เรามาหยุดละเมิดลิขสิทธิ์กันเถอะครับ (กรี๊ด หล่อมาก)

บล็อกตอนนี้เขียนด้วยความกระแดะ
ก่อนอื่นกรุณาปรับฐานนิดนึง ให้อ่านบนพื้นฐานที่ว่า “อีนี่กระแดะ” นะครับ
คืออยากขยายความอีกหน่อยจากที่ได้ไปโผล่ในรายการ “ประกาศภาวะฉุกคิด” ช่อง TPBS เมื่อวันก่อน

อ้ะ ดูคลิป

(พวงมาลัยดอกดาวเรืองนั่นทางทีมงานเอามาถวายจริงๆ นะครับ ผมไม่ได้ใส่ไปเอง)

ส่วนตัวยังไม่ได้ดูคลิปนี้ (ใครจะไปบ้านั่งดูตัวเองวะ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอภิรมย์เลย)
เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตอนถ่ายที่คุยกันไปนานๆ แล้วทางรายการจะตัดส่วนไหนออกบ้าง
แต่ประเด็นตอนคุยกันก็คือผมพยายามจะบอกอยู่เรื่องนึง คือ “ผมก็ยังใช้ของเถื่อนอยู่นะครับ”
ผมจึงไม่- และไม่ควรเป็นบุคคลตัวอย่างที่จะถูกดึงไปให้พูดว่าตัวเองนี่บริสุทธิ์สัมบูรณ์สิ้นดี

ทีนี้ถ้าถามใจจริงๆ ล่ะ?

ผมสามารถตอบได้เต็มปาก ว่าตัวเองอายทุกครั้ง ที่บอกใครๆ ว่าใช้โปรแกรมเถื่อน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยที่ WindowsXP ออกใหม่ๆ นี่.. โอ้โห ถึงไหนถึงกัน กี่แคร็กๆ มีหมด
ก็เพราะตัวเองเป็นเด็กเนิร์ดบ้าคอม ที่ปนในหมู่เพื่อนที่เป็นมนุษย์ปกติ
แล้วก็กลายเป็นไอ้ตัวที่เวลาใครมีปัญหาเรื่องคอม เรื่องโปรแกรม ไวรัสเอยอะไรเอย
หรือแม้แต่ต้องการหาเพลง MP3 ไม่ว่าจะเป็นใหม่ๆ หรือเก่าๆ หายากฝุดๆ
ไอ้แอนจะถูกเรียกมาใช้งานหรือขอก็อปของดีที่มีอยู่ ด้วยความเต็มใจทั้งหมดเสมอมา
แต่พอมีสังคมอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นมา ไอ้คำว่า “หายาก” ก็หายไปจากสารบบครับ

เราสามารถหาสิ่งที่เคยหายากหาเย็นแม่งทุกอย่างได้ด้วยการคลิกแค่ไม่กี่ครั้ง
แรกๆ ก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอของที่เคยหายากหลายอย่าง ก็บ้าสะสมตามประสาเด็กเนิร์ดที่ดี
ทำไปทำมา พอมันชินเข้า ก็เริ่มรู้สึกขึ้นมาแว้บนึงว่า กูทำเหี้ยอะไรอยู่วะ

เหมือนตื่นจากภวังค์ของเด็กเนิร์ดน่ะครับ นึกออกไหม
มองฮาร์ดดิสก์และกองซีดีของตัวเอง มีแต่โปรแกรมนั้น เพลงนี้ (พอดีไม่เล่นเกมไม่งั้นคงมี)
ทุกอย่างมีไว้เผื่อว่าวันนึงถ้ามีเพื่อนอยากได้ เราจะเอาไอ้ที่เตรียมไว้ไปถวายให้ถึงที่ และได้รับคำชม

จบแล้ว แค่นี้เอง วนลูป

พออยู่ในสังคมออนไลน์ไปนานๆ ได้เจอคนนู้นคนนี้ที่เขาซีเรียสกันเรื่องลิขสิทธิ์
ก็เลยซึมซับเข้ามาในหัววันละหยดสองหยด.. ว่าเออ ไอ้ที่กูทำอยู่นี่เข้าขั้นเหี้ยเลยนะ
แต่ระยะนั้นก็ยังรู้สึกว่า “มันจำเป็น” ที่จะต้องใช้ของเถื่อนเหล่านี้ ก็เรายังเรียนอยู่เลยนี่นา
แล้วไอ้โปรแกรมที่จำเป็นต้องแคร็กเนี่ย ก็ไม่มีในระบบปฏิบัติการอื่นที่เขาเห็นว่าดีงามเสียด้วย
ก็เลยใช้ต่อไป แต่มีหลืบนิดๆ ละว่าเออ นี่กู “ละเมิด” อยู่ แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะมันจำเป็น

แต่ต่อมาพอเริ่มมีกระแสของเบราว์เซอร์ที่ฟรีและดีอย่าง Firefox ปรากฏขึ้นมา
ก็ได้เห็นการรณรงค์กันยกใหญ่ของกองทัพฟรีแวร์สารพัดสารเพ
แต่ละโปรแกรมดังๆ ก็ทยอยกันคลอดออกมาเพื่อบอกโลกว่าเฮ้ย มึงใช้ของฟรีก็ได้นะ ไม่ต้องแคร็กหรอก
ตอนนั้นเด็กเนิร์ดอย่างผมเลยไปติดเว็บแจกของฟรีอย่าง filehippo.com อย่างบ้าคลั่ง
(เห็นมะ ก็ยังไม่หนีเรื่องโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่ดี)

พอมารู้ตัวอีกทีผมก็เปลี่ยนใช้โปรแกรมฟรีเหล่านั้นทีละหน่อยๆ จนเต็มเครื่องแล้วครับ
หรือตัวไหนที่ไม่ฟรีก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เช่นช่วงโปรโมชันที่เขาแจก SnagIt เวอร์ชันตกรุ่นแล้วฟรีๆ ผมก็เลยโหลดมาซร้วบซะ
แล้วในคอมมูนิตี้ประจำอย่างบอร์ดฟอนต์ก็มีหนึ่งกระจู๋ที่เอาไว้คุยกันเรื่องโปรแกรมฟรีโดยเฉพาะ
(กดไปดูหน้าหลังๆ หน่อยนะครับเพราะมีมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว ในฟอนต์เราคุยกันยาว)

รายชื่อโปรแกรมฟรีที่ใช้งานแทนของเถื่อนได้สนิท

โปรแกรมดูภาพและตกแต่งภาพเบื้องต้น (ของเถื่อน: ACDSee)
จงเปลี่ยนเป็น FSViewer หรือ Picasa เสีย
นั่นเพราะอีของเถื่อนนั้นกากและอืดมากครับ เลิกใช้ตั้งแต่มัธยมแล้ว
แถม FSViewer และ Picasa นั้นก็แจ่มจรัสจนสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรทำให้ไม่ใช้วะ

โปรแกรมจับภาพหน้าจอ
จริงๆ มีหลายตัว แต่ที่ยุให้แฟนใช้และสร้างความกรี๊ดกร๊าดได้ทุกครั้งที่มีคนมายืมคอมเล่น
ก็คือโปรแกรม PrtScr ครับ ลองกดเข้าไปดูคลิปสาธิตได้ แล้วจะกรี๊ดลงไปแถกดิ้นแถกงอ

โปรแกรมแปลงเอกสารเป็นไฟล์ PDF (ของเถื่อน: Adobe Acrobat Pro)
ถ้าไม่ได้ทำเอกสาร PDF สุดอลังการที่ต้องทำอะไรซับซ้อน แนะนำ doPDF ครับ
เพราะแค่สั่งพรินต์แล้วเลือกเครื่องพิมพ์เป็น doPDF ก็จบละ ใช้กะภาษาไทยได้ดีด้วย
ส่วนโปรแกรมฟรีที่เอาไว้เปิดอ่าน PDF ผมยกให้ Google Chrome นี่แหละ
(เมื่อก่อนจะรัก SumatraPDF มาก แต่มันเหลืองไป พอโครมทำได้ปั๊บเลยเลิกคบทันที)

โปรแกรมพิมพ์งาน
ผมใช้ Google Docs จนชินแล้ว อันนี้ใช้ในชีวิตประจำวันมานานมาก
พอที่จะบอกได้ว่ามันสะดวกดีจริงๆ จนต้องเยลให้ 3 ครั้งหลังใช้
เอาแค่ไม่ต้องมานั่งกด Save (เป็นสิ่งที่ทุกคนเคยร้องไห้ตอนไฟดับมาแล้ว) เท่านี้ก็เปรมละครับ
ส่วนชุดโปรแกรมอื่นๆ อย่าง LibreOffice นั้นผมใช้แล้วไม่ถูกชะตา แม่งช้า

โปรแกรมดูหนังฟังเพลง
อันนี้คงคุ้นกันดี ผมใช้ KMPlayer และบางครั้งก็แว้บไป Foobar2000 แต่ไม่ค่อยชอบ
(ทุกวันนี้เลิกฟัง MP3 เถื่อนแล้ว เลยไม่ได้สนใจโปรแกรมฟังเพลงเท่าไหร่)

โปรแกรมดูฟอนต์
ผมใช้ NexusFont คู่กับ FontXplorer ครับ แนะนำอย่างยิ่งโดยเฉพาะตัวแรก สวยเกาหลีมาก

โปรแกรมทำเว็บ
เคยใช้ Dreamweaver ก็เคยสะดวกแต่พอรู้สึกละอายเลยใช้พวก Notepad แทน
จนตอนนี้มาจมอยู่กับ Notepad++ ครับ มันส่งไฟล์ขึ้น FTP ได้เลย ชอบ
(ส่วนโปรแกรม FTP ก็ใช้ FileZilla มานานละ ไม่สวยแต่ก็พอได้)

โปรแกรมกราฟิก
งานเล็กงานน้อยที่เป็นงานกราฟิก ผมยกนิ้วให้ PhotoScape ครับ
เคยเขียนบล็อกเมื่อนานมากแล้ว (เดี๋ยวซ่อมบล็อกเสร็จค่อยใส่ลิงก์) และยังยืนยันว่ามันดีจริงๆ
(ขอขี้โม้หน่อย ว่ารู้จักมาจากน้องมิตรในฟอนต์ แล้วเอามารีวิวลงบล็อกนี้จนมีคนรู้จักอีกเยอะแยะ)
ทุกวันนี้เวลาผมนั่งแต่งภาพที่ลงในเว็บเฟล ก็จะใช้ PhotoScape นี่แหละ มันทำได้ครบสุดๆ นะ
แต่ถ้าขี้เกียจมากก็ใช้โปรแกรมออนไลน์ชื่อ Pixlr Editer บนเว็บ เซฟลง Flickr ได้เลยด้วย!
ส่วนงานใหญ่ ผมยังใช้ Adobe ต่างๆ ที่เป็นของเถื่อนอยู่ครับ คือมันหาอะไรแทนไม่ได้จริงๆ
คนที่ทำงานกราฟิกจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ฟีเจอร์กากๆ แต่ Photoshop มันเมพจนต้องขโมยใช้
นับดูตอนนี้ ในคอมผมมีเพียง Adobe CS5 เท่านั้นที่ยังใช้ของเถื่อนอยู่ และละอายจริงๆ ครับ
พูดเหมือนกระแดะ แต่ผมละอายจริงๆ ทั้งนี้ก็ได้เจรจาหว่านล้อมกับเมีย(ผู้ถือเงิน)สำเร็จแล้ว
ว่าอีกไม่นานเราจะซื้อของแท้ใช้กันให้ได้ มันเหลือตราบาปอยู่จุกเดียวเองนะ

ระบบปฏิบัติการ
ใช้ Windows 7 แท้จ้ะ ไอ้นี่คงดีที่สุดแล้วมั้ง (ถ้าจะซื้อโน้ตบุ๊กตัวต่อไปคงไม่ใช้แมคแล้วล่ะ)

ฯลฯ ตอนนี้นึกได้เท่านี้

My software list

นี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของใครหลายคนที่เข้ามาอ่าน แต่กับอีกหลายคนมันเป็นเรื่องกระแดะ
ผมตั้งใจบอกคนกลุ่มหลังว่าเฮ้ย มันทำได้จริงๆ นะ โปรแกรมมันไม่ใช่ไม่ดี แค่เราไม่ชินเท่านั้นแหละ
ดังนั้นถ้าใครยังใช้อะไรเถื่อนๆ อยู่ก็เปลี่ยนมาใช้ของแท้เถอะครับ ไม่ยากหรอก
แตต้องเริ่มละอายก่อนเท่านั้นเอง ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นี้ ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใดๆ .. “มันผิด” นะ

ป.ล.
เขียนไลไปเรื่องโปรแกรมคอมอย่างเดียวได้ไงวะเนี่ย :08:
ทีแรกกะจะพูดเรื่องการ์ตูนเถื่อน พอดีวันนี้ทวีตคุยกับหลายๆ คนแล้วรู้สึกได้ถกเถียงกันหนุกดี
ส่วนตัวผมนั้นที่ยังเหลืออ่านออนไลน์คือเรื่อง OnePiece อยู่เรื่องเดียว นอกนั้นรอรวมเล่ม
ที่เขียนบล็อกขึ้นมาตอนนี้ก็เพื่อจะเตือนตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่อ่านแล้ว รอรวมเล่มอย่างเดียวละกัน

ป.อ.
การอ่านเถื่อนแล้วซื้อรวมเล่มไม่ได้ช่วยอะไรนะครับ เพราะพฤติกรรมแบบนี้ก็ยังทำลายวงการอยู่ดี
เหมือนกับพวกที่มีเงินซื้อมือถือแพงแต่โหลดแอปเถื่อน อาจจะอ้างว่า “ถ้าชอบแล้วเดี๋ยวกูก็ซื้อ”
แต่เชื่อเถอะครับว่าทุกครั้งที่คุณหนับหนุนของเถื่อน เจ้าของลิขสิทธิ์เขาไม่มีทางดีใจหรอก
ดังนั้นถ้าเมื่อใดที่คุณอ่านเถื่อนก็จงตระหนักไว้สักนิดว่า “กูกำลังละเมิดเขาอยู่”
แล้วหลังจากนั้นจะคิดได้ จะเลิกหรือจะทำต่ออะไรก็แล้วแต่ แต่ให้รู้ว่าผิด ไม่ใช่ไม่ผิด หรือมีข้ออ้างดีๆ
ส่วนมากปัญหาในบ้านเรามันเกิดจากโจรทั้งหลายต่างมีเหตุผลที่ดีที่แถจนน่าฟังทั้งนั้นแหละครับ

ป.ฮ.
เอ้อ.. แต่ผมยังเช่าการ์ตูนอ่านอยู่ว่ะ เออ อันนี้หยุดไม่ได้จริงๆ
แม่งเขียนมาตั้งนานเสือกตายตอนจบ เวรจริงกู

คอมเมนต์

HTC Blogger Day ครั้งที่ 2

ทีแรกคิดชื่อตอนกวนตีนๆ ไว้เยอะแยะแต่ไม่ลงตัวซะที
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ถูกใจซะที.. งั้นเอาแม่งทื่อๆ แบบนี้แหละ

มือถือรุ่นที่ผมใช้อยู่คือ HTC Legend อายุหนึ่งขวบกว่าๆ
สภาพมันยังดีอยู่มาก ไม่มีอะไรเสีย ไม่สิ เคยเสียส่งซ่อมไปแล้ว และกลับมาดีเหมือนเดิม
ระหว่างที่ส่งซ่อมเนื่องจากไม่มีมือถือใช้ ก็เลยไปซื้ออะไรก็ได้ที่ราคาถูกๆ มาใช้
แล้วก็ไปถูกใจโนเกียขาวดำจากบิ๊กซีอยู่รุ่นนึง นั่นคือ Nokia 1280

พอใช้ไปสักพักก็รู้สึกชอบมาก ชอบฉิบหายเลย ก็เลยรีวิวเปรียบกะ iPhone 4 ไว้
จิ้มดูนี่เลยครับ : เปรียบมวย Nokia 1280 vs iPhone 4
แต่บล็อกเสือกพัง :05: ทีแรกกะว่าจะซ่อมให้หายก่อนค่อยเอามาลง
ก็เลยอดใจรอไม่ไหว ทวีตแจกแม่งเลย ปรากฏว่าพักเดียวก็ถูกจิ๊กกระจายเต็มเน็ต :30:

แต่ข้างบนทั้งหมดไม่เกี่ยวกับบล็อกตอนนี้ครับ งั้นเข้าเรื่องละนะ..

อยู่มาวันหนึ่งผมก็ได้รับคำชวนไปงานเปิดตัวอุปกรณ์ไฮเทค 4 ตัว ภายใต้ยี่ห้อ HTC
ได้แก่ HTC Flyer, HTC Sensation
, HTC Wildfire S, HTC ChaCha กับ HTC Salsa (มัน 4 ยังไงวะ)
โดยในงานนี้เขาเชิญคนที่เป็น “บล็อกเกอร์” เข้ามาร่วมในงาน
(ทีแรกไม่รู้ว่าข้าวปลาอาหารฟรีหรือเปล่า เลยไม่กล้ากิน นั่งดูอยู่เฉยๆ เปิ่นมาก)
โดยงานนี้มีชื่อว่า “HTC Blogger Day ครั้งที่ 2” (ในทวิตเตอร์จะมีแท็ก #HTCDay2 ท่วมไทม์ไลน์)

ผมออกจากออฟฟืศตอนหกโมงค่อน ซึ่งตามกำหนดการ ป่านนี้เขาก็เริ่มงานกันไปแล้ว
กว่าจะเดินทางไปถึงก็ล่อเข้าไปทุ่มกว่าๆ (คือหลงทางแถวทางเข้าร้านอยู่พักใหญ่)
เนื่องจากผมไม่เคยข้องแวะกับวงการนี้มาก่อน เลยจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นไง

ทีแรกคิดว่าบรรยากาศงานจะเป็นแนวจริงจังแบบเปิดตัวสินค้า(สำหรับผู้ชาย)ต่างๆ
ที่มีพริตตี้ตึงๆ มาแอ๊บแม้วทำท่าดัดจริตเพื่อให้น้าๆ มาส่องนม ถ่ายรูปคู่กับอุปกรณ์ล้ำๆ
(ซึ่งก็จะเป็นอย่างมอเตอร์โชว์ในแต่ละปี ทีไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีรถอะไรมั่ง มีแต่พริตตี้)
แต่สำหรับงานนี้ บรรยากาศในงานเป็นแบบนี้ครับ

HTCDay2

ปรากฏว่าเป็นร้านอาหารแนวๆ นั่งกินดื่มสังสรรค์แห่งหนึ่งย่านสีลมครับ
จริงๆ ก็เหวอตั้งแต่เดินไปถึงหน้างานแล้วแหละ ว่าเฮ้ย ทำไมคนแน่นจนล้นเลยวุ้ย
แต่ถามว่าแบบนี้กับแบบทางการนั้นอะไรน่าจะถูกจริตกว่ากัน ..ผมชอบแบบนี้ครับ :22:
ภายในงานก็จะเหมือนงานเลี้ยงโต๊ะจีน ที่มีแขกเหรื่อมาอัดกันแน่นเป็นปลากระป๋อง
เนื่องจากผมไปถึงสายกว่าชาวบ้านเลยเก้าอี้ไม่พอนั่ง ทีแรกก็นั่งตรงหลืบแคบๆ
แต่สักพักก็มีเก้าอี้ว่างมาจนได้ (ขอบคุณ @muemue เด้อ)

อย่างที่บอกว่าไม่เคยมาอะไรแบบนี้เลย ก็เลยสนใจเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งปกติในชีวิต
ถ้าคนที่เขียนบล็อกรีวิวอะไรแบบนี้อยู่แล้วผ่านมาอ่านคงส่ายหน้า เพราะกูชิ้นชิน
แต่สำหรับผมแล้่วทุกอย่างดูแปลกแยกและผิดที่ผิดทาง เหมือนตัวเองเป็นหมาหลง :30:

คือไอ้อาการหมาหลงนี่ก็น่าสนุกนะ ตรงที่รู้ว่ามันไม่ใช่ที่ของเรานี่แหละเลยสนุก
อย่างการได้เจอคนนึงที่น่าสนใจ คือเขาเซนซิทีฟกับมุกที่มนุษย์โลกอย่างเราไม่ควรเก็ต
เช่น “มือถือรุ่นนี้อย่างเมพนะครับ เผื่อคุณไม่เชื่อก็ลองเอาไปลอง Benchmark ดู” …
ปรากฏว่าแม่งฮาเว้ย ไม่ใช่ฮาเบาๆ ด้วยนะ แต่หัวเราะลั่นร้านแบบนักเลงต่างจังหวัด
เหมือนจะประกาศกร่างว่าเฮ้ยกูขำเว้ยพี่น้องงงง :30:
คือพอคุณพี่เจ้าของงานเขาพูดอะไร คุณคนนี้ก็จะตบมือสะใจโดยไม่ต้องเกรงใจใคร
จนหลายจังหวะต่อมาเขาก็ยังสนุกกับการคุยและแสดงพลังดังลั่นร้าน
อันนี้ไม่ได้ว่าอะไรเขานะครับ คือใครมีเพื่อนชอบโชว์พาวแบบนี้คงนึกออกชิมิ
เพียงแต่เป็นความประทับใจที่ผมได้เจอ ว่าเออว่ะ วงการนี้มันเป็นยังงี้นี่เองวุ้ย

เปล่าๆ ไม่ได้จะเหมารวมนะ เพราะคนที่มาก็หลากหลายกว่านั้นมากๆ
คือมันเป็นงานรวมพลบล็อกเกอร์ ก็เลยมีทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพปะปนกันไป
ดูจากบรรยากาศรวมๆ แล้วส่วนมากจะรู้จักกันอยู่แล้ว เฮฮาเอะอะกันได้อย่างสนิทสนม
โดยที่แต่ละคนไม่ว่าจะทำงานการอะไร ในงานนี้ก็ขอสวมหมวกคนเขียนบล็อกซะหน่อย
หรือไม่ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นส่วนช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับเจ้าภาพข้าวเย็นมื้อนี้
(สำหรับผมเองก็งงๆ เหมือนกันว่ามาได้ยังไง หรือเพราะบล็อกเราหายเน่าแล้ว :30:)

ส่วนเรื่องรายละเอียดของสินค้านั้นคงขอละไว้ละกันครับ (อ้าว) ..ก็หาอ่านได้ทั่วไปนี่นา!

ฟังไปฟังมาก็ได้รู้ธรรมเนียมว่าเขาจะแจกเครื่องที่เปิดตัวในงานให้กลับบ้านเอาไปรีวิวกัน
แต่เนื่องจากคนมาเยอะเกินปริมาณของ ก็เลยคงเลือกจากความมีประโยชน์ของแต่ละคนไ
ผมเลยได้ HTC Wildfire S รุ่นเล็กมาให้ยำ แล้วก็เขียนบล็อกคืนเขาเป็นเวลา 14 วันครับ
ส่วนคนเขียนบล็อกเมพๆ หรือเขียนแนวมือถืออยู่แล้ว ก็จะได้ใช้รุ่นที่เมพขึ้นไปตามลำดับ

ที่ผ่านมาเคยแต่อ่านเว็บที่เขารีวิวของใหม่ๆ กัน ก็สงสัยว่าเอ๊ะ นี่มันลงทุนซื้อกันหรือยังไง
ที่ไหนได้ มันยังนี้นี่เอง ..ก็ดีนะ การที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย ทุกอย่างเลยดูแปลกใหม่
ทางคนเขียนบล็อกก็รู้สึกดีที่ได้โอ้อวดว่าตัวเองนี่เจ๋งมากเลย มีอะไรมาอวดด้วย
ส่วนทางเจ้าของสินค้าก็มีคนโฆษณาให้ด้วย และถ้าของดีจริงก็คงช่วยอวยกันหูดับตับไหม้

อ้ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เลยจะลองแปลงร่างเป็นคนเขียนบล็อกรีวิวมีถือดูกะเขาบ้างสักที
แต่ขอลองเล่นของฟรีสักพักก่อน แล้วจะมาเขียนรีวิวให้ดูครับ!

คอมเมนต์

รียูเนี่ยน

ที่ตั้งชื่อว่ารียูเนี่ยน ก็เพราะผมเริ่มพิมพ์บล็อกตอนนี้ที่ยูเนี่ยนมอลล์ครับ
แม้จะเลิกงานแล้ว แต่บัดนี้ยังมีบางภารกิจคั่งค้างอยู่ในคอมพิวเตอร์
ก็เลยอาศัยม้านั่งหน้าร้านขายเสื้อแฟชั่นแถวชั้นบน เป็นที่ทำงานชั่วคราวไปก่อน
(ที่จริงคือนัดเมียไว้แต่ยังมาไม่ถึง เลยนั่งแก้งานไปด้วย นั่งชมวิวขาวๆ แถวนี้ไปด้วย)

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมหยุดเขียนบล็อก และหันไปบ่นพึมพำผ่านทวิตเตอร์เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นขอถือโอกาสนี้มาเล่าให้อ่านซะหน่อย
ก็ต้องออกตัวอีกทีว่าตัวเองไม่ได้ใหญ่ยิ่งยงมาจากไหนถึงจะต้องมาชี้แจงอะไร
แต่อย่างน้อยก็เอาไว้เป็นบันทึก เพื่อบอกตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันวาน
เอาเลยนะ..

การหายไปปีนึงจากการเขียนบล็อกส่วนตัว แล้วได้ย้อนกลับมานั่งก้มหน้าก้มตา
พิมพ์ลงในหน้าจอสีขาวๆ กรอบสีเทาๆ ที่คุ้นเคยแบบนี้ มันให้ความรู้สึกหลากหลายมากครับ
อารมณ์เหมือนเคยมีวงดนตรีสักวง แล้ววันหนึ่งพออิ่มตัว บรรดาสมาชิกวง ก็ต่างเลิกร้าง
แยกย้ายกันไปแบบทางใครทางมัน มีลูกเต้าหรือเอาดีทางการเมืองก็ว่าไปซะพักใหญ่ๆ
ระหว่างนั้นก็มีแฟนเพลงที่เคยติดตาม มาคอยถามไถ่ว่าเมื่อไหร่จะมีผลงานร่วมกันมาอีก

แต่เอ.. การที่วงดนตรีที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนานและรุ่งเรือง แล้ววันนึงก็แยกวงกันเนี่ย
มันต้องเกิดจากปัญหาอะไรสักอย่างสิครับ ไม่งั้นเขาจะแยกกันทำไม?

สำหรับผมที่ไม่ใช่นักดนตรี เป็นแค่คนเขียนบล็อก แต่ก็ไม่ได้ดีเด่ขนาดมีคนมาถวิลหาอะไร
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอเขียนบล็อกมานานๆ แล้วดันเลิกไปเนี่ย ก็มีคนทักมาเหมือนกัน
ช่วงแรกที่หยุดเขียน จะมีคำถามที่ได้รับบ่อยๆ คือ “มึงจะดองไปไหน”
ช่วงถัดมา ก็กลายเป็น “นี่กะจะปล่อยบล็อกให้ร้างจริงๆ เหรอครับพี่”
ช่วงถัดมา “นี่มันหมดยุคของบล็อกแล้วใช่ไหม เห็นเล่นแต่ทวิตเตอร์”
และหลังจากนั้น เสียงเรียกร้องก็เริ่มซาลงไป
จนไม่มีใครพูดถึงการมีอยู่
ของบล็อกนี้..
อีก..
เลย..

อาห์..

การที่คนเข้าบล็อกเริ่มขี้เกียจตามง้อตามทวง และทยอยหายหัวไปจนหมดสิ้นเอยนั้น
ให้บอกว่าไม่เสียดายเลยก็ไม่ใช่.. ผมเสียดายครับ
เพราะเพื่อนฝูงที่คบค้าสมาคมกันอยู่ทุกวันนี้ หลายๆ คนก็รู้จักผมผ่านที่นี่
แต่ถามว่าเสียใจไหม ไม่นะ ..ตรงกันข้าม ผมรู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครพูดถึงบล็อกนี้อีก!

สำหรับผมเอง การที่หายหัวไปนานขนาดนี้ มีหลายเหตุผลครับ

หนึ่ง: ผมไม่อยากเขียนบล็อกแล้ว

อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ว่าการเขียนบล็อกมันเริ่มไม่ใช่แล้ว
ปัจจัยภายนอกก็คือ ตัวระบบ WordPress ที่ไม่ “ง่ายบริสุทธิ์” ได้ดั่งใจ
(ซึ่งตรงนี้ Tumblr และ Twitter ตอบโจทย์มาก คิดอะไรได้ก็พ่นพรวด ..จบละ)
ส่วนปัจจัยภายในก็คือผมรู้สึกว่าการเขียนบล็อกมันยุ่งเกินไป
ซึ่งไอ้ความยุ่งยากนี้มันเกิดจากตัวผมเองทั้งนั้น ทั้งที่แรกๆ ก็เขียนตามสบาย
แต่พอคนอ่านเริ่มมากขึ้น ก็เริ่มจะอยากสร้างธรรมเนียมอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา
กะว่าจะให้เป็นลายเซ็น เป็นยี่ห้อ เป็นเอกลักษณ์ว่างั้นเถอะ
ทั้งการจัดย่อหน้า การตั้งชื่อ บังคับใช้เลขไทย ฯลฯลฯ ที่เป็นเปลือกทั้งนั้น
นานวันเข้าก็ยิ่งผูกเงื่อนไขกติกาให้ตัวเองเข้าไปติดกับ จนซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
จนวันหนึ่งก็ยอมแพ้ให้กับมัน..

สอง: ผมสู้ปัญหาไม่ไหว

ระบบบล็อกของผมมันเก่ามาก สมัยนั้นเริ่มเขียนตั้งแต่ WordPress รุ่น 1.2 หรือ 1.5 แน่ะ
แล้วฐานข้อมูลก็เป็นแบบ TIS-620 ซึ่งวันหนึ่งต้องย้ายเซิฟเวอร์เป็นเครื่องใหม่ที่เป็น UTF-8
ก็เลยเจอปัญหาตัวอักษรภาษาไทยเจ๊ง (บอร์ดฟอนต์.คอมก็เจอปัญหานี้มาก่อนเหมือนกัน)
แล้วทำไงดีล่ะ ด้วยความเสียดาย เลยต้องมานั่งซ่อมทั้ง 3-400 กว่าตอนที่เคยเขียนมา
ส่วนคอมเมนต์ในสมัยก่อนถึงจะเสียดาย แต่ก็ถือว่าช่างมันละกันเนอะ ตัดทิ้งไปให้หมด
วิธีซ่อมก็คือค่อยๆ ไล่หาตัวอักษรที่เจ๊ง (ตัว ภ และอื่นๆ อีกหน่อย จะกลายเป็นตัวเหลี่ยม)
แล้วก็ก็อปมาในภาชนะใหม่ให้สะอาดเกลี้ยง คือติดตั้งระบบใหม่แล้วเริ่มก็อปปี้มาลง
ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลานานมาก และต้องใช้แรงใจไม่มีวันหมด ก็เลยยังไม่เสร็จซะที
(สังเกตว่าตอนนี้พอเปิดย้อนไปหน้าสาม ก็กลายเป็นเนื้อหาบล็อกเมื่อหลายปีก่อนซะแล้ว)
ก่อนหน้านี้อยากซ่อมให้มันใช้ได้ทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเริ่มเขียนต่อ แต่ก็เจอปัญหาสุดท้าย..

สาม: ผมอยากเขียนบล็อกมาก

อ่านไม่ผิดครับ ผมโคตรอยากเขียนบล็อกมากๆ
เพราะพอไม่ได้เขียนไปสักพักนึง ก็ดันไปเจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรไม่รู้มากมายก่ายกอง
ชีวิตเกิดการผกผวนรวนเรจนน่าสนุกที่จะเล่า เลยอยากคุย อยากเขียนให้เยอะๆ
แต่ปัญหาทั้งสองข้อข้างบนทำให้ไม่รู้จะทำยังไงดี คือเราเหมือนหมาไฮเปอร์ที่โดนขังในกรง
แล้วหาทางออกไม่ได้เสียด้วย แต่คือมันเงี่ยนมากๆ ไง ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
แต่ถึงตัดใจเขียนแม่งตอนนั้นก็คงต้องมานั่งซ่อมระบบย้อนหลังอีกที เอ้า ยุ่งยากอีก
ในที่สุดก็เลยถือเป็นโอกาสอันดี ที่ตั้งใจไว้ว่า เออ.. งั้นกูขอหยุดเขียนไปสักปีละกัน
รอให้ความร้อนรนในช่วงนั้นมันเย็นลง ไปหาอะไรอย่างอื่นทำซะ

ในระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมก็อาศัยจังหวะเวลาว่าง (ที่ไม่ค่อยมี หรือถึงมีก็ไปทำอย่างอื่น)
มานั่งค่อยๆ คัดลอกและซ่อมแซมข้อความจากบล็อกเดิมทีละตอนๆ
ทีแรกกะว่าจะทำให้หมดก่อนแล้วค่อยมาเขียนใหม่ แต่(ข้ออ้างคือ)เวลามันไม่อำนวย
พอได้อ่านบล็อกเก่าๆ ของตัวเองก็แทบจะถุยน้ำลายรดจอ ..คือกูเกรียนจริงๆ เลยนะ
เลยตั้งใจจะรีเซ็ตธรรมเนียมเพ้อเจ้อที่เคยผูกขึ้นมาแล้วก็ติดบ่วงของตัวเอง.. อีกครั้ง

และประเด็นสุดท้ายก่อนที่บล็อกจะยาวไปกว่านี้
พ.ศ.นี้ โลกเรามีของเล่นออนไลน์สารพัดยี่ห้อ มาให้เล่นและเสพติดแทนบล็อกไปแล้ว
จะเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคที่บล็อกตายแล้วก็ไม่ผิดนะครับ เพื่อนผมหลายคนเลิกเขียนไปหมดละ
ดังนั้นใครที่มานั่งเขียนบล็อกในตอนนี้ ก็ไม่ต้องมานั่งห่วงว่า “คนอ่านจะเยอะไหม” อีกแล้ว
เพราะพฤติกรรมของผู้เสพข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้นเปลี่ยนไปจากยุคเฟื่องฟูของบล็อก
(ถ้าไม่กวาดสายตารวมๆ แล้วกด Like ก็อ่านได้แค่เฮือกละ 140 ตัวอักษรเท่านั้น)

นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้กลับมาเขียนอะไรที่เป็นตัวเองอีกครั้ง
ไม่ต้องมาง้อว่าคนอ่านจะชอบไหม (เพราะคนแม่งไม่ “อ่าน” กันแล้ว แต่ใช้ “ดู” แทน)
บล็อกไอ้แอนนนนนแห่งนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะกลับมาเป็นพื้นที่สำหรับคุยกับตัวเองอีกครั้ง

อ้อ.. ผมไม่ได้กร่างหรืออินดี้อะไรขนาดนั้นครับ ถึงจะมีคนอื่นมาคุยด้วยก็ยินดีนะครับ~

ป.ล.
เคยเจอเพื่อนสมัยเรียนที่สนิทกันโคตรๆๆๆๆๆๆ แต่พอเรียนจบมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
จนกระทั่งมีเหตุให้เจอกันอีกครั้งไหมครับ นี่แหละอารมณ์ของผมตอนนี้เลย
กูไม่รู้จริงๆ ว่ะว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องของตัวเองในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาให้มึงฟังว่ายังไงดี
มึงมีเวลาไหมล่ะ.. ถ้ามี เรามานั่งคุยกันนานๆ เลยได้ไหม คิดถึงมึงมากๆ
(ไอ้เพื่อนคนนั้นก็ตอบทันทีว่า “ไม่เป็นไร ค่อยๆ เล่าก็ได้ ไม่รีบ ..กูอยู่กับมึงอีกนาน”)

ป.อ.
ไอ้ ป.ล.-ป.ฮ. นี่ก็เคยเขียนไปแล้วทีนึงตอนพยายาม Reset ธรรมเนียมการเขียนบล็อกหนก่อน
เพราะเมื่อก่อนมันต้อง “พยายาม” หาอะไรมายัดใส่ให้ครบทั้งสาม ป. (เพื่ออะไรก็ไม่รู้)
แต่เวลามาเขียนหนนี้จริงๆ ก็เลยนึกได้ว่าประโยชน์ของมันก็คือ เป็นพื้นที่เก็บตกประเด็น
ที่อยากเสริมเนื้อหาข้างบน แต่ด้วยความจนปัญญาเลยไม่รู้จะยัดไว้ไหน .. เอาไว้นี่ละกันวะ

ป.ฮ.
ใช้เวลาเขียนนานมาก เริ่มที่ยูเนี่ยน มาจบที่บ้าน นี่เมียผมนอนไปแล้ว
เลยต้องรีบตัดจบ ไม่งั้นโดนด่า.. เออ เลยนึกถึงตอนก่อน (100 ขั้นตอนสู่ความขี้เหลว)
พอดีนั่งดีไซน์หน้าบล็อกจนดึกมากๆ (จนตอนนี้ยังทำไม่เสร็จเลย ใครดูในมือถือจะยังเละสวดยวด)
แล้วก็พลันปิ๊งมุกขึ้นมา เลยเขียนไปยังงั้นเลย สดดี (ส่วนตัวแล้วชอบความปิ๊งแว้บแบบนี้แหละ)
คงไม่เขียนต่อนะครับ ทิ้งไว้งั้นแหละ ดูไร้กระบวนท่าดี กร๊าก :30:
(ไม่รู้นังแชมป์ เจ้าของหนังสือที่โดนแซว-ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น-จะรู้หรือยัง)

คอมเมนต์

100 ขั้นตอนสู่ความขี้เหลว

100-ขั้นตอนสู่ความขี้เหลว

ขั้นตอนที่ 1: เชื่อเมีย

ป.ล.
ดองบล็อกมาปีนึง มีอะไรจะเขียนเยอะแยะ สุดท้ายเอาเรื่องขี้เหลวก่อนละกัน :08:

คอมเมนต์

กรุงเทพมหานคร (15 มิ.ย.53)

พอดีวันนี้ไม่ได้ขับรถเองครับ.. มีแฟนคลับ เอ๊ย แฟนขับ
ก็เลยได้ส่องๆ ถนนข้างทางตอนเดินทางกลับบ้าน เลยมาเขียนบล็อกไว้สั้นๆ
ไม่แน่นะว่าภาพที่เราเห็นจนชินตา บางทีวันนึงมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ได้
ดูอย่างห้างสรรพสินค้าและโรงหนังใจกลางเมืองนั่นสิ
ใครจะไปคิดว่าวันนึงมันจะหายไปโดยไม่ได้ร่ำลา

เลยขอบันทึกไว้นิดนึงครับ

FxCam_1276598434642 FxCam_1276598550088 FxCam_1276598564571 FxCam_1276598641445 FxCam_1276598688685 FxCam_1276598733621 FxCam_1276598815218 FxCam_1276599018768 FxCam_1276599289989 FxCam_1276599319746 FxCam_1276599563872 FxCam_1276599812672

(ใช้โปรแกรม FxCamera ในมือถือ HTC Legend ถ่ายครับ)

คอมเมนต์