กระป๋องโค้กใส่เม็ดถั่วเขียว

mascot

มีจดหมายแนบมากับกระเป๋าเป้ของนิทานว่า วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันกีฬาสีของโรงเรียน

เพื่อความครื้นเครงและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ให้ช่วยนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เชียร์ (อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม เสร็จตูล่ะ งานประดิษฐ์แบบนี้ของถนัดเลย)

แต่เดี๋ยวก่อน… ในจดหมายมีระบุไว้ว่า จงทำแบบนี้

  1. ใช้กระป๋องโค้ก 2 กระป๋อง (ระบุยี่ห้อเรียบร้อย เข้าใจว่าบริษัทโค้กอาจมีเอี่ยวกับธุรกิจกีฬาสีของโรงเรียนอนุบาลที่มีมูลค่านับพันล้านบาทด้วยไม่มากก็น้อย)
  2. ใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป
  3. ปิดทับด้วยกระดาษสีชมพูซึ่งเป็นสีของลูกหลานท่าน

โอเค ฟังดูไม่ยาก ทีนี้ปัญหาคือ

  1. บ้านเราไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม ไอ้ครั้นจะใช้กระป๋องเบียร์แทนก็ยิ่งยากใหญ่เลยเพราะไม่มีใครดื่มเบียร์แน่ ก็เลยต้องไปซื้อในแม็กซ์แวลู่ข้างบ้าน เสียตังค์อีก (ถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้เศษวัสดุเหลือใช้ละ)
  2. บ้านเราไม่มีใครทำอาหาร ไอ้ครั้นจะหาถั่วเขียว… เอาเถอะ ตอนไปแม็กซ์แวลู่เลยแวะดูชั้นวางถั่วเขียวด้วย ก็มีแต่แบบออร์แกนิก อีห่า ถุงละ 74 บาท…
  3. กระดาษสีชมพู (และกาว) อันนี้เดี๋ยวไปซื้อ ต้องซื้ออยู่แล้วแหละเนอะ

แล้วก็นึกได้ว่าที่บ้านเรามีอุปกรณ์ส่งเสียงอยู่เยอะแยะเลยนี่หว่า ทั้งกลองบองโก้ กลองคาฮอง คาซู่ นิ้งหน่อง ระนาดเล็ก 2 ราง ไข่เขย่า ขลุ่ยอีก 3 เลา นี่ยังไม่นับขวดเหลือๆ ที่เอามาทำเสียงก๊องแก๊งๆ ได้สารพัด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เศษผ้ามาพันเป็นสีชมพูได้ (ผมมีผ้าสามสีประจำตัวอยู่ด้วย)

เลยคิดว่าปีนี้ขอดูลาดเลาไปก่อน ปีหน้าพอรู้แนวทางแล้วจะฝืนคำสั่งครู ลองทำอย่างที่เราคิดว่าโอเคกว่าคำสั่ง คสช.ดู

อ้อ พอดีครูประจำชั้นขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่ว่างงานไปเชียร์บุตรหลานของท่านด้วย เมียก็เลยดำริว่าเราจะไปเช่าชุดมาสคอตจากร้านใกล้ๆ บ้าน (เป็นรูปช้างสีชมพู) ไปช่วยเขาถ่ายรูปและเชียร์ลูกด้วย 555555 เออ เอาวะ ลองดู ถึงจะแพงกว่าถั่วและน้ำอัดลมสองกระป๋องรวมกันหลายเท่า แต่ก็บันเทิงแบบเซอร์ไพรส์ดี

ส่วนถั่วเขียวออร์แกนิก เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นเก็บก้อนกรวดข้างบ้านมาใส่แทนคงได้เนอะ

