้าล้างจานให้ตลอดชีวิต (แต่รอดเว้ย นิ้วเน่า เป็นภูมิแพ้ หมออิมบอกว่าห้ามล้างจาน)

18.
พอเนื้องานใกล้เสร็จ เหลือแค่ตัดเส้นลงสี เราก็มาคุยกันเรื่องการตั้งชื่อเรื่อง ซึ่งเหมือนเป็นประเพณีอันโคตรสนุกและเป็นรางวัลโบนัสสำหรับการเขียนหนังสือแต่ละเล่ม ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่ผมจะคิดชื่อหนังสือขึ้นมาเอง คือถ้าแว้บมาเป็นชื่อปั๊บ ทีนี้แหละคาแรกเตอร์ของหนังสือมันจะมาอย่างเด่นชัด แต่กับบางเล่มที่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะตั้งชื่อยังไงดีให้มัน ‘ใช่’ ที่สุด เช่นศิลป์ซิตี้ ที่คิดกันนานมาก สรุปว่ามาเคาะเอาในคืนที่มานั่งทำปกกันที่แซลมอนเลยมั้ง ซึ่งสรุปมติองค์ประชุม (ไม่ได้เป็นโต๊ะเต๊อะอะไรหรอก ยืนคุยกันธรรมดาแต่พลังงานพวยพุ่ง)ในครั้งนั้น คนที่คิอชื่อนี้คืออีกาย เอ๊ะหรืออีแบงค์วะ เออนั่นแหละสักคน) คือมันเป็นศาสตร์และศิลป์-และการตลาดด้วยเอ้า-ที่ยากมากเลยนะ แต่ยากแล้วสนุกไง เป็นบทสนทนาที่นึกกี่ทีก็ขำ บางชื่อก็ไม่สามารถออกอากาศได้จริงๆ
สำหรับชื่อที่ส่งเข้าประกวดก่อนที่จะออกมาเป็นเน็ตเมื่อวานซืนนั้นมีเยอะมาก ที่พอนึกออกก็ได้แก่
– ชีวิตดีขึ้นทุกด้าน ด้วยการต่อเน็ตเพียงครั้งเดียว
– ชาวเน็ตจวกยับ (ใครจะเอามึงวะชื่อนี้)
– เกมออฟไลน์ (ทีแรกว่าจะล้อเกมออฟโทรน แต่แม่งเก็ตยากไป๊)
– คหสต.
– หนังสือนี้ถูกระงับเพื่อรักษาบรรยากาศในการสนทนา
– Pantip first class
– เข้ามาดู
– โลกสวยมายี่สิบปีแล้ว (ชื่อนี้ลูกค้ามาเห็นได้ริบเงินคืนแน่) (แต่ก็บันทึกไว้นะ)
– 20 ปีแห่งการปูเสื่อรอ
– Internet Explorer
– 20th century boys (แปลกใหม่มากๆ)
– โซเชี่ยวเน็ตเวิร์ก
– วัตถุ Wi-Fi (เฮ้ย ซ้ำกะของคันฉัตร)
– Back to the future park
– โซเดมาคอมพ์
– แบไต๋โซเชียล (อีกายคิดนะอันนี้ ผมเปล่า…)
– คอมพิวเตอร์เยสเทอร์เดย์
– เจาะเวลาหาไออี
– 56K แห่งความหลัง
– เน็ตเมื่อวานซืน (อีกายพิมพ์มาในสงครามชื่อ แล้วผมว่าแม่งโคตรใช่ ก็เลยเบรกมัน เอาอันนี้เลย!)
– 20 Years Ago Kilo Bit
ฯลฯ
เน็ตเมื่อวานซืน
ก็นั่นแหละครับ พอมันใช่ปั๊บ มันก็โคตรใช่ แล้วเน็ตเมื่อวานซืนก็กลายเป็นชื่อจริง พร้อมปกทื่ไหลมาทันทีในหัว วาดปาดๆ ให้ดูทันที (แน่นอนว่าส่งให้พันทิปดู ดันผ่านอีก!)

