***ตั้งใจจะเขียนสั้นๆ*** (ตั้งใจแบบนี้แล้วก็ไม่เคยสั้นได้ซะที)
เพิ่งพาเมียไปโรงพยาบาลมาครับ ไปตรวจครรภ์ก่อนคลอด
ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะผ่าคลอด 20 มี.ค. จะได้วันที่ 20 กันทั้งบ้าน สาระมีเท่านี้แหละ ไม่ได้ดูฤกษ์อะไรหรอก
แต่หมอดูสุขภาพของเด็กแล้ว พบว่าอั้นไว้ให้ถึงวันนั้นไม่ไหวละ คลอดมันอีตอน 37 สัปดาห์เลยละกัน
ซึ่งในทางการแพทย์ก็ถือว่าตอนนี้เด็กสุกแล้วนะครับ พร้อมเฉาะได้เลย ไม่รู้ภาษาหมอเขาเรียกอะไรนะ
คุณหมอหันมามองหน้าสองผัวเมีย แล้วบอกว่า “หมอให้แค่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นะ เลือกเอา”
ฉิบหายละ แม่ยายกูไปดูดวงผูกฤกษ์อะไรสารพัดมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ
ก็เลยบอกว่างั้นเอา 14 มี.ค.ละกันครับ จะได้มีเวลาตั้งตัว ปรับโหมดกันหน่อย
ทีแรกกะว่าอีกอาทิตย์กว่าๆ จะคลอด ก็เลยวางแผนลางาน-ทำงานอยู่บ้านเพื่อดูแลลูกเมียไว้ช่วงนั้น
แต่พอไปตรวจกับหมออีกที หมอบอกว่า.. อ้าว พิมพ์วนแล้วเนี่ย เลยรู้หมดว่าตื่นเต้นอยู่..
ก็เอาเป็นว่าอยู่ดีๆ ต้องสลับโหมดมาเป็นว่าที่คุณพ่อของน้องนิทานในอีกสองวันข้างหน้าในทันที
ก่อนอื่นก็โทรไปบอกพ่อกับแม่เพื่อแจ้งข่าวก่อนเลย แล้วก็ทวีต เด้งไปเฟซบุ๊ก คนทวีต-โพสต์ตอบบานตะไท
(เดี๋ยวนี้เรานิยมโพสต์กันก่อนบอกพ่อแม่ ส่วนตัวยังมองว่าแปลก อีก 30 ปีคนรุ่นนั้นคงตอบได้ว่ามันดีไหม)
เสร็จแล้วก็ปลอบเมีย (ที่ตื่นเต้นเยอะหน่อย) ว่าดีออก คลอดเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ (ไม่ใช่ก่อนกำหนดนะ)
จะได้ไม่ต้องทรมานแบกท้อง + ได้อุ้มเล่นเร็วๆ ไง เผลอๆ จะได้แข็งแรงพอจะไปคอนเสิร์ตแสตมป์ด้วย…
ทั้งหมดนี้เลยขอจดบันทึกไว้ว่าเออ พอถึงเวลาปั๊บ เราก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่คนรอบข้างดันตื่นเต้นกว่า (โดยเฉพาะเมีย แปดริกเตอร์ และแม่ยาย สิบสองริกเตอร์)
คือผมเป็นพวกมนุษย์ที่สนใจความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร กับอะไร
แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปมากมาย มานับๆ ดูก็มีหลายครั้งที่ควรตื่นเต้นนะ แต่ก็ไม่
คือกูเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ได้อีรังขังขอบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าควบคุมมันได้ หรือผ่านการวางแผนมาแล้ว
- ตอนสอบเข้ามหาลัยได้นี่นิ่งมากครับ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเรายังเด็ก แต่ต่อมาจึงพิสูจน์ว่าไม่ใช่
- ตอนเรียนจบ อันนี้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย เพราะคณะนรกนี่แม่งจบยากจริงๆ
