เจ็บ

pain

เกิดมา 30 กว่าปี (กว่าเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ) ผมไม่เคยนอนโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเลยครับ

ด้วยร่างกายที่ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะออกกำลังกายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยแน่ๆ แต่การที่ไม่เคยต้องเจ็บป่วยจนต้องใช้สิทธิ์ที่(เมียบังคับ)ทำประกันไว้เลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี และก็คิดไว้ด้วยว่าอย่าได้เจ็บเลย

มันคงไม่สนุกหรอก

ที่ไม่สนุกก็เพราะช่วงตลอดเกือบสิบวันที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผมไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นเพราะลูกสาวคนโตป่วย

ขนาดได้คลอดหนังสือเล่มล่าสุดวางขายที่งานหนังสือ ทีแรกกะว่าจะเขียนอวยในบล็อกตัวเองให้เรี่ยมมันแผล็บเลย แต่เชื่อเถอะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขียนไม่ออกจริงๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเขียนเลย นั่นเพราะใจมันแป้วไปแล้วส่วนหนึ่ง

ไปเซ็นหนังสือในงานมาสามวัน (+1 วัน ที่ไม่ได้มีคิวเซ็น แต่ก็ไปเซ็นกองหนังสือที่ผู้อ่านพรีออเดอร์ไว้) ก็พบว่ามันชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อยนึง (ใช้ศัพท์แก่) แต่บอกตามตรงว่ามันปกปิดริ้วรอยความกังวลไม่ได้

นิทานไม่สบายมาหลายวันแล้วครับ

นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดที่เคยป่วยมาตลอดอายุ 3 ปีของลูก (เคยป่วยนอนโรงพยาบาลแล้วทีนึง แต่ตอนนั้นขวบเดียว) คราวนี้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสที่คุณหมอเรียกว่า EBV-Like โดยชื่อโรคที่เหมือนอ่านแล้วเห็นไอคอนเฟซบุ๊กลอยมานี้ บ่งบอกว่าอาการอยู่ในกลุ่มไวรัส EBV ที่เป็นญาติๆ กับเริม (ตระกูล Herpes เหมือนกัน) แปลเป็นไทยว่ามันคือไวรัสตัวนึงที่สามารถแพร่เชื้อส่งถึงกันได้ทางน้ำลาย ส่วนใหญ่จะมาจากการจูบ แต่กับลูกสาวผมนี่คงไม่ได้ไปจูบกับใครมาหรอกครับ (เอ๊ะหรือมี) แต่น่าจะเกิดจากการที่เด็กชอบไปอม ไปเลียพนักเก้าอี้เอย ขอบโต๊ะเอย ขาตู้เอย ฯลฯ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่งสอนเท่าไหร่ก็ยังมีเผลอไปเอาปากทาบมาจนได้ ก็ให้โรคนี้เป็นตัวสอนละกัน แถมยังคิดค่าสอนโหดด้วย

นี่ถ้าไม่ได้ทำประกันไว้ก็กรอบกันทั้งพ่อทั้งแม่เลยแหละครับ (ขนาดประกันจ่ายให้ก็ยังตัวเบาเลย)

อาการของโรคนี้คือ — ไปกูเกิลเอาเถอะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็อกสุขภาพเกินไป แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่เอฟเฟกต์ที่ไวรัสทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คืออาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ แต่จะเพลียไปอีกหลายวันเลย

ในคลิปนี่คือถ่ายตอนอยู่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 4 มั้ง? ตอนนั้นอาการป่วยไข้ยังสำแดงพลังอยู่ ตอนที่ถ่ายคือสุขภาพจิตของนิทานยังดีเพราะเป็นช่วงไข้ลด แต่ก็หลั่นล้าน้อยกว่าปกติ (ที่ไม่ได้ป่วย) ประมาณ 50% แล้ว คือปกติจะเป็นเด็กที่ดีดมาก เหมือนกินยาบ้าตลอดเวลา หลังจากนั้นพอตรวจไม่พบเชื้อ และค่า #@#$ (ศัพท์ทางการแพทย์) ที่แปลว่าหมดระยะของโรคแล้ว เราก็ขนข้าวของ เดินทางออกจากโรงพยาบาล

