วันนี้เมียท้อง

สองปีกว่าๆ จากบล็อกสมัยที่ท้องแรก (เกิดมาเพิ่งเคยทำผู้หญิงท้องครับ) และถือกำเนิดเป็นคุณลูกสาวชื่อนิทานในเวลาต่อมา

บัดนี้เมียผมเดินยิ้ม เต้นกระดุ๊กกระดิ๊ก เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งขึ้นเป็นขีดแดงสองขีด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรียบร้อยครับ ซัลโวเข้าประตูไปอีกหนึ่ง


(นั่นคือทวีตมาก่อนที่ผมจะตื่นอีกนะน่ะ พอดีเมื่อคืนนอนดึกเลยตื่นสาย)

เราสองคนวางแผนกันไว้ตั้งนานแล้วว่า ถ้าในปีนี้ยังไม่มีลูก ผมก็จะไปทำหมันและมีนิทานเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้ามี ก็คือลงตัวเลย ชีวิตกำลังนิ่งและพร้อมที่จะมีคนที่สองในปีนี้พอดี เวลาเราก็มี ตังค์เราก็ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร แถมประสบการณ์ในการมีลูกครั้งที่ผ่านมาทำให้ความประหม่า ความหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างนั้นหายไป อาจจะมีลืมๆ ไปบ้างแล้วว่าตอนท้องนิทานนี่เราต้องเตรียมอะไร ต้องทำและไม่ทำอะไรบ้างวะ (กลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองเขียนสิโว้ย #โฆษณา)

ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างเคลียร์ และเราโตพอที่พร้อมจะรับมืออะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพอรู้ว่าท้องคราวนี้ จึงต่างจากตอนมีนิทานพอสมควร จะว่าไม่ตื่นเต้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นเต้นอีกแบบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องเจอนั่นนี่ สเต็ปต้องเป็นงี้ เราอ่านสปอยล์มาแล้ว

ติดอยู่แค่อย่างเดียวคือ นังลูกสาวของเรา (ที่กำลังจะกลายเป็นลูกคนโต) ดันยังไม่หย่านมแม่นี่สิ

เมียผมให้นมลูกมาตลอด จนบัดนี้ลูกสาวเราก็อายุขวบสิบเดือน ก็เกือบสองขวบแล้ว จนชาวบ้านเขาเลิกให้นมกันหมดตั้งนานละ ไอ้ที่รู้ว่าท้องก็เพราะอยู่ดีๆ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอนิทานกินนมแล้วเจ็บ (ซึ่งเป็นการดีไซน์ของพระเจ้าที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนว่าควรหยุดได้แล้ว) และเพราะการให้นมลูกมาตลอด ฮอร์โมนส์ของคนเป็นแม่เลยบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมนส์นะ เดี๋ยวจะมีปัญหา (นี่ก็ยังทึ่งที่พระเจ้าคิดระบบนี้มาเจ๋งมาก) แต่พอพ้นระยะที่จะต้องคอยเป็นห่วงแล้ว เมนส์ของเมียก็มาครับ แต่เพิ่งมาได้แค่ 2 เดือน แม่งท้องเลย ไงล่ะ.. วัยรุ่นมะ

ดังนั้นเควสต์ใหม่ของเราในฐานะพ่อกับแม่ก็คือ ทำยังไงให้คุณลูกสาวหย่านม ซึ่งยากมากบอกเลย

ป.ล.
วันนี้หยุดทำงานทำการ วางมือจากงานแทบทุกชนิด เพื่อเสพบรรยากาศที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่พบเจอได้ทุกวัน ซึ่งโอเคนะครับ ใครลองมามีเมียท้องดูก็จะเข้าใจว่ามันทำงานไม่ได้จริงๆ ดังนั้นหยุดซะ แล้วมานั่งดูตัวเองดีกว่า สนุกดี

