รีวิว Galaxy Note Edge: สั่ง Note 4 เพิ่มขอบชีส

ถ้าไม่ชอบอ่านยาวๆ ผมมีเกริ่นก่อนไว้ก่อนดังนี้ครับ

  • บล็อกตอนนี้ยาวและมีภาพเยอะมาก ใครอ่านในมือถือแล้วมีโปรเน็ตจำกัด กรุณากดหยุดตั้งแต่บรรทัดนี้ครับ เอ้า กดเลย
  • ขอออกตัวว่าเป็นติ่ง Galaxy Note ครับ เคยเขียนอวยสุดคมไว้ด้วย ดังนั้นรีวิวนี้จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานอคติที่ว่า “ไอ้นี่มันเชียร์โน้ตอยู่แล้วแหงๆ” …และก็จริงตามนั้นครับ (อ้าว)
  • มือถือเครื่องปัจจุบันที่ซื้อมาใช้คือ Galaxy Note 4 สีขาว ซึ่งจะปรากฏตัวเพื่อเปรียบเทียบกับ Note Edge เป็นระยะๆ นั่นเป็นความตั้งใจของรีวิวนี้ เพื่อจะหาคำตอบว่า การมีขอบโค้งๆ เพิ่มมาในราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มจากปกติ 3,000 บาทนั้น มันคุ้มไหม
  • รีวิวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากซัมซุง ซึ่งไม่มีผลต่อการเขียนนะครับ (คือตรงไหนไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ)โดยซัมซุงส่ง Note Edge มาให้ผมถูไถเล่น และเอามาใช้อวดญาติมิตรประดุจมือถือตัวเองเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • พวกข้อมูลสเป็ก ชื่อซีพียู เบนช์มาร์ก อะไรที่เป็นตัวเลขเนิร์ดๆ นั่น ไม่มีเขียนนะครับ ถ้าอยากรู้ไปกูเกิลเอาเอง

เข้าเรื่องกันเลยนะ…


Continue reading รีวิว Galaxy Note Edge: สั่ง Note 4 เพิ่มขอบชีส

ฉันมันไม่มีวาดสนา

จากบล็อกที่แล้วที่พร่ำบ่นว่าอยากหัดวดรูปและระบายสีน้ำ

อันนั้นยังไม่ได้เล่าย้ำอีกทีว่าที่ผมชอบวาดการ์ตูนนั่นนี่ คือวาดแบบการ์ตูนที่เป็นการ์ตูนจริงๆ ว่ากันตรงๆ คือขาดทักษะพื้นฐาน แต่มาถึงก็วาดเลย อันนี้หลายคนก็เป็น

โอเค ของผมอาจจะเอามาทำมาหากินได้ตังค์จากการวาดมาพอสมควร แต่คนจ้างน่าจะไม่รู้หรอกว่าแกเผลอมาจ้างคนที่วาดไม่เป็นกระทั่งรูปผู้หญิง รูปคน (แบบที่เป็นคนจริงๆ) รูปรถ รูปต้นไม้ หรือแม้กระทั่งรูปบ้าน!

ถาม: แล้วมึงเรียนจบสถาปัตย์มาได้ยังไง
ตอบ: จบได้ครับ เพียงคบเพื่อนเก่งๆ ไว้ แล้วตลกแดกเนียนเป็นคนออกแบบพรีเซนเทชันตอนทำงานกลุ่มด้วยกันไงล่ะ พอปีท้ายๆ ที่มีงานกลุ่มเยอะกว่างานเดียว เกรดก็เลยสูงเอาๆ ยังกะเด็กเรียน (คือนี่มองจากมุมผมนะ ได้ 2.50+ ก็เหมาว่าเป็นเด็กเรียนแล้ว เพราะปีแรกๆ นี่โฉบ 2.00 เป็นเรื่องธรรมดา 55555)