ทีนี้เข้าสู่ระยะอ่อนเพลียแทน ตรงนี้แหละประเด็น

ทีนี้เหมือนเรามีลูกเป็นผักเลย นอนทั้งวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแม้เสียงหัวเราะลั่นบ้านแบบที่เคยเป็นมาตลอดทั้งวันทุกวัน แต่เปลี่ยนเป็นคราง อือ… อือ… สลับกับการบ่นหนาว ไม่มีแรง ทานง่วง ทานไม่หิว ทานไม่ฉี่ วนลูปแบบนี้ตลอดทั้งวัน

ในฐานะของพ่อแม่ที่มีลูกสาวซึ่งค้นพบตัวเองว่ากูเอาดีด้านตลกตั้งแต่สองสามขวบ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงงดตลก กลายเป็นโหมดนิ่ง เล่นมุกอะไรไปก็ไม่ตอบนั้น …โอ้โห

มันเจ็บปวดมากนะครับ

ด้วยความกังวลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วอาการของโรคนี้มันคืออะไร ยังไง มันมีตัวอะไรแทรกซ้อนที่จะพาสู่อะไรที่ไม่อยากรับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เมียผมถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ สะกิดก็ไม่เล่นด้วย (อีพ่อนี่ก็นะ)

ในแต่ละคืน ขณะที่เมียไปกกลูกหลับ อีพวกมนุษย์กูเกิลอย่างผมก็เฝ้าเปิดหาข้อมูลดูอาการเทียบเคียงว่ามันใกล้เคียงกับโรคอะไรบ้าง ซึ่งในทางการแพทย์แล้วการวินิจฉัยโรคด้วยกูเกิลนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะครับ เพราะเปิดไปเจอกระทู้โอดโอย โดยเฉพาะจากผู้ปกครองเด็ก หรือชุดความเชื่อผิดๆ ที่พาเราสู่ความไม่รู้เข้าไปใหญ่ แบบนี้จะยิ่งมั่ว – แต่ผมยังศรัทธาในภูมิคุ้มกันข้อมูลของตัวเอง เลยขอดูซะหน่อยน่ะ (คืออยากรู้ไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่แล้ว)

สลับกับปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งคำตอบในรอบล่าสุดของมันก็คือ “แกรีบพาลูกไปเจาะเลือดเถอะ” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้เมียผมยิ่งว้าวุ่น และรอให้ถึงเช้าวันนี้

และแล้ว เมื่อเช้าเราจึงพาลูกไปหาหมอเด็กท่านเดิมอีกครั้งเพื่อ “ติดตามอาการ” ของลูก ซึ่งที่จริงจุดประสงค์หลักของผมคือไปรักษาความกังวลของคนเป็นแม่มากกว่า

และแล้ววันนี้ก็เลยเป็นการนั่งคุยกับหมออย่างยาวนานที่สุด ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ และความเป็นมืออาชีพ คุณหมอก็อ่านแววตาของเมียผมออก จึงตอบทุกคำถาม แนะนำทุกอย่าง แม้กระทั่งพูดคุยเรื่องหัวใจของคนเรียนหมอ (โฆษณา #เรียนหมอหนักมาก ของ @guplia)

เพียงเท่านี้ ความกังวลที่สั่งสมมานานก็สลายไปหมดเลยครับ

 

การได้เจอหมอแบบนี้ ในมุมของคนไข้ (และญาติคนไข้ที่มักเรื่องมากกว่าตัวคนไข้เอง) ถือว่าประเสริฐนัก แต่ความเหนื่อยก็จะมาตกอยู่กับตัวหมอเองที่เวลารักษาเด็กทีนึง ก็ต้องรักษาอาการอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ด้วย ขอนับถือใจคุณหมอจริงๆ ครับ อยากตีลังกากราบแต่เกรงใจครอบครัวถัดไปที่มารอคิวตรวจอยู่

