มืออาชีพ

มืออาชีพ

ช่วงนี้เวลาขับรถรับลูกกลับจากโรงเรียน ผมชอบทดลองสอนให้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ ยากๆ ที่จำเป็นต้องใช้บริบทรอบข้าง (แบบที่ไม่ได้เป็นไดอะล็อกปกติสำหรับเด็กเล็ก) ด้วยถึงจะเข้าใจ อันนี้เป็นการท้าทายตัวเองด้วยว่าจะอธิบายคำที่เราเก็ตกันทุกวันทุกวี่ให้เด็กที่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เข้าใจได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เก็ตนะ

คำศัพท์ใหม่ในวันนี้ คือคำว่า “มืออาชีพ”

มืออาชีพที่หมายถึง คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สามารถทำงานบางอย่างได้เก่งกว่าใครๆ

หลังจากอธิบายความหมายเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทดสอบความเข้าใจ
ผม: เห็นคุณลุงคนขับแท็กซี่นั่นไหม คุณลุงเป็นมืออาชีพเรื่องอะไร
นิทาน: น่าจะ… (คิดแป๊บนึง) เรื่องการขับรถนะ
ผม: ช่ายยย แล้วคุณลุง ร.ป.ภ.ล่ะ
นิทาน: … (คิดนาน)
ผม: คุณลุงคอยดูแลหมู่บ้านไม่ให้มีขโมยเข้ามาใช่ไหม
นิทาน: ใช่ๆๆ มืออาชีพด้านการดูแลหมู่บ้านเรา
ผม: ถูกต้องงง อะแล้วคุณยายล่ะมืออาชีพด้านไหน
นิทาน: คุณยายเย็บผ้าเก่ง มืออาชีพด้าน… เย็บผ้า!
ผม: เจ๋ง แล้วแม่ล่ะ
นิทาน: มืออาชีพด้าน… (นึกอีกแป๊บ) ขายของ!
ผม: ใช่เลยยยย เก่งนะเนี่ย
นิทาน: แฮ่ (ยิ้ม)
ผม: อะ แล้ว… แล้วพ่อล่ะ มืออาชีพด้านอะไร
นิทาน: … (นึก)
ผม: …
นิทาน: นึกออกแล้วๆ
ผม: ว่ามาเลย!
นิทาน: มืออาชีพ…! ด้านการตากผ้า!

กระป๋องโค้กใส่เม็ดถั่วเขียว

mascot

มีจดหมายแนบมากับกระเป๋าเป้ของนิทานว่า วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันกีฬาสีของโรงเรียน

เพื่อความครื้นเครงและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ให้ช่วยนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เชียร์ (อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม เสร็จตูล่ะ งานประดิษฐ์แบบนี้ของถนัดเลย)

แต่เดี๋ยวก่อน… ในจดหมายมีระบุไว้ว่า จงทำแบบนี้

  1. ใช้กระป๋องโค้ก 2 กระป๋อง (ระบุยี่ห้อเรียบร้อย เข้าใจว่าบริษัทโค้กอาจมีเอี่ยวกับธุรกิจกีฬาสีของโรงเรียนอนุบาลที่มีมูลค่านับพันล้านบาทด้วยไม่มากก็น้อย)
  2. ใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป
  3. ปิดทับด้วยกระดาษสีชมพูซึ่งเป็นสีของลูกหลานท่าน

โอเค ฟังดูไม่ยาก ทีนี้ปัญหาคือ

  1. บ้านเราไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม ไอ้ครั้นจะใช้กระป๋องเบียร์แทนก็ยิ่งยากใหญ่เลยเพราะไม่มีใครดื่มเบียร์แน่ ก็เลยต้องไปซื้อในแม็กซ์แวลู่ข้างบ้าน เสียตังค์อีก (ถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้เศษวัสดุเหลือใช้ละ)
  2. บ้านเราไม่มีใครทำอาหาร ไอ้ครั้นจะหาถั่วเขียว… เอาเถอะ ตอนไปแม็กซ์แวลู่เลยแวะดูชั้นวางถั่วเขียวด้วย ก็มีแต่แบบออร์แกนิก อีห่า ถุงละ 74 บาท…
  3. กระดาษสีชมพู (และกาว) อันนี้เดี๋ยวไปซื้อ ต้องซื้ออยู่แล้วแหละเนอะ