ทีนี้ตอนปีหนึ่งมันมีวิชา Architectural Presentation ทั้งเทอมต้นและเทอมปลาย โดยเทอมต้นเขาให้วาดและนำเสนอสถาปัตย์ด้วยดินสอ เทอมนั้นผมได้ D+ พร้อมผลงานที่โดนอาจารย์เอาไปหัวเราะเยอะ (ใช้คำนี้ถูกแล้ว) หน้าชั้นเรียนเกินครึ่งของผลงานทั้งหมดที่ส่งไป

ส่วนเทอมหลังเป็นภาคต่อวิชาที่ใช้ชื่อเดียวกัน ภาคนี้โทนี่สตาร์กเปลี่ยนมาใช้สีน้ำ ซึ่งความเหี้ยก็คือ ผมไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่เสี้ยวขนปลายหำหมา

ย้อนกลับไป ม.ต้นซึ่งเป็นวิชาศิลปะ (ผมเรียนสายวิทย์) จำได้ว่าทั้งเทอม “อาจารย์ไม่เข้าสอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว” …งงไหมครับ มาคิดดูทีหลังแม่งเหี้ยมาก แต่ตอนนั้นแฮปปี้มาก เพราะได้วิชาว่างมาหนึ่งคาบฟรีๆ แต่ก็นั่งอ่านการ์ตูน ยืมเกมเพื่อนมาเล่นในห้องจนหมดเวลานะ ไม่ได้ออกไปเสพยาบ้าหลังห้องน้ำ เพราะผมเป็นเด็กเนิร์ด แต่นั่นก็ทำให้มารู้ทีหลังว่าเราพลาดโอกาสหัดวาดรูปด้วยสีน้ำ ซึ่งต่อไปมึงจะต้องเอามาใช้ตอนเข้ามหาลัยปีหนึ่งเทอมสองนะโว้ย

ตัดภาพกลับมาที่ไอรอนแมนภาคสอง อาจารย์ให้โจทย์มา ผมหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งวาดกัน เฮ้ย ทำไมมันคล่องกันจังวะ ตวัดพู่กันป๊าบ สวยเลย คนนี้ยิ่งเทพ คนนั้นมีเทคนิคเซียน เลยถามๆ ดู ก็ได้คำตอบว่า บางคนฝึกตอนมาติว (ผมมาจากบ้านนอก ไม่รู้ว่าโลกนี้มีการมีติวเข้าคณะนี้ด้วย) บางคนเรียนตอน ม.ปลาย บางคนหัดเอง (อันนี้น่านับถือ) ฯลฯ

ที่จริงผมไม่ควรจะมาบ่นโทษระบบการศึกษาหรอก เพราะคนหัดเองก็มี แล้วก็ทำได้ดีด้วย แต่มึงไม่พยายามเอง ทำมาย้อนอดีตโทษนั่นโทษนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย 555

เอาเป็นว่าเทอมนั้นเกรดผมได้ C+ ทั้งๆ ที่งานเหี้ยกว่าเทอมแรกที่วาดด้วยดินสออีกนะ (ไม่รู้ทำไมเกรดดีกว่า) ซึ่งนั่นก็ทำให้บางคืนผมเก็บเอาไปฝันร้ายว่าอาจารย์ท่านเดียวกันนี้มาสั่งงานวาด เพื่อนๆ วาดกันสบายมาก และผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะผสมสีให้มันไม่เน่า

ฝันด้วยพล็อตแบบนี้ติดต่อกันมาสิบกว่าปี มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ

เกริ่นมาทั้งหมดเพื่อจะปูพื้นว่า ต่อไปนี้ผมจะกำจัดฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนนั้นด้วยตัวเอง ด้วยคาถา “อยากวาด ก็วาดสิวะ”

