หมอขี้ตายเพราะขี้

ปกติผมจะมีความสุขดีกับการขี้นะครับ (คำที่ทวีตบ่อยที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้นี่แหละมั้ง)
คือขี้วันละ 1-3 ครั้งแล้วแต่โอกาสและร่างกายจะอำนวย
แล้วก็รู้สึกยินดีกับการขี้ เพราะถือคติว่า “การขี้คือสิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำคุณประโยชน์ให้กับโลกได้”
ไม่เชื่อก็ลองนึกๆ ดูสิครับ แต่ละอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งการลดโลกร้อน ก็ยังไม่เห็นว่าโลกจะได้อะไรเลย

แต่เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
หลังจากกลับจากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ชาวฟอนต์ที่สวนผึ้ง ราชบุรี
ซึ่งตอนนั้นซื้อเนื้ออะไรต่ออะไรมาปิ้งย่างกินกันสนุกสนานยันเกือบจะโต้รุ่ง
กลับมาจากทริปนี้ ผมขี้แตกระเบิดระบมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้

ปกติที่ทำงานผมจะสามารถทำงานที่บ้านได้ 1 วัน คิวของผมคือวันจันทร์
ซึ่งปกติจะมีความสุขมาก เพราะได้นอนดึกและตื่นสายๆ มาทำงานกับห้องทำงานที่คุ้นเคยได้สะดวก
แต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ผมโคตรทุกข์ทรมานเลยครับ เพราะนอกจากจะเป็นไข้(1) ผื่นขึ้นตูด(2) แล้ว
(คือดูรวมๆ เราก็เรียกว่าไม่สบายนั่นแหละครับ แต่แจกแจงได้เป็นสามโรคที่แทบไม่เกี่ยวอะไรกันเลยด้วยซ้ำ)
ผมยังใช้ชีวิตวนเวียนระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเหมือนรับจ็อบทดสอบระบบสุขภัณฑ์อย่างหฤโหด

ตื่นมาขี้ แล้วไปนอนซม (เป็นไข้ไง)
นอนได้แป๊บๆ เอ้าขี้อีก
แล้วไปนอน แล้วก็ลุกมาขี้อีก
เดี๋ยวก็ไปนอนอีก แล้วก็ลุกมาขี้อีก
วนลูปไปเรื่อยๆ จนจำไม่ได้ และเข็มนาฬิกาเริ่มเลือนลาง

ขี้จนตูดเป็นเหน็บ จนเริ่มหาวิธี ท่านั่งแบบใหม่ๆ
ก็เลยรู้ว่ามนุษย์เราพัฒนาปัญญาและฝึกการแก้ปัญหามาจากการขี้นี่เอง
ขี้จนได้รู้จักตัวเอง ขี้จนมานั่งพูดคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าชีวิตเราเกิดมาทำไม
คนเราต้องใส่เสื้อผ้ากันทำไมในเมื่อมันขัดขวางการมีชีวิตขนาดนี้
และการออกแบบสถาปัตยกรรมไม่ว่าจะเป็นระดับเมือง หรือระดับอาคารเนี่ย
มันทำลายพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์เกินไปหรือเปล่า
คือเราควรจะมีเสรี ขี้ได้ทุกที่ที่ใจอยากไม่ใช่หรือ?
ถ้านึกไม่ออกก็ลองเปลี่ยนเป็นคำว่ารักสิครับ มันไม่ควรมีกำแพง เราควรรักได้เท่าที่ใจต้องการมิใช่หรือ

ฯลฯลฯลฯ

ผมทรมานจนหลับไป และตื่นมาช่วงที่ไข้เริ่มทุเลา
เปิดคอม เขียนอีเมลบอกพี่ที่ทำงานว่าขอลาป่วย
(ไม่รู้จะมีกี่คนที่จดหมายลามีแต่คำว่าขี้ๆๆๆ เต็มไปหมดแบบนี้)

พอวันที่สองก็ยังขี้อยู่ แต่สภาพของขี้เปลี่ยนไป
ใครที่เคยท้องเสียคงเข้าใจดีว่ามันมีระยะของอาการอยู่

ส่วนวันที่สามอาการใหม่ก็มาถึง คือตูดเปื่อยครับ
รูตูดนี่แหละเปื่อยยุ่ยเพราะใช้งานหนักไป เวลาขี้จะแสบตูดและทรมานมาก
มากจนสงสัยว่าเก้งกวางเขาทนกันได้ยังไง หรือทำไปบ่อยๆ แล้วมันก็โอ
ที่สำคัญคือได้รู้ว่าการทำงานและเดินทางทั้งวันนั้นทรมานมาก แวะขี้ทุกป้าย
ตั้งแต่บ้าน ห้องน้ำเอ็มโพเรียม (ถ่ายรูปไว้ข้างบน – ป้ายห้ามเสกของออกจากส้วม)
ไปยันที่ทำงานก็เอาซะหน่อย แถมตอนกลับอาการกำเริบเพราะกินไส้อั่ว(กินทำไมวะ)
เลยไปแวะห้องน้ำสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน ซึ่งโสโครกระดับห้าดาว แต่กูยอม