แล้วก็นึกได้ว่าที่บ้านเรามีอุปกรณ์ส่งเสียงอยู่เยอะแยะเลยนี่หว่า ทั้งกลองบองโก้ กลองคาฮอง คาซู่ นิ้งหน่อง ระนาดเล็ก 2 ราง ไข่เขย่า ขลุ่ยอีก 3 เลา นี่ยังไม่นับขวดเหลือๆ ที่เอามาทำเสียงก๊องแก๊งๆ ได้สารพัด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เศษผ้ามาพันเป็นสีชมพูได้ (ผมมีผ้าสามสีประจำตัวอยู่ด้วย)

เลยคิดว่าปีนี้ขอดูลาดเลาไปก่อน ปีหน้าพอรู้แนวทางแล้วจะฝืนคำสั่งครู ลองทำอย่างที่เราคิดว่าโอเคกว่าคำสั่ง คสช.ดู

อ้อ พอดีครูประจำชั้นขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่ว่างงานไปเชียร์บุตรหลานของท่านด้วย เมียก็เลยดำริว่าเราจะไปเช่าชุดมาสคอตจากร้านใกล้ๆ บ้าน (เป็นรูปช้างสีชมพู) ไปช่วยเขาถ่ายรูปและเชียร์ลูกด้วย 555555 เออ เอาวะ ลองดู ถึงจะแพงกว่าถั่วและน้ำอัดลมสองกระป๋องรวมกันหลายเท่า แต่ก็บันเทิงแบบเซอร์ไพรส์ดี

ส่วนถั่วเขียวออร์แกนิก เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นเก็บก้อนกรวดข้างบ้านมาใส่แทนคงได้เนอะ

ไม่ได้เขียนมาเดือนนึง!

นอกจากนี้แล้ว
– อย่าว่าแต่หนังสือกองพะเนินเลย การ์ตูนก็ไม่ค่อยได้อ่าน
– หนังก็ไม่ค่อยได้ดู (เมียตกลงเข้าโครงการ “ต่อไปนี้จะดูหนังทุกวัน”)
– เที่ยวเหรอ เออเที่ยวว่ะ เที่ยวบ่อยมาก

สรุปง่ายๆ ได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแบ่งเวลาชีวิตเกือบทั้งหมดไปกับลูก 2 คน (ที่ต้องการให้ชีวิตของพ่อและแม่กลายเป็นของเขาแบบคนละ 100% ทั้งคู่) ที่เหลือคือประคับประคองหน้าที่การงานของตัวเอง จนไม่มีเวลามาทำสิ่งอดิเรกใดๆ เลย

ก็ถือเป็นอีกครั้งที่พอรู้สึกว่าบาลานซ์เสีย ธรรมชาติของความเฉื่อยในตัวมันจะสะกิดแรงๆ แล้วบอกว่าต้องปรับอะไรสักอย่างแล้ว

ซึ่งก็ไม่สามารถหักดิบได้เพราะติดเงื่อนไขด้านบน ตอนนี้รอเวลาอย่างเดียว ให้ลูกโตกว่านี้อีกนิด (ไม่ใช่หลักปี แต่เป็นหลักไม่กี่เดือนต่อจากนี้) เราก็น่าจะว่างมานั่งเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยๆ ได้เหมือนเดิม

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนขู่ให้รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่มีลูกแล้วมาอ่านเข้า คงกลัว และตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยเพราะกลัวจะสูญเสียเวลาอันมีค่าของตัวเองไป ก็อยากจะบอกว่าเชิญเถอะครับ วิถีใครวิถีมัน ไม่โน้มน้าวละกัน