หลังจากบ่นไปคราวก่อนแล้วว่าอยาก ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสนองความอยากครับ พอดีวันนี้ได้เข้าเมืองไปซื้อหมึกสกรีนเสื้อไว้ทำมาหากิน ก็เลยแวะ B2S เพื่อซื้ออุปกรณ์สีน้ำมา ด้วยความงูปลา ก็เลยจัดชุดที่น่าจะไม่เด็กประถมเกินไป และไม่แพงสัส (ส่วนมากจะแพงสัสนะครับพวกเครื่องเขียนศิลปินเนี่ย สมุดห่าอะไรไม่รู้เล่มเท่ากระดาษทิชชู่ แม่งเล่มละสี่ห้าร้อย นี่เขียนผิดแล้วมีปุ่ม undo ใช่ไหม)

ก่อนวงเล็บจะเยอะเกินไป ขอกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง วันนี้ก็เลยได้ชุดนี้มา

watercolor-0

  • สีน้ำแบบก้อนของ REEVES (195 บาท)
    นี่เลือกเอาจากขนาดเลยนะ ดูมันพกง่ายดี เนื้อสียังไม่รู้ ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงว่าดีหรือไม่ดีกว่าอะไร เพราะถ้าไม่นับสมัยเรียนที่ช่างมันเถอะแล้ว นี่ก็นับเป็นการซื้อสีน้ำด้วยความเต็มใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความน่าจะพกง่ายกว่าซื้อแบบหลอดๆ ก็เลยเลือกแบบก้อนมา อยากใช้ก็เอาพู่กันเปียกไปยีๆๆ เดี๋ยวมันก็ละลายมาเอง ง่ายดี แถม(ขายพ่วง)พู่กันแหลมๆ มาด้วย ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้ตอนไหน เพราะเรามี…
  • พู่กันแบบแทงก์ DERWENT (307 บาท …แพงสัส นี่เมียยังไม่รู้นะ)
    นี่ฉันเลือกนายเพราะอ่านบล็อกของ @hackhq (ไปไล่ดูลิงก์ได้จากบล็อกตอนที่แล้ว) แล้วเห็นว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดดี คือไม่ต้องพกน้ำไปเยอะๆ แค่มีพู่กันที่บีบตูดแล้วน้ำมันจะเยิ้มออกมาชุ่มฝีแปรงตลอดเวลา เวลาล้างสีก็แค่บีบ แล้วเอาไปป้ายกระดาษทิชชู่แบบส่งเดช เท่านี้ก็สะอาดแล้ว // ในภาพด้านบนนี่คือเพิ่งแกห่อเลย อยากฮิปสเตอร์มากก็เลยเอามาเรียงแล้วถ่ายทันที หัวมันเลยบานๆ เพราะยังแห้งอยู่
  • ปากกาหัวเข็ม Artline 0.5mm (58 บาท)
    ไม่ถนัดปากกาเส้นเล็ก เพราะไม่ชอบเขียนแบบกดน้ำหนักลงไปแรงๆ ก็เลยใช้ขนาดที่ชิน ที่จริงเวลาใช้ปากกาปกติจะชินกับไซส์ 0.7-0.8 มากกว่า แต่อันนี้น่าจะเอามาวาดและเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นกว่าไง หวังว่านะ
  • สมุดสเก็ตช์ของศิลปากร (49 บาท)
    อันนี้ซื้อจากร้านสโมของศิลปากรตั้งแต่ช่วงวันพ่อ หนีเมียไปเดินเล่นกับหนุงหนิงมา โคตรถูกเลย ถูกจนอยากจะนั่งรถไปเหมามาตุนไว้อีก 30 เล่ม (ที่จริงมีถูกกว่านี้อีกคือเล่มละ 15 บาท แต่จะบางกว่า และการเข้าเล่มจะเป็นอีกแบบ) ดีใจมากเลยที่มีร้านสโม ถึงแม้เมื่อก่อนจะเกลียดเจ้ามากขนาดไหนก็เถอะ เพราะการเข้าไปแต่ละครั้งคือการซื้ออุปกรณ์เพื่อทำงานเรียนส่งครู แล้วงานผมเหี้ยซะ 97% เลยโทษสโม (เห็นมะ นิสัย) เอาเป็นว่าใครอยากซื้อเครื่องเขียนอะไรนี่ ยอมเสียเวลาเดินทางไปศิลปากรสักหน่อย แล้วคุณจะพบว่ามันคุ้มมาก เพราะสาวโบราณน่ารัก