ความซวยบังเกิดก็อีตรงที่พี่มูส(พี่ที่ทำงานเก่า)และพรรคพวก ดันอยากกินเนื้อย่าง
คือไม่ได้เจอหน้ากันนานไง ก็เลยยกพวกกันไปร้านบอยโพนยางเจ้าเก่ากัน
แล้วก็คงนึกภาพออกว่าเกิดสงครามขึ้นทุกที ซัดเนื้อกันระเนระนาด
โดยมีผมนั่งน้ำลายยืด ไม่กล้าแตะมาก (ปกติมาทีก็ยัดห่าเหมือนซูโม่หลังแข่งเสร็จทุกครั้งแท้ๆ)
ที่สำคัญคือตลอดระยะการกินเนื้อย่างแบบนิดๆ นั่นเอง ผมแวะไปขี้ถึงสองครั้ง
ทำให้เปลี่ยนทัศนคติต่อห้องน้ำร้านเนื้อย่างโพนยางคำ ..ว่าเออ ห้องน้ำเขาก็น่าขี้ดีนะ

จากวันนั้นจนวันนี้ นี่คือวันที่สี่
ลำไส้ยังไม่ฟื้นตัวดี (อาการท้องเสียที่เขาว่าลำไส้อักเสบนั่นแหละ คือผนังมันเจ๊ง รอฟื้นตัว)
รูตูดยังไม่โอเค แต่เลือดไม่ออกให้หลอนเล่นเวลาก้มลงไปตรวจผลงาน
แต่ท้องยังแน่นมาก ระบบทางเดินอาหารมึงยังไม่แข็งแรงแต่เสือกอยากแดกเนื้อ สมควรตาย

ป.ล.
ก่อนขี้แตก ผมกะจะเขียนบล็อกโหมดจริงจังเรื่องปัญหาการสื่อสารข้อมูลในการเลือกตั้ง
ว่าที่จริงแล้ว ก.ก.ต.ควรหางบสักก้อนมาจ้างทีมนักออกแบบดีๆ ให้ช่วยสื่อสารอะไรต่ออะไรออกมา
เพราะมันมีเรื่องที่ต้องสื่อสารเต็มไปหมดแต่คนก็ยังกาชูวิทย์ทั้งสองใบบ้าง กาที่ชื่อพรรคเพื่อไทยบ้าง
หรือแม้แต่หยอดหีบผิดบัตร เฮ้ย หยอดบัตรผิดหีบบ้าง ฯลฯ
มีประเด็นเยอะเลยเรื่องที่รัฐควรมาพึ่งนักออกแบบซะทีเนี่ย (ส่วนเรื่องนักออกแบบพึ่งรัฐนั่นไม่ต้องหวัง)
แต่เขียนตอนนี้ก็หมดไฟละ งั้นเอามาย่อเหลือแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านี้พอ เรื่องขี้แตกนี่แหละ เป็นปัจจุบันกว่า

ป.อ.
ขอบคุณคุณเมีย ที่ชงเกลือแร่จากโรงพยาบาลมาให้
ช่วยให้ไม่ตายระหว่างขี้ครับ ผมเป็นคนโชคดีที่กินอะไรก็ไม่รู้สึกว่าไม่อร่อย
ก็เลยกินได้แทบทุกอย่างไม่มีบ่น แม้กระทั่งน้ำเกลือแร่ชนิดนี้ที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่อร่อย
(เอ๊ะ หรือไอ้การกินไม่เลือกนี่แหละที่เป็นเหตุแห่งท้องเสียครั้งนี้)

ป.ฮ.
แต่ประโยคที่เมียพูดบ่อยๆ ตอนมาดูอาการ คือ “อย่าเพิ่งตายนะ ยังไม่ได้ทำประกัน”

คอมเมนต์

แล้วเราเป็นใครในโลกออนไลน์?

ขอเกริ่นก่อนว่า ผมเป็นพวกที่ขี้รำคาญพวกอวดรู้เหลือเกิน
เลยขอเขียนแบบนั้นดูสักครั้ง อยากรู้ว่าอีพวกนักวิเคราะห์นี่มันมองอะไรยังไงกัน 555
ถ้าขี้เกียจอ่านก็กดข้ามไปตอนอื่นๆ เพื่อหาการ์ตูนปัญญาอ่อนได้เหมือนเดิมตามสบายครับ

.