19.
ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดเล่ม ผมขอความช่วยเหลือจากทวิตเตอร์ (ที่จริงก็เด้งไปในเฟซบุ๊กด้วยแหละ เพิ่งมาเห็นทีหลังจากส่งงานไปแล้ว ขออภัยที่ให้เครดิตแต่ทวิตเตอร์น้า) ให้ช่วยกันนึกชื่อเว็บไทยยุคก่อนเฟซบุ๊กให้หน่อย และก็ได้มาร้อยกว่าชื่อ! เนี่ยแค่เข้าไปอ่านก็เพลินแล้ว มีคุณค่ามากๆ ขอบคุณครับ!


ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกบรรจุลงในหน้านึงของหนังสือหน้าเดียวนะ เลยต้องคัดเอาเฉพาะเว็บบางประเภท แน่นอนว่าพวกเว็บเรื่องเสียวนี่ไม่ได้ลง เพราะหนังสือเขาจะเอาไปบริจาคห้องสมุดให้เด็กอ่านด้วยเว้ย มันเลยต้องเรต PG นะ

20.
เน็ตเมื่อวานซืน
และแล้วก็เสร็จออกมาเป็นเล่มก่อนงานหนังสือประมาณ 10 วัน (ทันกำหนดการที่พันทิปเขามีงานครบรอบเว็บในวันที่ 7 ตุลาคม) พอถึงงานหนังสือก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากมิตรรักนักอ่านและชุมชนชาวทวิตเตอร์ที่ขยันหาอะไรมาแซว คือคราวนี้ยอมรับเลยว่ากระแสแม่งมาเยอะมากจนแท็ก #เน็ตเมื่อวานซืน ไปติดเทรนด์ตอนไหนนี่แหละ 55555 งงเหมือนกัน แต่ก็ดี มีคนบอกว่าเป็นการตลาดที่น่าสนใจ การตลาดห่าอะไรล่ะ 555555


พอถึงงานหนังสือ ผมไปนั่งประจำอยู่ที่แซลมอน 2-3 วัน ก็มีคุณผู้อ่านที่ทักทายเข้ามาอย่างอบอุ่น และต่างประกวดมุกการเอาหนังสือพี่ไปทำนั่นนี่ให้เจ็บช้ำอุรานัก (เอาเถอะ ถึงขนาดผสมอาหารหมาหรือเอาไปเผาให้ความอบอุ่นก็เล่นมาแล้ว) ที่น่าสนใจคือมีบูทพันทิป(ที่มีหนังสือของเราเล่มเดียว) ด้วย!!! มีแถล่งข่งแถลงข่าวบนเวทีใหญ่ในงานหนังสือด้วย! ต้องใส่สูทด้วย! (เครียดมาก ไม่ได้เครียดเรื่องการขึ้นเวทีอะไรนะ แต่เครียดเรื่องใส่สูท นี่เลยต้องยืมของแบงค์มา แบงค์ก็ส่งค้นท้องผู้เป็นเมีย เอาสูทมายื่นให้กันความอุจาด อ้อ มีการต้องแต่งตัวส่งให้เฟิร์นพีอาร์ เพื่อตรวจเช็กด้วยว่าชุดผ่านไหม ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ได้ขึ้นเวทีงี้…)

แต่ดีใจมากๆ ที่พอมีคนอ่าน (แบบอ่านจริงๆ ไม่ได้เอาไว้รองขาโต๊ะรองเมาส์อย่างเดียว) แล้วติดกับ ตกเป็นเหยื่อของการโหยหาอดีต ละล่ำละลักเกี่ยวกับเน็ตเมื่อวานซืนอันเป็นประสบการณ์ของตัวเอง ผมไปส่องไทม์ไลน์ของแต่ละคนแล้วก็ยิ้ม ว่าเออ เราก็ต่างผ่านโลกในยุคดิจิทัลโรแมนติกมาด้วยกันทั้งนั้นเลยเนอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเน็ตเมื่อวานซืนในอีก 20 ปีข้างหน้ามันจะเป็นแบบไหน เผลอๆ ถ้ามีคนเขียนมาแล้วรำลึกถึงทวิตเตอร์เฟซบุ๊ก (ที่ตายไปแล้ว) ก็น่าจะน่าสนุกมากๆ และผมขอพรีออเดอร์เลยเล่มนึง!

ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ร่วมหกเดือนที่สนุกมากๆ ขอบคุณทุกคนเหลือเกิน ทั้งที่โดนเมนชัน และไม่โดน ทั้งที่มีส่วนร่วมและไม่มี แต่ก็นึกออกตลอดแหละ ขอบคุณครับ!

