นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน

ข้อเสีย

เราถูกสั่งสอนให้ซึมซับกติกาที่ว่า การใช้ชีวิตคู่นั้น ต้องแสวงจุดร่วมและสงวนจุดต่าง ยอมรับในข้อเสียของอีกฝ่ายให้ได้ แล้วชีวิตคู่จะราบรื่น

ผมเป็นพวกโอเคอยู่แล้ว เก็ตคำสั่งสอนนี้และเอามาใช้ในชีวิตเป็นเรื่องปกติ

แต่เมื่อคืนตอนเมียส่งข้อความในแฮงก์เอาต์มาใช้ให้หยิบเครื่องปั๊มนมไปให้บนห้องนอน แล้วฝากดูตัวเล็กให้หน่อย อยู่ดีๆ ผมก็มานั่งลิสต์ดูว่าเมียเรามีข้อเสียอะไรบ้าง

โอ้โห แม่งเพียบเลย อย่างน้อยที่ประจักษ์ตาก็คือ เป็นพวกที่ทำอะไรแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อยทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่นการเปิดไฟทิ้งไว้ทั่วบ้านแล้วขึ้นไปนอนอยู่บ่อยๆ โดยไม่ได้ปิด บางทีผมนั่งหน้าคอมดึกๆ ตีหนึ่งตีสองเปิดประตูออกมาดู เหย็ดแม นี่บ้านหรือเซเว่น ทำไมสว่างไสวในยามค่ำคืนได้ขนาดนี้

คิดในใจเฉยๆ แล้วก็เดินไล่ปิดไปทีละดวงๆ …ก็ทำเป็นเรื่องปกติไม่ได้บ่นได้หืออือหรือรู้สึกผิดปกติอะไร (เพราะชินแล้ว) แต่เมื่อคืนพอคิดจะระลึกดูว่ามีอะไรอีกไหม นี่ก็เลยถูกนับเป็นหนึ่งในนั้น

พอเดินไปถึงในครัว อ้าว ไฟหลังบ้านก็เปิด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งานอะไรนะ — ไอ้การจำไม่ได้ว่าสวิตช์ไฟดวงไหนมันกดตรงไหนนี่ก็เหมือนกัน ขนาดเขียนไว้บนปุ่มก็ยังไม่อ่าน

เออ เรื่องไม่อ่านก็เหมือนกัน เวลาเจออะไรเด้งขึ้นมาในคอมหรือในมือถือ เมียก็จะกด  OK ทันที (ไม่ใช่แคนเซิลนะ นี่กดโอเคเลย) เป็นที่รู้กันนะว่านี่คือพฤติกรรมอันตราย ยิ่งเป็นพวกใช้มือถือทำงานด้วยก็ยิ่งอันตรายใหญ่ นานๆ ทีผมหันไปเห็นก็จะบ่นพอเป็นพิธีสักครั้ง

คิดไปคิดมา เดินขึ้นไปถึงห้องนอนข้างบน จะอุ้มลูกมากล่อมหลับ เมียก็ถามว่า

“แล้วไหนเครื่องปั๊มนมล่ะ” …จบ ลืมอีกแล้ว

(เป็นข้อเสียอมตะของผมที่เมียบ่นทุกวัน)

ครอบครัว #ที่ดี

ที่บ้านมีทีวีไว้เปิดยูทูบครับ (ใช้ Chromecast)

ตั้งกติกาให้ลูกไว้ว่าในหนึ่งวันสามารถดูทีวีได้ประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ส่วนมากจะเปิดคลิปจากเพลย์ลิสต์นี้ ส่วนของเมียก็จะเป็นอีกเพลย์ลิสต์นึง ซึ่งในนั้นมีรายการ ‘พี่บาร์นีย์’ ด้วย (พอดีผมไม่มีลิงก์ ลองเข้ายูทูบค้นเอานะ มีเพียบ)

บาร์นี่ย์เป็นรายการเด็ก ตัวละครคือไดโนเสาร์สีม่วงตัวใหญ่เท่าควาย มาเล่นกับเด็กๆ อายุประมาณ 4-5 ขวบ โดยเนื้อหาจะเน้นสอนเรื่องประสบการณ์ชีวิต สร้างเสริมลักษณะนิสัย และการงานพื้นฐานอาชีพให้เด็ก สลับกับร้องเพลงที่พอพากย์ไทยแล้วอาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อย เนื่องจากไร้ซึ่งความคล้องจองสัมผัสนอกสัมผัสใจ แต่นิทานก็ยังชอบและฟังบ่อยจนร้องได้ทุกเพลง (มีแต่งเนื้อเองด้วย!)