แต่ถ้าถามว่าถ้าให้ย้อนกลับไปได้จะมีไหม เฮ้ย ไอ้บ้า มีสิ

มันไม่ใช่แค่คุ้มแบบได้อย่างเสียอย่างนะ แต่นี่เสียแค่อย่าง แต่ได้มาสามร้อยล้านอย่าง โคตรคุ้มเลย

แต่อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก

#หนีกรุง Day 1: สะพานสระแก้ว

image

เมียบอกว่า รับไม่ได้ ที่การมาเหยียบสะพานสระแก้วคราวนี้จะเป็นระยะเวลา 16 ปีนับตั้งแต่ได้มาทับแก้วครั้งแรก

เอ้า ก็แก่แล้วอะ จะให้เนียนใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งกระโปรงพลีตมาเดินงี้เหรอ แฟนตาซีไปปะ

แต่ดูแววตาแฮปปี้ของเมีย ผมก็โอเค สบายใจละ หายล้าจากการโหมทำงานล่วงหน้าติดต่อกัน 2-3 วัน เพื่อจะได้ใช้เวลาหยุดยาวประจำปีคราวนี้ หมดไปกับการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แบบยาวๆ (เมียฝากบอกโจรไว้ว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังมีคนอยู่บ้านที่ลาดปลาเค้าตลอด 24 ชั่วโมง)

ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ประสาคนมีลูกเล็ก และมีเมียสลิ่ม ไอ้อะไรยากๆ ลำบากๆ คงกดข้ามไปก่อน รอลูกโตและรอเมียอยากลองอะไรประหลาดๆ ค่อยว่ากัน

ชีวิตเราเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ไอ้การจะหนีเที่ยวลุยๆ แบบสมัยยังโสดนั้นก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่ (มีไฟอยู่นะแต่ไม่มีโอกาส 5555)

ช่วงที่ผ่านมา นิทานกับเวลาต่างหายป่วย RSV (นิทานติดมาจากโรงเรียน แล้วเอามาเผื่อน้อง สรุปป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ทั้งคู่) ก่อนออกมานี่ แม่มันไปขอสมุดการบ้านจากครูต่าย และขออนุญาตลาหยุดพักฟื้นร่างกายยาวๆ สักสองสัปดาห์ จะได้ไม่ติดเพื่อนด้วย ครูต่ายยินดี  และให้การบ้านระบายสีมาหอบใหญ่

ส่วนผมเอง ดันเป็นตาอักเสบช่วงนี้พอดี (แถมยังโหมงานก่อนพักยาวด้วย เลยยิ่งอักเสบใหญ่) นับเป็นรอบที่สิบกว่าๆ เกือบยี่สิบแล้วมั้ง ประจำปี 2558 ซึ่งก็ไปหาหมอเกือบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งที่อาการมันคุ้นจนรู้ว่าไอ้แบบนี้เดี๋ยวก็หาย คือมันอักเสบหลายแบบ หลากหลายกระบวนท่าจนประวัติคนไข้ที่หมอจดไว้ช่างสวยงาม

สำหรับคราวนี้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย จะปวดทุกครั้งที่จ้องจอนานๆ จนตาล้า

ซึ่ง… นั่นแหละ เป็นสัญญาณว่ามึงควรพอได้แล้ว ปิดคอม ชาร์จแบตให้ยาวเลย

โอเค ไปนอนละ บั๊ย

ป.ล.จะลองเขียนบล็อกซีรีส์นี้ในมือถือดูว่าจะรอดไหม หวังว่าคงรอด

ทะเลาะกับลูก

nitan

เมื่อคืนเถียงกับนิทานเป็นครั้งแรก เป็นการทะเลาะกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยรู้จักกันมา 3 ปี

ด้วยเรื่องชุดนอน

นิทานมีตู้เสื้อผ้าเด็กอยู่ ข้างในมีชุดนอน ชุดชั้นใน และชุดอื่นๆ (หมวดหลังสุดนี่ส่วนใหญ่คุณยายจะตัดให้) วางแยกกันอย่างเป็นระเบียบ… กว่าตู้เสื้อผ้าของพ่อแม่มันอีก

