สัปดาห์หนังสือฯ ปีนี้ เตรียมพบกับ…

  • ที่จริงปกยังไม่เสร็จน่ะ เลยทำทีเซอร์มาให้ดูก่อน ไว้เสร็จเมื่อไหร่จะมาแปะอีกทีครับ
  • เมื่อค่ำ ไปสิงอยู่ที่สำนักพิมพ์ เป็นบรรยากาศการทำงานที่สนุกมากๆ รู้สึกคุ้นเคยยังกะเคยทำแบบนี้ตอนอยู่มหาลัย
  • โอ๊ย มีเรื่องอยากจะเล่าอีกสามแสนบรรทัด เดี๋ยวเอาไว้ก่อนนะๆๆ ตื่นเต้นมากๆ

โอ๊ยๆๆๆๆๆ

บัตรภาพฝึกสายตานิทาน

ทีแรกจะเขียนบล็อกนี้รวมกับของโบว์ ที่เล่าเรื่องลูกอยู่บ่อยๆ แต่นึกดูอีกทีขอแตกมาเขียนที่นี่นิดนึงนะ จะได้รู้ว่าเราก็เห่อบ้างอะไรบ้าง

วันนี้ไปสำเพ็งมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ได้เจอหน้าลูกก็สบายใจหายเหนื่อยซะที เย่!

การเฝ้าดูพัฒนาการของเด็กทารกนี่ธรรมดาก็สนุกอยู่แล้ว ยิ่งพอมาเป็นลูกตัวเองก็ยิ่งสนุก เข้าใจว่าใครเพิ่งมีลูกคนแรกก็เห่อแบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ (ใช่มะๆๆ)

ตอนนี้นิทานอายุจะ 2 เดือนแล้ว จะว่าไปก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง (เกิดวันที่ 14 มีนา) ก็เรียกว่าย่างเข้าสู่วัยกำลังน่าฟัด ต่อไปนี้น่าจะเริ่มพูดอ้อแอ้ได้ และเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเล่นมุกรัวๆ ของพ่อบ้าง (ที่ผ่านมาปล่อยตูเต้นแร้งเต้นกาโชว์อยู่คนเดียว แล้วทารกคนนั้นก็นอนมองไอ้บ้านี่เป็นผัก)

แถมตอนนี้นิทานกำลังอยู่ในวัยที่ตาเริ่มมองเห็น เลยน่าจะฝึกให้สายตาสามารถโฟกัสวัตถุตรงหน้าได้ ที่โรงพยาบาลเขาก็ให้แผ่นภาพเพื่อฝึกสายตามาให้ เป็นของแถมนมผงที่คงเป็นสปอนเซอร์ในแผนกเด็กอ่อนอยู่ (แต่เสียใจ เราให้กินนมแม่ตลอด นมผงไม่ได้โดนลูกฉันหรอก โฮะๆๆๆ) .. แผ่นภาพที่ว่านั่นมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ

P1170199

พอเอามาให้ลูกดู ลูกก็สนใจครับ คือเด็กกำลังสนใจขอะไรที่มันคอนทราสต์จัดๆ สีแรงๆ สดๆ (รออีกเดี๋ยวก็จะเริ่มสนใจพวกตุ๊กตาหรือของเล่นที่สีซอฟต์ๆ ลงมาหน่อย) ดังนั้นการละเล่นแต่ละวันของพ่อแม่ลูกบ้านแบน คือเอาไอ้แผ่นนี้แหละ มากางต่อหน้าลูก แล้วเล่าเรื่องนู่นนี่ให้ฟังมั่วๆ เช่นรูปวงกลมนั่นก็มั่วไปเรื่องกัปตันอเมริกาหรืออะไรทำนองนั้น เด็กมันคงจะรู้เรื่องเนอะ ..แต่คิดดูอีกทีไม่น่าจะรู้เรื่องเพราะยังไม่ได้ดูภาคแรก เกิดมาก็มีอเวนเจอร์สเลย

ส่วนอีกด้านก็เป็นตัวการ์ตูนที่คล้ายๆ กับภาพในโรงเรียนอนุบาลครับ เช่นมีลุงฮูกที่ใส่ชุดครุย (จะได้ดูทรงปัญญาอะไรแบบนั้น ..นกฮูกเนี่ยนะ) มีฉลาม มีแมลงเต่าทอง .. ซึ่ง แบบแว่ นอกจากจะวาดออกมาได้ดูฝรั่งมากๆ (คงได้รับอิทธิพลมาจากตัวการ์ตูนเก่าๆ สมัยที่เรายังเด็กๆ กันน่ะ) พอเอามาให้ลูกดูและเล่าเรื่องนั่นนี่จนเบื่อแล้ว เลยคิดว่าน่าจะหาอะไรใหม่ๆ มาเล่าต่อได้บ้าง