ทีนี้มีตอนนึงที่เพิ่งเปิดดูเมื่อกี้แล้วประทับใจจนต้องเอามาเขียนบล็อกสั้นๆ นี้ เป็นตอนที่กล่าวถึงการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

บาร์นีย์บอกเป็นเพลงว่า ครอบครัวนั้นมีความหลากหลาย บางครอบครัวอยู่กันพ่อแม่ลูก บ้างก็อยู่กับแมว กับสัตว์เลี้ยง หรือบางครอบครัวอยู่แค่ตัวหนูเองและคุณยายแค่สองคน แต่นั่นแหละครอบครัว

และความแตกต่างนี่แหละที่เป็นสิ่งพิเศษ

ดูแล้วสะกิดใจเลยครับ ผมโตมากับเพลงอนุบาลที่เคยร้องมาตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีมาแล้วตอนรอเข้าแถวเคารพธงชาติสมัยอยู่โรงเรียนวัด และยังวนเวียนอยู่ในหัวมาจนทุกวันนี้ ไม่รู้มีโรงเรียนไหนใช้เพลงนี้สอนเด็กกันบ้างไหมนะ มันร้องว่า

“บ้านของฉันอยู่ด้วยกันมากหลาย มีพ่อมีแม่ ลุงป้าตายาย มี
ทั้งน้าอาพี่และน้องมากมาย ทุกคนสุขสบายเราเป็นพี่น้องกัน”

ไหนจะการโตขึ้นมาโดยที่ทุกคนต้องแต่งเรียงความส่งครูเรื่องพ่ออันสุดประเสริฐของฉัน แม่อันแสนรักลูกสุดชีวิตที่ไม่มีใครรักมากเท่านี้อีกแล้ว เป็นความรักบริสุทธิ์ในอุดมคติแบบที่พวกควรตอบแทนพระคุณในวันแม่ด้วยการถือพวงมาลัยไปก้มกราบเท้าดอกมะลิบนเวทีโรงเรียนกันเราทุกคน …นึกภาพย้อนไปตอนมัธยมที่ผมหันไปเห็นเพื่อนทำหน้าเจื่อนเพราะมันไม่มีแม่

ในขณะที่ทุกวันนี้ ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นพ่อของลูกสาวสองคน คืออยู่ในฐานะบุพการีเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังได้ยินคนหลังบ้านที่ดูภายนอกก็ปกติดีเหมือนชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ทั่วไป แต่กลับแหกปากตะเบ็งเสียงด่าและตะคอกลูกชายอายุเท่ากันกับนิทานเป๊ะๆ ด้วยความโมโหร้ายขาดสติ และขาดคุณสมบัติความเป็นแม่ที่ดี (แบบที่กระทรวงวัฒนธรรมอยากเห็น) อย่างชัดเจน คือด่าตะคอกแม้กระทั่งเวลาลูกร้องไห้ อีแม่ก็กรี๊ดดดดดดดดดดดด เสียงดังไปแปดบ้าน (ดังกว่าลูกเยอะ) แล้วตะคอกให้ลูกเงียบด้วยโทนเสียงสูงหวีดแหลมดังกว่าเดิม มลพิษทางเสียงนี้มีให้ได้ยินแทบทุกวัน!

เวลาที่ผมไปยืนล้างจานในครัวแล้วได้ยินเนื้อหาที่เจ๊แกด่า (จะอุดหูหรือเปิดเพลงกลบยังไงก็ได้ยิน เพราะบ้านเป็นตึกแถว เสียงมันส่งถึงกันง่าย) หลายครั้งไม่ใช่เรื่องที่จะต้องโมโหและไปใส่พิษให้ลูกเลยแม่้แต่น้อยนะ ตัวอย่างเช่น เรื่องการที่ถามลูกก่อนตอนอยู่เซเว่นว่าหิวนมไหม แล้วลูกบอกไม่หิว แต่พอมาถึงบ้าน ลูกบอกหิวแล้ว อีแม่ได้ยินเข้าก็กรี๊ดแล้วด่าลูกแรงขนาดให้ไปเกิดใหม่ บางวันลูกร้อง อีพ่อก็ทำเสียงกรรโชกให้เงียบ (เด็กมันจะเงียบไหม) ฯลฯ