ส่วนอาการของนิทานตอนนี้ไม่น่ากังวลอะไรแล้วครับ แม้จะเป็นอาการเดิมที่เป็นมาหลายวันแล้วก็ตาม (แต่ต่างกันมาก ตรงที่ความเข้าใจของพ่อแม่ ซึ่งมีผลมากๆ) คืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์จากไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว โดยอาการนี้น่าจะเป็นไปอีกพักนึง อาจจะอาทิตย์นึง สองอาทิตย์ (ไอ้ที่อ่านๆ มาจากการกูเกิลบางทีลามไปหลายเดือนเลย แต่เราจะทำเป็นไม่เห็นละกันนะ)

สงกรานต์นี้บ้านเราเลยของดตลกนะ เดี๋ยวนิทานแข็งแรงดีแล้วมาสาดน้ำย้อนหลังกัน

ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว

#โหมดพ่อบ้าน

central-1

ก่อนหน้านี้เวลาไปซื้อของอะไรมาเติมในบ้าน เช่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น ผ้าอ้อมเด็ก ยาสระผม ฯลฯ วันนั้นทั้งวันจะอุทิศตัวให้กับการไปเดินบิ๊กซีแถวบ้านครับ โดยฝากตัวเล็กไว้ที่บ้าน แล้วพาตัวใหญ่ไปกินเอ็มเคก่อน พออิ่มแล้วก็พาไปซื้อไอติม หลังจากนั้นพิธีกรรมการเดินบิ๊กซีค่อยเกิดขึ้น ซึ่งก็หมดไปประมาณครึ่งค่อนวัน

ก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อของออนไลน์จาก Lazada ดู ก็พบว่ามันสะดวกดีแฮะ ไม่ต้องถ่อเข้าไปในเมือง เสียเวลาเป็นวันและเสียค่าเดินทางเยอะแยะเพื่อให้ได้มา เอาส่วนต่างราคานั้นมาโยนเป็นค่าของในเว็บนี้ดีกว่า ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าดี ถึงจะยังรู้สึกตงิดๆ นิดนึงตรงที่ของที่ซื้อมันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลายบาทอยู่ แล้วผมจ่ายตังค์ไปโดยไม่ได้จับของจริง ก็เลยพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากว่ามันทดแทนวิธีการซื้อของแบบออฟไลน์ได้จริงๆ นัก

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ย้อนไปนิดนึงครับ เมียผมนี่เป็นสลิ่มเต็มขั้น รักเซ็นทรัลพอๆ กับบ้าน มีความสุขที่ได้สัมผัสอากาศสังเคราะห์ผสมกลิ่นรองเท้ากระเป๋าในนั้นโดยมีลูกผัวเดินตามต้อยๆ แถมเมียยังทำบัตรเครดิตของเซ็นทรัล (ที่ให้วงเงินกากมาก) มาด้วยความจงรักภักดี ถึงแม้จะบ่นเรื่องวงเงินจนจะเอาไปปาทิ้งหลายที แต่ด้วยความรักในยี่ห้อห้างแห่งนี้ เมียเลยยังโอเค ไ่ว่าจะซื้อของกิน ของใช้ในบ้านที่บิ๊กซีโลตัสแถวบ้านมี ก็ยังจะหาเรื่องไปเซ็นทรัลจนได้ ซึ่งจะว่าไป อีผัวก็แฮปปี้ดีเพราะอาหารตาแถวนั้นเยอะเหลือเกิน #แฮ่กๆๆ

แต่มันจะไม่แฮปปี้ก็อีตรงสภาพการจราจรระหว่างบ้านถึงห้างนี่แหละครับ ที่ไม่รู้ว่ามันจะติดอะไรกันนักกันหนา ขนาดค้นพบว่าต้องไปช่วงวันธรรมดาตอนสายๆ ถึงรถจะโล่ง จอดง่าย แต่พอเมียดำผุดดำว่ายในห้างเสร็จ นอกจากจะเสียค่าจอดรถแพงสัสแล้ว ช่วงบ่ายที่ออกมาก็ยังจะต้องพบสภาพการจราจรที่โหดร้ายอีก บัดซบ เกลียดมัน (เกลียดห้างนะไม่ใช่เกลียดเมีย)

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ผมก็ อะไรวะ (นึกในใจสิ บ้า ใครจะไปพูด) นี่อาการหนักขนาดซื้อออฟไลน์เสร็จแล้วยังมาออนไลน์อีกเรอะ

