พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

เอาจริงๆ คือผมอยากไปเองนั่นแหละ อยากรู้ว่ามันจะเจ๋งจริงไหม เพราะเคยไปแต่หว้ากอ อ่าวคุ้งกระเบน อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็มีปลาแปลกๆ ให้ดู แถมด้วยอุโมงค์ใต้น้ำ ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ แต่มันเป็นสถานที่ของทางราชการ เลยมีบรรยากาศที่มันราชก๊ารราชการอยู่บ้าง ก็อยากรู้มานานแล้วว่าแบบเอกชนมันเป็นยังไง ก็เก็บค่าเข้าแพงขนาดนั้น

พอเห็นว่าอีตู้กดโปรโมชันบัตรกระต่ายของบีทีเอสเขามีส่วนลด (40% แน่ะ ผู้ใหญ่เหลือ 240 บาท ส่วนเด็กสูงไม่ถึง 80 เซ็นต์เข้าฟรี — นิทานสูง 79 ละ) ผมเลยลองเปิดบล็อกของคนนั้นคนนี้ที่เคยไปสมัยมันเปิดตัวใหม่ๆ ก็พบว่าน่าสนใจ แถมลูกกำลังโตได้ที่ พอที่จะสนใจอะไรแบบนี้ และเหมาะกับการไปเที่ยวครั้งแรก (เอาไว้โตกว่านี้เยอะๆ แล้วค่อยไปอีกที ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาก่อนรอบนึง)

ที่สำคัญคือลูกสาวผมเป็นเด็กที่บ้าปลามาก รู้จักและเรียก “ปลาๆๆๆ” ได้ก่อนเรียกพ่อแม่มันอีก (เป็นสัตว์ที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอ พอๆ กะนก ไว้ว่าจะไปสวนนกชัยนาทอีกที)

ก็เลยไปมาวันนี้ครับ ดูภาพกันเลยนะ

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตอนแรกผมไปคุยงาน ส่วนเมียพาลูกไป TK Park พอคุยเสร็จก็แวะไปรับลูกเมีย ที่จริงนิทานก็ฟินไปรอบนึงละกะดงหนังสือ (นอกจากบ้าปลา บ้านก แล้วก็บ้าหนังสืออีกด้วย)

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
กินข้าวกันที่ร้านญี่ปุ่นสักร้าน จำชื่อไม่ได้ อยู่บนเซ็นทรัลเวิล์นั่นแหละ ไม่อร่อยเลย

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตัดภาพมาที่สยามโอเชียนเวิลด์เลยนะครับ มันอยู่ใต้ดินพารากอน ถ้าลงบีทีเอสก็ให้ลงฝั่งที่เป็นโรงหนัง แต่แทนที่จะขึ้นก็ลงกระไดไปแทน สถานที่ใหญ่โตกว้างขวางพอสมควรเลยแหละ สัดส่วนนักท่องเที่ยว มีคนไทยประมาณ 3 คนได้ นอกนั้นฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย จีนหมดเลย ถือเป็นน่านน้ำสากล
Continue reading พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

วันนี้เราจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านเล็กๆ แต่อบอุ่นของครอบครัว “คุณเหนือเมฆ น้ำเงินใจงาม” (หรือน้าเมฆ น้าชายของภรรยาของผู้เขียนเอง) ผู้เป็นเจ้าของบ้านยกพื้นหลังเล็กๆ ติดสวนร่มรื่น ที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานีกันครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

ความอบอุ่นของครอบครัวขยาย ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกครอบครัวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น ถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไม ผ่านการจัดวางของห้องครัวที่เป็นสเปซเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องนอนได้อย่างเหมาะเจาะ
ด้วยช่องแสงจากหลังคาที่สาดส่องลงมา ทาบทับกับภาชนะเก๋ๆ ชิกๆ จากตลาดปทุมธานี ที่แขวนเป็นระนาบเพื่อประโยชน์ในเชิงฟังก์ชันการใช้สอย ที่สะดวกรวดเร็ว แถมยังเป็นการโชว์มิติและพื้นผิวของวัสดุ จนเกิดเส้นสายของแสงและเงารูปร่างแปลกตา แต่มีจังหวะจะโคนดูเพลิดเพลินและน่าสนใจไม่เบื่อ ขับให้เกิดบรรยากาศแห่งความสุขยามรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของสมาชิกทุกคนเป็นอย่างดี

นอกหน้าต่าง

เมื่อมองจากโต๊ะรับประทานอาหาร จะเห็นบรรยากาศของสวนหลังบ้าน ถึงแม้จะเป็นที่ดินและทางเดินเข้าบ้านของคนอื่น ได้อาศัยความได้เปรียบด้านความสูงของตัวบ้านที่สามารถมองเห็นวิวจากมุมสูงลงไปพบความเขียวชอุ่มเบื้องล่าง โดยเฉพาะหน้าฝนอย่างตอนนี้ เราจะได้เห็นหยดน้ำฝนที่เกาะพร่างพราวตรงขอบหน้าต่างบานผลัก ทำให้ฤดูฝนที่เป็นสิ่งน่าเบื่อของคนเมือง กลับกลายเป็นความรื่นรมย์ของครอบครัวค้าขายอย่างบ้านคุณเหนือเมฆได้เป็นอย่างดี

งานนี้ต้องขอยกเครดิตให้สถาปนิกผู้ออกแบบ อันได้แก่ เตี่ย คุณเหนือเมฆ (น้าเมฆ) และเจ็กชุน ที่ช่วยกันออกแบบ หาวัสดุ แผ่นไม้ แผ่นประตูจากเพื่อนบ้านและญาติมิตร และลงมือลงแรงต่อเติมบ้านด้วยตนเองเป็นแบบ DIY แท้ๆ

หมายเหตุ:
ปลายปี 2554 น้ำท่วมปทุมธานีฝั่งตะวันตก บ้านน้าเมฆพังไปครึ่งหลัง จากการอยู่ใต้น้ำสูงถึงสองเมตร และถูกต้นก้ามปูใหญ่หลังบ้านที่ล้มลงมาทับเนื่องจากดินชุ่มน้ำไม่สามารถรับน้ำหนักรากของต้นไม้ใหญ่ไว้ได้ หลังจากฟื้นฟูสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวน้ำเงินใจงามจึงได้รีโนเวตบ้านใหม่ให้ด้านหลังมีพื้นที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกและชมวิวสีเขียวร่มรื่นด้านหลังบ้าน พร้อมกับการจิบกาแฟและอ่านนิตยสารทีวีพูลได้อย่างสบายอารมณ์

ปรัชญา สิงห์โต : ถ่ายภาพ (Galaxy Note / Camera360 / Fห่าอะไรไม่รู้ / ISO 9002)

เพิ่มเติม: ผู้เขียนเพิ่งไปเปิดเจอสภาพบ้านน้าเมฆตอนน้ำท่วมครับ แนะนำให้คลิกดูแล้วจะร้องเหยดเป้ด :05:

นิทานล้านบรรทัด

แฮ่.. ในที่สุดผมมีลูกจนได้ครับ

จริงอย่างที่ใครๆ ก็เหยียดหยันว่า มึงน่ะไม่ถ่ายรูปลูกไม่ได้ร้อกกกก
ก็เลยถ่ายแม่งเลย เอาให้เพียบ! แล้วเขียนเล่ายาวมากด้วยนะ

ไปอ่านต่อได้ที่บล็อก bow.iannnnn โลดครับ (เตือนไว้นิดว่าภาพเยอะ โหลดโหดมาก)

ป.ล.
ขอบคุณโคตรขอบคุณทุกๆ ข้อความแสดงความยินดีจากทุกสารทิศในวันนี้นะครับ
ผมเป็นพวกดิบๆ ไม่รู้จักกาลเทศะและมารยาทในการกล่าวขอบคุณเท่าไหร่
เลยไล่ขอบคุณเรียงตัวไม่ไหวจริงๆ คือที่จริงเขินมากและซึ้งใจกับทุกข้อความ ทุกเสียงทักทายครับ
แต่ทำตัวไม่ถูกจริงๆ ว่ะ.. ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ

มะรืนนี้จะมีลูก

***ตั้งใจจะเขียนสั้นๆ*** (ตั้งใจแบบนี้แล้วก็ไม่เคยสั้นได้ซะที)

เพิ่งพาเมียไปโรงพยาบาลมาครับ ไปตรวจครรภ์ก่อนคลอด
ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะผ่าคลอด 20 มี.ค. จะได้วันที่ 20 กันทั้งบ้าน สาระมีเท่านี้แหละ ไม่ได้ดูฤกษ์อะไรหรอก
แต่หมอดูสุขภาพของเด็กแล้ว พบว่าอั้นไว้ให้ถึงวันนั้นไม่ไหวละ คลอดมันอีตอน 37 สัปดาห์เลยละกัน
ซึ่งในทางการแพทย์ก็ถือว่าตอนนี้เด็กสุกแล้วนะครับ พร้อมเฉาะได้เลย ไม่รู้ภาษาหมอเขาเรียกอะไรนะ
คุณหมอหันมามองหน้าสองผัวเมีย แล้วบอกว่า “หมอให้แค่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นะ เลือกเอา”

ฉิบหายละ แม่ยายกูไปดูดวงผูกฤกษ์อะไรสารพัดมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ
ก็เลยบอกว่างั้นเอา 14 มี.ค.ละกันครับ จะได้มีเวลาตั้งตัว ปรับโหมดกันหน่อย

ทีแรกกะว่าอีกอาทิตย์กว่าๆ จะคลอด ก็เลยวางแผนลางาน-ทำงานอยู่บ้านเพื่อดูแลลูกเมียไว้ช่วงนั้น
แต่พอไปตรวจกับหมออีกที หมอบอกว่า.. อ้าว พิมพ์วนแล้วเนี่ย เลยรู้หมดว่าตื่นเต้นอยู่..

ก็เอาเป็นว่าอยู่ดีๆ ต้องสลับโหมดมาเป็นว่าที่คุณพ่อของน้องนิทานในอีกสองวันข้างหน้าในทันที

ก่อนอื่นก็โทรไปบอกพ่อกับแม่เพื่อแจ้งข่าวก่อนเลย แล้วก็ทวีต เด้งไปเฟซบุ๊ก คนทวีต-โพสต์ตอบบานตะไท
(เดี๋ยวนี้เรานิยมโพสต์กันก่อนบอกพ่อแม่ ส่วนตัวยังมองว่าแปลก อีก 30 ปีคนรุ่นนั้นคงตอบได้ว่ามันดีไหม)

เสร็จแล้วก็ปลอบเมีย (ที่ตื่นเต้นเยอะหน่อย) ว่าดีออก คลอดเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ (ไม่ใช่ก่อนกำหนดนะ)
จะได้ไม่ต้องทรมานแบกท้อง + ได้อุ้มเล่นเร็วๆ ไง เผลอๆ จะได้แข็งแรงพอจะไปคอนเสิร์ตแสตมป์ด้วย…

ทั้งหมดนี้เลยขอจดบันทึกไว้ว่าเออ พอถึงเวลาปั๊บ เราก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่คนรอบข้างดันตื่นเต้นกว่า (โดยเฉพาะเมีย แปดริกเตอร์ และแม่ยาย สิบสองริกเตอร์)
คือผมเป็นพวกมนุษย์ที่สนใจความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร กับอะไร
แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปมากมาย มานับๆ ดูก็มีหลายครั้งที่ควรตื่นเต้นนะ แต่ก็ไม่
คือกูเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ได้อีรังขังขอบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าควบคุมมันได้ หรือผ่านการวางแผนมาแล้ว

  • ตอนสอบเข้ามหาลัยได้นี่นิ่งมากครับ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเรายังเด็ก แต่ต่อมาจึงพิสูจน์ว่าไม่ใช่
  • ตอนเรียนจบ อันนี้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย เพราะคณะนรกนี่แม่งจบยากจริงๆ
  • ตอนจับทหารได้ใบแดงนี่เฉยๆ มากเลยครับ แต่บุพการีแทบสลบ สงสัยไปแอบบนไว้
  • ตอนเข้ากรมกอง อันนี้สนุกมาก แต่ก็ไม่ได้ประหม่าอะไร คือแม่งโลกของการแสดงชัดๆ
    ทุกคนแม่งเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสพวกจ่าเอย ครูฝึกเอย นายทหารเอยหมดเลย
  • ตอนไปขอลูกสาวเขา และแต่งงาน อันนี้นิ่งสนิทเลยครับ เหมือนชีวิตมันผ่านการเตรียมไว้แล้ว
  • และล่าสุดพอรู้ว่าตัวเองจะมีลูก อันนี้กึ่งๆ ตื่นเต้น กึ่งๆ สนใจว่าจะต้องยังไงต่อจากนี้ดี