คือมึงเป็นแม่ที่ไม่ควรให้เด็กไหว้เลยนะ แล้ววันแม่เด็กมันจะเขียนเรียงความส่งครูยังไง

ผมจำได้ว่าทวีตเรื่องนี้บ่อยครั้งเพื่อหาทางระบายความหงุดหงิดให้ชาวบ้านรับพลังลบไปบ้าง กูจะได้โล่งๆ คือมันอัดอั้นมาก ชีวิตนึงผมเครียดกับเรื่องแค่ไม่กี่เรื่องหรอก เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในนั้น

พอมาดูรายการของเด็กฝรั่งเรื่องการยอมรับและเข้าใจความหลากหลาย (แบบไม่ต้องพยายามอะไรเลยนะ มันเกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว) แล้วก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีกหน่อย อย่างน้อยก็เอาไว้สอนลูกได้

วันนี้เมียท้อง

สองปีกว่าๆ จากบล็อกสมัยที่ท้องแรก (เกิดมาเพิ่งเคยทำผู้หญิงท้องครับ) และถือกำเนิดเป็นคุณลูกสาวชื่อนิทานในเวลาต่อมา

บัดนี้เมียผมเดินยิ้ม เต้นกระดุ๊กกระดิ๊ก เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งขึ้นเป็นขีดแดงสองขีด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรียบร้อยครับ ซัลโวเข้าประตูไปอีกหนึ่ง


(นั่นคือทวีตมาก่อนที่ผมจะตื่นอีกนะน่ะ พอดีเมื่อคืนนอนดึกเลยตื่นสาย)

เราสองคนวางแผนกันไว้ตั้งนานแล้วว่า ถ้าในปีนี้ยังไม่มีลูก ผมก็จะไปทำหมันและมีนิทานเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้ามี ก็คือลงตัวเลย ชีวิตกำลังนิ่งและพร้อมที่จะมีคนที่สองในปีนี้พอดี เวลาเราก็มี ตังค์เราก็ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร แถมประสบการณ์ในการมีลูกครั้งที่ผ่านมาทำให้ความประหม่า ความหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างนั้นหายไป อาจจะมีลืมๆ ไปบ้างแล้วว่าตอนท้องนิทานนี่เราต้องเตรียมอะไร ต้องทำและไม่ทำอะไรบ้างวะ (กลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองเขียนสิโว้ย #โฆษณา)

ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างเคลียร์ และเราโตพอที่พร้อมจะรับมืออะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพอรู้ว่าท้องคราวนี้ จึงต่างจากตอนมีนิทานพอสมควร จะว่าไม่ตื่นเต้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นเต้นอีกแบบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องเจอนั่นนี่ สเต็ปต้องเป็นงี้ เราอ่านสปอยล์มาแล้ว

ติดอยู่แค่อย่างเดียวคือ นังลูกสาวของเรา (ที่กำลังจะกลายเป็นลูกคนโต) ดันยังไม่หย่านมแม่นี่สิ

เมียผมให้นมลูกมาตลอด จนบัดนี้ลูกสาวเราก็อายุขวบสิบเดือน ก็เกือบสองขวบแล้ว จนชาวบ้านเขาเลิกให้นมกันหมดตั้งนานละ ไอ้ที่รู้ว่าท้องก็เพราะอยู่ดีๆ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอนิทานกินนมแล้วเจ็บ (ซึ่งเป็นการดีไซน์ของพระเจ้าที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนว่าควรหยุดได้แล้ว) และเพราะการให้นมลูกมาตลอด ฮอร์โมนส์ของคนเป็นแม่เลยบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมนส์นะ เดี๋ยวจะมีปัญหา (นี่ก็ยังทึ่งที่พระเจ้าคิดระบบนี้มาเจ๋งมาก) แต่พอพ้นระยะที่จะต้องคอยเป็นห่วงแล้ว เมนส์ของเมียก็มาครับ แต่เพิ่งมาได้แค่ 2 เดือน แม่งท้องเลย ไงล่ะ.. วัยรุ่นมะ

ดังนั้นเควสต์ใหม่ของเราในฐานะพ่อกับแม่ก็คือ ทำยังไงให้คุณลูกสาวหย่านม ซึ่งยากมากบอกเลย

ป.ล.
วันนี้หยุดทำงานทำการ วางมือจากงานแทบทุกชนิด เพื่อเสพบรรยากาศที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่พบเจอได้ทุกวัน ซึ่งโอเคนะครับ ใครลองมามีเมียท้องดูก็จะเข้าใจว่ามันทำงานไม่ได้จริงๆ ดังนั้นหยุดซะ แล้วมานั่งดูตัวเองดีกว่า สนุกดี

ป.อ.
อย่างที่ทวีตไปว่าผมรู้เรื่องเมียตัวเองท้องหลังชาวบ้านซะอีก ก็เหมือนตอนท้องแรกที่ติดประชุม แต่ท้องนี้คือนอนอยู่ 5555 ขอบคุณทุกคนที่อยู่ดีๆ ก็ส่งประกวดชื่อหลานกันเยอะแยะ มีทั้งไมตรีคนน้อง (นี่ยังจำชื่อที่นักข่าวนั่งเทียนเขียนให้ตอนไปถ่ายเว็ดดิ้งในม็อบพันธมิตรได้อีกเรอะ! – เสียดายบล็อกผมเน่าเลยเนื้อหาตอนนั้นหายไปแล้ว แต่มีกระทู้ด่าที่ mthai เข้าไปอ่านดิ สนุก), น้องนิยาย, น้องปรัมปรา, น้องพงศาวดาร(เลวมากอันนี้), น้องตำนาน (เฮ้ยเจ๋ง สองแง่สองง่ามดี), น้องตำหนัก (อันนี้ง่ามเดียว), น้องตำลึง (นี่เหี้ยเลย), น้องเขาใหญ่, น้องหลีเป๊ะ (นี่ก็เดาสถานที่ว่าไปซั่มกันที่ไหน), น้องนกหวีด, น้องกำนัน(นึกหน้าแล้วแบบ), น้องปฏิรูป, น้องอีปู ฯลฯ

ป.ฮ.
ที่เด็ดที่สุดคือแม่ยายผมเคยไปขอพระ (เอาอีกแล้ว นี่กูไม่ได้ทำเมียกูท้องเองนะ ช่างแอร์ช่างฉีดปลวกอะไรที่แซวกันก็ไม่ใช่ .. แต่นี่ พระทำให้) บอกว่าขอเทพธิดามาเป็นหลานอีกคน แล้วเมื่อคืนก็ดันฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาโกรธ สงสัยจะมาแย่งเกิดไม่ทันเพราะดันไปขอหลานสาวสกัดไว้ (หลอนมะ) ดังนั้นเลยขอบันทึกไว้หน่อยว่าถ้าเกิดลูกคนนี้เป็นผู้ชายขึ้นมา โตขึ้นแม่งเป็นตุ๊ดชัวร์ เพราะคือร่างกายปฏิสนธิตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่คุณยายได้ไปขอวิญญาณผู้หญิงไว้ เอามาสวมเป๊ะ เก้งเลยฮ่ะ

การลาออกครั้งล่าสุด

ที่จริงควรจะเขียนว่าการลาออกครั้งสุดท้ายตามชื่อหนังสือเล่มที่เคยซื้อมาอ่าน (อ่านรู้เรื่องแค่ครึ่งเล่มแรก ส่วนครึ่งหลังที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการลงทุนนั่นไม่อินเลย อ่านอะไรพวกนี้ไม่รู้เรื่อง โง่เรื่องตัวเลข 5555)

แต่มานึกดู ใครจะไปรู้ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะอีตอนลาออกจากอาร์เอสนั่นก็คิดว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 30 เพื่อมาทำอะไรที่บ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ได้แล้วเชียว แต่ก็ไม่ เพราะดันมีงานประจำที่น่าสนุกมากวักมือเรียกให้ไปลองทำดู

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบๆ 2 ปี 5 เดือน การทำงานที่สามย่าน นับเป็นงานประจำในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ผมอยู่กับมันนานที่สุด นานจนตกใจตัวเองว่าเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถตู้ ซ้อนวิน ขี่แว้น (และขี่จักรยานแค่ 2 ครั้ง แต่อยากนับรวมด้วยเพราะมันพูดแล้วดูเท่) ไปทำงานซ้ำๆ กัน แบบไปสายกลับค่ำแบบนี้ได้ยังไงตั้งสองปีกว่าๆ