ยิ้มสู้

ยิ้มสู้
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ


โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง

ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้

คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละไมใจสู้หมู่มวลเภทภัย

ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน

คืนวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงมีวิธีรับมือ หรือไม่รับมือ กับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศเราจ่างๆ กันออกไป ส่วนผมเลือกฟังเพลงนี้วนเวียนหลายครั้ง หลายครั้งมากๆ

‘ยิ้มสู้’ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่ผมเองก็จำเนื้อร้องไม่ได้ (ที่แปะไว้ข้างบนก็มาจากกูเกิล) แต่จำทำนองได้ดี ที่คุ้นๆ คือเนื้อเพลงจะให้ความหมายคล้ายๆ ‘แสงสุดท้าย’ ที่พี่ตูนร้อง หรือ ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ของพี่บอย … อ้อ ถ้าจะให้ตรงเป๊ะๆ กับอารมณ์ตัวเองขณะนั้น ก็น่าจะเป็นเพลง ‘โลกยังสวย’ ของเฉลียง (แต่ผมชอบเวอร์ชันทีโบน)

แต่จะขอเปลี่ยนเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตามสไตล์บล็อกนี้ — คือ ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ผมผ่านการยิ้มสู้มาเหมือนกันครับ

20161010_184616

12 ตุลาคม 2559

เราตื่นกันทั้งบ้านตั้งแต่เช้ามืด ตัวเล็กฝากยายไว้ ส่วนตัวใหญ่ตื่นมาดูการ์ตูน และกินอะไรรองท้องก่อนที่จะถึงกำหนดการที่หมอสั่งว่า “ห้ามกินอาหารก่อนผ่านตัด 6 ชั่วโมง”

ขับรถไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมง เพื่อจัดแจงธุระต่างๆ เกี่ยวกับการผ่าตัดและพักฟื้นให้ลูก

ถึงมันจะเป็นการผ่าตัดเล็กๆ อย่างผ่าต่อมทอนซิล (ที่มันเสียไปแล้ว และกลายเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายแย่ ไม่มีดีกว่ามี) ออก แต่สำหรับเด็กสี่ขวบ การผ่าจะอะไร เล็กหรือใหญ่ มันก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้นแหละ

หลังจากการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา นิทานกลายเป็นเด็กอนุบาลที่ขาดเรียนถึงหนึ่งในสามของทุกเทอมตั้งแต่ อ.หนึ่งยัน อ.สอง แน่นแนว่าส่งผลโดยตรงกับพัฒนาการของลูก ทั้งด้านการเรียนรู้ (ไม่ใช่แค่เรียนหนังสือนะ – เราใช้คำว่าการเรียนรู้) พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ฯลฯ ของเด็กช่วงปฐมวัย ที่ใครๆ ก็รู้กันว่ามันสำคัญมากเนอะ

เคยอ่านมาว่าการที่เด็กป่วยนั้น ตัวเด็กน่ะโอเค เพราะไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องใดๆ ที่เป็นอนาคตของตัวเอง ถึงขนาดที่มีเด็กเป็นมะเร็งร้ายในเคสหายากที่รักษาไม่หาย และนับถอยหลังชีวิตไปอีกแค่ไม่กี่วัน แต่พอถามว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร หนูก็ตอบว่าอยากเป็นเชฟทำอาหาร พ่อแม่เลยจับส่งไปเรียน(ฟรี) กับอาจารย์สอนทำอาหารที่โด่งดัง (อาจารย์สอนให้ฟรีด้วย) ก่อนที่แสงเทียนของน้องจะดับวูบลง น้องก็แฮปปี้ที่สุดแล้ว

แต่เฮ้ย ลูกเราไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้น นี่แค่ทอนซิลพังเองงงง

ถึงกระนั้น ความวิตกกังวลก็ได้ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ กับเมียผม พออาการป่วยมันเริ่มบ่งชี้ชัดว่าแบบนี้ไม่ค่อยไหวแฮะ และนับวันก็ยิ่งหนักหนาขึ้นๆ จนแทบจะกลายเป็นมนุษย์แม่คนหนึ่งที่เราเห็นกันทั่วไปบนโลกออนไลน์ นั่นคือวิตกจริตกับทุกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูก ไอทีนึงก็สะดุ้ง ร้องทีนึงก็นอนไม่หลับ ได้แต่นับถอยหลังถึงเกณฑ์อันตราย