ก็เลยกดดูในหมวดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก เพื่อจะพบว่า แม่งโคตรถูกเลยโว้ย! ถูกกว่าบิ๊กซีอีก! (พ่อบ้านที่แท้จริงจะต้องจำราคาพร้อมส่วนลดที่บิ๊กซีได้เสมอ) ก็เลยกดซื้อไป อ้าวอะไรวะ มีโค้ดส่วนลดอีก! แล้วนี่ เฮ้ย ส่งฟรีอีก! (ในเว็บบอกว่าซื้อ 499 บาทขึ้นไปส่งฟรี ซึ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อเดียวก็เกินแล้ว)

เท่านั้นยังไม่พอ อีตอนส่งฟรีก็มีโทรนัดหมาย มีใบเซ็น ใบเสร็จ มีกล่องพัสดุ หุ้มเม็ดพลาสติกกันกระแทก พร้อมใบรับประกันคืนเงินถ้าสินค้าไม่สมบูรณ์

บั้ลแล้วววววว

จบครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาของใช้สิ้นเปลืองในบ้านหมดลง สลอธอย่างผมก็จะเปิดเว็บ แล้วกดซื้อ และรอโทรศัพท์จากพนักงานส่งในวันถัดไป แล้วจะไม่ให้ง่อยแดกได้ยังไงครับ

ป.ล.
มีครั้งหนึ่งไปเดินบิ๊กซี (ก็ยังไปอยู่นะเพราะเว็บออนไลน์ไม่มีของสด) นึกได้ว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดเลยแวะไปดูว่ามีส่วนลดเยอะๆ ไหม พบว่าเซ็นทรัลถูกกว่า ก็เลยเปิดมือถือ นั่งกดเว็บเซ็นทรัลแม่งในบิ๊กซีนั้นเลย เอ๊ะบิ๊กซีกะเซ็นทรัลนี่ญาติกันใช่ไหม เขาคงไม่ถือมั้ง…

ป.อ.
เออ จะว่าไปยังไม่เคยซื้อจากบิ๊กซีออนไลน์เลย เห็นว่าซื้อหลักพันแล้วเขามาส่งถึงบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถึง ก็นัดรับสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลย คือพนักงานจะไปหยิบๆ มาให้แล้วรวมใส่รถเข็นมั้ง? (นึกภาพคราวหน้าไปบิ๊กซี กินเอ็มเค ระหว่างรอก็กดช็อปในเว็บไปด้วยงี้ พออิ่มก็ขึ้นไปเอาตะกร้าเลย บ้าจริง 5555)

ป.ฮ.
บล็อกตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่เที่ยง พอดีลูกเมียมาเลยยุ่งทั้งวัน เพิ่งว่างเขียนต่อตะกี้ ประเด็นคือเมียบอกเมื่อตอนเย็นว่าเดี๋ยววันจันทร์จะไปทำผมที่เซ็นทรัล..

นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน

ข้อเสีย

เราถูกสั่งสอนให้ซึมซับกติกาที่ว่า การใช้ชีวิตคู่นั้น ต้องแสวงจุดร่วมและสงวนจุดต่าง ยอมรับในข้อเสียของอีกฝ่ายให้ได้ แล้วชีวิตคู่จะราบรื่น

ผมเป็นพวกโอเคอยู่แล้ว เก็ตคำสั่งสอนนี้และเอามาใช้ในชีวิตเป็นเรื่องปกติ

แต่เมื่อคืนตอนเมียส่งข้อความในแฮงก์เอาต์มาใช้ให้หยิบเครื่องปั๊มนมไปให้บนห้องนอน แล้วฝากดูตัวเล็กให้หน่อย อยู่ดีๆ ผมก็มานั่งลิสต์ดูว่าเมียเรามีข้อเสียอะไรบ้าง

โอ้โห แม่งเพียบเลย อย่างน้อยที่ประจักษ์ตาก็คือ เป็นพวกที่ทำอะไรแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อยทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่นการเปิดไฟทิ้งไว้ทั่วบ้านแล้วขึ้นไปนอนอยู่บ่อยๆ โดยไม่ได้ปิด บางทีผมนั่งหน้าคอมดึกๆ ตีหนึ่งตีสองเปิดประตูออกมาดู เหย็ดแม นี่บ้านหรือเซเว่น ทำไมสว่างไสวในยามค่ำคืนได้ขนาดนี้