แต่เอ๊ะ เราก็วาดเองได้นี่หว่า เลยกะว่าเดี๋ยวจะลองวาดดู โดยทำเป็นบัตรภาพ เอาไปอัดตามร้านมาสเตอร์ (เดี๋ยวนี้ขึ้นราคาเป็นใบละ 2.50 บาทแล้ว) .. แต่เฮ้ย บ้านเราก็มีพรินเตอร์นี่หว่า พรินต์กระดาษแบบ 4×6 นิ้วได้ด้วย! เลยไปรื้อตู้ หยิบกระดาษโฟโต้ที่ซื้อมาดองเมื่อชาติที่แล้วมา แล้ววาดมันเดี๋ยวนั้นแล้วพรินต์ไปด้วยเลย พอเครื่องพิมพ์มันคายกระดาษเปื้อนหมึกออกมาก็เอาไปให้เมียดู กรี๊ดกร๊าดยกใหญ่ ก็ถือเป็นการเปิดตัวขบวนการสัตว์หลายสีไปเลย ดังนี้ครับ

P1170197
“แมวเหมียวเขี้ยวเสือ” อุทิศแด่เขี้ยวเสือ อดีตแมวขาวมณีที่เมื่อก่อนเคยนอนกกกอดกันในห้อง แต่ตอนนี้โดนไล่ออกไปข้างนอกแล้วเพราะขนมันร่วงเยอะแล้วกลัวว่าจะไปเข้าจมูกลูกฉัน ทุกวันนี้มันเลยนอนเหงาๆ อยู่หน้าประตู บางทีก็ออกไปเล่นกะมันมั่ง (ภาพนี้พรินต์ออกมาแล้วไม่รู้ทำไม หมึกมันเยิ้มเลอะตรงมุม ก็ช่างมันละกันเนอะ ลูกคงไม่ถามหรอกว่ารอยอะไร)

P1170195
“กบสุวนันท์” คือพรินต์ภาพแรกอยู่ นึกอะไรไม่ออก หันไปเจอกบเหลาดินสอข้างๆ เลยวาดกบซะเลย จบนะ

P1170196
“สงสารแต่แม่ปลาบู่” พ่อกับแม่กินปลาดุกฟูร้านข้าวต้มโต้รุ่งตรงข้ามตลาดบัว (ตลาดลาดปลาเค้า) เกือบทุกวัน เพราะเจ้านี้อร่อยจริงๆ ครับ เลยเป็นแรงบันดาลใจสู่ภาพนี้ ก็หวังว่าลูกคงชอบกินเหมือนกัน แต่กินผ่านนมแม่ละกันนะ

P1170198
“ควายเผือก” ทีแรกจะวาดช้าง แต่นึกดูอีกทีอยากให้มันมีหลายๆ สี เลยวาดควาย จบ. (อ้าวฉิบหาย เพิ่งนึกได้ว่าฉากหลังเป็นสีแดง กูจะโดนหาว่าแฝงความหมายอะไรอีกไหมเนี่ย)

P1170194
พอวาดไปได้แค่ 4 ใบ 4 สีก็หมดไฟละ (คือเมียอุ้มลูกเดินมาเห็นก่อนเลยแผนเซอร์ไพรส์แตก) ไม่งั้นก็คงเขียนต่อเรื่อยๆ จนไม่ได้ทำงานทำการ แถมบ้าเห่อเอามาเขียนบล็อกอวดเพื่อนอีก เดี๋ยวถ้าเกิดคึกๆ แบบตะกี้อีกก็จะวาดเพิ่มอีก เป็นซีรี่ส์เลยละกัน จะได้มีนิทานเล่าให้นิทานฟังได้ไม่รู้จบ

วันนี้ทั้งวันจ่ายไปยี่สิบบาท

นั่งเขียนในห้องมืด ลูกเมียหลับอยู่ข้างๆ

ตื่นเช้า นอนคุดคู้แป๊บนึงก่อนลุกขึ้นมาเห็นเมียกำลังให้นมลูก
นั่งทำงานหน้าคอมข้างๆ เดี๋ยวลูกร้องก็วิ่งไปดูที่เปล บางทีก็อุ้มออกมาเปลี่ยนผ้าอ้อม
เดี๋ยวก็ลงไปเติมน้ำ อุ่นอาหาร เอานมที่แพ็กไว้ไปแช่ตู้เย็น แล้วแวะเล่นกับแมวกันมันเหงา
ขึ้นมานั่งหน้าคอม ทำงานต่อ เดี๋ยวแป๊บๆ ลูกร้อง เมียเรียกให้ไปทำอะไรก็ทำแป๊บนึง แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ
พอหิวข้าวก็เดินไปในครัวหาอะไรกิน หยิบน้ำหยิบนมขึ้นมาฝากเมียในบางคราว
มีแม่ยายมาช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยซักผ้าอ้อมและทำกับข้าว ใช้ชั้นล่างเป็นที่ตัดผ้า เปิดคาราโอเกะคลอไปด้วย