แล้วเมื่อคืนเป็นคืนที่สองที่นิทานต้องนอนอยู่บ้านกับพ่อ โดยไม่มีแม่และน้องเวลาอยู่ด้วย เนื่องจากน้องป่วยแตะมือต่อจากพี่ที่ตอนนี้หายดีแล้ว และแม่ก็ต้องเป็นคนไปนอนแกร่วเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอีก (เดือนนี้โบว์อยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านละกัน)

จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่ได้นอนด้วยกันสองคนพ่อลูกโดยไม่มีแม่อยู่ด้วย

นิทานเป็นเด็กติดแม่ ติดมาก ตั้งแต่เกิดมาก็แทบไม่เคยแยกห่างจากกันเลย อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสามปีแล้ว มีครั้งเดียวที่ห่างกันนานๆ ก็คือแม่คลอดน้องเวลา และพ่อต้องเป็นคนไปนอนเฝ้า ดังนั้นนิทานเลยไปอยู่กับคุณตาคุณยายเป็นสิบคืน แม้จะคุยกัน(กับเด็กสองขวบครึ่ง)รู้เรื่องนะว่าแม่ต้องไปคลอดน้อง นิทานอยู่กับคุณตาคุณยายนะลูก (ค่ะแม่) แต่เอาเข้าจริงๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นิทานก็จะแสดงออกตอนหลับละเมอออกมาเสมอว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทุกข์ใจอย่างที่สุด ทานคิดถึงแม่ ทานอยากเจอแม่ ฮือ…

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ หลังจากไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลเสร็จ พ่อพาไปกินข้าว กลับมาอาบน้ำแปรงฟัน อ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนเสร็จเรียบร้อย โทรหาแม่เพื่อ บ๊ายบายกัน ปิดไฟแก๊ก นิทานก็พลิกคว่ำพลิกหงาย ไม่ยอมนอน

แล้วรำพึงออกมาว่า “ทานไม่อยากนอน ทานหิว”

รู้อยู่นะว่าที่จริงนี่คืออาการคิดถึงแม่นั่นแหละ แต่ด้วยความเข้มแข็งของเด็กสามขวบ เลยไม่พูดออกมาตรงๆ แต่เลี่ยงไปเป็นเรื่องอื่น

ผมคุยกับนิทาน ถามย้ำให้แน่ใจว่าหิวใช่ไหม กินนมไหม (มีนมกล่องในห้องนอน) แต่นิทานก็ตอบว่าจะกินไข่ต้ม

อีพ่อเลยเปิดไฟ จูงลูกไปชั้นสอง ให้นั่งอ่านหนังสือรอ ส่วนพ่อเดินลงไปทำไข่น้ำให้กิน

ก็ขึ้นมาแล้วก็กินไป อ่านหนังสือนิทานให้ฟังไป (คืนนี้ผลาญหนังสือไปหลายเล่มมาก เป็นการตะล่อม) จนกินหมดก็ไปแปรงฟันกันอีกรอบ และเตรียมตัวเข้านอน

ทันใดนั้นเองพอนิทานบ้วนปากปั๊บ ดันไปโดนคอเสื้อเปียก พอคอเสื้อเปียกก็เป็นอันรู้กันว่าต้องเปลี่ยนชุดนอน ก็ไม่มีไรมาก เดินขึ้นมา เปลี่ยนชุด และ *หาชุดที่เข้ากัน*

เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

ชุดนอนเดิมเป็นชุดที่คุณยายตัดให้ (โฆษณา: คุณยายเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี เปิดร้านนลินฟ้า สาวๆ ไปเลือกชมเดรสสวยๆ กันได้นะคะ) แต่ชุดที่นิทานจะใส่ต่อจากนี้คือชุดหมา (ชุดนอนสีขาว มีแพตเทิร์นเป็นรูปหมาเยอะๆ) ซึ่งเจอแต่กางเกง …ไม่เจอเสื้อ