คิดในใจเฉยๆ แล้วก็เดินไล่ปิดไปทีละดวงๆ …ก็ทำเป็นเรื่องปกติไม่ได้บ่นได้หืออือหรือรู้สึกผิดปกติอะไร (เพราะชินแล้ว) แต่เมื่อคืนพอคิดจะระลึกดูว่ามีอะไรอีกไหม นี่ก็เลยถูกนับเป็นหนึ่งในนั้น

พอเดินไปถึงในครัว อ้าว ไฟหลังบ้านก็เปิด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งานอะไรนะ — ไอ้การจำไม่ได้ว่าสวิตช์ไฟดวงไหนมันกดตรงไหนนี่ก็เหมือนกัน ขนาดเขียนไว้บนปุ่มก็ยังไม่อ่าน

เออ เรื่องไม่อ่านก็เหมือนกัน เวลาเจออะไรเด้งขึ้นมาในคอมหรือในมือถือ เมียก็จะกด  OK ทันที (ไม่ใช่แคนเซิลนะ นี่กดโอเคเลย) เป็นที่รู้กันนะว่านี่คือพฤติกรรมอันตราย ยิ่งเป็นพวกใช้มือถือทำงานด้วยก็ยิ่งอันตรายใหญ่ นานๆ ทีผมหันไปเห็นก็จะบ่นพอเป็นพิธีสักครั้ง

คิดไปคิดมา เดินขึ้นไปถึงห้องนอนข้างบน จะอุ้มลูกมากล่อมหลับ เมียก็ถามว่า

“แล้วไหนเครื่องปั๊มนมล่ะ” …จบ ลืมอีกแล้ว

(เป็นข้อเสียอมตะของผมที่เมียบ่นทุกวัน)

ครอบครัว #ที่ดี

ที่บ้านมีทีวีไว้เปิดยูทูบครับ (ใช้ Chromecast)

ตั้งกติกาให้ลูกไว้ว่าในหนึ่งวันสามารถดูทีวีได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ส่วนมากจะเปิดคลิปจากเพลย์ลิสต์นี้ ส่วนของเมียก็จะเป็นอีกเพลย์ลิสต์นึง ซึ่งในนั้นมีรายการ ‘พี่บาร์นีย์’ ด้วย (พอดีผมไม่มีลิงก์ ลองเข้ายูทูบค้นเอานะ มีเพียบ)

บาร์นี่ย์เป็นรายการเด็ก ตัวละครคือไดโนเสาร์สีม่วงตัวใหญ่เท่าควาย มาเล่นกับเด็กๆ อายุประมาณ 4-5 ขวบ โดยเนื้อหาจะเน้นสอนเรื่องประสบการณ์ชีวิต สร้างเสริมลักษณะนิสัย และการงานพื้นฐานอาชีพให้เด็ก สลับกับร้องเพลงที่พอพากย์ไทยแล้วอาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อย เนื่องจากไร้ซึ่งความคล้องจองสัมผัสนอกสัมผัสใจ แต่นิทานก็ยังชอบและฟังบ่อยจนร้องได้ทุกเพลง (มีแต่งเนื้อเองด้วย!)

ทีนี้มีตอนนึงที่เพิ่งเปิดดูเมื่อกี้แล้วประทับใจจนต้องเอามาเขียนบล็อกสั้นๆ นี้ เป็นตอนที่กล่าวถึงการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

บาร์นีย์บอกเป็นเพลงว่า ครอบครัวนั้นมีความหลากหลาย บางครอบครัวอยู่กันพ่อแม่ลูก บ้างก็อยู่กับแมว กับสัตว์เลี้ยง หรือบางครอบครัวอยู่แค่ตัวหนูเองและคุณยายแค่สองคน แต่นั่นแหละครอบครัว

และความแตกต่างนี่แหละที่เป็นสิ่งพิเศษ

ดูแล้วสะกิดใจเลยครับ ผมโตมากับเพลงอนุบาลที่เคยร้องมาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีมาแล้วตอนรอเข้าแถวเคารพธงชาติสมัยอยู่โรงเรียนวัด และยังวนเวียนอยู่ในหัวมาจนทุกวันนี้ ไม่รู้มีโรงเรียนไหนใช้เพลงนี้สอนเด็กกันบ้างไหมนะ มันร้องว่า