จริงๆ บล็อกตอนนี้ต้องเขียนตั้งแต่เล่น Google+ วันแรก แล้วรู้สึกแวบขึ้นมา
เพราะหลังจากหยอดรีวิวแรก(ของชาติเลยนะ)ไปนิดนึง ก็รู้สึกว่าจะต้องขยายความเพิ่มอีก
แต่ก็ดันดองจนเริ่มเปรี้ยว เลยขอเขียนภาคต่อแบบดิบๆ แบบนี้แหละครับ

ประเด็นที่อยากขยายความก็คือ ขอสำรวจตัวตนก่อนว่าเหล่าสังคมออนไลน์ที่เราสิงสถิตอยู่เนี่ย
มันรู้จักอะไรกะเรา?

Facebook: นี่กูต้องเป็นใคร

ลองสังเกตดูครับ พฤติกรรมที่เว็บสีน้ำเงินแห่งนั้นจูงใจและเอื้ออำนวยให้เราเป็น
ก็คือการบอกว่า “กูเป็นใคร” ไม่ว่าจะ ไม่ว่าจะชอบกินอะไร เที่ยวที่ไหน เล่นอะไร
นับถือใคร ชอบ รัก เกลียด เลือกพรรคไหน และมั่นใจว่าคนไทยจะมั่นใจอะไร :30:
สิ่งเหล่านี้คืออาหารอันโอชะสำหรับเจ้าของเครือข่าย ที่ถึงเวลาแล้วเขาก็นำมาใช้หาประโยชน์
และร่ำรวยจากการรีดข้อมูลส่วนตัวของเราโดยสมัครใจ เอาไปขายโษณาซะงั้น
เราในฐานะผู้ใช้ก็ไม่ต้องไปรู้สึกระแวงหรืออะไรหรอกครับ มึงจะเอาก็เอาไป ขอให้กูได้เลี้ยงหมูก็พอ
(มีฝรั่งบอกว่า วิกิลีกส์เอาความลับมาแจกจนโดนล่า ส่วนเฟซบุ๊กได้ขึ้นปกไทมส์ทั้งที่ขายความลับเรา!)
นอกจากนั้นแล้ว ระยะเวลาที่ผ่านมา ระบบนิเวศในเฟซบุ๊กก็ดันเน่าหนอน
เพราะบรรดาบริษัทห้างร้านก็ดันระดมหลอกคนมากด Like (ฝ่านการตลาดชอบตัวเลขเยอะๆ นี้นัก)
จนข้อมูลส่วนตัวของคุณกลับกลายเป็นอะไรไม่รู้ นี่กูไปชอบบ้านจัดสรรของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
แต่พักหลังทางคุณซักกะเบิกและทีมงานก็ได้เร่งแก้ปัญหานี้ด้วยการออกกฎเหล็กมาแปดข้อแล้ว
เดี๋ยวจะรอดูว่าได้ผลแค่ไหน และสังคมอุดมโฆษณาแห่งนี้จะกลับมาสงบสุขอีกครั้งหรือไม่

Twitter: ที่จริงแล้วกูเป็นใคร

“ในทวิตเตอร์ เราปกปิดตัวตนของตัวเองได้ไม่นานหรอก” ใครหลายคนก็กล่าวแบบนี้
ซึ่งทวิตเตอร์มันก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ครับ มันไม่มีอะไรให้เล่นอีกแล้วนอกจาก 140 ตัวอักษรนั่น
คุณนึกอะไร ชอบอะไร จะสร้างภาพยังไง พอทวีตไปสักพันทวีตมันก็ปกปิดตัวตนคุณไม่อยู่อยู่ดี
ด้วยระบบการ Follow ที่คุณสามารถแอบรักและติดตามความเคลื่อนไหวของคนอื่นได้
โดยเขาไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักเรา มันทำให้ทั้งเขาและคุณต่างก็แสดงความเป็นตัวเองออกมาได้
ฉะนั้นประสบการณ์การใช้งานทวิตเตอร์ของแต่ละคน จึงมีลักษณะที่ไม่เหมือนกันเลย
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพยายามมานั่งหานิยามแบบที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า “คนในทวิตเตอร์เป็นคนยังไง”
เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในสังคมไหน มีความสนใจอะไร แสตนด์จะย่อมดึงดูดแสตนด์ด้วยกันครับ
ไม่เชื่อก็ลองกดดูไทม์ไลน์ของคนที่เราไม่รู้จักเลย แล้วดูสิครับว่าคนในทวิตภพของเขาเป็นยังไง
สนุกดีนะครับ ผมเคยหลุดไปในวงการที่คุยกันแต่เรื่องปลากัด ปลาตู้ โคตรเจ๋งเลย

Google+: คนอื่นมองเรายังไง

ผมคงไม่มานั่งพูดกันแล้วนะว่ามันลอก หรือมันทำมาฆ่า Facebook หรืออะไร
เพราะภายใต้หน้าตาที่ออกจะคล้ายกันนั้น .. วิธีคิดมันคิดกลับหัวกันเลย

ความเจ๋งมันอยู่ที่ Circles ครับ
อย่างที่เขียนไว้ในตอนก่อนว่านี่แหละของเด็ด แล้วก็ไม่ได้ขยายความต่อว่ามันเด็ดยังไง วันนี้จะมาว่ากัน

ก่อนอื่นต้องแนะนำอีเจ้า Circles ให้คนที่อาจจะยังไม่ได้ลองเล่น Google+ ซะก่อน
มันคือระบบที่หน้าตาใช้ง่าย เอาไว้ให้เราจับลาก “คนรู้จัก” ลงไปอยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ
ซึ่งมันสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางสังคมของเราพอดี ที่เวลานึกหน้าเพื่อนขึ้นมาสักคน
มันจะมีสถานะพ่วงมาด้วยเสมอ ผมก็เป็น คุณก็เป็น ไม่เชื่อลองสักสองสามสี่ห้าตัวอย่าง:

  • ไอ้บิ๊ก เพื่อนสมัยเรียนมัธยม ที่ตอนนี้กลับมาเจอกันและอยู่ในบอร์ดเดียวกันด้วย อาชีพทำเว็บ
  • ไอ้ตั๊ก ที่เป็นน้องมหาลัย แต่หลังๆ มันมาเที่ยวบ้านบ่อย แถมเป็นแก๊งกินที่ตามไปกินทุกที่
  • ไอ้แก้ว ที่รู้จักกันตอนทำงานที่ทำงานเก่า จนตอนนี้ก็ยังมาอยู่ที่ทำงานใหม่ด้วยกัน และเป็นแก๊งหมา
  • อีแชมป์ คนทำเว็บ วาดการ์ตูน เขียนหนังสือแนวจิกกัด รู้จักกันจากในเน็ตก็เพราะความจิกกัด
    จนพอมาเจอตัวจริงก็พบว่าเป็นชาวลาดพร้าวเหมือนกัน
  • เจ๊เพชร รู้จักกันในเน็ตแถมยังไม่เคยเห็นหน้าตากันเลย รู้แต่ว่าเจ๊กวนตีนจนน่าคบมาก และชอบหมา
  • ฯลฯ (รายนามบุคคลและสมาคมที่ถูกพาดพิงข้างบนนี้ ดันมีตัวตนอยู่จริงทั้งสิ้น)

เห็นไหมครับว่ามันมีบางอย่างที่กลุ่มคนที่กล่าวมาข้างต้นมีอะไรบางอย่างที่ “ทับซ้อน” กันอยู่หน่อยๆ
นั่นคือใน 1 คนอาจจะโคจรมาข้องแวะกับเราในฐานะ “สมาชิกร่วมวงการ” อะไรสักอย่าง
อาจจะเป็นวงใดวงหนึ่ง หรือมากกว่า 1 วงก็ได้ เช่นแก๊งกิน แก๊งเตะบอล แก๊งเที่ยว แก๊งเพื่อนสมัยเรียน ฯลฯ
กรุณาเปิดเพลง “เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ” ประกอบก็จะยิ่งเห็นภาพว่าวงโคจรมันมีอยู่จริง จริงๆ

Google-Plus-Circles

ในเมื่อวงมันมี แต่เราไม่เคยแปลงมันออกมาเป็นรูปธรรมแบบจับต้องได้ซะที
จน Google+ มันคลอดออกมาพร้อมกับภาพแรกที่เราเห็นแล้วก็จะงงว่า ไอ้ Circles นี่มันเชี่ยไรวะเนี่ย
มันคือ Circles อย่างที่เห็นในภาพนั่นแหละครับ แปลเป็นไทยว่า “แวดวง” (ฟังทีแรกจั๊กจี๋มาก แต่เริ่มชินละ)
ความที่มาถึงปั๊บ เราต้องไปเคลียร์กับตัวเองก่อนว่าจะจัดความสัมพันธ์กับคนนั้นคนนี้อย่างไร
อันนี้แหละที่ทำให้วิธีคิดของ Google+ นั้น “กลับหัว” กับทั้ง Facebook และ Twitter โดยสิ้นเชิง
เพราะ Facebook และ Twitter นั้นเรียกเพื่อนเราเป็น List และไม่ถูกขับเน้นเป็นสำคัญนัก
คือจะมีสักกี่ครั้งที่คุณได้ใช้การคุยกับเพื่อนเฉพาะลิสต์ที่ว่า? นอกนั้นก็เป็นระนาบเดียวกันหมด
โอเค ใน Facebook มีระบบ Groups ที่มองคล้ายกับเว็บบอร์ดที่ถึงเวลาก็ไปสุมหัว “ในนั้น”
แต่กับ Google+ นั้นไม่ต้องเข้าไปที่ไหน แต่การพูดทุกคำออกมาจะใช้การเจาะจงว่าเราพูด “กับใคร”
ผมเลยนับถือสถาปนิกระบบตรงนี้มากว่าเขาคิดได้ไงวะ พลิกกลับหัวจากระบบที่เราชินได้ โคตรเก่งเลย