watercolor-2

ที่จริงให้ดูใบเสร็จนี่ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาพิมพ์ยาวแล้ว นี่อีกายรู้เข้าเดี๋ยวก็ตามมาทวงต้นฉบับอีก หาว่าเอาเวลามาเขียนบล็อกงี้

watercolor-1

เติมน้ำลงไปในพู่กัน แล้วลองยีๆ กับสีก้อน เอามาระบายๆ ดูในภาพที่เขียนไว้ก่อนหน้าสัก 10 นาที (แต่ใช้ปากกาอีกด้ามนะ อันนั้นเป็น unipin 0.8 ที่ใช้เขียนสมุดบันทึกเป็นปกติ) พบว่าเส้นสีดำมันไม่เยิ้มเข้ามา คือเป็นหมึกกันน้ำ ส่วนกระดาษนั้นก็ไม่ซึมเปื้อน อันนี้ยังไม่ได้ทดสอบมาก เพราะแต้มสีลงไปหน่อยเดียวเท่าที่เห็น เดี๋ยวครั้งหน้าถ้าได้ระบายอะไรฉ่ำๆ (อยากหัดระบายให้มันฉ่ำมากๆ ทำไม่เป็น) อาจจะเห็นมันซึมก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน

ที่แน่ๆ ความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตที่เอาพู่กันจุ่มสีมาปาดลงบนกระดาษเองด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครบังคับนั้น มันดีมาก ดีมากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆ ถึงจะสีเน่าเหมือนเมื่อก่อนในยุคที่ตัวเองเกลียดสีน้ำที่สุดในโลกยังไงยังงั้น แต่ช่างหัวอุปสรรคในอนาคตมันปะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้เราได้เริ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหัดวาด หัดระบาย และทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ในโหมดสนุกแบบนี้เลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเบื่อขึ้นมาวันไหน แต่วันนี้ได้เริ่มแล้ว ก็ดีแล้ว

ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่การที่คนอายุเลยสามสิบมาพอสมควร มีลูกเต้าโตงเตงพันรอบเอวและเมียใช้ไปทำนู่นนี่ตลอดเวลาแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เพิ่งมาหัด มามีความฝันอะไรสนุกๆ แบบเด็กๆ นี่มันโคตรดีเลยนะครับ

จะว่าไป นี่คงเพราะมีตังค์แล้วด้วยแหละ 5555 ถ้าย้อนไปสมัยเรียนนะ ของเล่นราคา 5-600 บาทนี่ อย่าแม้แต่จะคิด

มีความสุขจัง คืนนี้นอนตายตาหลับละ ส่วนต้นฉบับก็ผลัดไปพรุ่งนี้ งานหนังสืออีกตั้งนาน

กติกาการอวยสินค้าและบริการของข้าพเจ้า

คิดว่าจะหายไปพักใหญ่แล้วนะ แต่ช่วงนี้กลับมี (พนักงานฝ่ายอะไรสักอย่างของ) สินค้าบริการบางประเภท ชอบมาขอให้ผมเขียนรีวิวให้ บ้างก็แลกกับสิทธิประโยชน์บางอย่าง บ้างก็ให้เขียนเฉยๆ โดยไม่ได้มีค่าตอบแทน แต่ที่เหมือนกันเลยคือทั้งสองประเภทที่ว่ามานี้ไม่รู้ไปใช้วิธีอะไรมาจิ้มหาตัวเลือกผู้รีวิว จนมาเจอผม.. คงคิดว่าทวิตเตอร์ที่พูดแต่เรื่องขี้ หรือบล็อกที่ไม่มีคนอ่านนี้ น่าจะทำประโยชน์ให้สินค้าบริการเขาได้ละมั้ง แน่ใจนะครับ?

รู้สึกว่าเรื่องนี้เคยเขียนไว้นานแล้ว แต่ไม่ค่อยตรงประเด็นนี้เท่าไหร่ เลยขอเขียนสรุปไว้อีกที เผื่อใครจะส่งอะไรมาอีกจะได้อ่านและไม่ต้องมาเซ็งกันครับ

  1. ใครจะส่งอะไรมาให้ทดลองใช้ ผมยินดีครับ สนุกดี เป็นความสนุกแบบเนิร์ดๆ ส่วนตัว ที่ได้ลองเล่นอะไรแปลกๆ (โดยเฉพาะพวกของเล่นไฮเทคทั้งหลาย) ถึงจะไม่ได้ตังค์ ไม่ได้อะไรเลยนอกจากได้ลองเล่น หรือต้องเสียเวลาเดินทางไปรับไปส่งของก็ยังยินดี ข้อแรกฟังดูดีใช่ไหมครับ งั้นอ่านต่อ
  2. ถ้าสินค้าหรือบริการนั้นดี ก็จะชม แต่ถ้าห่วยก็จะด่า มันก็ง่ายๆ เท่านี้เอง
  3. ถ้าให้เขียนชมอย่างเดียวแบบห้ามด่า แบบนี้ไม่รับครับ หรือเขียนเสร็จแล้วต้องส่งต้นฉบับไปให้เจ้าของสินค้าเกลา (ให้เหลือแต่สิ่งดีงาม) ก่อนเผยแพร่อะไรแบบนี้ เสนอว่าลองเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเขียนให้ดีกว่า
  4. ถ้ามีสิทธิประโยชน์ใดๆ ติดมากับการรีวิว เช่นได้ของแถม หรือได้ตังค์ ผมเอาครับ ได้ตังค์หรือขายวิญญาณก็เอาครับ เอาหมด แต่จะเขียนบอกไว้ชัดๆ ขอไม่อุ๊บอิ๊บ ดังนั้นจึงขอ “งด” รีวิวอะไรก็ตาม ที่มีกติกาว่าห้ามบอกว่าได้สิทธิพิเศษอะไรมา คืองี้ครับ ผมเกลียดหน้าม้า เกลียดการ seeding (ยิ่งได้รู้ว่าวงการดิจิทัลเอเจนซี่เขาเรียก “หน้าม้า” แบบสวยๆ ว่า seeding และทำกันเป็นเรื่องปกติแบบไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเพราะใครๆ เขาก็ทำกัน ยิ่งเกลียดแบบเกลี๊ยดเกลียด เฮ้ยมึงทำลายระบบนิเวศน์อยู่นะรู้ไหม–รู้สิ)
  5. เกณฑ์การรีวิวนั้น จะขอพูดถึงเฉพาะสิ่งที่ผมสนใจครับ เช่น สมมติมีมือถืออันนึง จะให้มาทดสอบ CPU หรือประสิทธิภาพของเกม 3D อะไรแบบนี้ บายจ้ะ
  6. ผมใช้ทวิตเตอร์เป็นหลัก เฟซบุ๊กนั้นเอาไว้ทำงานครับ ไม่ได้เอาไว้เล่นเลย นานๆ จะตอบคอมเมนต์คนอื่นที ดังนั้นมาถามเรื่องจำนวนเพื่อน หรือจำนวนผู้ติดตาม หรือเพจที่ดูแล ฯลฯ อะไรพวกนี้ บาย
  7. ทุกข้อที่กล่าวมานี้ขอย้ำอีกทีครับ ว่าถ้าไม่รู้จักผมอย่ามาเสียเวลาเปล่าเลย ลองหาคนที่รับจ้างเป็นหน้าม้ามีอยู่ทั่วไปเยอะแยะครับ

เออ อ่านแล้วดูโอหังดีเว้ย งั้นเอาตามนี้ละกัน ขอบคุณครับ

รีวิว TSwipe-Pro Keyboard for Android (คร่าวๆ)

เมื่อคืนนี้ดู WWDC2014 (ที่จริงไม่ได้ดูสดหรอก มันชนเวลาทำงานพอดี เลยมานั่งอ่านสรุปเอาหลังงาน) แล้วมีฟีเจอร์นึงของ iOS 8 ที่ผมว่าเจ๋งมาก คือเราสามารถ “เปลี่ยนคีย์บอร์ด” ไปใช้คีย์บอร์ดนอกได้แล้ว!!!! มหัศจรรย์!!! นี่ถ้าจะแขวะกันก็คงบอกว่า แอนดรอยด์แม่งทำได้มาห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่เราจะไม่ทำ เพราะอะไรดีๆ เราก็อยากให้ก็อปกันครับ ผู้ใช้ได้ประโยชน์นี่นา

เผอิญว่ามีคนสงสัยว่าคีย์บอร์ด iOS แต่เดิม (ที่ฉันก็ว่ามันเลิศอยู่แล้วนะ)เนี่ย มันสู้ของแอนดรอยด์ไม่ได้จริงๆ เหรอ ก็จะบอกว่าสู้ไม่ได้เลยครับ ห่างชั้นกันมากๆ (แต่ต่อจากนี้ไปจะสู้ได้และแซงไปด้วยซ้ำ) เพราะมือถือแอนดรอยด์นั้นให้อิสระกับผู้ใช้ในการเลือกแป้นพิมพ์สำหรับ input ค่าต่างๆ ลงในระบบได้มาแต่ไหนแต่ไร มันก็เลยมีคนที่ออกแบบคีย์บอร์ดสารพัดยี่ห้อ และหลากหลายเทคโนโลยี ไม่เว้นแม้แต่นักพัฒนาไทยที่ทำออกมาก็หลายเจ้า

ส่วนของผมเองนั้นใช้ของ TSwipe ครับ เป็นคีย์บอร์ดที่ทำอะไรได้เยอะมากกกก มากจนนั่งอธิบายให้ฟังหรือทวีตเกทับกันสั้นๆ คงมีเวลาไม่พอ ผมเลยทำคลิปนี้ขึ้นมาอวดครับ

ถ้าขี้เกียจฟังน้ำๆ ก็จิ้มเอาเฉพาะช่วงเวลาได้นะ

2:32 ทดลองเปลี่ยนฟอนต์ได้นะ
3:30 เปลี่ยนตีม
4:30 การเพิ่มลบคำศัพท์ลงไป
5:40 การจัดการคลังคำศัพท์
6:49 อีโมจิ และความสามารถอื่นๆ
7:28 โหมดภาษา / สัญลักษณ์ / Navigation tools
8:10 การพิมพ์ข้อความด้วยเสียง (อันนี้สาธิตแล้วแป้ก)
9:10 Web key (พิมพ์ข้อความผ่าน url)

ที่จริงยังมีฟีเจอร์อีกเยอะแนะเลยครับ หรือแม้แต่ความเมพของการ swipe ภาษาไทยที่แม่นมากๆ และฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ตามนิสัยของผู้ใช้เอง แต่ตอนอัดคลิปดันลืมโชว์ เฮ้ย 5555 :05:

เรียกว่ารีวิว Chromecast คงได้มั้ง: นี่คือความฟินของติ่งกูเกิล

คือเมื่อวานกลับจากอัมพวามาถึงบ้าน งานกองท่วมหัวเป็นภูเขา (ใครว่าเป็นฟรีแลนซ์แล้วว่างวะ) แต่ดันมีกล่องพัสดุมาส่ง เปิดดู ข้างในเป็น Nexus 5 (ซื้อให้เมีย) และ Chromecast

ในเมื่องานท่วมหัวขนาดนั้น เราเลยเลือกเบลอใส่ และหันมาแกะกล่อง Chromecast มาลองเสียบตูดทีวีทันทีด้วยอาการมือไม้สั่น แล้วก็พบว่าฟินสุดๆ เหี้ยๆ โคตรๆ สัสๆ แม่เอ๊ย

เนื่องจากวันนี้ผมมีงานท่วมไม่แพ้เมื่อวาน แน่นอน ผมเลยเขียนบล็อกเล่าอวดซะหน่อยว่ามันคืออะไร ดียังไง เอาแบบด่วนๆ นะ

Chromecast คืออะไร?

มันคือดุ้นเล็กๆ เอาไว้เสียบหลังทีวี ติดตั้งในคอมหรือมือถือนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นทีวีจะกลายเป็นเครื่องดูยูทูบแบบโคตรง่าย

ที่จริงมันทำไอ้นี่ไอ้นั่นได้อีกเยอะมาก (เช่นดูบริการสตรีมมิ่ง ฯลฯ ที่มีให้ดูดกระเป๋าเงินชาวอเมริกันมากมาย) และมีอุปกรณ์ที่ดูเหมือนจะคล้ายแบบนี้จากทั้งยี่ห้อดังและยี่ห้อจีนอีกมากมาย แต่เชื่อเถอะว่าไอ้นี่แหละง่ายบรมง่ายจริงๆ ครับ ง่ายจนมันได้รับรางวัลเป็นสุดยอดของเล่นไฮเทคแห่งปี 2013 จาดสถาบันไหนสักอย่างนี่แหละ ขี้เกียจหาต้นฉบับ

ซึ่งเอาเข้าจริงแค่การดูยูทูบในทีวีแบบโคตรง่ายและไม่กระตุกเลย ซึ่งเวลาผมทำงานดึกๆ มันเงียบ ก็ชอบเปิดคลิปนั่นนี่ดูเป็นเพื่อน แต่มันชอบเกะกะพื้นที่แท็บในโครม หรือเกะกะทรัพยากรเครื่อง หรือเอามาเปิดในมือถือก็ดันรู้สึกว่าจอมันเล็กไป งั้นขอเอามาเปิดบนทีวี (ซึ่งที่ผ่านมา ปีนึงจะเปิดดูประมาณ 3 ครั้งได้) นั่นก็มีค่าเพียงพอแล้วที่ผมจะควักตังค์จ่ายในราคา 1190 บาท

เริ่มแกะกล่องรีวิว

รีวิว Chromecast
พอซื้อมาก็จะเห็นเป็นไอ้แบบนี้ครับ

รีวิว Chromecast
ถอดกล่องออกมา ข้างในมีกล่องอีกชั้น

รีวิว Chromecast
เปิดกล่องอีกชั้น เห็นไอ้เจ้าดุ้นนี่นอนอยู่ ส่วนด้านซ้ายคือคู่มือ

รีวิว Chromecast
นี่แหละครับ Chromecast (ขออภัยที่ภาพสีเพี้ยน ขี้เกียจปรับ)

รีวิว Chromecast
ฝั่งนึงเป็นพอร์ต HDMI เอาไว้เสียบตูดทีวี

รีวิว Chromecast
อีกฝั่งนึงเป็นรูไว้เสียบพลังงานต่อเข้าอุปกรณ์ ซึ่งเท่าที่อ่านๆ มาเห็นว่าถ้าเสียบตูดทีวีที่เป็นพอร์ต HDMI รุ่นใหม่สักรุ่นนี่แหละ มันจะมีพลังงานในตัว ไม่ต้องเสียบพลังงานอีกแล้ว แต่ทีวีผมยังต้องเสียบอยู่ ก็ไม่เป็นไร ใช้ไฟจากพอร์ต USB ข้างๆ ก็พอครับ จิ้มเชื่อมผ่านสายที่เขาแถมมากับกล่อง คค เนี่ยได้เลย

รีวิว Chromecast
เมื่อเสียบอุปกรณ์ที่ตูดทีวีเสร็จ ก็กดรีโมตทีวี เลือก source เป็นอันใหม่ที่มันปรากฏขึ้นมา ของผมนี่บนจอก็จะขึ้นงี้