ไม่คิดว่าพอมาเป็นพ่อคนแม่คน เราจะได้มองโลกและมองลูกด้วยสายตาคนเป็นพ่อและแม่ ตัวพ่อน่ะโอเค เป็นมนุษย์เหตุผลอยู่แล้ว แต่กับแม่นั้นหนักหนาสาหัส คือนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้งจะให้กินยา ฉีดยา ดมยา รักษาตัวยังไงก็ได้ ปรึกษาหมอสารพัดทั้งหมอเด็ก หมอภูมิแพ้ เพื่อนหมอ พี่สาวเพื่อนที่เป็นหมอ คนโน้นคนนี้ที่เป็นหมอ ทำทุกทางเพื่อหวังว่าจะได้รับคำตอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ “ต้องผ่าตัด”

แต่การไปหาหมอเพื่อรักษาอาการแต่ละครั้งก็ยิ่งบีบรีดให้ได้คำตอบออกมาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “ต้องผ่าตัด”

ผมเองเคยผ่าฟันคุด และรักษารากฟันมาแล้วหลายซี่ จนเรียกได้ว่าในปากนี่อมเงินหลักแสนอยู่นะ โคตรเข้าใจสถานการณ์นี้เลย คืออวัยวะบางอย่างของเราเนี่ย ถ้าอะไรที่ผุพัง ที่เก็บเอาไว้มีแต่เสีย ก็ไปเอาออกซะก็สิ้นเรื่อง

แต่กับแม่ของเด็ก ไอ้คำว่าเอาออกซะก็สิ้นเรื่องเนี่ยแม่งยากสัสๆ แล้ว

คนเป็นพ่อจึงต้องเป็นแผนกถ่วงน้ำหนัก ดึงสติกลับมานะทุกคน ลูกเป็นคนป่วย แม่เป็นคนให้กำลังใจคนป่วย ส่วนพ่อคือผู้ให้กำลังใจผู้ให้กำลังใจคนป่วยอีกที

พอ 11 โมง ลูกก็หลับไปในมือหมอ ตื่นมาอีกที ก็กลายเป็นเด็กที่ไม่มีอีต่อมเน่าที่ว่านี้แล้ว แน่นอนว่าร้องไห้แหกปากแบบเจ็บๆ จนต้องปลอบเบอร์แรงสุด และหลอกไว้ว่าถ้าไม่โก่งคอร้องไห้แบบนี้ คอหนูจะหายเร็วนะ

คืนวันแรกผ่านไปอย่างยากลำบาก แม้จะโล่งใจ (นี่พูดถึงแม่) แต่ก็ยังไม่เคลียร์ ยังรอดูอาการของลูกอย่างใกล้ชิดแบบนาทีต่อนาที

เย็นวันนั้น เราได้รับข่าวลือแปลกๆ ไม่สิ ไม่ใช่ข่าวลือสิ จดหมายอย่างเป็นทางการแบบไม่ต้องตีความอะไรเลยจากทีมแพทย์ที่ถวายการรักษาในหลวงอยู่ในอีกโรงพยาบาล

เรารู้ เชื่อแหละว่าทุกคนรู้ แต่เราอยู่ในประเทศที่ห้ามพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล หรือพูดให้เรารับมือกับแรงกระแทกที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ห้ามพูด

13 ตุลาคม 2559

ลูกสาวดูการ์ตูนทั้งวัน ในชีวิตนี้จะมีก็ไม่กี่ครั้งหรอกที่ยอมเปิดการ์ตูนให้ดูเยอะๆ แบบนี้ ด้วยหวังจะเปลี่ยนสภาพจิตใจและอารมณ์ของลูกให้เป็นบวก ซึ่งคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่นอนโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นพ่อและแม่มีงานที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า อีกเดี๋ยวทุกอย่างจะประเดประดังเข้ามาอย่างใหญ่หลวง

ลูกนอนดูการ์ตูนอยู่บนเตียง แม่นั่งทำงานสลับกับนั่งอ่านนิยายเช่าในห้อง ส่วนพ่อที่เพิ่งกลับจากจตุจักร (โรงพยาบาลมันอยู่ใกล้ เลยได้ไปเดินตลาดต้นไม้มาจนขาลากและผิวไหม้) พอมาถึงก็เปิดไทม์ไลน์ดู เฟซบุ๊กปกติดีอย่างที่พอจะนึกออก ส่วนทวิตเตอร์(ที่ได้ชื่อว่าไวต่อบรรยากาศแปลกๆ)นั้นเป็นคนละเรื่อง