ป.อ.
อย่างที่ทวีตไปว่าผมรู้เรื่องเมียตัวเองท้องหลังชาวบ้านซะอีก ก็เหมือนตอนท้องแรกที่ติดประชุม แต่ท้องนี้คือนอนอยู่ 5555 ขอบคุณทุกคนที่อยู่ดีๆ ก็ส่งประกวดชื่อหลานกันเยอะแยะ มีทั้งไมตรีคนน้อง (นี่ยังจำชื่อที่นักข่าวนั่งเทียนเขียนให้ตอนไปถ่ายเว็ดดิ้งในม็อบพันธมิตรได้อีกเรอะ! – เสียดายบล็อกผมเน่าเลยเนื้อหาตอนนั้นหายไปแล้ว แต่มีกระทู้ด่าที่ mthai เข้าไปอ่านดิ สนุก), น้องนิยาย, น้องปรัมปรา, น้องพงศาวดาร(เลวมากอันนี้), น้องตำนาน (เฮ้ยเจ๋ง สองแง่สองง่ามดี), น้องตำหนัก (อันนี้ง่ามเดียว), น้องตำลึง (นี่เหี้ยเลย), น้องเขาใหญ่, น้องหลีเป๊ะ (นี่ก็เดาสถานที่ว่าไปซั่มกันที่ไหน), น้องนกหวีด, น้องกำนัน(นึกหน้าแล้วแบบ), น้องปฏิรูป, น้องอีปู ฯลฯ

ป.ฮ.
ที่เด็ดที่สุดคือแม่ยายผมเคยไปขอพระ (เอาอีกแล้ว นี่กูไม่ได้ทำเมียกูท้องเองนะ ช่างแอร์ช่างฉีดปลวกอะไรที่แซวกันก็ไม่ใช่ .. แต่นี่ พระทำให้) บอกว่าขอเทพธิดามาเป็นหลานอีกคน แล้วเมื่อคืนก็ดันฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาโกรธ สงสัยจะมาแย่งเกิดไม่ทันเพราะดันไปขอหลานสาวสกัดไว้ (หลอนมะ) ดังนั้นเลยขอบันทึกไว้หน่อยว่าถ้าเกิดลูกคนนี้เป็นผู้ชายขึ้นมา โตขึ้นแม่งเป็นตุ๊ดชัวร์ เพราะคือร่างกายปฏิสนธิตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่คุณยายได้ไปขอวิญญาณผู้หญิงไว้ เอามาสวมเป๊ะ เก้งเลยฮ่ะ

การลาออกครั้งล่าสุด

ที่จริงควรจะเขียนว่าการลาออกครั้งสุดท้ายตามชื่อหนังสือเล่มที่เคยซื้อมาอ่าน (อ่านรู้เรื่องแค่ครึ่งเล่มแรก ส่วนครึ่งหลังที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการลงทุนนั่นไม่อินเลย อ่านอะไรพวกนี้ไม่รู้เรื่อง โง่เรื่องตัวเลข 5555)

แต่มานึกดู ใครจะไปรู้ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะอีตอนลาออกจากอาร์เอสนั่นก็คิดว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 30 เพื่อมาทำอะไรที่บ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ได้แล้วเชียว แต่ก็ไม่ เพราะดันมีงานประจำที่น่าสนุกมากวักมือเรียกให้ไปลองทำดู

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบๆ 2 ปี 5 เดือน การทำงานที่สามย่าน นับเป็นงานประจำในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ผมอยู่กับมันนานที่สุด นานจนตกใจตัวเองว่าเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถตู้ ซ้อนวิน ขี่แว้น (และขี่จักรยานแค่ 2 ครั้ง แต่อยากนับรวมด้วยเพราะมันพูดแล้วดูเท่) ไปทำงานซ้ำๆ กัน แบบไปสายกลับค่ำแบบนี้ได้ยังไงตั้งสองปีกว่าๆ

ถ้าไม่นับที่งานมันสนุกดี วิชาออกแบบเว็บ ออกแบบแอป ออกแบบกราฟิก รื้อระบบหน้าบ้านหลังบ้าน ปรับปรุงหน้าตา อินเทอร์เฟซนั่นนี่ และทำงานกับเทคโนโลยี มันสนุก ยิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ แล้วยิ่งสนุก เหมือนเด็กเนิร์ดจับกลุ่มคุยเรื่องสตาร์วอร์ส (แต่ผมไม่ดูสตาร์วอร์สนะ) หรือโอตาคุมาล้อมวงสนทนาเรื่องกันดั้ม (ตูก็ไม่รู้จักกันดั้มสักตัว)

สรุปว่าสามย่านเป็นบริษัทที่มีระบบนิเวศน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เจอมาเลย ถึงแม้บางอย่างจะขลุกขลักไปบ้าง ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องปกติของโลก (เช่นเว็บบริษัทที่ว่าจะทำใหม่มาชาตินึงแล้วก็ยังไม่ได้ทำซะที จนพนักงานในหน้าแรกของเว็บนั่นเปลี่ยนถ่ายย้ายเข้าย้ายออกกันไปหมดแล้ว 5555 คือที่จริงเมื่อสองปีก่อนคิดไว้ว่าพอเอาเมาส์ชี้จะให้มันนั่นนี่ แต่ก็ไม่ว่างทำซะทีเลยเอาแบบนั้นไปก่อนมาจนถึงทุกวันนี้)

แต่หลังจากพบว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นดันมีปัญหากับสังคมเมือง ที่จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับปลากระป๋องตัวอื่นๆ บนท้องถนน ผมก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านและซุ่มทำอะไรอยู่ในถ้ำเงียบๆ แบบที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนั้นดันเป็นการลาออกที่ไม่สำเร็จ ซะฉิบ

ขอต๊ะเรื่องลาออกไว้ก่อนแป๊บนะ…

จนเวลาผ่านไปหกเดือน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตแค่หกเดือนมานี้ หลังจากลดเวลาทำงานบริษัทลงจนได้มีเวลาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ผมกับลูกเมียก็เวียนกลับบ้านที่เพชรบุรี เพื่อไปซ่อมบ้านหลังเก่าให้แม่ (ฟังดูเป็นคนดี… ไม่หรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นพวกเดือนสองเดือนจะกลับไปหาแม่ที โทรหาก็ไม่โทร) และพอวนไปเวียนมาหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วครับ ว่าสำหรับมนุษย์ชิวอย่างเรา การที่ต้องทนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันทำให้พลังชีวิตลดลงถึงขั้นเหี้ยจริงๆ เรียกว่าชิวมิเตอร์บนหน้าอกงี้กระพริบรัวๆ เลย เทียบกับตอนอยู่เพชรบุรี มันให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเดินโลตัส (เชี่ย แถวบ้านกูมีโลตัสแล้ว)

พอได้ลองขี่จักรยานวนไปรอบๆ ตัวอำเภอท่ายางหลายๆ ครั้งเข้า ก็รู้สึกว่ามันใช่ มันมีน้ำ มันมีคลอง มันมีเขื่อน มันมีนา มันได้อารมณ์มานี (ไม่มีแชร์) และสารพัดองค์ประกอบแห่งความชิว ที่ทำให้พลังชีวิตพุ่งขึ้นถึงขีดสุด มันคือสถานที่ที่มีแต่อณูความผูกพันส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ (ตอนเด็กผมเป็นหนึ่งในแก๊งจักรยานแบบเรื่องแฟนฉันเป๊ะๆ — อ้อ เรื่องแฟนฉันเขาก็ถ่ายทำกันที่ท่ายางนี่แหละ ดังนั้นตัวเองเลยอินกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะโดดน้ำก็โดดที่เดียวกัน จักรยานก็ขี่ที่เดียวกัน) แม้ลองสลัดความรู้สึกโหยหาอดีตออกไป มองให้เป็นปัจจุบัน ดูการเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปของเมืองเก่าแก่นี้ มันก็ยังรู้สึกว่าใช่