จะเห็นได้ว่าหลายๆ เหตุการณ์เนี่ย ถ้าเกิดกับเราคนเดียวจะเฉยๆ มั่นใจว่าเอาอยู่
แต่ถ้ามันเกิดกับคนอื่นด้วย เช่นคุณเมีย ก็จะรู้สึกว่ามันนอกเหนือการควบคุมของเราหน่อยๆ
ที่สำคัญคือต้องเก็บอาการนิดนึง ให้มันดูพึ่งได้หน่อย แต่ก็ยอมรับครับว่าไอ้ที่ในหัว มีแต่เพลงติ๊กชีโร่

ภาระตอนนี้ของเราคือเตรียมตัวเคลียร์งาน และกำหนดขอลางานก่อนวาระที่ได้ขออนุญาตบริษัทไว้
(ย่อหน้านี้เราซีเรียสเรื่องงานไม่เสร็จ สลับกับรู้สึกผิดที่ทำให้งานมีส่วนกำหนดชีวิตมากกว่าครอบครัว)

เขียนจดหมายขอคำปรึกษาเรื่องลางานไป แต่บริษัทยังไม่ตอบมา ก็กะว่าจะประท้วงแล้วแหละ

ส่วนเมียก็กลับมาถึงบ้าน ขึ้นไปนอน แล้วเนี่ยตะกี้เพิ่งตื่นลงมา
ซักผ้าปูที่นอน และกำชับให้เตรียมประกอบเปล แล้วก็เตรียมอะไรๆ อีกหน่อยให้ทันพรุ่งนี้

ถ้าใครมีลูกแล้วคงอ่านแล้วอมยิ้มนะครับ ว่าคุณพ่อมือใหม่นี่มันน่าสนใจจริงๆ กูก็เคยเป็นนะ อะไรงี้
แต่เพื่อนฝูงคนไหนที่ยังไม่มีลูก แนะนำให้มีก่อนที่จะแก่ครับ

แต่ก่อนอื่น ต้องหาคนทำลูกกันให้ได้ก่อนนะ

ป.ล.
แม่ง ยาวจนได้..

ป.อ.
อ่านบล็อกของโบว์ จะได้รายละเอียดแบบที่ควรมากกว่าครับ ของผมมันเขียนเรื่อยๆ

ป.ฮ.
มีเพื่อนหลายคนจากหลายสาย ยุให้ถ่ายรูปตั้งแต่เกิด ยันทุกอิริยาบถ
มันคงเห็นว่าเราบ้าบันทึก บ้าถ่ายรูปเปะปะ นิสัยนี้เป็นมาได้จะยี่สิบปีแล้ว
อยากจะตอบไปว่าลูกกูไม่ใช่แพนด้า ไม่สิ จะบอกว่าผมมีเพื่อนที่ทำแบบนี้กับลูกอยู่แล้วคนนึงครับ
คือถ่ายทุกวัน กะว่าพออายุยี่สิบจะเอาทุกภาพตั้งแต่เกิดมาเรียงกันเป็นสุดยอดแอนิเมชันโคตรเท่
เห็นแล้วก็เออ ถ้าใครทำแบบมันได้คงเท่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรา เราแม่งขี้เกียจทำอะไรซ้ำๆ อ้ะ
ที่สำคัญคือพักหลังเป็นโรค “ปล่อยไปเหอะ ไม่ต้องไปบันทึกหรอก เหลือไว้เป็นความทรงจำบ้าง”
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการเกิดใหม่ในยุคที่การอวยพรวันเกิดสิ้นมนตร์ขลังไปเพราะเฟซบุ๊กนั่นเอง
(สรุป: ก็ยังถ่ายนะ แต่ไม่ได้ถ่ายแม่งทุกวัน ลูกกูตาเป็นต้อหินพอดี)