- ตอนจับทหารได้ใบแดงนี่เฉยๆ มากเลยครับ แต่บุพการีแทบสลบ สงสัยไปแอบบนไว้
- ตอนเข้ากรมกอง อันนี้สนุกมาก แต่ก็ไม่ได้ประหม่าอะไร คือแม่งโลกของการแสดงชัดๆ
ทุกคนแม่งเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสพวกจ่าเอย ครูฝึกเอย นายทหารเอยหมดเลย
- ตอนไปขอลูกสาวเขา และแต่งงาน อันนี้นิ่งสนิทเลยครับ เหมือนชีวิตมันผ่านการเตรียมไว้แล้ว
- และล่าสุดพอรู้ว่าตัวเองจะมีลูก อันนี้กึ่งๆ ตื่นเต้น กึ่งๆ สนใจว่าจะต้องยังไงต่อจากนี้ดี
จะเห็นได้ว่าหลายๆ เหตุการณ์เนี่ย ถ้าเกิดกับเราคนเดียวจะเฉยๆ มั่นใจว่าเอาอยู่
แต่ถ้ามันเกิดกับคนอื่นด้วย เช่นคุณเมีย ก็จะรู้สึกว่ามันนอกเหนือการควบคุมของเราหน่อยๆ
ที่สำคัญคือต้องเก็บอาการนิดนึง ให้มันดูพึ่งได้หน่อย แต่ก็ยอมรับครับว่าไอ้ที่ในหัว มีแต่เพลงติ๊กชีโร่
ภาระตอนนี้ของเราคือเตรียมตัวเคลียร์งาน และกำหนดขอลางานก่อนวาระที่ได้ขออนุญาตบริษัทไว้
(ย่อหน้านี้เราซีเรียสเรื่องงานไม่เสร็จ สลับกับรู้สึกผิดที่ทำให้งานมีส่วนกำหนดชีวิตมากกว่าครอบครัว)
เขียนจดหมายขอคำปรึกษาเรื่องลางานไป แต่บริษัทยังไม่ตอบมา ก็กะว่าจะประท้วงแล้วแหละ
ส่วนเมียก็กลับมาถึงบ้าน ขึ้นไปนอน แล้วเนี่ยตะกี้เพิ่งตื่นลงมา
ซักผ้าปูที่นอน และกำชับให้เตรียมประกอบเปล แล้วก็เตรียมอะไรๆ อีกหน่อยให้ทันพรุ่งนี้
ถ้าใครมีลูกแล้วคงอ่านแล้วอมยิ้มนะครับ ว่าคุณพ่อมือใหม่นี่มันน่าสนใจจริงๆ กูก็เคยเป็นนะ อะไรงี้
แต่เพื่อนฝูงคนไหนที่ยังไม่มีลูก แนะนำให้มีก่อนที่จะแก่ครับ
แต่ก่อนอื่น ต้องหาคนทำลูกกันให้ได้ก่อนนะ
ป.ล.
แม่ง ยาวจนได้..
ป.อ.
อ่านบล็อกของโบว์ จะได้รายละเอียดแบบที่ควรมากกว่าครับ ของผมมันเขียนเรื่อยๆ
ป.ฮ.
มีเพื่อนหลายคนจากหลายสาย ยุให้ถ่ายรูปตั้งแต่เกิด ยันทุกอิริยาบถ
มันคงเห็นว่าเราบ้าบันทึก บ้าถ่ายรูปเปะปะ นิสัยนี้เป็นมาได้จะยี่สิบปีแล้ว
อยากจะตอบไปว่าลูกกูไม่ใช่แพนด้า ไม่สิ จะบอกว่าผมมีเพื่อนที่ทำแบบนี้กับลูกอยู่แล้วคนนึงครับ
คือถ่ายทุกวัน กะว่าพออายุยี่สิบจะเอาทุกภาพตั้งแต่เกิดมาเรียงกันเป็นสุดยอดแอนิเมชันโคตรเท่
เห็นแล้วก็เออ ถ้าใครทำแบบมันได้คงเท่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรา เราแม่งขี้เกียจทำอะไรซ้ำๆ อ้ะ
ที่สำคัญคือพักหลังเป็นโรค “ปล่อยไปเหอะ ไม่ต้องไปบันทึกหรอก เหลือไว้เป็นความทรงจำบ้าง”
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการเกิดใหม่ในยุคที่การอวยพรวันเกิดสิ้นมนตร์ขลังไปเพราะเฟซบุ๊กนั่นเอง
(สรุป: ก็ยังถ่ายนะ แต่ไม่ได้ถ่ายแม่งทุกวัน ลูกกูตาเป็นต้อหินพอดี)
Like this:
Like Loading...