ตู้เย็นที่เคยว่าง ตอนนี้มีทั้งหมูไก่ไข่เนย ใช้ครัวใช้แก๊สกันจนคุ้มค่า
บางวัน (อย่างวันนี้) ขี่แว้นไปสรรพากร ทำเรื่องภาษีเสร็จก็แวะซื้อเปาะเปี๊ยะมากิน ทังวันจ่ายไปยี่สิบบาท
บางวันไม่ต้องใช้เงินสักบาท เพราะเรามีตู้เย็นเสกอาหารสารพัดนึกของโดเรมอน

ดึกๆ อย่างตอนนี้ นั่งเล่นหน้าคอม อ่านกระทู้ อ่านข่าวเรื่อยเปื่อย คัดมุกลงเว็บเฟล
ก็เพื่อรอให้ถึงรอบของลูก ที่จะตื่นมาร้องหิวนม (จะแกว่งๆ ในรอบเที่ยงคืนถึงตีสอง) เมียก็ตื่นมาให้นม
พอตีสองกว่าๆ ก็อุ้มไปให้แม่ยายเป็นเวรดูแลต่อ (เขาต้องให้แม่นอนเยอะๆ ห้ามอดนอน เพื่อคุณภาพน้ำนม)
ระหว่างนี้ถ้าลูกร้องก่อนเวลาก็อุ้มมาดู อ้าวขี้แตก เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป แล้วโยนเข้าเปล ไปนอนต่อซะ

ผมใช้ชีวิตเป็นแบบนี้มาได้ครึ่งเดือนแล้วครับ
มีความสุขดี แม้เวลาและนาฬิกาชีวิตจะรวนหมดเลยก็เหอะ
ต่อไปนี้จะเจออะไรเข้ามาอีก ก็คงไม่ทำให้แปลกใจแล้ว
ดูเหมือนเหนื่อย แต่มีความสุขดีครับ
รู้สึกว่าเป็นจังหวะที่โคตรสมดุลเลย

จะขาดสมดุลอยู่บ้างก็ตรงที่ต้องออกเดินทางไปทำงานตอนเช้า
และกลับมาถึงบ้านด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางสุดโหด
ดมควันรถวันละสามชั่วโมงมันไม่ค่อยสนุกนะครับ

ด้วยนาฬิการ่างกายมันไม่เอื้อต่อการทำแบบนั้นเท่าไหร่
แต่ก็พยายามหาทางปรับตัวอยู่ ดูว่าจะปรับได้ไหม คนอื่นเขาได้เราก็ต้องได้สิ!

ต้องให้เครดิตและขอบคุณบริษัทด้วยแหละ ที่อนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้อาทิตย์ละ 2 วัน
ถือว่ามีค่ามากๆ สำหรับพ่อแม่ที่เพิ่งมีลูกและต้องเลี้ยงเอง ให้นมเอง ไม่ได้จ้างเขาเลี้ยงหรือฝากปู่ย่าตายายน่ะ
นึกไม่ออกเลยว่าบ้านไหนในสังคมเมืองที่มีแม่อยู่บ้านคนเดียว แล้วจะเลี้ยงลูกวัยแรกเกิดได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยนะ

เอาแค่ลูกขี้ทั้งวัน (เหมือนพ่อมัน) แค่นี้ก็ผ้าอ้อมเต็มราวแล้วครับ

นิทานล้านบรรทัด

แฮ่.. ในที่สุดผมมีลูกจนได้ครับ

จริงอย่างที่ใครๆ ก็เหยียดหยันว่า มึงน่ะไม่ถ่ายรูปลูกไม่ได้ร้อกกกก
ก็เลยถ่ายแม่งเลย เอาให้เพียบ! แล้วเขียนเล่ายาวมากด้วยนะ

ไปอ่านต่อได้ที่บล็อก bow.iannnnn โลดครับ (เตือนไว้นิดว่าภาพเยอะ โหลดโหดมาก)

ป.ล.
ขอบคุณโคตรขอบคุณทุกๆ ข้อความแสดงความยินดีจากทุกสารทิศในวันนี้นะครับ
ผมเป็นพวกดิบๆ ไม่รู้จักกาลเทศะและมารยาทในการกล่าวขอบคุณเท่าไหร่
เลยไล่ขอบคุณเรียงตัวไม่ไหวจริงๆ คือที่จริงเขินมากและซึ้งใจกับทุกข้อความ ทุกเสียงทักทายครับ
แต่ทำตัวไม่ถูกจริงๆ ว่ะ.. ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ

มะรืนนี้จะมีลูก

***ตั้งใจจะเขียนสั้นๆ*** (ตั้งใจแบบนี้แล้วก็ไม่เคยสั้นได้ซะที)

เพิ่งพาเมียไปโรงพยาบาลมาครับ ไปตรวจครรภ์ก่อนคลอด
ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะผ่าคลอด 20 มี.ค. จะได้วันที่ 20 กันทั้งบ้าน สาระมีเท่านี้แหละ ไม่ได้ดูฤกษ์อะไรหรอก
แต่หมอดูสุขภาพของเด็กแล้ว พบว่าอั้นไว้ให้ถึงวันนั้นไม่ไหวละ คลอดมันอีตอน 37 สัปดาห์เลยละกัน
ซึ่งในทางการแพทย์ก็ถือว่าตอนนี้เด็กสุกแล้วนะครับ พร้อมเฉาะได้เลย ไม่รู้ภาษาหมอเขาเรียกอะไรนะ
คุณหมอหันมามองหน้าสองผัวเมีย แล้วบอกว่า “หมอให้แค่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นะ เลือกเอา”

ฉิบหายละ แม่ยายกูไปดูดวงผูกฤกษ์อะไรสารพัดมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ
ก็เลยบอกว่างั้นเอา 14 มี.ค.ละกันครับ จะได้มีเวลาตั้งตัว ปรับโหมดกันหน่อย

ทีแรกกะว่าอีกอาทิตย์กว่าๆ จะคลอด ก็เลยวางแผนลางาน-ทำงานอยู่บ้านเพื่อดูแลลูกเมียไว้ช่วงนั้น
แต่พอไปตรวจกับหมออีกที หมอบอกว่า.. อ้าว พิมพ์วนแล้วเนี่ย เลยรู้หมดว่าตื่นเต้นอยู่..

ก็เอาเป็นว่าอยู่ดีๆ ต้องสลับโหมดมาเป็นว่าที่คุณพ่อของน้องนิทานในอีกสองวันข้างหน้าในทันที

ก่อนอื่นก็โทรไปบอกพ่อกับแม่เพื่อแจ้งข่าวก่อนเลย แล้วก็ทวีต เด้งไปเฟซบุ๊ก คนทวีต-โพสต์ตอบบานตะไท
(เดี๋ยวนี้เรานิยมโพสต์กันก่อนบอกพ่อแม่ ส่วนตัวยังมองว่าแปลก อีก 30 ปีคนรุ่นนั้นคงตอบได้ว่ามันดีไหม)

เสร็จแล้วก็ปลอบเมีย (ที่ตื่นเต้นเยอะหน่อย) ว่าดีออก คลอดเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ (ไม่ใช่ก่อนกำหนดนะ)
จะได้ไม่ต้องทรมานแบกท้อง + ได้อุ้มเล่นเร็วๆ ไง เผลอๆ จะได้แข็งแรงพอจะไปคอนเสิร์ตแสตมป์ด้วย…

ทั้งหมดนี้เลยขอจดบันทึกไว้ว่าเออ พอถึงเวลาปั๊บ เราก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่คนรอบข้างดันตื่นเต้นกว่า (โดยเฉพาะเมีย แปดริกเตอร์ และแม่ยาย สิบสองริกเตอร์)
คือผมเป็นพวกมนุษย์ที่สนใจความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร กับอะไร
แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปมากมาย มานับๆ ดูก็มีหลายครั้งที่ควรตื่นเต้นนะ แต่ก็ไม่
คือกูเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ได้อีรังขังขอบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าควบคุมมันได้ หรือผ่านการวางแผนมาแล้ว

  • ตอนสอบเข้ามหาลัยได้นี่นิ่งมากครับ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเรายังเด็ก แต่ต่อมาจึงพิสูจน์ว่าไม่ใช่
  • ตอนเรียนจบ อันนี้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย เพราะคณะนรกนี่แม่งจบยากจริงๆ
  • ตอนจับทหารได้ใบแดงนี่เฉยๆ มากเลยครับ แต่บุพการีแทบสลบ สงสัยไปแอบบนไว้
  • ตอนเข้ากรมกอง อันนี้สนุกมาก แต่ก็ไม่ได้ประหม่าอะไร คือแม่งโลกของการแสดงชัดๆ
    ทุกคนแม่งเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสพวกจ่าเอย ครูฝึกเอย นายทหารเอยหมดเลย
  • ตอนไปขอลูกสาวเขา และแต่งงาน อันนี้นิ่งสนิทเลยครับ เหมือนชีวิตมันผ่านการเตรียมไว้แล้ว
  • และล่าสุดพอรู้ว่าตัวเองจะมีลูก อันนี้กึ่งๆ ตื่นเต้น กึ่งๆ สนใจว่าจะต้องยังไงต่อจากนี้ดี

จะเห็นได้ว่าหลายๆ เหตุการณ์เนี่ย ถ้าเกิดกับเราคนเดียวจะเฉยๆ มั่นใจว่าเอาอยู่
แต่ถ้ามันเกิดกับคนอื่นด้วย เช่นคุณเมีย ก็จะรู้สึกว่ามันนอกเหนือการควบคุมของเราหน่อยๆ
ที่สำคัญคือต้องเก็บอาการนิดนึง ให้มันดูพึ่งได้หน่อย แต่ก็ยอมรับครับว่าไอ้ที่ในหัว มีแต่เพลงติ๊กชีโร่

ภาระตอนนี้ของเราคือเตรียมตัวเคลียร์งาน และกำหนดขอลางานก่อนวาระที่ได้ขออนุญาตบริษัทไว้
(ย่อหน้านี้เราซีเรียสเรื่องงานไม่เสร็จ สลับกับรู้สึกผิดที่ทำให้งานมีส่วนกำหนดชีวิตมากกว่าครอบครัว)

เขียนจดหมายขอคำปรึกษาเรื่องลางานไป แต่บริษัทยังไม่ตอบมา ก็กะว่าจะประท้วงแล้วแหละ

ส่วนเมียก็กลับมาถึงบ้าน ขึ้นไปนอน แล้วเนี่ยตะกี้เพิ่งตื่นลงมา
ซักผ้าปูที่นอน และกำชับให้เตรียมประกอบเปล แล้วก็เตรียมอะไรๆ อีกหน่อยให้ทันพรุ่งนี้

ถ้าใครมีลูกแล้วคงอ่านแล้วอมยิ้มนะครับ ว่าคุณพ่อมือใหม่นี่มันน่าสนใจจริงๆ กูก็เคยเป็นนะ อะไรงี้
แต่เพื่อนฝูงคนไหนที่ยังไม่มีลูก แนะนำให้มีก่อนที่จะแก่ครับ

แต่ก่อนอื่น ต้องหาคนทำลูกกันให้ได้ก่อนนะ

ป.ล.
แม่ง ยาวจนได้..

ป.อ.
อ่านบล็อกของโบว์ จะได้รายละเอียดแบบที่ควรมากกว่าครับ ของผมมันเขียนเรื่อยๆ

ป.ฮ.
มีเพื่อนหลายคนจากหลายสาย ยุให้ถ่ายรูปตั้งแต่เกิด ยันทุกอิริยาบถ
มันคงเห็นว่าเราบ้าบันทึก บ้าถ่ายรูปเปะปะ นิสัยนี้เป็นมาได้จะยี่สิบปีแล้ว
อยากจะตอบไปว่าลูกกูไม่ใช่แพนด้า ไม่สิ จะบอกว่าผมมีเพื่อนที่ทำแบบนี้กับลูกอยู่แล้วคนนึงครับ
คือถ่ายทุกวัน กะว่าพออายุยี่สิบจะเอาทุกภาพตั้งแต่เกิดมาเรียงกันเป็นสุดยอดแอนิเมชันโคตรเท่
เห็นแล้วก็เออ ถ้าใครทำแบบมันได้คงเท่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรา เราแม่งขี้เกียจทำอะไรซ้ำๆ อ้ะ
ที่สำคัญคือพักหลังเป็นโรค “ปล่อยไปเหอะ ไม่ต้องไปบันทึกหรอก เหลือไว้เป็นความทรงจำบ้าง”
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการเกิดใหม่ในยุคที่การอวยพรวันเกิดสิ้นมนตร์ขลังไปเพราะเฟซบุ๊กนั่นเอง
(สรุป: ก็ยังถ่ายนะ แต่ไม่ได้ถ่ายแม่งทุกวัน ลูกกูตาเป็นต้อหินพอดี)