ต้มไข่ด้วยเตาไมโครเวฟ

เคยได้ยินมานานว่า “ห้ามต้มไข่ในเตาไมโครเวฟ เพราะมันจะระเบิด”

ด้วยความไม่เคยต้องสงสัยอะไร ก็เลยไม่ต้ม เอาจริงๆ คือไม่ได้ชอบกินไข่ต้มเป็นพิเศษอยู่แล้ว ตอกดิบๆ ใส่ใส่มาม่า แล้วโยนลงไปในเตายังจะถนัดกว่า ประสาคนขี้เกียจแม้แต่จะจุดเตาแก๊ส

แต่วันนี้ลูกสาวบอกว่าอยากกิน (พ่อทำไข่น้ำให้เอาไหม — ไม่เอา ทานจะกินไข่ต้ม)

ส่วนเมียก็ยุ่งอยู่ชั้นบน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า #พ่อบ้านใจกล้า จากทั่วโลกคงเคยเจอสถานการณ์บีบบังคับนี้มาบ้างแหละ ก็เลยเปิดตู้เย็น และปรึกษากูเกิล ได้คำตอบมาประมาณนี้

  1. อย่านะครับ ของผมนี่ระเบิดตูม ฝาหน้าไมโครเวฟหลุดกระจายมาแล้ว
  2. ไม่ได้ยากอะไรหรอก แต่ต้องจ้องดีๆ ถ้ามันทำท่าจะระเบิด ให้รีบกดปิดทันที (แม่งใครจะไปกล้าจ้องวะ)
  3. ของเราใส่น้ำให้ท่วมไข่ แต่พอทำออกมาแล้วตอกดู มันมาระเบิดข้างนอก เต็มหน้าเลย ร้อนมาก
  4. เคยมีเคสที่ต่างประเทศ การระเบิดของไข่นี่แหละทำให้คนที่ทำเกือบตาบอด เพราะเปลือกไข่ร้อนๆ ที่พุ่งเข้ามาแรงๆ มันคือสะเก็ดระเบิดดีๆ นี่เอง
  5. ฯลฯ

เหี้ยแล้วไหมล่ะ กำลังใจแต่ละอย่างมาเต็ม

แต่กระนั้นก็ต้องมีคนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ผมเลยทำเป็นลืมข้อมูลเชิงลบจากพวกนู้บข้างบน แล้วหาข้อมูลจนสรุปออกมาได้วิธีการดังนี้

  1. เทน้ำใส่ถ้วยในปริมาณเยอะพอที่จะท่วมเหนือไข่สัก 1 นิ้ว (ไข่ไก่นะไม่ใช่อัณฑะ …ถ้าอัณฑะนี่ สูงขึ้นมา 1 นิ้วก็คงอยู่กลางดงหมอย) เอาไปต้มให้ร้อนก่อน นี่ถามจริงๆ ว่าแกจะให้ต้มทำไมในเมื่อนี่คือหลักสูตรการใช้ไมโครเวฟ งี้ถ้ารักจะต้มกิน แค่เอาไข่โยนลงไปด้วยก็จบแล้วเนอะ อีบ้า (ดังนั้นผมเลยเอาน้ำเปล่าไปเวฟ 1.30 นาที ได้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อน
  2. โยนไข่ลงไปแล้วตรวจสภาพ ต้องแน่ใจว่าน้ำท่วมไข่นะ ถ้าไข่ลอยห้ามดื้อดึงทำต่อ ระเบิดแน่ คือต้องจมน้ำเท่านั้น (แนะนำแบบคนที่ไม่เคยทำอ่านแล้วเสียวมาก) แช่ไว้ประมาณ 2 นาที (ทำไมนาน)
  3. เสร็จแล้วลากทุกอย่างไปเข้าเตาไมโครเวฟ เลือกความร้อนสูงสุด 5 นาทีสำหรับไข่ยางมะตูม และ 7 นาทีสำหรับไข่สุก
  4. เมื่อได้ยินเสียงติ๊ด (บางบ้านก็ปี๊บ บางบ้านก็นิ้งหน่อง แต่นั่นใช่เรื่องที่จะใส่ใจไหม ก็ไม่นะ) ให้เอาออกมาแช่น้ำเย็นด้วย ไม่งั้นระเบิดใส่หน้า (มีการขู่ปิดท้ายอีก สัสเอ๊ย)