ตามข่าวที่ไม่อยากให้เกิด จนทุกอย่างบ่งชี้ว่าใช่

จนใช่…

แล้วทุกอย่างในโลกก็ทลายลง

ผมถ่ายคลิป “แสงสุดท้าย” ของเย็นถึงค่ำวันนั้นเอาไว้ (เป็น time-lapse) ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมถ่ายอกมาแล้วมันดูไม่ค่อยชัดเหมือนเป็นหมอกๆ อ้อ ที่ไหนได้ เป็นหมอกในตำนานที่ใครหลายคนก็ได้เห็นและร่ำลือกัน

คืนนั้นนอนดึกมาก เอาจริงๆ คือนอนเกือบไม่หลับเลยแหละ ภาพที่เห็นผ่านจอมือถือ เริ่มเปลี่ยนจากภาพสีเป็นภาพขาวดำ มีบทสนทนา มีคำถาม มีการแสดงความคิดเห็นมากมายชนิดที่ @icez บอกว่า log ของทวิตเตอร์เมืองไทยถูกถล่มด้วยก้อนข้อมูลก้อนยักษณ์ระดับปรากฏการณ์

บรรทัดนี้ผมไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ ทีแรกมีอะไรจะเขียนเยอะแยะไปหมด แต่พอเอาเข้าจริงกลับรู้สึกว่าเราเรียบเรียงความคิดตัวเองไม่จบจริงๆ

อ่านสิ่งที่เกิดขึ้น ณ​ วันนี้จากทุกๆ คนเถอะ ทุกคนได้เขียนบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ของประเทศเราไว้ให้หมดแล้ว

ตื่นมาพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

14 ตุลาคม 2559

เช้านี้แหละ เป็นเช้าที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด หนังสือพิมพ์ ทีวี สารพัดเว็บไซต์ต่างนำเสนอทุกรายละเอียด โดยเฉพาะบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกอันทรงพลังนั้นได้แผ่ขยายปกคลุมไปทั้งประเทศ

นิทานออกจากโรงพยาบาล เห็นว่าอาการเจ็บแผลไม่น่าห่วงนัก ที่เหลือก็แค่การประคับประคองจิตใจกัน ไม่ต่างจากใครๆ ในประเทศเราตอนนี้ ที่ต้องผลัดกันประคับประคองกันและกันทั้งนั้น

เมียผมปรับตัวอย่างรวดเร็ว เข้าสู่โหมดทำงานทำการและโหมดแม่ของลูกอย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วนผมพอทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ก็ผละออกมางานสัปดาห์หนังสือ ซึ่งวันนี้มีนัดพบปะผู้อ่าน และเซ็นชื่อลงในหนังสือ #เน็ตเมื่อวานซืน

ระหว่างเดินทางก็ได้พบกับบรรยากาศแห่งความอาลัยจากทุกคนรอบกาย เนื่องจากบ่ายวันนี้มีพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพฯ ไง ดังนั้นหลายๆ คนบนรถไฟฟ้าที่เห็น ก็ต่างเดินทางไปสถานีปลายทางเพื่อต่อรถต่อเรือกันตามสะดวก เพื่อไปร่วมพิธีฯ

พอเสร็จจากงานหนังสือ ก็มานึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เราไม่ตลกเลย (ปกติก็ไม่ตลกนะครับ ผมเดินทางสายเท่มาตลอด)

กลับถึงบ้านก็ดึกดื่น ลูกเมียหลับแล้ว เหนื่อยและเพลียกันมากๆ ทั้งคู่

15 ตุลาคม 2559

สังเกตว่าพอถึงวันนี้ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ หลายๆ คนเริ่มทำใจได้ และกลับมาทะเลาะกันเหมือนที่เคยเป็นมา (เวรแท้ๆ)

บรรยากาศความหน่วงรอบๆ ตัว ยังทำ ‘หน้าที่’ ของมันได้อย่างแข็งขัน แล้วทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้

ยิ้มสู้และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปให้ดี ก็เท่านี้เอง