อ้าว แล้วเสื้อหายไปไหน อีพ่อก็ช่วยค้นให้

เข้านอนตอนแรกสองทุ่มกว่า แต่นี่มันสี่ทุ่มแล้ว  พอหันไปมองแววตาลูกก็รู้เลยว่าเริ่มง่วงเต็มที่ นั่นแปลว่าต่อมเหตุผลของเด็กได้ปิดทำการแล้ว ตอนนี้รีเควสต์แค่ว่าจะเอาชุดหมา ชุดอื่นไม่เอา ทานไม่นอน (ที่พูดนี่คือนิทานถอดชดคุณยายออกแล้วยืนแก้ผ้าทำหน้ามุ่ยช่วยกันค้นอยู่)

แต่ไม่เจอ

พ่อเจอชุดรถ (ชุดนอนสีขาว มีลายรถเยอะๆ) ซึ่งก็สวยเหมือนกัน พยายามคะยั้นคะยอให้ใส่ ก็ไม่เอา ให้ใส่แค่ครึ่งบน แล้วครึ่งล่างเป็นชุดหมาก็ไม่เอา นิทานเริ่มร้องไห้

ผมก็บอกให้ใจเย็นๆ ฟังพ่อนะ (สบตา) พ่อ หา ไม่ เจอ (มันจะดีใจไหม) ป้าแอ๋วอาจจะเอาไปซักอยู่ข้างล่าง หรือวางไว้ที่อื่นก็ได้ คืนนี้เราใส่เสื้อรถนอนกันก่อน ไว้คราวหน้…

“แง้!!!!!! พ่อ (ฮึก ฮึก) พ่อเอาไปแอบ (อ้าวเฮ้ย) เมื่อกี้ทานยังเห็นพ่อถือเล่นอยู่เลย (ฮึก ฮึก)”

“เดี๋ยวๆๆๆ นิทาน พ่อจะไปถือเล่นทำไม พ่อไม่ได้แกล้งนิทาน แต่เราช่วยกันหาแล้วไม่เจอจริงๆ ไง เนี่ยลองค้นดูสิ”

“ทานเห็นพ่อถือเล่นเมื่อกี้อะ แต่พ่อเอาไปแอบไว้ตรงไหน แง้!!!”

อ้าวซวยละ หรือเมื่อกี้เป็นผี

ผมทำเสียงจริงจัง “นิทาน… พ่อไม่ได้แกล้งนะ แต่นี่ไง (ชี้ไปที่กองผ้าที่นิทานรื้อออกมาทั้งตู้) ชุดหมาไม่มี เราเจอแต่กางเกง นี่ถ้านิทานไม่ยอมใส่เสื้อเดี๋ยวเป็นหวัดนะ แบบกุ๋งกิ๋งไง (ชื่อหนังสือที่มีตอนนึงอีเด็กกุ๋งกิ๋งมันเล่นน้ำฝนจนเป็นหวัดเข้าโรงพยาบาล) นิทานไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกทีใช่ไหม”

“ทานเบื่อโรงพยาบาลแล้ว” โอเค เข้าทาง

“งั้นนิทานก็ใส่เสื้อรถนะ จะได้ตัวอุ่นๆ แล้วเราไปนอนกัน”

“แต่ แต่ แต่ทานจะใส่เสื้อหมาาาาา แง้!!!!” … เวรกรรม

ผมลองค้นดูก็ไม่เจอจริงๆ ว่าเสื้อหมามันหายไปไหน ปกติตู้เสื้อผ้าเด็กจะเก็บเรียงกันทุกชุดอย่างเป็นระเบียบอยู่แล้ว แต่ถ้าหาไม่เจอก็คือจนปัญญาจริงๆ และยิ่งลูกกำลังง่วงสุดขีดและจิตใจอ่อนแอเพราะไม่ได้นอนกับแม่แบบนี้ ทางแก้ปัญหาคืออะไร คิดสิคิด

“ฮืออออออ ทานอยากโทรบอกแม่” นิทานพูดกลั้วเสียงสะอื้น

“โอเคได้ๆ” เด็กยุคนี้เกิดมากับการสื่อสารทางไกลเป็นเรื่องปกติ ผมทึ่งนิดนึงแต่ก็รีบ #ดึงสติ คืนมา ดูนาฬิกา ตอนนี้โบว์คงยังไม่หลับ เลยกดโทรไป แล้วเปิดลำโพง