อีกแหล่งข้อมูลนึงบอกว่า ไม่เห็นยากเลย ใส่เกลือลงไปในน้ำ 1 ช้อนชา (ไม่ได้บอกปริมาตรน้ำ) แล้วเวฟตามปกติ โซเดียมในเกลือจะทำให้การสั่นเทิ้มของแอมปลิจูดส้มตำอะไรสักอย่างที่เป็นภาษาวิชาการสารประกอบทางเคมี อันนี้ผมอ่านข้ามไปอย่างไม่ไยดี สรุปว่ามึงใส่เกลือก็พอ

ด้วยความเป็นมือใหม่ เลยเอาสองวิธีมาปนกันแม่งเลย และไหนๆ ก็ขอทดลองทีเดียว 3 ฟองดังนี้

20150419_154540

ขอแนะนำตัวละครทั้งสาม: ไพโรจน์ผู้เป็นไข่เบอร์ 0 ส่วนฉวีวรรณและอุไรรัตน์ เธอเป็นไข่เบอร์ 4 ที่ซื้อมาหลังสงกรานต์จากแผงหน้าร้าน CP (เขาลดราคาเธอทั้งสองเหลือแค่กระบะละ 69 บาท ก็ตกฟองละ 2 บาทนิดๆ เอง)

ทีแรกจะลองแค่ 2 ฟอง คือไพโรจน์กับฉวีวรรณ แต่พอแช่น้ำร้อนไปได้สัก 30 วินาที ก็สังเกตพบปัญหาคือ ฉวีวรรณเธอมีฟองพรายผุดออกมา เอ๊ะ ไข่รั่ว หรือมีรอยร้าว หรือเธอต้องการเรียกร้องความสนใจกันแน่ ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เรียกอุไรรัตน์ลงมาออนเซ็นอีกฟอง

20150419_154258

ก็นั่นแหละครับ ด้วยความป๊อด ผมเลยทำทุกวิธีทางที่กูรูแนะนำมา คือใส่เกลือด้วย ต้มน้ำร้อนก่อนด้วย แล้วค่อยเอาไปเวฟด้วยใจระทึก ระหว่างนี้ก็บอกลูกสาวให้ไปหลบหลังบังเกอร์ แล้วอีพ่อมาเกาะดูห่างๆ อย่างห่วงๆ เหงื่อเริ่มซึมตามง่ามนิ้วมือ อ้อ ผมตั้งเวลาไว้ 4 นาทีเท่านั้นเอง กะว่าถ้าระเบิดตูมขึ้นมา ลูกจะได้ปลอดภัย พรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนวันแรกด้วย (อีพ่อก็คาดว่าอีหวีวรรณมึงตูมแน่ แววมึงมาตั้งแต่แช่นำ้แล้ว)

หลังจากนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างเยือกเย็น ในที่สุดก็ครบ 4 นาทีแห่งความทรมาน ผมเชิญทั้ง 3 ออกมาจากห้องเซาน่า แล้วตรวจดูสภาพ

20150419_154421

นั่นไง อีหวี ปริเชียวนะแก นี่แกเตรียมเปลี่ยนเป็นร่างสามแล้วสิ!

เอ้า ย้ายลงไปแช่น้ำก๊อกธรรมดา (นี่ก็เพราะความป๊อด เขาบอกอะไรมานิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อหมด อารมณ์คนมีญาติเป็นมะเร็งแล้วโดนหมอผีหลอกให้กินยาหม้อ) เสร็จแล้วจัดการใช้มีดผ่าออกมาดูผลการทดลองเลยทั้งสามฟอง

20150419_154846

ไพโรจน์: สุกสนิท แบบนี้เหมือนไข่ต้มเซเว่น ซึ่งโอเค นั่นแสดงว่าการแช่น้ำร้อน 2 นาทีแรก ทำให้แกสุกจนเวลดัน

20150419_155007

อุไรรัตน์: เป็นไข่ยางมะตูมพอดี!!! ยูเรก้า!!! นิทานชอบกินเยิ้มๆ แบบนี้เลย แล้วเซเว่นนะ แม่งขายแพงมาก ทั้งที่ทำเองได้ แค่เสี่ยงระเบิดนิดเดียวเอง งั้นนิทานรอพ่อแป๊บนะ ขอถ่ายมาโซเชียลก่อน

20150419_155255

ขอดูอุไรรัตน์อีกมุมนึง อื้อหือ เซ็กซี่สุดๆ!

ส่วนฉวีวรรณที่น่าเป็นห่วง ผมเอามาเคาะๆ ถอดเสื้อผ้าดู ก็พบว่ามีความสุกประมาณไพโรจน์ (เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนเหมือนกัน) ซึ่งแสดงว่าการที่ไข่มีฟองอากาศตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้มีผลอะไรนัก สบายใจ ไม่ใช่ไข่เน่าอย่างที่คิด (เพราะมันจมน้ำด้วยแหละ)

แต่ไม่ทันได้ถ่าย เพราะนิทานทนหิวไม่ไหว เลยคว้าไปกิน …ก็พ่อมัวแต่เล่นอยู่ได้

.

สรุปผลการทดลอง: โลกโซเชียลทำให้เสียเวลาทำมาหากิน

น้ำล้างตีน

แก้วกาแฟ

ผมไม่กินกาแฟ เลยไม่อินกับวัฒนธรรมกาแฟเท่าไหร่

ที่ไม่กินก็เพราะเวลากินแล้วมันจะขมปากขมคอ กลิ่นมันจะวนเวียนตั้งแต่หลอดลม ทะลุไปยันระบบทางเดินอาหาร เลยออกมาถึงตอนฉี่ จะมีกลิ่นกาแฟชัดมาก (คือตัวเองก็ดันเป็นพวกจมูกดีด้วยสิ) เลยไม่ชอบ

ซึ่งก็นับเป็นข้อดีพอได้อยู่ เพราะวันไหนที่ต้องการทำงานดึกจริงๆ กาแฟนั้นถือเป็นยาแรงที่ได้ผลเสมอ (ซึ่งโอกาสแบบที่ว่านั้นมีแค่ปีละ 2-3 ครั้ง ไม่น่าเกิน)

และเนื่องจากไม่อินกับกาแฟ ตัวเองก็เลยไม่ได้อะไรเลยกับกาแฟตรานางเงือก คือรู้ว่ามันเป็นสถานที่นัดพบคุยงานได้ แล้วสมัยทำงานที่ต้องนัดกับลูกค้าบ่อยๆ (ลูกค้า)ก็จะเลือกร้านกาแฟที่ว่าเนี่ยเป็นสถานที่คุยงานแมจ่ายค่าชาเขียวปั่นให้ด้วย ส่วนผมก็มีหน้าที่นั่งเกร็งอย่างเดียวเลย คือเกร็งจริงๆ การได้นั่งในบรรยากาศแบบนั้นเหมือนเราเลี้ยวมาผิดมากๆ เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเรามากๆ

จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านเขาไม่ใส่รองเท้าแตะเข้าร้านกาแฟกันวะ (ที่จริงมึงควรสงสัยว่าทำไมมึงคีบแตะมาคุยงานกะลูกค้ามากกว่า)

แต่นั่นก็เรื่องขี้หมูขี้หมาครับ

คือที่ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวันนี่เพราะตัวเองไปเที่ยว เพิ่งกลับมา นอกจากบล็อกแล้วก็แทบจะไม่ได้โซเชียลอะไรอีกเลย (แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ได้โซเชียลจริงๆ ก็ยังถือว่าเยอะ แต่ช่างเถอะ)

หลังจากอดนอนก่อนหน้าที่จะไปเที่ยวหลายคืนเพราะเคลียร์งานสารพัด ก็ต้องขับรถไกลๆ ไปต่างจังหวัด และเฮฮากับเพื่อนฝูงยันเกือบรุ่งสาง และตื่นมาเพราะเสียงเด็กตัวเล็กทีนึง ตัวใหญ่อีกทีสลับกัน เสร็จแล้วก็ขับรถต่อ แวะเที่ยว ขับรถ แวะเที่ยว ฯลฯ

เอาเป็นว่าอดนอนอย่างบักโกรกเลยละกัน

ขากลับตรงมอเตอร์เวย์ เลยรู้สึกว่าไม่ได้ละ เพื่อจะให้ลูกเมียหลับอย่างสบายใจอยู่ที่เบาะหลัง เราต้องหาอะไรมากระแทกปากสัดหน่อย

ทีแรกก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องแวะร้านเงือกเขียว แต่จะเข้าเซเว่นไปหาอะไรเคี้ยวเล่นๆ งี้ แต่พอดีเมียเสนอว่า แวะร้านเงือกหน่อยละกัน เพราะคุณลูกสาวคนโตทำท่าจะปวดอุ๊จ เดี๋ยวมาอุ๊จเอากลางทาง เกรงจะทำให้มอเตอร์เวย์แปดเปื้อน แถมคุณลูกสาวก็ท่าจะง่วงมาก ให้แวะห้องน้ำสาธารณะด้านนอกซึ่งดูแล้วไม่ถูกสุขอนามัยสำหรับเด็กเล็กที่ง่วงสุดขีดด้วย …ก็เลยแวะ สตบ จนได้

ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยบอกเมียให้ซื้อชาเขียวให้แก้วนึง (ยังไม่อยากกินกาแฟเพราะเดี๋ยวกลิ่นมันติดขมคอไปยันเช้า ยังไม่ได้ต้องการยาแรงขนาดนั้น) เมียก็เดินจูงลูกหายเข้าไปในร้าน …ไปอุ๊จนั่นแหละ

แล้วก็ออกมาเจอผมที่อุ้มลูกสาวตัวเล็กอยู่ เลยถามไปว่ากี่บาท

“140”

“หา!?”

“ราคามันเท่านี้แหละ” เมียตอบ

ผมตกใจเว้ย คือ เชี่ย ร้อยกว่าบาทเลยเหรอวะ ชาเขียวแก้วเท่านี้ นี่เขาคิดรวมค่าน้ำแข็งก้อนละห้าบาทด้วยรึเปล่า ทำไมถึง…

กำลังจะโชว์ความบั้นนอกที่ไม่รู้จักเรตราคาของ สตบ ไปให้เมียหัวเราะ พลันก็นึกขึ้นได้ว่า หลายครั้งเวลาขับรถออกต่างจังหวัดไกลๆ และต้องการตื่นสบายตลอดทาง ผมเองก็จะกินชาเขียวจากร้านป่าทึบที่อยู่ตามปั๊มน้ำมัน อันนั้นแก้วละ 50 บาท และเข้มข้นสะใจ

แล้วก็นึกถึงคำของมิตรสหายสักตัวนึงที่บอกว่า เครื่องดื่มยี่ห้อป่าทึบนี่แม่ง ยังกะน้ำล้างตีน สู้ตรานางเงือกไม่ได้

ผมดูดอีกจ้อด (ดูดไป 16.50 บาท) แล้วเอาลิ้นไล้ๆ ให้มันสัมผัสกับต่อมรับรสอีกที ว่ามันต่างกันตรงไหน ใช่ แน่นอน ก็ต่าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไร แค่มันต่างเท่านั้นเอง

เมียก็บอกว่าเตงน่ะเป็นพวกลิ้นจระเข้ คือกินอะไรก็ไม่ต่าง ของดีกับของธรรมดา (ที่จริงบอกว่าของห่วย) มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว

ผมก็บอกว่าใช่ มันต่างไง อันนี้ถูกแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะแยกไม่ออก หรือลิ้นจะกากจนสัมผัสไม่ได้ว่ามันมีความต่าง

ประเด็นคือผมเองไม่รู้สึกว่าอย่างหนึ่งจะดีกว่าอีกอย่าง แบบที่ถ้ามัดใส่ถุงแบบกาแฟโบราณเอามาให้ดูด ก็พอจะรู้นะว่าของเหลวในถุงไหนวัตถุดิบราคาแพงกว่า ทำเนี้ยบกว่า ค่าการตลาดสูงกว่า แต่ไม่จำเป็นว่าได้ที่ทุกคนบอกว่าดีกว่านั้นมันจะต้องถูกใจเราเสมอไป ของแบบนี้มันอยู่ที่จริตคนเสพนะ

แถมการที่ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างนึงได้เลย คือกินของถูกๆ ก็ยังปิติกับมันได้ …ประหยัดดีออก 5555

ส่วนใหญ่พอตอบไปแบบนี้ เมียก็มักจะสวนว่า ในขณะเดียวกันเวลาเตงกินของแพงๆ แล้วแสดงความอร่อยเท่าของถูกๆ ก็จะรู้สึกเสียดายของ

ก็จบเห่

ป.ล.
ค่าอุ๊จของลูกคือ 140 บาท ให้นึกว่าถ้าไปตามสถานที่ที่เก็บค่าอุ๊จครั้งละ 2 บาทติดต่อกันทุกวัน เราจะไปได้ถึง 70 วัน = สองเดือนกว่าๆ! ลูกขี้ได้ตั้งสองเดือนกว่าๆ!!!

ป.อ.
นึกถึงบากิตอนนึงที่ยูจิโร่หรือใครสักคนนี่แหละที่บอกว่า ไวน์ 2 ขวดที่ราคาต่างกัน 100,000 เท่า ก็ไม่ได้แปลว่ารสชาติจะดีกว่ากัน 100,000 เท่านะ ความต่างอาจจะ 10 หรือ 100 เท่าเท่านั้นเอง

ป.ฮ.
ชั่วชีวิตนี้นึกได้อย่างนึงที่กินแล้วรู้สึกว่านั่นคือน้ำล้างตีนจริงๆ คือก๋วยเตี๋ยวหน้าโลตัสเอ็กซ์เพรสเสนา (เมื่อนานมาแล้วนะ ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนเจ้าไปแล้ว) คือพอมีร้านมาใหม่ ผมก็ไปลองตามประสาคนรักก๋วยเตี๋ยว สั่งเส้นเล็กลูกชิ้นน้ำใสซึ่งดูจะเป็นจุดขายของร้าน พอได้รับมาปั๊บก็ซดน้ำซุปเลยครับ… มันคือน้ำเปล่าที่โยนลูกชิ้นกับเส้นและถั่วงอกลงไป อีเหี้ย

รีวิว 3 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งลาดปลาเค้า

พอดีผมเป็นคนชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากโดยไม่จำกัดสัญชาติ จะเป็นก๋วยจั๊บญวนหรือราเม็ง หรืออาหารอะไรก็ได้ที่มันเป็นชามๆ มีน้ำซุป แล้วใส่เส้นลงไป เพิ่งมารู้ตัวเอาเมื่อตอนโตนี่แหละว่าตัวเองที่ถึงแม้จะไม่มีรสนิยมด้านอะไรเลย (ไม่ว่าจะเป็นแฟชัน หูฟัง เพลง หนัง ฯลฯ คือรสนิยมต่ำแบบที่พูดไปก็โดนดูถูกน่ะ 555)

แต่กับก๋วยเตี๋ยวนี่ค่อนข้างมั่นใจว่าผมกินเป็น และแนะนำได้ว่าเจ้าไหนอร่อย

ก่อนหน้านี้ที่ผมยังทำงานอยู่ออฟฟิศแถวเพลินจิต เวลาพักเที่ยงทีนึงก็จะไปหากินใกล้ๆ ซึ่งแถวนั้นก็มีร้านฟู้ดคอร์ตบ้าง เวิ้งโซนอาหารบ้าง ซึ่งไม่ว่าจะร้านไหนๆ มันก็มีไว้แค่ให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรากินกันตาย แต่แทบไม่มีเจ้าไหนเลยที่รู้สึกว่ากินแล้วโหยหา อยากกลับไปจัดใหม่อีกครั้ง หรือกินแล้วอยากอวด อยากชวนเพื่อนฝูงมานั่งกินด้วยอย่างร้านแถวบ้าน!

อันว่าย่านลาดปลาเค้านั้นเป็นย่านที่ไม่ค่อยมีอะไรครับ เป็นถนนแห้งๆ รถวิ่งผ่านมาแล้วก็เลยผ่านไป มองรอบๆ มีแค่แฟลตทหาร ร้านเกะล้วงที่ปิดตอนกลางวันและไปล้วงกันตอนกลางคืน แล้วก็พวกร้านอะไหล่ยนต์ แอร์ ซ่อมช่วงล่างงี้ ดูแล้วไม่ค่อยมีชีวิตชีวาและเป็นมิตรกับการใช้ชีวิตประจำวันเท่าไหร่เมื่อเทียบกับโซนลาดพร้าวอื่นๆ อย่างโชคชัยสี่หรือวังหิน แต่เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะเริ่มสนุกขึ้น เพราะพวกคอนโดเอย บ้านจัดสรรเอย เริ่มทยอยมาเปิดแถวๆ นี้เพราะอีกไม่นานรถไฟฟ้าจะมา (พี่แกเลยเอามาเป็นจุดขาย ขายอนาคตนี่แหละสวยหรูดี)

แล้วระยะนี้ผมเริ่มอยู่ติดบ้านน่ะครับ ด้วยความที่แถวนี้มันไม่ค่อยมีอะไร แต่ผมจำเป็นต้องออกไปหาอะไรกิน เพราะเมียไม่ใช่แนวแม่ศรีเรือน ทำอาหารไม่เป็น ถึงวันไหนคึกลองทำขึ้นมาก็ไม่สามารถถ่ายรูปโพสต์โชว์ใครได้ ดังนั้นทุกร้านที่อยู่ในย่านนี้จึงเสร็จบ้านเราหมดแล้ว ไหน มึงเปิดใหม่ใช่ไหม ขอไปลองหน่อย ถ้าไม่เวิร์กก็กู๊ดบาย แต่ที่ไหนเวิร์กก็ไปซ้ำอีก โดยมีข้อแม้ว่าขอเป็นแถวๆ บ้าน จะได้หอบลูกเล็กไปได้สะดวกหน่อย

แต่โดยลำพังถ้าเมียกับลูกไปค้างบ้านแม่ยาย ทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียว ร้านที่ตัวเองจะไปประจำก็คือร้านก๋วยเตี๋ยวครับ ด้วยรสนิยมเป็นพวกเน้นกินเส้นอย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก พอเที่ยงทีไรก็จะปั่นจักรยานออกไปเสพเส้นใส่ท้องแล้วกลับมานอนแผ่อ่านการ์ตูนอยู่บ้านทุกที

ตัดเข้าเรื่องเลยละกัน ผมได้ไปทำการสำรวจร้านก๋วยเตี๋ยวในย่านลาดปลาเค้ามากว่า 87,400 ร้าน และทำการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ตูเอง) จนเหลือสุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งลาดปลาเค้ามา 3 ร้าน 3 แนว ดังต่อไปนี้

ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ซอยลาดปลาเค้า 28

ยกให้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่เชิดหน้าชูตาของย่านนี้เลย ร้านไม่ได้ดังถล่มทลายแบบที่ใครต่อใครต้องถ่อมากินเพราะความดังนะครับ แต่ถ้าจะถ่อมาก็อยากให้ลองชิมเพราะรสชาติ บรรยากาศของร้าน (เปิดเพลงฝรั่งแนวเรื่อยเปื่อยเอื่อยเฉื่อย) และลูกสาวเจ้าของร้านมากกว่า ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ตั้งอยู่เงียบๆ ในซอยลาดปลาเค้า 28 (ดูใน Google Street View) เปิดมาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว ที่เจ๋งคือเป็นบ้านของเจ้าของร้านเอง เวลามากินเลยไม่รู้สึกว่าจะต้องรีบกินและรีบไป ไม่งั้นแม่ค้าจะบ่นเอา ดังนั้นเวลาไปแต่ละครั้งกับลูกเมีย ผมเลยอุ้มลูกไปดูหมา ดูปลา (มีปลาด้วย) ดูรูปปั้นเป็ดไก่ และเล่นกระดิ่งวัวที่เป็นของประดับในสวนกระถางเล็กๆ ของร้าน ก็โอเคนะครับ สงบดี

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
บรรยากาศหน้าร้าน

เมนู
เมนูของร้านนี้ ที่จริงมีเย็นตาโฟอีกนะที่เป็นจุดขาย แต่ผมชอบต้มยำมากกว่า

วุ้นเส้นหมูสับต้มยำ
ถ้าสั่งวุ้นเส้นต้มยำหมูสับแบบนี้ 40 บาท จะได้หมูสับโบ๊ะมาเต็มหน้า

บะหมี่ต้มยำหมูรวม
ส่วนเมนูโปรดของผมคือบะหมี่ต้มยำหมูรวม ใส่มาหมดเลย หมูสับ หมูชิ้น กระดูกอ่อนกรุบกริบ ใส่ไข่ด้วยนะ (45 บาท)

บะหมี่ต้มยำหมูรวม
รสชาติน้ำซุปกลมกล่อมครับ พอพี่สาวน้องสาว (ลูกสาวเจ้าของร้านน่ารักทุกคน นี่ถึงกับย้ำ) เอาชามมาวางเสิร์ฟ ก็กินได้เลย ไม่ต้องปรุงอะไร

อ้อ คราวที่ไปถ่ายรูปมานี่ไม่มียำสามกรอบ เอามาเคี้ยวเล่นสนุกดี กับกล้วยทับ วางมาเป็นจานพร้อมไม้จิ้ม หรือจะสั่งลูกชิ้นมานั่งกินเล่นก็ได้ แต่ก๋วยเตี๋ยวรอไม่นานนะ ถึงคนจะเยอะก็ไม่นาน ส่วนออปชันอื่นๆ ก็เช่น มีหนังสือพิมพ์สองค่ายใหญ่ให้อ่านสลับกัน มีน้ำแปลกๆ ให้ลองกิน (ลองถามป้าดูก่อนว่าวันนี้มีน้ำอะไรบ้าง)

ข้อเสียของร้านนี้คือบางทีถ้ามาตอนเที่ยงๆ จะไม่มีที่จอดรถครับ แต่ร้านเปิดเช้า เก้าโมงก็นั่งกินได้แล้ว มาช่วงเวลาอื่นจะได้นั่งชิวๆ ได้มากกว่า ก็ไม่ถือเป็นข้อเสียเท่าไหร่เนอะ / ร้านปิดวันอาทิตย์ครับ ถ้ามาเจอปิดกลัวเก้อก็ข้ามไปกินข้าวซอยฝั่งตรงข้ามก็ได้ อร่อยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แนวก๋วยเตี๋ยวเลยไม่ได้จัดรวมอยู่ในรีวิวครั้งนี้

ต่อไปเป็นร้านที่สอง..
Continue reading รีวิว 3 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งลาดปลาเค้า

069 | มีปรัชญาใต้หลังคาจาก

กลับบ้านมาคราวนี้พ่อพาไปกินอาหารป่าแถวๆ บ้าน
นอกจากจะอิ่มท้องจนพุงปลิ้นแล้ว ยังได้ยิ้มกับบทกวีที่ตับจากอีกด้วย
ลองอ่านแล้วนึกภาพหน้าคนเขียน (เจ้าของร้าน) เวลาแกเมาๆ ดูสิครับ
ผมว่าน่ารักเป็นบ้าเลย

01
Continue reading 069 | มีปรัชญาใต้หลังคาจาก