#หนีกรุง Day 4: ดินสอน

ภารกิจหลังกินข้าวเช้า (ไส้กรอก ไข่ดาว แฮม น้ำส้มน้ำสับปะรด นม ชากาแฟ ขนมปัง เนยแจม สลัดผักผลไม้และข้าวต้มอีกนิดหน่อย ทั้งหมดนี้ในวงการเรียกอเมริกันเบรกฟาสต์ได้อย่างไรล่ะหือ) ลูกคนเล็กอายุสิบเอ็ดเดือนก็ง่วงพอดี แม่ของลูกจึงนำไปชาร์จพลังงาน

ส่วนตัวพี่ซึ่งอายุสามขวบสี่เดือนกว่าๆ กลับพลังงานล้นปรี่ ถ้าให้มันอยู่ด้วยกันพี่น้อง รับรองว่าจะไม่เกิดการนอนในเช้าวันนี้ชัวร์ ผมจึงรับหน้าที่พานิทานไปเดินเล่นฆ่าเวลา (ไม่ได้แปลว่าฆ่าเวลา แต่หมายถึงฆ่าเวลาน่ะเข้าใจไหม) โดยมีย่า (เย้ ผมพาแม่มาด้วยน่ะครับ) เดินตามไปคอยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องต้นไม้ใบหญ้า โชคดีที่ทางรีสอร์ตเขาปลูกต้นไม้เก่ง เก่งจริงๆ เนี่ยเมื่อคืนวานเขียนเรื่องต้นไม้ได้เป็นคุ้งเป็นแควก็เพราะรู้สึกขอบคุณในความร่มรื่นนี้แหละ
image

ความรู้ใหม่สำหรับเด็กสามชวบในหนึ่งชั่วโมงช่วงเช้าวันนี้ก็คือ อุโมงค์มด / นางพญามดหัวโต / วิธีกระโดดข้ามมด ไม่ต้องกลัว / รู้จักต้นมะเฟือง / ต้นส้มโอ / ต้นกระท้อน / ต้นตีนเป็ด / ลูกตีนเป็ดเอามาทำงานหัตถกรรมได้ / ต้นมะเดื่อ (เคยสอนให้รู้จักทีนึงแล้วแต่ลืม) / หูกระจงยักษ์ / มอสชอบขึ้นที่ชื้น / กิ้งกือขดตัว / ผีเสื้อไม่ยอมให้คนจับ / ใบบัวเนี่ยเขาเอามาห่อข้าวกินได้ หอมอร่อยด้วย / ไม้ไผ่แข็งแรง ลื่น เคาะดังโป๊กๆ / ต้นไผ่เอามาทำเป็นกระบอกน้ำได้ / ต้นไม้บางต้นขรุขระ / การล่าของแมลงช้าง (เดินไปนั่งดูการเชือดมดสดๆ ทีแรกผมว่าจะหยอดมดลงไปในหลุมอเวจีเอง แต่เผอิญมีมดตะนอยชะตาขาดเดินลงไปพอดี โอเคเลย เอ็งซวยเองนะ ข้าไม่บาป) / สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก / น้ำเชี่ยว น้ำนิ่ง น้ำไหล / ผักตบ / จิงโจ้น้ำ / แมลงปริศนาสีแดงที่พ่อก็ไม่รู้จักชื่อ / ลำธารแห้งกับลำธารเปียก / ทดลองวิชาฟิสิกส์ด้วยการการปาลูกอะไรสักอย่างคล้ายๆ มะเดื่อลงน้ำรัวๆ กว่า 20 ลูก / หมาขึ้นสะพานอย่างไร / ต้นกระถินไม่ใช่ไมยราพ / กระรอกไม่ชอบให้คนเข้าใกล้ / ศาลาหน้าตาเป็นแบบนี้ / ธรรมชาติคืออะไร (อธิบายศัพท์คำนี้ด้วยการยกตัวอย่างนานมาก) / ไม้สำรวจ (กิ่งไม้ยาวประมาณเมตรครึ่ง ทรงสวยมากๆ เอาให้นิทานถือจนผูกพันมาก จะเอากลับบ้านด้วย) / การหยั่งความลึกของแม่น้ำด้วยกิ่งไม้ / วิธีการเดินบนสะพานไม้ / ความเสื่อมของโครงสร้างไม้ / การทรงตัวในที่แคบ / อากาศดีๆ พอดมแล้วสบายจมูก / อุโมงค์ต้นไม้ / ถ้าจับมือพ่อไว้แล้วจะไม่ตกน้ำ / ฯลฯ

ส่วนความรู้ใหม่สำหรับผมผู้เป็นพ่อ ก็คือ “เด็กควรโดนดินบ่อยๆ” ยิ่งบ่อยยิ่งดี เหมือนเป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่คนกรุงเทพฯ (อย่างลูก) แทบไม่เคยได้กิน อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันแล้วเนอะว่าทำไม :D

คือไอ้พ่อน่ะเล่นดิน อยู่กับดินมาตั้งแต่เกิด เลยรู้สึกอยากครอบงำความคิดนี้ให้ลูกเสียบ้าง ถึงแม่เราจะเจออะไรมาต่างกัน แต่อยากให้ได้สัมผัสความมันส์แบบที่พ่อเคยเจอตอนอายุเท่าเจ้าเสียหน่อย และยินดียิ่งนักเมื่อได้รู้ว่าเจ้าก็โคตรแฮปปี้เลย

ส่วนแม่… ช่างแม่ แม่ชอบกระเป๋ารองเท้าและเงินทองต่อไปนั่นแหละดีแล้ว จะได้ถ่วงดุล

ทะเลาะกับลูก

nitan

เมื่อคืนเถียงกับนิทานเป็นครั้งแรก เป็นการทะเลาะกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยรู้จักกันมา 3 ปี

ด้วยเรื่องชุดนอน

นิทานมีตู้เสื้อผ้าเด็กอยู่ ข้างในมีชุดนอน ชุดชั้นใน และชุดอื่นๆ (หมวดหลังสุดนี่ส่วนใหญ่คุณยายจะตัดให้) วางแยกกันอย่างเป็นระเบียบ… กว่าตู้เสื้อผ้าของพ่อแม่มันอีก

แล้วเมื่อคืนเป็นคืนที่สองที่นิทานต้องนอนอยู่บ้านกับพ่อ โดยไม่มีแม่และน้องเวลาอยู่ด้วย เนื่องจากน้องป่วยแตะมือต่อจากพี่ที่ตอนนี้หายดีแล้ว และแม่ก็ต้องเป็นคนไปนอนแกร่วเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอีก (เดือนนี้โบว์อยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านละกัน)

จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่ได้นอนด้วยกันสองคนพ่อลูกโดยไม่มีแม่อยู่ด้วย

นิทานเป็นเด็กติดแม่ ติดมาก ตั้งแต่เกิดมาก็แทบไม่เคยแยกห่างจากกันเลย อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสามปีแล้ว มีครั้งเดียวที่ห่างกันนานๆ ก็คือแม่คลอดน้องเวลา และพ่อต้องเป็นคนไปนอนเฝ้า ดังนั้นนิทานเลยไปอยู่กับคุณตาคุณยายเป็นสิบคืน แม้จะคุยกัน(กับเด็กสองขวบครึ่ง)รู้เรื่องนะว่าแม่ต้องไปคลอดน้อง นิทานอยู่กับคุณตาคุณยายนะลูก (ค่ะแม่) แต่เอาเข้าจริงๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นิทานก็จะแสดงออกตอนหลับละเมอออกมาเสมอว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทุกข์ใจอย่างที่สุด ทานคิดถึงแม่ ทานอยากเจอแม่ ฮือ…

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ หลังจากไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลเสร็จ พ่อพาไปกินข้าว กลับมาอาบน้ำแปรงฟัน อ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนเสร็จเรียบร้อย โทรหาแม่เพื่อ บ๊ายบายกัน ปิดไฟแก๊ก นิทานก็พลิกคว่ำพลิกหงาย ไม่ยอมนอน

แล้วรำพึงออกมาว่า “ทานไม่อยากนอน ทานหิว”

รู้อยู่นะว่าที่จริงนี่คืออาการคิดถึงแม่นั่นแหละ แต่ด้วยความเข้มแข็งของเด็กสามขวบ เลยไม่พูดออกมาตรงๆ แต่เลี่ยงไปเป็นเรื่องอื่น

ผมคุยกับนิทาน ถามย้ำให้แน่ใจว่าหิวใช่ไหม กินนมไหม (มีนมกล่องในห้องนอน) แต่นิทานก็ตอบว่าจะกินไข่ต้ม

อีพ่อเลยเปิดไฟ จูงลูกไปชั้นสอง ให้นั่งอ่านหนังสือรอ ส่วนพ่อเดินลงไปทำไข่น้ำให้กิน

ก็ขึ้นมาแล้วก็กินไป อ่านหนังสือนิทานให้ฟังไป (คืนนี้ผลาญหนังสือไปหลายเล่มมาก เป็นการตะล่อม) จนกินหมดก็ไปแปรงฟันกันอีกรอบ และเตรียมตัวเข้านอน

ทันใดนั้นเองพอนิทานบ้วนปากปั๊บ ดันไปโดนคอเสื้อเปียก พอคอเสื้อเปียกก็เป็นอันรู้กันว่าต้องเปลี่ยนชุดนอน ก็ไม่มีไรมาก เดินขึ้นมา เปลี่ยนชุด และ *หาชุดที่เข้ากัน*

เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

ชุดนอนเดิมเป็นชุดที่คุณยายตัดให้ (โฆษณา: คุณยายเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี เปิดร้านนลินฟ้า สาวๆ ไปเลือกชมเดรสสวยๆ กันได้นะคะ) แต่ชุดที่นิทานจะใส่ต่อจากนี้คือชุดหมา (ชุดนอนสีขาว มีแพตเทิร์นเป็นรูปหมาเยอะๆ) ซึ่งเจอแต่กางเกง …ไม่เจอเสื้อ

อ้าว แล้วเสื้อหายไปไหน อีพ่อก็ช่วยค้นให้

เข้านอนตอนแรกสองทุ่มกว่า แต่นี่มันสี่ทุ่มแล้ว  พอหันไปมองแววตาลูกก็รู้เลยว่าเริ่มง่วงเต็มที่ นั่นแปลว่าต่อมเหตุผลของเด็กได้ปิดทำการแล้ว ตอนนี้รีเควสต์แค่ว่าจะเอาชุดหมา ชุดอื่นไม่เอา ทานไม่นอน (ที่พูดนี่คือนิทานถอดชดคุณยายออกแล้วยืนแก้ผ้าทำหน้ามุ่ยช่วยกันค้นอยู่)

แต่ไม่เจอ

พ่อเจอชุดรถ (ชุดนอนสีขาว มีลายรถเยอะๆ) ซึ่งก็สวยเหมือนกัน พยายามคะยั้นคะยอให้ใส่ ก็ไม่เอา ให้ใส่แค่ครึ่งบน แล้วครึ่งล่างเป็นชุดหมาก็ไม่เอา นิทานเริ่มร้องไห้

ผมก็บอกให้ใจเย็นๆ ฟังพ่อนะ (สบตา) พ่อ หา ไม่ เจอ (มันจะดีใจไหม) ป้าแอ๋วอาจจะเอาไปซักอยู่ข้างล่าง หรือวางไว้ที่อื่นก็ได้ คืนนี้เราใส่เสื้อรถนอนกันก่อน ไว้คราวหน้…

“แง้!!!!!! พ่อ (ฮึก ฮึก) พ่อเอาไปแอบ (อ้าวเฮ้ย) เมื่อกี้ทานยังเห็นพ่อถือเล่นอยู่เลย (ฮึก ฮึก)”

“เดี๋ยวๆๆๆ นิทาน พ่อจะไปถือเล่นทำไม พ่อไม่ได้แกล้งนิทาน แต่เราช่วยกันหาแล้วไม่เจอจริงๆ ไง เนี่ยลองค้นดูสิ”

“ทานเห็นพ่อถือเล่นเมื่อกี้อะ แต่พ่อเอาไปแอบไว้ตรงไหน แง้!!!”

อ้าวซวยละ หรือเมื่อกี้เป็นผี

ผมทำเสียงจริงจัง “นิทาน… พ่อไม่ได้แกล้งนะ แต่นี่ไง (ชี้ไปที่กองผ้าที่นิทานรื้อออกมาทั้งตู้) ชุดหมาไม่มี เราเจอแต่กางเกง นี่ถ้านิทานไม่ยอมใส่เสื้อเดี๋ยวเป็นหวัดนะ แบบกุ๋งกิ๋งไง (ชื่อหนังสือที่มีตอนนึงอีเด็กกุ๋งกิ๋งมันเล่นน้ำฝนจนเป็นหวัดเข้าโรงพยาบาล) นิทานไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกทีใช่ไหม”

“ทานเบื่อโรงพยาบาลแล้ว” โอเค เข้าทาง

“งั้นนิทานก็ใส่เสื้อรถนะ จะได้ตัวอุ่นๆ แล้วเราไปนอนกัน”

“แต่ แต่ แต่ทานจะใส่เสื้อหมาาาาา แง้!!!!” … เวรกรรม

ผมลองค้นดูก็ไม่เจอจริงๆ ว่าเสื้อหมามันหายไปไหน ปกติตู้เสื้อผ้าเด็กจะเก็บเรียงกันทุกชุดอย่างเป็นระเบียบอยู่แล้ว แต่ถ้าหาไม่เจอก็คือจนปัญญาจริงๆ และยิ่งลูกกำลังง่วงสุดขีดและจิตใจอ่อนแอเพราะไม่ได้นอนกับแม่แบบนี้ ทางแก้ปัญหาคืออะไร คิดสิคิด

“ฮืออออออ ทานอยากโทรบอกแม่” นิทานพูดกลั้วเสียงสะอื้น

“โอเคได้ๆ” เด็กยุคนี้เกิดมากับการสื่อสารทางไกลเป็นเรื่องปกติ ผมทึ่งนิดนึงแต่ก็รีบ #ดึงสติ คืนมา ดูนาฬิกา ตอนนี้โบว์คงยังไม่หลับ เลยกดโทรไป แล้วเปิดลำโพง

“โหล เป็นไงมั่ง” ปลายสายเป็นเสียงเมีย

“แม่ขาาาาาา” นิทานรีบฟ้อง “พ่อเอาชุดหมาของทานไปแอบ ทานไม่มีชุดใส่ %#$@^&!@%#&^!@#*” (ละล่ำละลัก ฟังไม่รู้เรื่องเลย)

ผมรีบตัดบท สรุปเหตุการณ์ให้เมียฟังเป็นลำดับ และเสนอทางออกคือ ให้โบว์บอกลูกว่าใส่ชุดไหนก็นอนได้เหมือนกัน ถ้าไม่รีบใส่เสื้อผ้าตอนนี้เดี๋ยวป่วย ต้องมานอนโรงพยาบาลอีกทีนะ ซึ่งเมียผมก็พูดแบบที่ผมพูดเป๊ะเลยนี่หว่า

ถึงกระนั้น นิทานก็สงบลงนิดนึง แต่ยังร้องสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนวางสาย ผมเลยบอกให้โบว์ให้โอวาทอะไรกับลูกไว้สักหน่อยเพราะท่าทางคืนนี้น่าจะหนักหนาอยู่ และก็หนักจริงๆ เพราะตลอดคืนนิทานยังสะอึกสะอื้น และยิ่งรอบดึกๆ ที่หลับละเมอออกมา คราวนี้พูดเลยว่าคิดถึงแม่ ทานอยากนอนกับแม่ ทานอยากให้แม่มานอนด้วย (แต่คือทานไม่อยากไปโรงพยาบาล อันนี้คือคุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าทานเบื่อโรงพยาบาลมาก ทานไม่อยากไปแล้ว)

และแล้ว มันก็ผ่านไป…

ตื่นเช้ามา นิทานก็สดใสร่าเริง ปลุกพ่อตั้งแต่หกโมงกว่า “พ่อจ๋า อุ้มทานไปฉี่หน่อย”

อีพ่องัวเงียอุ้มพาไปฉี่ ก็บ่นว่านี่มันยังไม่ถึงเวลาตื่นเลยนี่นา นิทานปลุกพ่อเร็วจัง

“ทานปลุกเร็วกว่ากูเกิลอีก กูเกิลยังไม่ตื่นแต่ทานตื่นก่อน”

แน่ะ เด็กสมัยนี้

คือก่อนนอนผมชอบตั้งปลุกด้วย Google Now โดยพูดใส่มือถือไปว่า “Okay, Google. Wake me up at 8.” อะไรแบบนี้น่ะครับ แล้วนิทานฟังเข้าใจเว้ย 555

ป.ล.
ในสายตาผู้ใหญ่ การเลือกชุดนอนถือเป็นเรื่องปัญญาอ่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีลูกแล้วจะเข้าใจครับว่านี่แหละคือเรื่องใหญ่ของเด็ก เผลอๆ ใหญ่กว่าที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันด้วยเรื่องการเมืองเลย แต่ทะเลาะเรื่องการเมืองยังไกลตัวกว่ามากๆ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องปัญญาอ่อนเมื่อมองจากสายตาของเด็กสามขวบ (และพ่อวัยสามสิบสามขวบ) ก็ได้

ป.อ.
ในที่สุดก็เจอ เสื้อหมาอยู่ในรถ แม่วางไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อกี้ผมเลยหยิบไปให้ลูกดู “นี่ไง ทานมั่ว ว้ายๆๆๆ”

ป.ฮ.
เลี้ยงเด็กเล็กก็เจออาการเจ็บป่วยแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ ยิ่งมีลูกสองคนพี่น้องที่ยังไงเดี๋ยวก็เอาโรคมาติดกันจนได้แบบนี้ ทำประกันเจ็บป่วยไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ไม่จนกรอบมาก (นี่ขนาดนิทานยังไม่เข้าโรงเรียนอนุบาลนะ ถ้าเข้าแล้วคงได้มาอีกหลายโรค)

เจ็บ

pain

เกิดมา 30 กว่าปี (กว่าเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ) ผมไม่เคยนอนโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเลยครับ

ด้วยร่างกายที่ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะออกกำลังกายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยแน่ๆ แต่การที่ไม่เคยต้องเจ็บป่วยจนต้องใช้สิทธิ์ที่(เมียบังคับ)ทำประกันไว้เลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี และก็คิดไว้ด้วยว่าอย่าได้เจ็บเลย

มันคงไม่สนุกหรอก

ที่ไม่สนุกก็เพราะช่วงตลอดเกือบสิบวันที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผมไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นเพราะลูกสาวคนโตป่วย

ขนาดได้คลอดหนังสือเล่มล่าสุดวางขายที่งานหนังสือ ทีแรกกะว่าจะเขียนอวยในบล็อกตัวเองให้เรี่ยมมันแผล็บเลย แต่เชื่อเถอะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขียนไม่ออกจริงๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเขียนเลย นั่นเพราะใจมันแป้วไปแล้วส่วนหนึ่ง

ไปเซ็นหนังสือในงานมาสามวัน (+1 วัน ที่ไม่ได้มีคิวเซ็น แต่ก็ไปเซ็นกองหนังสือที่ผู้อ่านพรีออเดอร์ไว้) ก็พบว่ามันชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อยนึง (ใช้ศัพท์แก่) แต่บอกตามตรงว่ามันปกปิดริ้วรอยความกังวลไม่ได้

นิทานไม่สบายมาหลายวันแล้วครับ

นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดที่เคยป่วยมาตลอดอายุ 3 ปีของลูก (เคยป่วยนอนโรงพยาบาลแล้วทีนึง แต่ตอนนั้นขวบเดียว) คราวนี้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสที่คุณหมอเรียกว่า EBV-Like โดยชื่อโรคที่เหมือนอ่านแล้วเห็นไอคอนเฟซบุ๊กลอยมานี้ บ่งบอกว่าอาการอยู่ในกลุ่มไวรัส EBV ที่เป็นญาติๆ กับเริม (ตระกูล Herpes เหมือนกัน) แปลเป็นไทยว่ามันคือไวรัสตัวนึงที่สามารถแพร่เชื้อส่งถึงกันได้ทางน้ำลาย ส่วนใหญ่จะมาจากการจูบ แต่กับลูกสาวผมนี่คงไม่ได้ไปจูบกับใครมาหรอกครับ (เอ๊ะหรือมี) แต่น่าจะเกิดจากการที่เด็กชอบไปอม ไปเลียพนักเก้าอี้เอย ขอบโต๊ะเอย ขาตู้เอย ฯลฯ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่งสอนเท่าไหร่ก็ยังมีเผลอไปเอาปากทาบมาจนได้ ก็ให้โรคนี้เป็นตัวสอนละกัน แถมยังคิดค่าสอนโหดด้วย

นี่ถ้าไม่ได้ทำประกันไว้ก็กรอบกันทั้งพ่อทั้งแม่เลยแหละครับ (ขนาดประกันจ่ายให้ก็ยังตัวเบาเลย)

อาการของโรคนี้คือ — ไปกูเกิลเอาเถอะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็อกสุขภาพเกินไป แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่เอฟเฟกต์ที่ไวรัสทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คืออาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ แต่จะเพลียไปอีกหลายวันเลย

ในคลิปนี่คือถ่ายตอนอยู่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 4 มั้ง? ตอนนั้นอาการป่วยไข้ยังสำแดงพลังอยู่ ตอนที่ถ่ายคือสุขภาพจิตของนิทานยังดีเพราะเป็นช่วงไข้ลด แต่ก็หลั่นล้าน้อยกว่าปกติ (ที่ไม่ได้ป่วย) ประมาณ 50% แล้ว คือปกติจะเป็นเด็กที่ดีดมาก เหมือนกินยาบ้าตลอดเวลา หลังจากนั้นพอตรวจไม่พบเชื้อ และค่า #@#$ (ศัพท์ทางการแพทย์) ที่แปลว่าหมดระยะของโรคแล้ว เราก็ขนข้าวของ เดินทางออกจากโรงพยาบาล

ทีนี้เข้าสู่ระยะอ่อนเพลียแทน ตรงนี้แหละประเด็น

ทีนี้เหมือนเรามีลูกเป็นผักเลย นอนทั้งวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแม้เสียงหัวเราะลั่นบ้านแบบที่เคยเป็นมาตลอดทั้งวันทุกวัน แต่เปลี่ยนเป็นคราง อือ… อือ… สลับกับการบ่นหนาว ไม่มีแรง ทานง่วง ทานไม่หิว ทานไม่ฉี่ วนลูปแบบนี้ตลอดทั้งวัน

ในฐานะของพ่อแม่ที่มีลูกสาวซึ่งค้นพบตัวเองว่ากูเอาดีด้านตลกตั้งแต่สองสามขวบ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงงดตลก กลายเป็นโหมดนิ่ง เล่นมุกอะไรไปก็ไม่ตอบนั้น …โอ้โห

มันเจ็บปวดมากนะครับ

ด้วยความกังวลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วอาการของโรคนี้มันคืออะไร ยังไง มันมีตัวอะไรแทรกซ้อนที่จะพาสู่อะไรที่ไม่อยากรับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เมียผมถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ สะกิดก็ไม่เล่นด้วย (อีพ่อนี่ก็นะ)

ในแต่ละคืน ขณะที่เมียไปกกลูกหลับ อีพวกมนุษย์กูเกิลอย่างผมก็เฝ้าเปิดหาข้อมูลดูอาการเทียบเคียงว่ามันใกล้เคียงกับโรคอะไรบ้าง ซึ่งในทางการแพทย์แล้วการวินิจฉัยโรคด้วยกูเกิลนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะครับ เพราะเปิดไปเจอกระทู้โอดโอย โดยเฉพาะจากผู้ปกครองเด็ก หรือชุดความเชื่อผิดๆ ที่พาเราสู่ความไม่รู้เข้าไปใหญ่ แบบนี้จะยิ่งมั่ว – แต่ผมยังศรัทธาในภูมิคุ้มกันข้อมูลของตัวเอง เลยขอดูซะหน่อยน่ะ (คืออยากรู้ไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่แล้ว)

สลับกับปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งคำตอบในรอบล่าสุดของมันก็คือ “แกรีบพาลูกไปเจาะเลือดเถอะ” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้เมียผมยิ่งว้าวุ่น และรอให้ถึงเช้าวันนี้

และแล้ว เมื่อเช้าเราจึงพาลูกไปหาหมอเด็กท่านเดิมอีกครั้งเพื่อ “ติดตามอาการ” ของลูก ซึ่งที่จริงจุดประสงค์หลักของผมคือไปรักษาความกังวลของคนเป็นแม่มากกว่า

และแล้ววันนี้ก็เลยเป็นการนั่งคุยกับหมออย่างยาวนานที่สุด ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ และความเป็นมืออาชีพ คุณหมอก็อ่านแววตาของเมียผมออก จึงตอบทุกคำถาม แนะนำทุกอย่าง แม้กระทั่งพูดคุยเรื่องหัวใจของคนเรียนหมอ (โฆษณา #เรียนหมอหนักมาก ของ @guplia)

เพียงเท่านี้ ความกังวลที่สั่งสมมานานก็สลายไปหมดเลยครับ

 

การได้เจอหมอแบบนี้ ในมุมของคนไข้ (และญาติคนไข้ที่มักเรื่องมากกว่าตัวคนไข้เอง) ถือว่าประเสริฐนัก แต่ความเหนื่อยก็จะมาตกอยู่กับตัวหมอเองที่เวลารักษาเด็กทีนึง ก็ต้องรักษาอาการอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ด้วย ขอนับถือใจคุณหมอจริงๆ ครับ อยากตีลังกากราบแต่เกรงใจครอบครัวถัดไปที่มารอคิวตรวจอยู่

ส่วนอาการของนิทานตอนนี้ไม่น่ากังวลอะไรแล้วครับ แม้จะเป็นอาการเดิมที่เป็นมาหลายวันแล้วก็ตาม (แต่ต่างกันมาก ตรงที่ความเข้าใจของพ่อแม่ ซึ่งมีผลมากๆ) คืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์จากไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว โดยอาการนี้น่าจะเป็นไปอีกพักนึง อาจจะอาทิตย์นึง สองอาทิตย์ (ไอ้ที่อ่านๆ มาจากการกูเกิลบางทีลามไปหลายเดือนเลย แต่เราจะทำเป็นไม่เห็นละกันนะ)

สงกรานต์นี้บ้านเราเลยของดตลกนะ เดี๋ยวนิทานแข็งแรงดีแล้วมาสาดน้ำย้อนหลังกัน

นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน