2554: หยุดยืนดูเงาตัวเอง

ตามกระแส ไหนๆ จะหมดปีก็ขอเก็บตกไว้หน่อยนึงละกัน
ข้อความต่อไปนี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในรอบปีเหมือนใครๆ
แต่กะจะเขียนเท่าที่นึกออก ว่าจนถึงบัดนี้ เราเดินผ่านอะไรมาบ้าง..

ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะปลดอะไรหลายๆ อย่างที่คิดว่าฟุ่มเฟือยออกจากตัวเอง
ไอ้คำว่าฟุ่มเฟือยนี่คืออัตตาภายในทั้งหลายแหล่ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ในแต่ละปีที่ผ่านไปมันจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น พอกหนาเรื่อยๆ เหมือนไขมันที่ชั้นพุง
จนรู้สึกว่า “ชีวิตกูชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน” ..แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเขียนบล็อก
ก็ยังอุตส่าห์นึกห่วงว่าเขียนแต่ละครั้งนี่จะมีคนอ่านไหม หรือโชว์โง่ไปแล้วกูจะไม่หล่อไหม
และสุดท้าย วันนึงก็ลุกขึ้นมาหักดิบแม่งเลย เขียนให้ตัวเองอ่านไง แบบตอนนี้ สบายกว่าเยอะ
ชาวบ้านเขาทำได้กันมาตั้งนานแล้ว แล้วที่ผ่านมากูมัวไปหลงอยู่แยกไหนก็ไม่รู้ ควายจริง

งาน

คือสิ้นปี 2553 ผมลาออกจากอาร์เอสเพื่อจะได้มามีชีวิตของตัวเอง

กะว่าเกษียณตัวเองจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วว่างั้น และวไอ้โปรเจกต์ที่ฝันไว้อยากทำนั่นนี่ก็จะได้เริ่มซะที
แต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะพี่เม่น @iMenn ที่เคารพรักก็มาชวนทำอะไรกันสนุกๆ (อ่านแล้วเกย์มาก)
นั่นคือไปเริ่มบริษัทสามย่านด้วยกัน (ขออวดหน้าสวัสดีปีใหม่จากสามย่านที่เพิ่งช่วยกันทำเสร็จไปไม่นาน)

การได้โดดเข้ามาเริ่มชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง แม้ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่หายไป
แต่ก็ได้ประสบการณ์เยอะมากๆ มาแทน อันนี้ไม่เคยรู้สึกเสียดายเลย ตราบใดที่ยังสนุกและรักษาระดับความชิวไว้ได้
ผมก็ยินดีเสมอนะ

อืม.. ใช่ๆ พอพิมพ์ก็นึกได้ว่านโยบายชีวิตของตัวเองคือ กูรักความชิว
เป็นมนุษย์ที่เกลียดการทำอะไรซ้ำๆ อย่างการเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน กลับมาบ้านเหลือเวลาสองชั่วโมง
สองชั่วโมงเท่านั้นต่อวันที่จะได้คุยกับเมียก่อนที่จะแยกไปปนอน ผมก็นั่งอัปเดตเฟลอีกเกือบๆ ชั่วโมงก็นอนบ้าง
นี่ถ้าเว็บเฟลมันไม่ใช่เว็บตลกปัญญาอ่อนนะ ป่านนี้คงเลิกทำไปแล้วเหมือนกัน ที่ยังสนุกกับมันก็เพราะแม่งเพลินดี
และถึงจะมีรายได้จากมันเดือนละนิดหน่อยก็ยังไม่ถือว่าเป็นงาน

เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ชอบวัฒนธรรมเวลาแนะนำตัว จะต้องแบกรับภาระเป็นชื่อตำแหน่งและอาชีพเสมอๆ เช่น
“สวัสดีครับ ชื่อแอนครับ ตอนนี้ทำงานเป็นสะแตร๊ดทิจิกแพลนเนอร์อยู่สามย่านดิจิทัลเอเจนซี่ ฯลฯ”
หูย แห้งแล้งมากอะ ทำไมไม่แบบชินจังบ้าง “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน ชอบกินพริกหยวกครับ” อะไรงี้
ดูเป็นมนุษย์กว่ากันเยอะ เนอะๆ

แต่ทั้งนี้ถ้ามองจากมุมมองของบริษัท การที่พนักงานไม่อินกับความเป็นมนุษย์เงินเดือนคงไม่ดีเท่าไหร่
ซึ่งเป็นบุญหัวของผมจริงๆ ที่ได้ทำกะบริษัทขนาดเล็กและยืดหยุ่นขนาดนี้ หยุ่นพอที่จะบอกว่า “เรื่องของมึง”

เงิน

สมัยเรียนมาลัย ผมแบมือขอเงินแม่เดือนละประมาณ 4000 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว เช่นค่าหอ 2800 บาท)
จะเห็นว่ามันไม่พอ โดยเฉพาะการเรียนคณะผมที่จำเป็นต้องใช้เงินเปลืองมากเวลาต่อโมเดลบ้าบอแต่ละที
ไม่ใช่ว่าที่บ้านฝึกให้เอาตัวรอดอะไรหรอก แต่บ้านผมไม่รวยครับ

ขอบคุณความจน ที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนทำงานตั้งแต่สมัยเรียน หารายได้จากงานรับจ้างออกแบบนั่นนี่
และมันค่อยๆ สร้างชีวิตในทุกวันนี้ขึ้นมา ชีวิตที่พอมีเงินสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมว่าตอนกรอบสุดๆ มันเป็นยังไง
รู้แต่ว่าไม่มีทางลืมตัวแน่ๆ และไม่มีทางเป็นแบบที่เป็นภาพจำของคนที่พยายามจะเหมารวมสลิ่มทั้งปวงแน่ๆ

ถึงปัจจุบันผมมีตังค์พอจะซื้อโทรศัพท์แพงๆ มาใช้เป็นของเล่นได้แล้ว
แต่ตั้งแต่มีเมียเป็นต้นมา ผมก็ปิดโหมดรับรู้เรื่องรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้มีตังค์เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย
รู้แต่ว่าส่งให้เมียหมด และตัวเองก็คอยบันทึกรายจ่ายลงในตารางครอบครัวแบบนี้เสมอมา
อย่างน้อยไอ้ความที่เคยขัดสนมาก่อน ก็ทำให้ระเบียบวินัยในการใช้เงินของตัวเองนั้นเข้มแข็งจนน่าพอใจ

ถึงจะไม่รู้รายได้ แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้ชีวิตมันเริ่มลงตัวแล้ว เพราะผ่านการวางแผนมายาวนาน
อย่างน้อยปีสองปีนี้พอมีตังค์ ก็ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ได้ลงทุนลงแรงไปเยอะตั้งแต่สมัยเรียนเลยละกัน

อาชีพหลัก: พนักงานบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ (พื้นที่โฆษณา: จ้างทำเว็บหรืออะไรก็ได้ออนไลน์นะครับ)
อาชีพรอง: หนักงานร้านสกรีนเสื้อยืดออนไลน์ (พื้นที่โฆษณา: รับสกรีนเสื้อยืดขั้นต่ำ 1 ตัว ขั้นสูง 1 ล้านตัวครับ)
นอกนั้นก็มีงานอื่นๆ ประปราย เป็นวิทยากรบ้าง (ไม่ค่อยชอบ มันต้องเก๊ก) รับจ้างทำเว็บบ้าง วาดการ์ตูนบ้าง ฯลฯ

ความหวัง

ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวก่อนนะ เรื่องครอบครัวเดี๋ยวตามมาในหัวข้อสุดท้าย..
ในปีที่ผ่านมาผมตั้งใจจะทำงานอดิเรกอย่างหนึ่ง คือ “ทำฟอนต์” อย่างที่เคยทำเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้วหยุดไปเลย
คือตั้งแต่เว็บฟอนต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อครั้งกระโน้น มีใครต่อใครมาสัมภาษณ์ ผมจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ที่ผู้สัมภาษณ์เยินยอซะเวอร์ (ไม่ชอบหรอกแต่จะเถียงสวนกลับไปก็ใช่ที่) ว่าใจดียังงู้น พ่อบร๊ะยังงี้
คือกูจะบอกว่าไอ้ที่ทำมาแจกฟรีทั้งหลายเนี่ย กูใช้โปรแกรมเถื่อนว่ะ จนเจ้าของโปรแกรมเขาจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่อยู่ละ
ยิ่งในช่วงนั้นเว็บดังเท่าไหร่ มีฟอนต์มือสมัครเล่นงอกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีคนใช้โปรแกรมเถื่อนนี้มากขึ้นเท่านั้น

ผมละอาย เลยตั้งข้อแม้ไว้กับตัวเองว่าจะหยุดทำฟอนต์ใหม่ไปจนกว่าจะได้ซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมเขามาทำให้ได้
ทีนี้ก็ติดขัดนิดหน่อยตรงที่ตัวบริษัทเองก็มีคนทำงานน้อยเหลือเกิน โปรแกรมมันเลยตกรุ่นไปนานมากๆๆๆ
ทวีตไปถาม เมลไปถามหลายทีว่าเมื่อไหร่จะมีเวอร์ชันใหม่ที่คลอดออกมาและรองรับกับระบบสารพัดใหม่ๆ
ก็บอกว่า “ปลายปีนี้” มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2553) จนปี 2554 ก็บอกว่า Late This Year นะ
และทวีตไปถามล่าสุดเมื่อสักเดืนที่แล้ว ก็บอกว่า In a few months .. โอเค รอต่อไป อยากทำจริงๆ นะเนี่ย

ไม่รู้อันนี้อยู่ในหมวด “ความหวัง” ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าเป็นความฝันเนิร์ดๆ ของผมเอง
ที่อยากทำให้งานอดิเรกชิ้นนี้มันมีส่วนช่วยสร้างสังคมที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ .. ดูเพ้อฝันเนอะ

อนาคต

ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ เมียผมนอนหลับอยู่ข้างๆ .. คนท้องต้องนอนบ่อย จริงหรือเปล่าไม่รู้ หรือเมียผมขี้เกียจก็ไม่รู้
แต่อีกเพียงสามเดือนนิดๆ ผมก็จะได้พบหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ของชีวิต ตรงที่ตัวเองจะกลายเป็นพ่อคน
ทุกวันนี้เวลานอนหลับผมจะเอามือไปจับไว้ตรงพุง เผื่อลูกสาวจะดิ้นให้สัมผัสได้
และก็ไม่เคยผิดหวัง เพราะนังเด็กคนนี้มันชอบดิ้นตอนกลางคืน จนเราเรียกโค้ดเนมกันเล่นๆ ว่า “น้องจ๊ะ”

ดูผ่านๆ อาจจะเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าสเต็ปการใช้ชีวิตในโลกของผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบนี้ๆ
แต่ที่จริงแล้วมันถูกวางแผนไว้พอสมควร ไม่ถึงกับเคร่ง แต่ก็ไม่ได้หย่อน
หลายอย่างทำไม่ได้ (เช่นเรื่องนอนห้าตื่นหกแมน ผมยังทำไม่ได้เพราะว่าถ้านอนเร็วแล้วกรดมันจะไหลย้อน)
แต่หลายอย่างก็ทำได้ บางอย่างเหนือความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ (เช่นอยู่ดีๆ มารู้จักเพื่อนบ้านเพราะน้ำท่วม)

ปี 2554 เป็นปีสุดท้ายในชีวิตช่วงทศวรรษที่ 3 ของผม (หมายถึงช่วงอายุ 20-29 น่ะ)
พอโดดขึ้นเดือนกุมภา​ 2555 ผมก็จะอายุครบ 30 ปี (เมียตูแก่กว่าปีนึง) ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างงดงาม
ถึงจะไม่ได้อะไรกับวันเกิดหรือช่วงอายุ แต่ความสนุกมันอยู่ที่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้าเป็นอะไร

บางทีชาวไซย่าอาจจะบุกโลกลงมาจริงๆ ก็ได้

คอมเมนต์

สัมภาษณ์โชเฟอร์รถตู้อนุสาวรีย์-ฟิวเจอร์

ตะกี้ผู้โดยสารคนอื่นลงหมดก่อนตั้งแต่ป้ายหมอชิต ผมเลยได้มีโอกาสคุยกับพี่โชเฟอร์มาตลอดทางครับ
ถึงแกจะแก่กว่าผมเป็นสิบปี แต่สรรพนามที่คุยกันต่างก็เรียกอีกฝ่ายว่า “พี่”
พี่ของผมคือเรียกตามวัยวุฒิจริงๆ แต่พี่ของแกนั้นบ่งบอกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองแบกรับอยู่

ผมลิสต์เป็นก้อนๆ ไปเท่าที่นึกออกละกันนะครับ

  • ปกติรายได้ของรถตู้ที่วิ่งอยู่ทุกวัน ถ้าเป็นระดับที่โอเค จะอยู่ที่ประมาณวันละสองพันบาท
  • แต่บางครั้งถ้ารถติดมากๆ หรือต้องแวะเติมแก๊ส (ต่อคิวยาวโคตร) ได้วันละพันห้า-พันหกก็โอเค อยู่ได้แล้ว
  • สิ่งที่แกเกลียดคือรถติด มันทำให้สุขภาพใจเสีย พาลให้ปวดขา เมื่อยหลัง เมื่อยตัวไปด้วยกว่าจะถึงบ้าน
  • ปีใหม่ปีนี้เงียบเหงามาก
  • ในกรุงเทพฯ ปีที่ผ่านๆ มา ช่วงเวลาแบบนี้จะมีแสงสีบรรยากาศรื่นเริงครื้นเครง แต่ปีนี้นี่ผิดไปจากทุกปี
  • ปกติแล้วพอใกล้ๆ สิ้นปีอย่างช่วงอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์ก่อน จะมีการ “ล็อกคิว” จองตัวจากวินรถตู้ต่างจังหวัด อย่างของพี่แกคือเพื่อนๆ ที่อยู่วินนครสวรรค์จะโทรมาล็อกตัวไว้ละ ไม่ให้ไปไหนนะ เพราะรถไม่พอ ต้องขอเบิกตัวช่วยเป็นคิวรถกรุงเทพฯ นี่แหละ แล้วก็นัดกันเรียบร้อยแฮปปี้
  • แต่ปีนี้กลับไม่มี (แกพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายมากๆ)
  • ดังนั้นช่วงสิ้นปี-ปีใหม่เนี่ย เป็นช่วงทำกำไรของคนขับรถตู้เลยครับ
  • การวิ่งคิวนครสวรรค์เที่ยวนึงไปกลับ จะได้ประมาณสามพันบาท ที่จริงก็พอๆ กับวิ่งในกรุงเทพฯ แต่ในมุมมองของแก มันเหนื่อยและใช้สมาธิมากกว่า
  • ในวงการนี้ มีหลายคนยอมอดหลับอดนอนเพื่อขับรถส่งผู้โดยสาร บางคนสองวันสองคืนก็มี!
  • โดยเฉพาะกรณีที่เกิดกับเพื่อนแกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เพื่อนรับจ็อบส่งแรงงานพม่าข้ามไปแม่สอด ปรากฏว่าวิ่งทั้งวันทั้งคืนจนหลับใน ปีนเกาะกลางถนนไปชนคนที่ยืนอยู่บนทางเท้าตายไปสอง ส่วนผู้โดยสารพม่าในรถตู้ก็บาดเจ็บกันระนาว
  • (ผมบอกว่าบ้านผมอยู่เพชรบุรี) เพชรบุรีเดินทางสะดวก คิวรถมีให้เลือกเยอะ ไม่ต้องไปไหนไกลเลย แค่ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ก็เพียบแล้ว แต่ระหว่างทางก็มีรถเยอะมากไปด้วยเพราะมันเป็นขาลงใต้ เวลาเดินทางต้องระวังอุบัติเหตุหน่อย
  • ถ้าให้เลือก แกยอมทนรถติดในกรุงเทพฯ มากกว่า
  • ค่าโดยสารตลอดสายยี่สิบบาท

ผมลงจากรถที่ป้ายปากซอยพหลโยธินแปด ขอบคุณพี่แก แกก็ขอบคุณพี่(เรา)
แล้วเราก็ต่างโคจรออกจากกัน

คอมเมนต์

meme: ความฮาที่ไร้พรมแดน

อันนี้เป็นบันทึกเรื่อยเปื่อย ภาคต่อจากบล็อกที่เสนอทฤษฎีวิถีข่าวสั้นไปเมื่อครั้งกระนู้น
ตรงไหนที่พอจะมีลิงก์อ้างอิงได้ผมจะใส่ไว้ อาจจะดูน่ารำคาญนิดนึงแต่ก็สามารถกดเข้าไปอ่านต่อได้นะครับ

ไม่รู้มีใครสนใจศึกษาเรื่องนี้จริงจังหรือยัง
คือผมสนใจ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ลงไปทุ่มเทกะมันเท่าไหร่
เลยเอามาเขียนโน้ตไว้หน่อยเผื่อใครจะเอาไปสานต่อครับ (ดูเหมือนจะมีสาระนะ..)

นอกจากโลกออนไลน์มันจะย่อย่นระดับความสัมพันธ์ของคน จากที่เคยรู้จักกันในระดับถิ่นฐานที่อยู่อาศัย
เปลี่ยนจนกลายเป็นรู้จักจนได้เสียเป็นเมียผัวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหลังคาบ้านด้วยซ้ำ
จนเขามาปรับผลวิจัยทฤษฎีเมื่อหลายปีก่อน ที่บอกว่าคนเรายังไงก็ต้องสัมพันธ์กันใน 6 สเต็ป
ตอนนี้โลกออนไลน์ย่นมันให้เหลือน้อยกว่านั้นได้แล้ว (ขอบคุณทั่นศาสดาซักกะเบิกเนตร)

ไอ้นั่นเรารู้กันอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ที่ผมสนใจคือ ใครจะไปรู้ว่าวันนึงมุกตลกทั่วโลกเนี่ย
แม่งจะถูกทำให้เป็นสากลได้เร็วไฟแลบขนาดนี้ (ฝรั่งใช้คำว่า Meme และ Internet meme )
ยิ่งเป็น พ.ศ.นี้ การล้อเล่นกับอะไรนั้นไม่ใช่แค่เล่นกันเอง ฮากันเองในหมู่เพื่อน หรือหมู่ชนชาติเดียวกัีนแล้ว
แต่พฤติกรรมการยั่วล้อที่ทำได้ง่ายขึ้น คนรับได้กันมากขึ้นเนี่ย มันขยายและลามปามไปทั่วโลกแล้วครับ
อันนี้ก็เป็นผลพวงมาจากย่อหน้าที่แล้ว ที่โลกออนไลน์มันดันไปลดความยุ่งยากในการส่งต่อข้อมูลลงอย่างเหลือเชื่อ

wtc-animated-gif

จากเมื่อก่อนที่จะฮากับอะไรที่คนเขาล้อกัน ก็ต้องมานั่งเปิดอีเมลอ่าน FWD หรือกระทู้ตามเว็บบอร์ด
ซึ่งมันไม่เรียลไทม์ (งั้นผมควรเลิกพูดเรื่องอดีตได้แล้ว เพราะถ้ามีคำว่า “เมื่อก่อน” เมื่อไหร่แสดงว่าตัวเองแก่)
แต่บัดนี้มุกที่ฝรั่งเขาฮากันเมื่อวาน แป๊บๆ ก็เอามาล้อกันด้วยสำเนียงภาษาและกลิ่นไทยๆ ได้ฉิบแล้ว
ตัวอย่างก็เช่นมุก “#จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า” ที่ฮิตระเบิดระเบ้อในทวิตเตอร์เมื่อวานซืน
อันนั้นก็ตามฝรั่งแค่อาทิตย์เดียว แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันยากจะฮาเพราะค่อนข้างเฉพาะกลุ่มไปหน่อย
แถมไม่ค่อยมีกลิ่นไทยแบบตลกสามช่าหรือบร๊ะเจ้าโจ๊ก (ที่มันแมสโคตรๆ) สักเท่าไหร่

แล้วอะไรที่เป็น meme แบบไทยๆ?

มันก็ต้องเป็นสิ่งที่คนไทยเก็ต และรู้จักกัน (ผมขอเจาะเฉพาะกลุ่มคนออนไลน์นะ)
จะให้ดีต้องเกิดจากการเสียดสี ยั่วล้อ จิกกัดสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในขณะนั้นๆ อย่างจงใจเกรียน
ก็ตามสูตรวิถีข่าวสั้น คือเริ่มจากดราม่า และต่อมามีไอ้บ้าที่มานำขบวนตลก และตลกต่อกันไปเรื่อยๆ
ยิ่งเจ๋งยิ่งแชร์ ยิ่งเป็นของแท้ก็ยิ่งลามทุ่ง ด้วยพลังของมวลชนอย่างแท้จริงเลยครับแบบนี้
ถ้านึกไม่ออก จะให้ยกตัวอย่างน่ะเหรอ ได้ๆ ..เอาเท่าที่นึกออกตอนนี้นะ

  • คลิปโดมเซ็ตผม มียอดคนดูล้านคนนิดๆ ลามไปยันโคมปะการัง ที่ทำคลิปเล่นๆ มาล้อเลียน
    จนตอนนี้ยอดคนดูก็เฉียดล้าน! และคุณโคมก็มีหน้ามีตาในวงการไปจริงจังเรียบร้อยแล้ว (วงการไรวะ)
  • คลิปยูทูบซับนรกต่างๆ โดยเฉพาะฮิตเลอร์อยากทำนั่นนี่ ที่มาจากหนังเรื่อง Down Fall
    (อันนี้ผมเคยเอาไปพูดในงาน SMCON เมื่อปีกลายด้วยแหละ แหะๆ)
    รวมถึงคลิปทำเอามันส์แบบต่างๆ ที่ปรากฏถี่ขึ้นเรื่อยๆ และมีดาราแจ้งเกิดด้วยยูทูบมากขึ้นเรื่อยๆ
  • จ๊ะคันหู อันนี้สุดยอดของสุดยอดแห่งปรากฏการณ์!!! (ล่าสุดในคลิปต้นฉบับนี้ 16 กว่าล้านวิว)
  • ดราม่าสารพัดสารเพ อันนี้ไปอ่านต่อในเว็บจ่าพิชิตเอาเองนะ
  • ดราม่าทวิตเตอร์อย่างแท็ก #wongthanongiswatchingyou ที่เสียดสีคุณวงษ์ทนงไว้เจ็บแสบ
    (meme แบบนี้เจ้าตัวไม่ตลกด้วยนะครับ แต่กระแสบริสุทธิ์ที่แรงแบบนี้ไม่พูดถึงก็เสียดาย)
  • พวกมุกภายในต่างๆ ตามเว็บบอร์ดบ้านเรา หรือที่ไร้สาระนุกรมเอาไปล้อ
  • วลี “เอาอยู่” ของ ศปภ. ที่โดนเอามายั่วล้อจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้
  • แพลงกิ้ง (คงไม่ต้องอธิบาย) รวมถึงไอ้พวกพับเพียบไทยแลนด์และสารพัดจะทำตามๆ กันนั่น
  • อวตารปลาไหล รวมถึงอวตารอื่นๆ ที่เกิดเองโดยธรรมชาติบ้าง มีบริษัทจัดตั้งบ้าง
  • คลิปรู้สู้ฟลัด อันนี้ชื่นชมคนทำคลิปนี้จริงๆ ครับ คนดูในยูทูบคลิปแรกเป็นล้านๆ คน
    ในทีวีอีกไม่รู้กี่ล้าน และสร้างคุณประโยชน์มหาศาลให้กับชาติบ้านเมืองเราอย่างหนักหน่วงเลย
    และขอยอมรับอย่างพ่ายแพ้เลยว่าก่อนหน้าที่จะมีคลิปนี้ ผมก็ทำไว้เหมือนกัน (ใจตรงกัน!)
    เสียดายว่าคิดบทเอย วาดเอย ฯลฯ ไว้แล้ว เหลือแค่แอนิเมชันเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นหมันไป
    ก็นะ.. ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ไม่มีข้ออ้างครับ เสียดายๆ อยากดังกะเขาบ้างง่ะ
  • การเซ็นเซอร์แบบปัญญาอ่อนของกองเซ็นเซอร์ตามสื่อหลักต่างๆ อันนี้เป็นดราม่าคลาสสิก
  • คำผกาโชว์นม (อันนี้ข้ามประเด็นเรื่องอากงกันไปหมดเลย คือเห็นเลยว่าคนสนใจสารอะไรกันแน่)
  • พี่เสพโลโซ (ซึ่งก็ดันมาวันเดียวกะคำผกาจนกลบข่าวอากงให้จมหายไปอีก)
  • มุกละครวนิดา เรยา เด่นจันทร์ อะไรไม่รู้สารพัดที่ฮิตจนทวิตเตอร์แตก
  • ประโยคที่ผุดขึ้นมาโดยมีสาเหตุมั่ง ไร้สาเหตุมั่ง เช่น
  • อวดของเก่าที่ตัวเองมีเอี่ยวมั่ง – กรุ๊ปเฟซบุ๊กชื่อ “พี่แม๊วสบายดี และบินเดี่ยวมาแล้วทั่วโลก
    ผมทำไว้เมื่อเกือบสองปีก่อน สนุกโคตรๆ ถ้าเป็นตอนนี้คนเล่นคงมากกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ฮ่าๆ
  • หรือถ้าจะให้เก่ากว่านั้นก็ยุคที่ทำคลิปทักษิณร้องเพลงมายยะฮี้เมื่อหกเจ็ดปีก่อนนั่นเลย
    อาจจะเรียกว่าเป็น meme แบบทำเองที่ฮิตที่สุดโคตรพ่อโคตรแม่ของความบ้าบอแล้ว
    เป็นปรากฏการณ์ออนไลน์ที่เกิดแบบระเบิดปรมาณูถล่มทุกเว็บที่ผมทำตอนนั้นจนล่มวินาศทั้หงหมด
    ออกทีวีครบทุกสำนัก นี่ขนาดยุคนั้นไม่มีเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ยังมีคนดูคลิปบ้านี่เป็นล้านๆ ครั้งในไม่กี่วัน
    จะว่าไปผมหากินกับคุณทักษิณบ่อยมากเลยนะเนี่ย ก็แกตลกอะ (ชูวิทย์ก็ตลก แต่คนเล่นเยอะแล้ว)
  • ฯลฯ .. ใครนึกออกอีกช่วยเพิ่มลงในคอมเมนต์ได้จะขอบพระคุณยิ่งจ้ะ :27:

เขียนเรื่อยเปื่อยจนดึกละ พอๆ สรุปละกัน
ผมสนใจคำว่า meme จนอยากเห็นสารานุกรมออนไลน์ที่บรรจุเรื่องราวที่มาของ meme แบบไทยๆ เอาไว้
เพราะมันเป็นแหล่งอ้างอิงชั้นดีกับวัฒนธรรมย่อยในโลกออนไลน์ ที่มาเร็วโคตรๆ
ส่วนจะไปเร็วหรือเปล่าก็แล้วแต่ความคลาสสิกของ meme นั้นๆ นั่นเองงง

ว่าแล้วใครสนใจจะเปิดเว็บสารานุกรมบ้าบอแบบไทยๆ นี้มั่งก็ดีนะครับ โดเมนเนม meme.in.th ยังว่าง!
ถ้าจะให้แจ๋วก็ทำแบบ Knowyourmeme ของฝรั่งไปเลย (ผมชอบจนดูดฟีดไว้อ่านเลย บ้าจริงกู)

.

ป.ล.
ลองเล่นแอปฟรี: ROiDRAGE ครับ ของแอนดรอยด์ ใช้ง่ายมาก ใช้วาดการ์ตูนซีรี่ส์ RAGE GUY
ไอ้การ์ตูนชุดนี้เห็นบางคนเรียกการ์ตูน 9GAG ถ้านึกไม่ออกก็กดลิงก์ หรือไม่ก็ข้ามไปดูข้างล่างเลย
ที่จริงฝรั่งก็มีเว็บแนวๆ นี้อีกเพียบ และ 9GAG.com เองก็ไม่ค่อยน่านับถือเท่าไหร่
เพราะแม่งไม่เคยให้เครดิตใครเลยนอกจากใส่ลายน้ำเว็บตัวเอง แล้วเสือกดัง เพราะระบบมันเลอเลิศจริงๆ ดอกส์!

ลองเล่นแอป ROIDRAGE

คอมเมนต์

กระสุนตกขึ้นฟ้า

ที่จริงเรื่องนี้จะเขียนไว้สองสามปีแล้ว แต่ลืมทุกที เพราะมันไม่ได้จี๊ดขึ้นมาตอนที่อยู่หน้าคอม
พอตะกี้เพิ่งเห็นข่าวนี้ของเมื่อวานซืน แล้วยังโยงไปข่าวที่สองอีก.. ก็เลยเป็นแรงผลักให้เขียนถึงสักหน่อย

เมื่อคืนก่อน ที่มีจันทรุปราคาแล้วก็ตามสูตร มีโหรทำนายว่าประเทศเราจะฉิบหาย
ด้วยเหตุเพทภัยครบทุกชนิดเท่าที่หมอดูแกจะจินตนาการออกด้วยหลักวิทยาศาสตร์นั่นแหละ
คือดูในข่าว แม่งลิสต์มาแบบเหมาทุกความฉิบหายเลยครับ คือนึกว่าจะไม่เกิดอะไรยังยากกว่าเลย

ผมกลับเพชรบุรีไปเยี่ยมพ่อแม่และรายงานตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่น้ำท่วมครับ
ไปถึงก็เกือบๆ สามทุ่มพอดี ก็ตอนที่ราหูกระเดือกจันทร์ไปอย่างเงียบๆ นั่นแหละครับ
แต่ที่ไม่เงียบเพราะรอบๆ ตัวได้ยินแต่เสียงปืน.. ปืนนะครับไม่ใช่ปะทัด และคนยิงก็คือคนบ้านใกล้ๆ ผมเองทั้งนั้น
คือแถวบ้านที่เพชรเขาจะมีธรรมเนียมห่าเหวอยู่ว่าพอถึงหน้าเทศกาลไม่ว่าจะปีใหม่หรือฉลองอะไร
เขาก็จะยิงปืนขึ้นฟ้ากันให้หมดแม็ก หมดแล้วเติมใหม่ แล้วยิงอีกให้หมด เรียกว่ามีโอกาสก็จัดซะคนละเป็นร้อยๆ นัดเลย

ขอโทษ ไอ้ที่ยิงนั่นไม่ใช่เพราะงมงาย อยากไล่ราหูหรืออะไรหรอกครับ
แต่เป็นการ “ประกาศแสนยานุภาพ” ของแต่ละบ้านว่าบ้านกูมีอาวุธปืนในครอบครองแค่ไหน กี่ ม.ม.
อันนี้เรื่องจริงครับ เจอมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยขโมยขโจรชุมๆ จนเดี๋ยวนี้มาถึงสมัยดราม่าการเมืองกันเยอะๆ
การประกาศตนว่า “บ้านกูมีปืน” ด้วยการยิงขึ้นฟ้าในคืนเทศกาล หรือตามงานบวชงานแต่ง จึงยังคงทำกันอยู่เสมอมา

คืนนั้นผมยังทวีตอยู่เลยว่านึกถึงข่าวที่มีคนเคยโดนกระสุนที่หล่นจากฟ้าตายแล้วก็เสียว จนไม่กล้าไปยืนกลางแจ้ง
ซึ่งในข่าวที่ดังไปทั่วประเทศเมื่อปี 2551 ก็คือน้องฟลุค-เด็กเพชรนี่แหละครับ
น้องเขาว่ายน้ำอยู่ในสระอยู่ดีๆ ก็โดนกระสุนลอยตกทะลุหลังคาสระว่ายน้ำ ลงมาเจาะหัวพอดี
โป๊ะ..
เมื่อหมอไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ เราเลยเสียคนบริสุทธิ์ไปหนึ่ง (สอง สาม สี่ ห้า) คน
และยังไม่หยุดนับจำนวนศพที่จะยังมีต่อไป ตราบที่ไอ้จารีตบ้าบอนี่ยังไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้านเสียที

แล้วในวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมาเมื่อสักราวๆ สองสามปีที่แล้ว
ผมไปนอนบ้านแม่ยายที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี (ที่เจริญน้อยกว่ารังสิตเยอะ) เพื่อจะได้ตื่นมาทำบุญตักบาตร
ห้องที่นอนนั้นมีเพียงหลังคาและฝ้าเพดานกั้นเรากับท้องฟ้าข้างบน และคืนนั้นก็มีกระสุนตกทะลุหลังคาลงมา
ห่างจากจุดที่น้องอีกคนนอนอยู่แค่เมตรเดียวได้ละมั้ง แบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเคราะห์ดีได้ไหมเหมือนกัน

ที่จริงกระสุนปืนที่ยิงขึ้นฟ้า และหล่นลงมาทะลุหลังคาบ้านมาโดนคนที่อยู่ข้างใต้เนี่ย
อ่านมาจากหลายๆ ที่ เขาก็บอกว่าความแรงของมันเท่าๆ กับการยิงออกจากปากกระบอกปืนเลยนะครับ
เพราะเวลายิงมันจะเป็นวิถีโค้ง (คือยังไงเรายิง 90 องศาขึ้นฟ้าไม่เป๊ะกันอยู่แล้ว) ยังไงก็จะไปจบสักที่อยู่ดี
ก็อยู่ที่ว่าใครจะซวย พระเจ้าหลับตาปาลูกดอกไปโดน โป๊ะ.. ก็สวัสดีครับ ได้ออกข่าวสั้นทันโลก กรอบเล็กๆ

แม้จะมีประกาศกันพอเป็นพิธี หรือล้อมคอกกันตอนวัวหายเป็นระยะๆ
แต่ตราบใดที่ยังไม่มีลูกหลานใครโดนโป๊ะเข้ากับตัวตรงกลางกบาลพอดี แม่งก็ไม่เลิกกันหรอกครับ
คือที่จริงมันไม่ใช่ประเพณีเก่าแก่อะไรเลยนะครับ เพิ่งมาฮิตกันเมื่อสมัยผมเด็กๆ นี่เอง
หรือถ้ามันเก่าแก่แต่เฮงซวยแบบนี้ ก็เลิกได้ครับ บรรพบุรุษไม่ว่าหรอก

เผื่อจะสนใจ

ป.ล.
ภาพพระจันทร์ข้างบนนั่นผมพยายามถ่ายแล้วครับ กะว่าจะได้พระจันทร์ดวงกลมๆ โตๆ กะเขามั่ง
แต่กล้อง GF1 ที่มี เลนส์มันซูมไม่ได้ เลยอดเป็นน้าๆ เลย :05:

คอมเมนต์

ห้องน้ำออฟฟิศเขย่าขวัญ

เพิ่งวาดตะกี้ตอนหลบไปขี้ที่ออฟฟิศครับ

ห้องน้ำออฟฟิศเขย่าขวัญ

โลกนี้มันชักจะขี้ยากขึ้นทุกวัน..

คอมเมนต์