ถ้าไม่นับที่งานมันสนุกดี วิชาออกแบบเว็บ ออกแบบแอป ออกแบบกราฟิก รื้อระบบหน้าบ้านหลังบ้าน ปรับปรุงหน้าตา อินเทอร์เฟซนั่นนี่ และทำงานกับเทคโนโลยี มันสนุก ยิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ แล้วยิ่งสนุก เหมือนเด็กเนิร์ดจับกลุ่มคุยเรื่องสตาร์วอร์ส (แต่ผมไม่ดูสตาร์วอร์สนะ) หรือโอตาคุมาล้อมวงสนทนาเรื่องกันดั้ม (ตูก็ไม่รู้จักกันดั้มสักตัว)

สรุปว่าสามย่านเป็นบริษัทที่มีระบบนิเวศน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เจอมาเลย ถึงแม้บางอย่างจะขลุกขลักไปบ้าง ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องปกติของโลก (เช่นเว็บบริษัทที่ว่าจะทำใหม่มาชาตินึงแล้วก็ยังไม่ได้ทำซะที จนพนักงานในหน้าแรกของเว็บนั่นเปลี่ยนถ่ายย้ายเข้าย้ายออกกันไปหมดแล้ว 5555 คือที่จริงเมื่อสองปีก่อนคิดไว้ว่าพอเอาเมาส์ชี้จะให้มันนั่นนี่ แต่ก็ไม่ว่างทำซะทีเลยเอาแบบนั้นไปก่อนมาจนถึงทุกวันนี้)

แต่หลังจากพบว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นดันมีปัญหากับสังคมเมือง ที่จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับปลากระป๋องตัวอื่นๆ บนท้องถนน ผมก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านและซุ่มทำอะไรอยู่ในถ้ำเงียบๆ แบบที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนั้นดันเป็นการลาออกที่ไม่สำเร็จ ซะฉิบ

ขอต๊ะเรื่องลาออกไว้ก่อนแป๊บนะ…

จนเวลาผ่านไปหกเดือน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตแค่หกเดือนมานี้ หลังจากลดเวลาทำงานบริษัทลงจนได้มีเวลาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ผมกับลูกเมียก็เวียนกลับบ้านที่เพชรบุรี เพื่อไปซ่อมบ้านหลังเก่าให้แม่ (ฟังดูเป็นคนดี… ไม่หรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นพวกเดือนสองเดือนจะกลับไปหาแม่ที โทรหาก็ไม่โทร) และพอวนไปเวียนมาหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วครับ ว่าสำหรับมนุษย์ชิวอย่างเรา การที่ต้องทนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันทำให้พลังชีวิตลดลงถึงขั้นเหี้ยจริงๆ เรียกว่าชิวมิเตอร์บนหน้าอกงี้กระพริบรัวๆ เลย เทียบกับตอนอยู่เพชรบุรี มันให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเดินโลตัส (เชี่ย แถวบ้านกูมีโลตัสแล้ว)

พอได้ลองขี่จักรยานวนไปรอบๆ ตัวอำเภอท่ายางหลายๆ ครั้งเข้า ก็รู้สึกว่ามันใช่ มันมีน้ำ มันมีคลอง มันมีเขื่อน มันมีนา มันได้อารมณ์มานี (ไม่มีแชร์) และสารพัดองค์ประกอบแห่งความชิว ที่ทำให้พลังชีวิตพุ่งขึ้นถึงขีดสุด มันคือสถานที่ที่มีแต่อณูความผูกพันส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ (ตอนเด็กผมเป็นหนึ่งในแก๊งจักรยานแบบเรื่องแฟนฉันเป๊ะๆ — อ้อ เรื่องแฟนฉันเขาก็ถ่ายทำกันที่ท่ายางนี่แหละ ดังนั้นตัวเองเลยอินกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะโดดน้ำก็โดดที่เดียวกัน จักรยานก็ขี่ที่เดียวกัน) แม้ลองสลัดความรู้สึกโหยหาอดีตออกไป มองให้เป็นปัจจุบัน ดูการเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปของเมืองเก่าแก่นี้ มันก็ยังรู้สึกว่าใช่