ทีนี้มาต่อกันด้วยหัวข้อที่เขียนถึงในวันนี้ ว่า “คนอื่นมองเรายังไง”
ถ้าเปรียบเทียบกับใน Facebook และ Twitter การจัดเพื่อนเข้า List นั้นเพื่อความสะดวก
แต่สำหรับ Google+ มันมีมากกว่านั้นครับ ลองสังเกตดูว่าที่ผ่านมา Google ขาดอะไร?
Google มีคลังข้อมูลที่มีปริมาณเยอะที่สุดในโลก
Google มีสารพัดโปรแกรมระดับเทพ ที่พลิกระบบการคิดจากโปรแกรมอ้วนๆ ที่เรามี ไปอยู่บนเว็บ
Google มีระบบหุ่นยนต์และอัลกอริทึมมากมายที่ใช้วัดระดับความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เก๋าที่สุดของโลก
ฉลาดที่สุดในโลกขนาดนี้ แต่กลับพลาดท่าตรงที่เสือกไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์!
เรียกได้ว่า Google สามารถ Search หาอะไรก็เจอแม่งทุกอย่าง
แต่กลับหาใจเธอไม่เจอ (ฮิ้วววว)

แต่ในที่สุด ตอนนี้พอมี Google+ ขึ้นมาปั๊บ
มันก็เริ่มจะหาใจเธอเจอแล้วครับ

ก็จากการที่หลอกใช้พวกเราในฐานะ User (ตอนนี้แค่กลุ่มเล็กๆ แต่ต่อไปก็ทั้งโลก)
ให้ระบุ Metadata ต่างๆ ที่พ่วงมากับทุกคน โดยไม่ต้องอวยสร้างภาพตัวเองแบบใน Facebook
เพราะแทนที่จะให้เราบอกใครๆ ว่าเราเป็นใคร แต่คราวนี้คนอื่นจะบอกเราเองว่ามึงเป็นใคร!
ก็ด้วย Circles นี่แหละครับ

circles-me

และฐานข้อมูลมนุษย์นี่แหละครับที่กูเกิลกำลังเริ่มเปิดฉากเพื่อครอบครองต่อจากฐานข้อมูลภายนอก
แบบเดียวกับที่ไอน์สไตน์คุยกะซิกมุนด์ ฟรอยด์ ว่าตูเนี่ยรู้หมดทั้งจักรวาล แต่ไม่รู้เรื่องในสมองคน
บัดนี้ไอน์สไตน์ที่เกิดใหม่มาในคราบหุ่นยนต์ มันเริ่มรู้แล้วครับ และเฟสต่อไป มันก็จะเริ่มครองโลก

ตัดจบ!

คอมเมนต์

เดอะ โซเชียล เน็ตเวิร์ก

The-Social-Network

ป.ล.
สังเกตว่าพยายามจะวาดให้เนี้ยบๆ มีลงสีลงเสอด้วย
แต่ก็มีปัญญาเนี้ยบได้เท่านี้แหละ

ป.อ.
นี่เป็นเหตุการณ์จริงที่กำลังเกิดขึ้นกับผมตอนนี้เลยครับ
แต่เพิ่มไปอีก 2-3 ช่องคือเสียเวลานั่งอ่านฟีดกับติดเว็บบอร์ด
แถมไอ้ Google+ นี่ก็ดันขยายร่างกระจายทั้งเว็บฟีดทั้งอีเมล ปิดไม่ได้ด้วยนะ
แถมมันหน้าตาช่างน่ารักน่ากดเสียนี่กระไร ก็ขอแวะนิดนึง.. แล้วก็ยาวทุกที
(ตอนนี้ยังนึกวิธีบล็อกมันไม่ออกเลยครับ ฝ่ายไอทีบริษัทต่างๆ เตรียมปวดกบาลได้)

ป.ฮ.
กะว่าจะขอเขียนการ์ตูนลงบล็อกเล่นสักพัก
แล้วก็หมดไปอีกชั่วโมง..

FAIL

คอมเมนต์

Google+ : บวกแม่งเลย

บล็อกตอนนี้จะเขียนสั้นๆ ดูบ้าง ติดนิสัยเขียนทีไรยาวทุกที
เรื่องของเรื่องคือได้ลองเล่น Google+ แล้วครับ

สั้นๆ สำหรับคนที่ไม่รู้จักว่า Google+ มันคืออะไร:
มันคือ Facebook ยี่ห้อ Google นั่นเองครับ จบ

แต่ถ้ายาวๆ มันก็คือรวมบริการที่กูเกิลมีอย่างกระจัดกระจายเต็มไปหมดไว้เป็นก้อน
คือคงรู้สึกแล้วว่าถ้าปล่อยให้กระจายอยู่แบบนี้ รับรองตายแน่นอนครับ
เพราะคนเล่นเน็ตเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาผ่านกูเกิลเป็นหลักเหมือนแต่ก่อนแล้ว
แต่เราจะเจอคลิปเพลงคันหู คลิปนั่นคลิปนี่ หรืออะไรฮาๆ ผ่านเพื่อนก่อนเสมอ