“โหล เป็นไงมั่ง” ปลายสายเป็นเสียงเมีย

“แม่ขาาาาาา” นิทานรีบฟ้อง “พ่อเอาชุดหมาของทานไปแอบ ทานไม่มีชุดใส่ %#$@^&!@%#&^!@#*” (ละล่ำละลัก ฟังไม่รู้เรื่องเลย)

ผมรีบตัดบท สรุปเหตุการณ์ให้เมียฟังเป็นลำดับ และเสนอทางออกคือ ให้โบว์บอกลูกว่าใส่ชุดไหนก็นอนได้เหมือนกัน ถ้าไม่รีบใส่เสื้อผ้าตอนนี้เดี๋ยวป่วย ต้องมานอนโรงพยาบาลอีกทีนะ ซึ่งเมียผมก็พูดแบบที่ผมพูดเป๊ะเลยนี่หว่า

ถึงกระนั้น นิทานก็สงบลงนิดนึง แต่ยังร้องสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนวางสาย ผมเลยบอกให้โบว์ให้โอวาทอะไรกับลูกไว้สักหน่อยเพราะท่าทางคืนนี้น่าจะหนักหนาอยู่ และก็หนักจริงๆ เพราะตลอดคืนนิทานยังสะอึกสะอื้น และยิ่งรอบดึกๆ ที่หลับละเมอออกมา คราวนี้พูดเลยว่าคิดถึงแม่ ทานอยากนอนกับแม่ ทานอยากให้แม่มานอนด้วย (แต่คือทานไม่อยากไปโรงพยาบาล อันนี้คือคุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าทานเบื่อโรงพยาบาลมาก ทานไม่อยากไปแล้ว)

และแล้ว มันก็ผ่านไป…

ตื่นเช้ามา นิทานก็สดใสร่าเริง ปลุกพ่อตั้งแต่หกโมงกว่า “พ่อจ๋า อุ้มทานไปฉี่หน่อย”

อีพ่องัวเงียอุ้มพาไปฉี่ ก็บ่นว่านี่มันยังไม่ถึงเวลาตื่นเลยนี่นา นิทานปลุกพ่อเร็วจัง

“ทานปลุกเร็วกว่ากูเกิลอีก กูเกิลยังไม่ตื่นแต่ทานตื่นก่อน”

แน่ะ เด็กสมัยนี้

คือก่อนนอนผมชอบตั้งปลุกด้วย Google Now โดยพูดใส่มือถือไปว่า “Okay, Google. Wake me up at 8.” อะไรแบบนี้น่ะครับ แล้วนิทานฟังเข้าใจเว้ย 555

ป.ล.
ในสายตาผู้ใหญ่ การเลือกชุดนอนถือเป็นเรื่องปัญญาอ่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีลูกแล้วจะเข้าใจครับว่านี่แหละคือเรื่องใหญ่ของเด็ก เผลอๆ ใหญ่กว่าที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันด้วยเรื่องการเมืองเลย แต่ทะเลาะเรื่องการเมืองยังไกลตัวกว่ามากๆ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องปัญญาอ่อนเมื่อมองจากสายตาของเด็กสามขวบ (และพ่อวัยสามสิบสามขวบ) ก็ได้

ป.อ.
ในที่สุดก็เจอ เสื้อหมาอยู่ในรถ แม่วางไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อกี้ผมเลยหยิบไปให้ลูกดู “นี่ไง ทานมั่ว ว้ายๆๆๆ”

ป.ฮ.
เลี้ยงเด็กเล็กก็เจออาการเจ็บป่วยแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ ยิ่งมีลูกสองคนพี่น้องที่ยังไงเดี๋ยวก็เอาโรคมาติดกันจนได้แบบนี้ ทำประกันเจ็บป่วยไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ไม่จนกรอบมาก (นี่ขนาดนิทานยังไม่เข้าโรงเรียนอนุบาลนะ ถ้าเข้าแล้วคงได้มาอีกหลายโรค)