เท่านั้นยังไม่พอ มันยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านของผม (เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ได้ด้วย แต่คนที่เลือกดันไม่ได้ แพ้ไปล้านกว่าเสียงเอง) แต่จะแคร์อะไรในเมื่อยุคนี้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันไม่ได้เกี่ยวกับอุปสรรคทางภูมิศาสตร์แล้ว ไม่ว่าพี่จะอยู่ระยองหรือน้องจะอยู่เชียงใหม่ ขอเพียงก้าวสู่โลกออนไลน์ปั๊บ ทุกคนก็มายืนเรียงกันถ้วนหน้า ยื่นนิ้วโป้งกดไลก์กันนัวไปหมด

เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแข็งแรงว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นทำลายความจำเป็นของเมืองหลวงลงไปอย่างราบคาบ

แถมลงไปท่ายางครั้งล่าสุด ก็เพิ่งเอาเน็ตสิบเม็กไปติดไว้บ้านแม่อีก ให้สามารถทำงานง่ายๆ ที่บ้านวันละ 3-5 ชั่วโมงได้ในสตูดิโอหนองบ้วย (ชื่อหมู่บ้านผม โคตรงงเลย อะไรวะหนองบ้วย จะบ๊วยก็ไม่บ๊วย) และถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องโครงการทดลองใช้ชีวิตอยู่เพชรบุรีสลับกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้ไป!

แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ การจะไปสิงเนียนอยู่บ้านแม่ที่หนองบ้วยก็คงไม่เป็นการถาวรนัก (อีกสามปี ครอบครัวของพี่ชายคนโตจะมาอยู่) ผมก็เลยหารือกับเมีย และได้ข้อสรุปว่า เราจะทุบหม้อข้าวกันเฮือกใหญ่ เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบกันมาไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่กันแถวๆ นี้แม่งเลย (เห็นชิวๆ นี่ไมไ่ด้รวยนะครับ เพิ่งมาลืมตาอ้าปากได้หลังจากปลดหนี้บ้านพ่อตาแม่ยายหมดและผ่อนบ้านตัวเองหมดนี่แหละ แถมเราตั้งกฎของบ้านไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นหนี้อีก ก็เลยต้องมีวินัยทางการเงินพอสมควร)

คิดได้ดังนั้นจึงฝากภาระไว้กับแม่ในการไปถามหาชาวบ้านแถวๆ บ้านเราที่ประกาศขายที่ดิน หรือที่นา (คือหาในเน็ตมันมีแต่พวกนายหน้า ซึ่งดูแล้วแพ้งแพง) ซึ่งได้ผล โซเชียลเน็ตเวิร์กของลุงๆ ป้าๆ แก่ๆ ที่อยู่นอกโลกออนไลน์ยังขลังอยู่เสมอ เราไปเจอที่ดิน 1 ไร่ ที่เจ้าของประกาศขายในราคาไม่แพงนัก อยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ชื่อ “หนองแฟบ” ซึ่งตรงตามสเป็กที่ต้องการทุกอย่างเลย ดังนี้

  • มีแหล่งน้ำสาธราณะใกล้ๆ 20 คะแนน (มีคลองชลประทาน ซึ่งสวยมาก ใสมาก น่าโดดน้ำที่สุด)
  • มีชุมชนสงบๆ 30 คะแนน (เช็กแล้วยังไม่มีเด็กแว้นหรือแหล่งค้ายาแถวนั้น)
  • มีสีเขียว อากาศดี มีภูเขา มีนา อารมณ์มานี 50 คะแนน (นี่เหมือนเอาแผนที่มานีมากางดูเลยแหละ)
  • มีเซเว่น โลตัส และอินเทอร์เน็ต 20 คะแนน (ทุนนิยมนี่มันสะดวกจริงๆ)
  • จุดหมายจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน บอกทางง่าย ถามกูเกิลแมปส์แล้วไม่เครียด 20 คะแนน
  • เกินยังวะ
  • มีอณูความชิวอัดแน่นอยู่ในห้วงบรรยากาศ 5,000,000 คะแนน (สรุปว่าไอ้ที่บวกๆ มาไม่ต้องก็ได้)

จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของที่ซึ่งต่อไปจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันเรียบร้อย เรียกว่าหมดตูดอย่างสิ้นเชิงครับ

วิทยาเขตหนองแฟบ

และในที่สุด เราก็มีที่ทางเป็นของตัวเอง หนองงงงงแฟบบบบบบบ (สะกด Nong Fab ไม่ใช่ Nong Fap นะ)

เกิดหนองบ้วย โตมาเรียนท่าช้าง ซื้อบ้านอยู่ลาดปลาเค้า แล้วนี่จะไปหนองแฟบอีก แต่ละชื่อนี่นะ ดูไฮโซโก้หราพารากอนซะจริง

เลยวางโครงการในระยะสิบยี่สิบปีเอาไว้ว่า ตอนนี้เราจะอยู่ใกรุงเทพฯ สลับกับเพชรบุรี (บ้านแม่ที่หนองบ้วย) ไปก่อน ไปๆ มาๆ แบบนี้จนลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว (สมัยนั้น ม.ปลายก็คงมีผัวแล้วมั้ง นี่พูดติดตลกแบบเอาจริงๆ ก็โออยู่นะ) เราสองผัวเมียจะลาออกจากกรุงเทพฯ กันเป็นการถาวร กลับไปอยู่ที่เพชรบุรี

แต่งานก็ยังทำอยู่นะ เพราะเราต้องเริ่มหยอดกระปุกกันใหม่ตั้งแต่แรกเลยอีกครั้ง โชคดีที่วิธีการหาเงินของเราสองผัวเมียมันถูกออกแบบมาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า จะต้องเป็นงานที่ทำที่ไหนก็ได้ เลยสะดวกหน่อย (เมียเปิดร้านเดรสนลินฟ้ากับแม่ยาย ส่วนผมกำลังจะเทกกิจการสกรีนเสื้อโมนามาเฟีย แหะๆ .. แล้วก็รับออกแบบ ทำเว็บ ดีไซน์นั่นนี่หนุกๆ) เมื่อไหร่อยากได้ตังค์ขึ้นมาก็ทำงาน ทำกันซื่อๆ นี่แหละ ไอ้พวกการลงทุน หรือไปยุ่งกับตัวเลชยากๆ อย่างหุ้นเหิ้นนี่เล่นไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชิว ไม่ใช่แนว ด้วยเหตุผลนี้มั้ง ก็เลยอ่านหนังสือการลาออกครั้งสุดท้ายครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง

ก็เนอะ มนุษย์แต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ถึงจะเรียกร้องให้แต่ละคนเสมอกัน แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่สร้างเรามาให้เกิดมา มีรสนิยม ต่อสู้ปัญหา และใช้ชีวิตต่างๆ นานาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นโลกคงน่าเบื่อแย่เลย

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบริษัทสามย่าน ขอบคุณกรุงเทพฯ ขอคารวะความอดทนของมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน

เออ พอพูดถึงลาออก เลยขอกลับมาเรื่องเดิม ผมเพิ่งยื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อวานนี้ พี่อาทเข้าใจในความขี้เกียจของเรา คราวนี้เลยอนุมัติ ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งสล็อธแมนให้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้ามีงานอะไรก็โยนมาให้ทำได้นะะะะ ถึงจะชิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ตังค์อยู่นะะะะ

ป.ล.
ตอนถ่ายภาพแต่งงานผมมาถ่ายที่นี่ด้วย ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่จริงๆ 5555

nongfab

ป.อ.
ระหว่างที่เขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพื่อรอคิวของสำนักงานที่ดิน… พอได้รู้ศัพท์ในวงการที่ดินว่า “หยอดน้ำมัน” (ยัดใต้โต๊ะ) เพื่อให้ดำเนินการเร็วขึ้นจากปกติที่ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดที่ดินแบ่งขายอะไรแบบนี้ มันต้องรอคิวประมาณสี่เดือน! ผมถึงกับสบถออกมาด้วยชื่อสัตว์เลื้อยคลานหนึ่งพยางค์ ใช่ครับ — เต่า (บ้า ใครจะไปด่าระบบราชการว่าเหี้ยล่ะ ไม่มีหรอกครับ ใช่ไหม ไม่มี้)

ป.ฮ.
ไว้ใครมาเที่ยวเพชรบุรี หรือท่ายาง บอกด้วยนะครับ จะพาไปปั่นจักรยานชมวิวแถวๆ หนองแฟบ-ตาลกง ชิวระดับแปดแสนริกเตอร์ คือภาวนาอย่าให้มันดัง อย่าให้มีรีสอร์ตอะไรมาเปิดเหมือนเชียงคาน เหมือนปายเล้ย เพี้ยงงงง