ยุคนี้จึงเป็นยุคของ Facebook ไงครับ เพราะมันสนองตัณหาของมนุษย์ขาเสือกได้ดียิ่ง
(อ้ะ ขอพ่วงเครดิตให้ Twitter ด้วยก็ได้ เพราะผมเกลียดความเยอะของ Facebook)

ในขณะที่ชาวบ้านเขา Social กันตูมตูม แต่กูเกิลเองดันจุดสังคมผู้ใช้ของตัวเองไม่ติด
Google Wave เราก็อ่านออกเสียงว่า “กูเกิลว้าเหว่” และเจ๊งไป
Google Buzz ก็มาผิดรูปผิดรอย เพราะดันเสียบเข้าไปในทุกบริการจนคนรำคาญ ก็ดับอีก
จนบิ๊กบอสของกูเกิลเองต้องออกมารำพันว่า “ที่ผ่านมาเราแพ้ Facebook ในสนามนี้แล้ว..”

แต่ก็ยังไม่ยอมครับ เพราะสาวกยังเยอะอยู่ทั่วโลก ถ้าไม่เริ่มตอนนี้ได้ตายห่าจริงๆ แน่
Google+ จึงมา (อ่านรายละเอียดได้ใน Blognone ครับ)

ผมได้รับ Invite เมื่อเช้าจาก @koojane และ @icez ก็เลยกดเข้าไปเล่น
และทำตัวเหมือนสาวกท่านอื่นๆ คือเล่นมันซะทุกปุ่มทุกอย่าง ไล่มันทุกเมนู
(ค้นพบว่าพฤติกรรมร่วมของคนที่ใช้กูเกิลจะเป็นแบบเดียวกันนี้แหละครับ)
และก็เลยเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า “แม่งแป้กแหงๆ” กลายเป็น “เฮ้ย แม่งเจ๋งว่ะ”
ต่างจาก Google Wave ที่เจ๊งไปเพราะแม้จะเจ๋งแต่นึกไม่ออกว่าจะใช้ทำอะไีรกะมัน
แต่ Google+ นี่ชัดเจนว่าใครที่วนเวียนอยู่ในโลกแห่งกูเกิลอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเกร็งครับ
วันหนึ่งมันจะมาเยือนคุณเอง อย่างเนียนๆ แน่นอน เพราะอุปกรณ์พี่แกเยอะเหลือเกิน

ยาวละ พอๆ ขอสรุปปิดท้ายหน่อย

googleplus

คือ “นิสัยของคนใช้ Google” เนี่ย จะต่างจากคนใช้ Facebook ครับ
อย่างคนใช้โทรศัพท์แอนดรอยด์ จะเห็นได้ชัดเลยว่าวิบากกรรมแรกที่เจอแน่นอน
ก็คือการนั่งเรียง Contact List ที่เคยใช้อย่างสะเปะสะปะตอนใช้ Gmail
กลายเป็นชื่อนามสกุล ใส่รูปเริปอะไรเรียบร้อย เหนื่อยคืนนึงแล้วสบายตลอดชีวิต
นี่ก็เช่นกันครับ Google+ มันมีระบบ “Circles” หรือวงเพื่อน (ไม่รู้มีภาษาไทยยังนะ)
พอเข้าไปปั๊บ ภารกิจแรกที่ต้องทำก็คือ เวลามีเพื่อนโผล่มา ก็จับมันเข้าวงก่อนเลย
แก๊งเพื่อน แก๊งที่ทำงาน แก๊งหมา แก๊งแมว แก๊งมัธยม แก๊งสาวตึง อะไรก็ว่าไป
เสร็จแล้วเวลาเราโพสต์อะไรออกไป มันจะชี้เลยว่าจะแชร์ลงวงไหน
ดูเหมือนจะยุ่งยากนะครับ แต่ที่จริงไม่เลย เพราะหน้าตาการใช้งานของมันง่ายโคตรๆ
และแนวคิดมันกลับหัวกับการรับแอดเพื่อนสะเปะสะปะใน Facebook Groups
หรือแอดก็ได้ไม่แอดก็ได้ ไม่ค่อยสนใจ อย่างระบบ Lists ใน Twitter
ซึ่งโดยส่วนตัวนิสัยผมก็เข้ากับพฤติกรรมชอบจัดระเบียบอะไรแบบนี้พอดี
ยิ่งไปโผล่ในอุปกรณ์อื่นๆ (อาทิ มือถือสารพัด) ที่ถูกวางแผนไว้อย่างดีแล้วก็ยิ่งหรูหรา

แถมการออกแบบให้ใช้ง่าย และทุกอย่างดูฉลาดยืดหยุ่นจนไม่มีข้อสงสัยในทุกๆ รายละเอียด
(เคยเจอไหมที่ใช้บางเว็บแล้วงงว่าเฮ้ยแม่งใช้ไงวะ ผมนี่แหละคนนึงที่เซ็ง Facebook มาก)
ซึ่งความง่ายโคตรๆ นี่แหละ ที่เป็นจุดขายสไตล์กูเกิลตลอดมา
อย่างที่ชอบมากก็คือไอ้ก้อนตัวเลขสีส้มๆ ที่เอาแจ้งเตือนตรงมุมจอ ที่เหมือนจะไม่มีอะไร
แต่พอกดปั๊บ เราสามารถ “ทำอะไรกับมันก็ได้” ตั้งแต่จัดเพื่อน ดูรูป อ่านหรือพิมพ์คอมเมนต์ ฯลฯ
แม่ง เหยดดดดด เหยอออออออ (ไอ้เหยอนี่คืออะไรวะ อ่านออกเสียงแล้วฟังดูดี งั้นไม่ลบ)

ดังนั้น Google+ จึงชิมแล้วถูกใจและยินดีบอกต่ออย่างชื่นชมครับ!

ขี้แรกของโลกใน Google Plus

ป.ล.
พอได้ลองแล้วก็เลยลองทำอะไรเป็นคนแรกในประัติศาสตร์ดู
นั่นคือการวาดรูปขี้ครับ (ก็ดันมีคนมากด +1 ซะเยอะเลยนะ :30: )

ป.อ.
ตอนนี้มันยังไม่เปิดสาธารณะ แต่ใช้ระบบขายตรง หาดาวน์ไลน์กัน
เห็นว่าเมื่อเช้าเราสามารถ Invite ต่อกันได้แหลกเลย
แต่ตะกี้เพิ่งมีประกาศปิดการ Invite ชั่วคราว เพราะสาวกคงเยอะเกินไปครับ
คิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวก็เปิดใหม่อีกที เพราะมันคงไม่กั๊กไว้จนแห้งตายเหมือน Wave ละ

ป.ฮ.
ลองเล่น Hangouts ในนั้นละ มันคือ Video Chat แบบกลุ่มครับ
ใช้ง่าย หน้าตาสะอาดสะอ้านสมชื่อกูเกิล และที่สำคัญคือเร็วจี๋!
แนวคิดก็เหมือนเดิมคือกดเริ่มปั๊บ แล้วก็เลือกว่าจะคุยกะเพื่อน “วง” ไหน
คิดดูละกันว่าต่อไปถ้าไอ้ Google+ นี่เกิดขึ้นมาจริงๆ รับรอง CamFrog เจ๊งแน่ๆ :30:
(แก้ไขเพิ่ม: นางแก้ว @kejuliso ก็เป็นคนแรกของโลกที่เต้นเพลงคันหูผ่าน Hangouts ครับ)

.

//เขียนเพิ่มในบ่ายวันเดียวกัน:
ผมเชื่อเสมอว่า ของมันจะดีเมพแค่ไหน ถ้าไม่มีคนใช้ หรือต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จากที่ชิน ก็ดับ
แต่สำหรับ Google+ เนี่ยมันร้ายกาจกว่านั้นครับ เพราะมันหาทางออกให้กับปัญหาที่เคยเจอได้แล้ว
นั่นคือฤทธิ์เดชของไอ้เม็ดแจ้งเตือนสีส้มนี่ละครับ ..แม่งเล่นโผล่ทุกเว็บในเครือกูเกิลเลย!!
ดังนั้นจึงกลบจุดอ่อนของ Wave ที่ใครจะเล่นต้องปีนกระได หรือของ Buzz ที่เยอะเกินจนน่ารำคาญ
ตรงที่ว่า กูขอมีตัวตนแค่เม็ดสีส้มน่ารักในแถบสีเทาดำก็พอ ใครใคร่กดดูก็กด ใครไม่สนก็เชิญ
ตรงนี้จึงแก้ปัญหาทั้งเรื่องความเยอะและน้อยไปได้ลงตัวมากครับ มึงคิดได้ไงเนี่ยวิธีนี้

googleplus-notification

คอมเมนต์

ผีหนูอร

เวลาใครถามผมว่าจะให้ลง “ตำแหน่ง” ว่าอะไร ผมก็จะงงๆ ไม่รู้จะตอบว่าไงดีครับ
คือไม่ค่อยจะรู้สึกอินเท่าไหร่ว่าคนเราต้องเรียกกันด้วยชื่อ และตามด้วยหน้าที่การงาน
อาจจะเป็นเพราะสังคมเราชินกับการที่ถามกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ล่ะมั้ง

.

..ซึ่งไอ้ที่เกริ่นมาข้างบนนั่นไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อกวันนี้เลยครับ

.

คือก่อนที่ผมจะหายจากการเขียนบล็อกมาปีนึงเนี่ย เรื่องอาชีพการงานมันก็เปลี่ยนไปตามเวลา
เอาไว้จะมาเล่าให้อ่านอีกทีว่าตัวเองทำ “ตำแหน่ง” อะไรอยู่บ้าง
แต่คราวนี้ขอโหมดนี้หน่อยนะครับ.. ผมเป็นตากล้องจำเป็นให้กับร้านเสื้อของคุณแม่ยายจ้ะ

แม่ยายผมชื่อเพราะครับ ชื่อนลินฟ้า
ป้านลินฟ้าแกชอบตัดเสื้อ แต่ก็ทำอาชีพแม่ค้าในตลาดมาหลายสิบปี
จนวันหนึ่งคุณลูกสาว (เมียผมเอง) บอกว่า แม่เลิกขายของเหอะ เหนื่อย ..แก่แล้ว
พอดีผมกะโบว์ทำร้านสกรีนเสื้อยืดอยู่ด้วย เลยชวนแม่มาเข้าวงการซะเลย!
ก็เลยจัดการสร้างร้านตัดเดรสแบบผู้หญิงๆ ขึ้นมา ก็ตัดเย็บกันด้วยจักรที่บ้านนั่นแหละ
แล้วก็เอามาขายที่ LadySquare เดือนสองเดือนครั้ง แล้วก็รับตัดตามออเดอร์แบบออนไลน์ซะด้วย
โดยป้านลินฟ้าเปลี่ยนจากแม่ค้าตลาดสดที่ไม่เคยรู้จักคอมพิวเตอร์เลย จนตอนนี้เล่นทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก
จึงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใครจะเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ไปสอนผู้ปกครองที่เปิดใจนะครับ  :22:
(อันนี้ต้องขออวดหน่อย เพราะแม่ยายผมฝีมือตัดเย็บเสื้อแกผ้าเจ๋งจริงๆ เคยเปิดสอนด้วยแหละ)

.

..แต่ไอ้ที่เกริ่นมาข้างบนนั่นไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อกวันนี้เลยครับ

.

ประเด็นก็คือผมเลยกลายเป็นตากล้องจำเป็นที่จะต้องมาถ่ายแบบให้กับร้านนลินฟ้า
โดยมีนางแบบประจำก็คือหนูอร (จริงๆ ก็แก่แล้วนะ แต่หน้าเด็กไง เลยเรียกหนูมาตลอด :27: )
ส่วนมากก็ใช้ฉากที่บ้านถ่ายง่ายๆ ดิบๆ ไม่ได้เซ็ต เพราะถ่ายเสร็จเราจะออกไปหาอะไรกินกัน
เลยแซวกันอยู่หลายครั้งว่าสาเหตุที่มารวมพลถ่ายแบบชุดกันแต่ละทีคือมาเพื่อกินกันมากกว่า
แล้ววันนี้ก็มาถึงคิวถ่ายอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินทางไปถ่ายที่คอนโดของพี่ที่สนิทสนมกัน
เราเรียกพี่ติ๊กพี่เจน ผู้เป็นสามีภรรยาที่เคารพรักคู่นี้ว่า.. สองผัวเมียเมืองทอง (ผู้มีตู้เย็นอันอุดมสมบูรณ์)

.

..ซึ่งไอ้ที่ว่ามาข้างบนนั่น ก็ยังไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของบล็อกวันนี้เลยครับ

.

สาระก็คือ พอดีถ่ายชุดเสร็จแล้วเลยเห็นว่าชุดสุดท้ายที่เป็นเดรสขาวยาวกรอมเท้าเนี่ย น่ากลัวดี
น่าเอามาถ่ายเล่นให้เหมือนผีสาวดูนะ คงหลอนดี (เกิดแม่ยายขายไม่ออกตูจะโดนด่าไหมเนี่ย)
เลยถ่ายมาแบบนี้ครับ (ต้นฉบับอยู่ที่ Flickr นะ)

P1120007

P1120008

P1120006

P1120009

P1120014

แล้วก็ลองเทำเป็นสต็อปโมชันดู (ภาพจะขึ้นไหมหว่า)

ผีหนูอร

.

เท่านั้นยังเรียกว่าจริงจังกับเรื่องไร้สาระได้ไม่พอ..
ต้องนี่ ปิดท้ายด้วยการเอามาใส่เสียงเพิ่มอีกหน่อย ทำเป็นคลิปผีซะเลย
เสียดายที่รีบทำไปหน่อยเพราะจะทำงานต่อ เลยพอเรนเดอร์ออกมา ภาพตอนท้ายๆ มันดีเลย์เกินเสียงฉิบ
แต่ช่างมัน ขี้เกียจแก้ เราอดทนไม่พอ (เอ๊ะตูนี่มาแนวนี้ตลอดเลยนะ)

จึงได้ออกมาเป็นคลิปนี้ครับ

จบแล้วครับ สาระของบล็อกวันนี้

.

ป.ล.
ภาวนาให้แม่ยายผมขายชุดนี้ออกนะครับ

คอมเมนต์