เท่านั้นยังไม่พอ มันยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านของผม (เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ได้ด้วย แต่คนที่เลือกดันไม่ได้ แพ้ไปล้านกว่าเสียงเอง) แต่จะแคร์อะไรในเมื่อยุคนี้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันไม่ได้เกี่ยวกับอุปสรรคทางภูมิศาสตร์แล้ว ไม่ว่าพี่จะอยู่ระยองหรือน้องจะอยู่เชียงใหม่ ขอเพียงก้าวสู่โลกออนไลน์ปั๊บ ทุกคนก็มายืนเรียงกันถ้วนหน้า ยื่นนิ้วโป้งกดไลก์กันนัวไปหมด

เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแข็งแรงว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นทำลายความจำเป็นของเมืองหลวงลงไปอย่างราบคาบ

แถมลงไปท่ายางครั้งล่าสุด ก็เพิ่งเอาเน็ตสิบเม็กไปติดไว้บ้านแม่อีก ให้สามารถทำงานง่ายๆ ที่บ้านวันละ 3-5 ชั่วโมงได้ในสตูดิโอหนองบ้วย (ชื่อหมู่บ้านผม โคตรงงเลย อะไรวะหนองบ้วย จะบ๊วยก็ไม่บ๊วย) และถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องโครงการทดลองใช้ชีวิตอยู่เพชรบุรีสลับกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้ไป!

แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ การจะไปสิงเนียนอยู่บ้านแม่ที่หนองบ้วยก็คงไม่เป็นการถาวรนัก (อีกสามปี ครอบครัวของพี่ชายคนโตจะมาอยู่) ผมก็เลยหารือกับเมีย และได้ข้อสรุปว่า เราจะทุบหม้อข้าวกันเฮือกใหญ่ เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบกันมาไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่กันแถวๆ นี้แม่งเลย (เห็นชิวๆ นี่ไมไ่ด้รวยนะครับ เพิ่งมาลืมตาอ้าปากได้หลังจากปลดหนี้บ้านพ่อตาแม่ยายหมดและผ่อนบ้านตัวเองหมดนี่แหละ แถมเราตั้งกฎของบ้านไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นหนี้อีก ก็เลยต้องมีวินัยทางการเงินพอสมควร)

คิดได้ดังนั้นจึงฝากภาระไว้กับแม่ในการไปถามหาชาวบ้านแถวๆ บ้านเราที่ประกาศขายที่ดิน หรือที่นา (คือหาในเน็ตมันมีแต่พวกนายหน้า ซึ่งดูแล้วแพ้งแพง) ซึ่งได้ผล โซเชียลเน็ตเวิร์กของลุงๆ ป้าๆ แก่ๆ ที่อยู่นอกโลกออนไลน์ยังขลังอยู่เสมอ เราไปเจอที่ดิน 1 ไร่ ที่เจ้าของประกาศขายในราคาไม่แพงนัก อยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ชื่อ “หนองแฟบ” ซึ่งตรงตามสเป็กที่ต้องการทุกอย่างเลย ดังนี้

  • มีแหล่งน้ำสาธราณะใกล้ๆ 20 คะแนน (มีคลองชลประทาน ซึ่งสวยมาก ใสมาก น่าโดดน้ำที่สุด)
  • มีชุมชนสงบๆ 30 คะแนน (เช็กแล้วยังไม่มีเด็กแว้นหรือแหล่งค้ายาแถวนั้น)
  • มีสีเขียว อากาศดี มีภูเขา มีนา อารมณ์มานี 50 คะแนน (นี่เหมือนเอาแผนที่มานีมากางดูเลยแหละ)
  • มีเซเว่น โลตัส และอินเทอร์เน็ต 20 คะแนน (ทุนนิยมนี่มันสะดวกจริงๆ)
  • จุดหมายจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน บอกทางง่าย ถามกูเกิลแมปส์แล้วไม่เครียด 20 คะแนน
  • เกินยังวะ
  • มีอณูความชิวอัดแน่นอยู่ในห้วงบรรยากาศ 5,000,000 คะแนน (สรุปว่าไอ้ที่บวกๆ มาไม่ต้องก็ได้)

จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของที่ซึ่งต่อไปจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันเรียบร้อย เรียกว่าหมดตูดอย่างสิ้นเชิงครับ

วิทยาเขตหนองแฟบ

และในที่สุด เราก็มีที่ทางเป็นของตัวเอง หนองงงงงแฟบบบบบบบ (สะกด Nong Fab ไม่ใช่ Nong Fap นะ)

เกิดหนองบ้วย โตมาเรียนท่าช้าง ซื้อบ้านอยู่ลาดปลาเค้า แล้วนี่จะไปหนองแฟบอีก แต่ละชื่อนี่นะ ดูไฮโซโก้หราพารากอนซะจริง

เลยวางโครงการในระยะสิบยี่สิบปีเอาไว้ว่า ตอนนี้เราจะอยู่ใกรุงเทพฯ สลับกับเพชรบุรี (บ้านแม่ที่หนองบ้วย) ไปก่อน ไปๆ มาๆ แบบนี้จนลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว (สมัยนั้น ม.ปลายก็คงมีผัวแล้วมั้ง นี่พูดติดตลกแบบเอาจริงๆ ก็โออยู่นะ) เราสองผัวเมียจะลาออกจากกรุงเทพฯ กันเป็นการถาวร กลับไปอยู่ที่เพชรบุรี

แต่งานก็ยังทำอยู่นะ เพราะเราต้องเริ่มหยอดกระปุกกันใหม่ตั้งแต่แรกเลยอีกครั้ง โชคดีที่วิธีการหาเงินของเราสองผัวเมียมันถูกออกแบบมาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า จะต้องเป็นงานที่ทำที่ไหนก็ได้ เลยสะดวกหน่อย (เมียเปิดร้านเดรสนลินฟ้ากับแม่ยาย ส่วนผมกำลังจะเทกกิจการสกรีนเสื้อโมนามาเฟีย แหะๆ .. แล้วก็รับออกแบบ ทำเว็บ ดีไซน์นั่นนี่หนุกๆ) เมื่อไหร่อยากได้ตังค์ขึ้นมาก็ทำงาน ทำกันซื่อๆ นี่แหละ ไอ้พวกการลงทุน หรือไปยุ่งกับตัวเลชยากๆ อย่างหุ้นเหิ้นนี่เล่นไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชิว ไม่ใช่แนว ด้วยเหตุผลนี้มั้ง ก็เลยอ่านหนังสือการลาออกครั้งสุดท้ายครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง

ก็เนอะ มนุษย์แต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ถึงจะเรียกร้องให้แต่ละคนเสมอกัน แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่สร้างเรามาให้เกิดมา มีรสนิยม ต่อสู้ปัญหา และใช้ชีวิตต่างๆ นานาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นโลกคงน่าเบื่อแย่เลย

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบริษัทสามย่าน ขอบคุณกรุงเทพฯ ขอคารวะความอดทนของมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน

เออ พอพูดถึงลาออก เลยขอกลับมาเรื่องเดิม ผมเพิ่งยื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อวานนี้ พี่อาทเข้าใจในความขี้เกียจของเรา คราวนี้เลยอนุมัติ ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งสล็อธแมนให้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้ามีงานอะไรก็โยนมาให้ทำได้นะะะะ ถึงจะชิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ตังค์อยู่นะะะะ

ป.ล.
ตอนถ่ายภาพแต่งงานผมมาถ่ายที่นี่ด้วย ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่จริงๆ 5555

nongfab

ป.อ.
ระหว่างที่เขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพื่อรอคิวของสำนักงานที่ดิน… พอได้รู้ศัพท์ในวงการที่ดินว่า “หยอดน้ำมัน” (ยัดใต้โต๊ะ) เพื่อให้ดำเนินการเร็วขึ้นจากปกติที่ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดที่ดินแบ่งขายอะไรแบบนี้ มันต้องรอคิวประมาณสี่เดือน! ผมถึงกับสบถออกมาด้วยชื่อสัตว์เลื้อยคลานหนึ่งพยางค์ ใช่ครับ — เต่า (บ้า ใครจะไปด่าระบบราชการว่าเหี้ยล่ะ ไม่มีหรอกครับ ใช่ไหม ไม่มี้)