“บ้านของฉันอยู่ด้วยกันมากหลาย มีพ่อมีแม่ ลุงป้าตายาย มี
ทั้งน้าอาพี่และน้องมากมาย ทุกคนสุขสบายเราเป็นพี่น้องกัน”

ไหนจะการโตขึ้นมาโดยที่ทุกคนต้องแต่งเรียงความส่งครูเรื่องพ่ออันสุดประเสริฐของฉัน แม่อันแสนรักลูกสุดชีวิตที่ไม่มีใครรักมากเท่านี้อีกแล้ว เป็นความรักบริสุทธิ์ในอุดมคติแบบที่พวกควรตอบแทนพระคุณในวันแม่ด้วยการถือพวงมาลัยไปก้มกราบเท้าดอกมะลิบนเวทีโรงเรียนกันเราทุกคน …นึกภาพย้อนไปตอนมัธยมที่ผมหันไปเห็นเพื่อนทำหน้าเจื่อนเพราะมันไม่มีแม่

ในขณะที่ทุกวันนี้ ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นพ่อของลูกสาวสองคน คืออยู่ในฐานะบุพการีเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังได้ยินคนหลังบ้านที่ดูภายนอกก็ปกติดีเหมือนชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ทั่วไป แต่กลับแหกปากตะเบ็งเสียงด่าและตะคอกลูกชายอายุเท่ากันกับนิทานเป๊ะๆ ด้วยความโมโหร้ายขาดสติ และขาดคุณสมบัติความเป็นแม่ที่ดี (แบบที่กระทรวงวัฒนธรรมอยากเห็น) อย่างชัดเจน คือด่าตะคอกแม้กระทั่งเวลาลูกร้องไห้ อีแม่ก็กรี๊ดดดดดดดดดดดด เสียงดังไปแปดบ้าน (ดังกว่าลูกเยอะ) แล้วตะคอกให้ลูกเงียบด้วยโทนเสียงสูงหวีดแหลมดังกว่าเดิม มลพิษทางเสียงนี้มีให้ได้ยินแทบทุกวัน!

เวลาที่ผมไปยืนล้างจานในครัวแล้วได้ยินเนื้อหาที่เจ๊แกด่า (จะอุดหูหรือเปิดเพลงกลบยังไงก็ได้ยิน เพราะบ้านเป็นตึกแถว เสียงมันส่งถึงกันง่าย) หลายครั้งไม่ใช่เรื่องที่จะต้องโมโหและไปใส่พิษให้ลูกเลยแม่้แต่น้อยนะ ตัวอย่างเช่น เรื่องการที่ถามลูกก่อนตอนอยู่เซเว่นว่าหิวนมไหม แล้วลูกบอกไม่หิว แต่พอมาถึงบ้าน ลูกบอกหิวแล้ว อีแม่ได้ยินเข้าก็กรี๊ดแล้วด่าลูกแรงขนาดให้ไปเกิดใหม่ บางวันลูกร้อง อีพ่อก็ทำเสียงกรรโชกให้เงียบ (เด็กมันจะเงียบไหม) ฯลฯ

คือมึงเป็นแม่ที่ไม่ควรให้เด็กไหว้เลยนะ แล้ววันแม่เด็กมันจะเขียนเรียงความส่งครูยังไง

ผมจำได้ว่าทวีตเรื่องนี้บ่อยครั้งเพื่อหาทางระบายความหงุดหงิดให้ชาวบ้านรับพลังลบไปบ้าง กูจะได้โล่งๆ คือมันอัดอั้นมาก ชีวิตนึงผมเครียดกับเรื่องแค่ไม่กี่เรื่องหรอก เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในนั้น

พอมาดูรายการของเด็กฝรั่งเรื่องการยอมรับและเข้าใจความหลากหลาย (แบบไม่ต้องพยายามอะไรเลยนะ มันเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว) แล้วก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีกหน่อย อย่างน้อยก็เอาไว้สอนลูกได้