ป.ฮ.
ไว้ใครมาเที่ยวเพชรบุรี หรือท่ายาง บอกด้วยนะครับ จะพาไปปั่นจักรยานชมวิวแถวๆ หนองแฟบ-ตาลกง ชิวระดับแปดแสนริกเตอร์ คือภาวนาอย่าให้มันดัง อย่าให้มีรีสอร์ตอะไรมาเปิดเหมือนเชียงคาน เหมือนปายเล้ย เพี้ยงงงง

พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

เอาจริงๆ คือผมอยากไปเองนั่นแหละ อยากรู้ว่ามันจะเจ๋งจริงไหม เพราะเคยไปแต่หว้ากอ อ่าวคุ้งกระเบน อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็มีปลาแปลกๆ ให้ดู แถมด้วยอุโมงค์ใต้น้ำ ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ แต่มันเป็นสถานที่ของทางราชการ เลยมีบรรยากาศที่มันราชก๊ารราชการอยู่บ้าง ก็อยากรู้มานานแล้วว่าแบบเอกชนมันเป็นยังไง ก็เก็บค่าเข้าแพงขนาดนั้น

พอเห็นว่าอีตู้กดโปรโมชันบัตรกระต่ายของบีทีเอสเขามีส่วนลด (40% แน่ะ ผู้ใหญ่เหลือ 240 บาท ส่วนเด็กสูงไม่ถึง 80 เซ็นต์เข้าฟรี — นิทานสูง 79 ละ) ผมเลยลองเปิดบล็อกของคนนั้นคนนี้ที่เคยไปสมัยมันเปิดตัวใหม่ๆ ก็พบว่าน่าสนใจ แถมลูกกำลังโตได้ที่ พอที่จะสนใจอะไรแบบนี้ และเหมาะกับการไปเที่ยวครั้งแรก (เอาไว้โตกว่านี้เยอะๆ แล้วค่อยไปอีกที ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาก่อนรอบนึง)

ที่สำคัญคือลูกสาวผมเป็นเด็กที่บ้าปลามาก รู้จักและเรียก “ปลาๆๆๆ” ได้ก่อนเรียกพ่อแม่มันอีก (เป็นสัตว์ที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอ พอๆ กะนก ไว้ว่าจะไปสวนนกชัยนาทอีกที)

ก็เลยไปมาวันนี้ครับ ดูภาพกันเลยนะ

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตอนแรกผมไปคุยงาน ส่วนเมียพาลูกไป TK Park พอคุยเสร็จก็แวะไปรับลูกเมีย ที่จริงนิทานก็ฟินไปรอบนึงละกะดงหนังสือ (นอกจากบ้าปลา บ้านก แล้วก็บ้าหนังสืออีกด้วย)

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
กินข้าวกันที่ร้านญี่ปุ่นสักร้าน จำชื่อไม่ได้ อยู่บนเซ็นทรัลเวิล์นั่นแหละ ไม่อร่อยเลย

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตัดภาพมาที่สยามโอเชียนเวิลด์เลยนะครับ มันอยู่ใต้ดินพารากอน ถ้าลงบีทีเอสก็ให้ลงฝั่งที่เป็นโรงหนัง แต่แทนที่จะขึ้นก็ลงกระไดไปแทน สถานที่ใหญ่โตกว้างขวางพอสมควรเลยแหละ สัดส่วนนักท่องเที่ยว มีคนไทยประมาณ 3 คนได้ นอกนั้นฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย จีนหมดเลย ถือเป็นน่านน้ำสากล
Continue reading พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

วันนี้เราจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านเล็กๆ แต่อบอุ่นของครอบครัว “คุณเหนือเมฆ น้ำเงินใจงาม” (หรือน้าเมฆ น้าชายของภรรยาของผู้เขียนเอง) ผู้เป็นเจ้าของบ้านยกพื้นหลังเล็กๆ ติดสวนร่มรื่น ที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานีกันครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

ความอบอุ่นของครอบครัวขยาย ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกครอบครัวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น ถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไม ผ่านการจัดวางของห้องครัวที่เป็นสเปซเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องนอนได้อย่างเหมาะเจาะ
ด้วยช่องแสงจากหลังคาที่สาดส่องลงมา ทาบทับกับภาชนะเก๋ๆ ชิกๆ จากตลาดปทุมธานี ที่แขวนเป็นระนาบเพื่อประโยชน์ในเชิงฟังก์ชันการใช้สอย ที่สะดวกรวดเร็ว แถมยังเป็นการโชว์มิติและพื้นผิวของวัสดุ จนเกิดเส้นสายของแสงและเงารูปร่างแปลกตา แต่มีจังหวะจะโคนดูเพลิดเพลินและน่าสนใจไม่เบื่อ ขับให้เกิดบรรยากาศแห่งความสุขยามรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของสมาชิกทุกคนเป็นอย่างดี

นอกหน้าต่าง

เมื่อมองจากโต๊ะรับประทานอาหาร จะเห็นบรรยากาศของสวนหลังบ้าน ถึงแม้จะเป็นที่ดินและทางเดินเข้าบ้านของคนอื่น ได้อาศัยความได้เปรียบด้านความสูงของตัวบ้านที่สามารถมองเห็นวิวจากมุมสูงลงไปพบความเขียวชอุ่มเบื้องล่าง โดยเฉพาะหน้าฝนอย่างตอนนี้ เราจะได้เห็นหยดน้ำฝนที่เกาะพร่างพราวตรงขอบหน้าต่างบานผลัก ทำให้ฤดูฝนที่เป็นสิ่งน่าเบื่อของคนเมือง กลับกลายเป็นความรื่นรมย์ของครอบครัวค้าขายอย่างบ้านคุณเหนือเมฆได้เป็นอย่างดี

งานนี้ต้องขอยกเครดิตให้สถาปนิกผู้ออกแบบ อันได้แก่ เตี่ย คุณเหนือเมฆ (น้าเมฆ) และเจ็กชุน ที่ช่วยกันออกแบบ หาวัสดุ แผ่นไม้ แผ่นประตูจากเพื่อนบ้านและญาติมิตร และลงมือลงแรงต่อเติมบ้านด้วยตนเองเป็นแบบ DIY แท้ๆ

หมายเหตุ:
ปลายปี 2554 น้ำท่วมปทุมธานีฝั่งตะวันตก บ้านน้าเมฆพังไปครึ่งหลัง จากการอยู่ใต้น้ำสูงถึงสองเมตร และถูกต้นก้ามปูใหญ่หลังบ้านที่ล้มลงมาทับเนื่องจากดินชุ่มน้ำไม่สามารถรับน้ำหนักรากของต้นไม้ใหญ่ไว้ได้ หลังจากฟื้นฟูสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวน้ำเงินใจงามจึงได้รีโนเวตบ้านใหม่ให้ด้านหลังมีพื้นที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกและชมวิวสีเขียวร่มรื่นด้านหลังบ้าน พร้อมกับการจิบกาแฟและอ่านนิตยสารทีวีพูลได้อย่างสบายอารมณ์

ปรัชญา สิงห์โต : ถ่ายภาพ (Galaxy Note / Camera360 / Fห่าอะไรไม่รู้ / ISO 9002)

เพิ่มเติม: ผู้เขียนเพิ่งไปเปิดเจอสภาพบ้านน้าเมฆตอนน้ำท่วมครับ แนะนำให้คลิกดูแล้วจะร้องเหยดเป้ด :05: