เขี้ยวเสือ

19 ก.ค.54 พี่เต้ข้างบ้านเอาลูกแมวมาให้ตัวนึง อายุเดือนกว่าๆ

บ้านพี่เต้แกมีแมวอยู่ 18 ตัว ตอนนี้กำลังโมดิฟายบ้านตัวเองทั้งหลังเพื่อเป็นสนามแมวเล่น
วันก่อนไปคุยกะพี่แกเรื่องการต่อเติมบ้านและกำจัดปลวก ผลที่ได้คือโบว์ไปเห็นแมวเขาแล้วอยากได้
เลยถามไปว่ามีลูกแมวพันธุ์ขาวมณีมั่งไหม คำตอบคือ “มี”
เท่านั้นแหละครับ ผมก็ได้รับการ “แจ้งให้ทราบ” ว่าบ้านเราจะมีแมวขาวมณีมาเพิ่มอีกหนึ่งตัว
โดยมีรุ่นเดอะคือป้าเหมียว และเหมียวจิ๋วอยู่กันมาสองตัวป้าหลาน (เป็นอดีตแมวจรจัดทั้งคู่)

สองสามวันต่อมา พี่แกก็หิ้วกรงใส่ลูกแมวตัวผู้สีขาวมาให้ถึงบ้าน พร้อมยาและอาหารแมวอีกหน่อย
สภาพของมันสกปรกมอมแมม สภาพอิดโรย และตาแฉะสุดๆ ดูท่าทางจะอ่อนแอมากๆ จนเราแอบกังวล
ธรรมชาติของแมวโดยเฉพาะลูกแมวตัวเล็กๆ เวลาแปลกที่ผิดทาง มันจะแสดงอาการหวาดกลัวและซึมเศร้า
แมวขาวตัวนี้ก็เช่นกัน

เขี้ยวเสือ

ภรรยาผมซึ่งสถาปนาตัวเองเป็นเจ้าของแมวอย่างเป็นทางการ(มีโลโก้ขึ้นบนมุมจอ) จึงให้ยาและหยอดตามัน
ระหว่างนี้ก็ประกวดตั้งชื่อไปด้วย ก่อนหน้านี้โบว์บอกว่าจะให้มันชื่อ มณี (หรือมานีก็ยังได้)
แต่มันดันเป็นตัวผู้ จะให้ชื่อมาะเลยก็กระไรอยู่ ระหว่างนั้นก็คิดชื่อกันไปสารพัดสารเพแต่ยังไม่ลงตัวสักที
เลยลองทวีตหยอดดู เผื่อจะได้ชื่อสวยๆ กะเขาบ้าง..

ตั้งชื่อแมวว่าอะไรดี

ส่วนมากจะเน้นฮานะครับ จริงๆ ผมเป็นคนจริงจังและเคร่งขรึมนะ :05:
แต่บรรดาชื่อทั้งหมดที่เสนอมา และบวกกับที่ผมคิดไปเสนอ ครม. (คณะรัฐเมีย) อีกกว่าสามสิบชื่อก็ยังไม่ผ่าน
จนอยู่ดีๆ ก็นึกถึงเพลงของวงมะขามป้อม(ผมชอบมากจนร้องติดปากทุกวันมาเป็นเดือนแล้ว)ขึ้นมา
มันคือเพลงนี้ครับ

โบว์ถามขึ้นมาว่า เอาชื่อ “เขี้ยวเสือ” ไหม — เอา!! :25:
และลูกแมวขาวตัวนี้ก็ได้ชื่อเป็นที่เรียบร้อย ต่อไปเราจะเรียกมันว่า “เขี้ยวเสือ” ครับ :22:

หลังจากนั้นจนถึงวันนี้ก็วันที่ห้าแล้ว ไอ้เขี้ยวเสือก็เลยมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา
โดยที่อีแมวเจ้าถิ่นสองตัวก็งอน ไม่ยอมเข้าบ้านตามธรรมชาติของแมวแต่ไหนแต่ไร
ต้องอีกระยะหนึ่งแหละกว่ามันจะรับน้องใหม่ได้และไล่ฟัดกันทุกวันแบบที่อีเหมียวและไอ้จิ๋วเป็นครับ

ปิดท้ายด้วยภาพเขี้ยวเสือ

เขี้ยวเสือ

เขี้ยวเสือ

เขี้ยวเสือ

เขี้ยวเสือ

เขี้ยวเสือ
ภาพนี้เป็นตอนคืนที่สาม

เขี้ยวเสือ
ส่วนภาพนี้ใช้มือถือถ่ายตะกี้ เลยเข้าใจละว่าทำไมใครๆ ก็อยากได้กล้องมือถือที่มันถ่ายออกมาสวยๆ กัน :05:

และปิดท้ายด้วยคลิป ไปแอบอัปโหลดตอนเตรียมงาน Hackathon แหละ (เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเขียนเรื่องงานนี้)
ที่ CSLoxinfo เน็ตขาขึ้นเร็วยังกะจรวด อัปไฟล์กิ๊กกว่าๆ ใช้เวลาแป๊บเดียวเอง
กรี๊ดดด :05: (ที่บ้านเป็น TOT)

จบ

//แก้ไขเพิ่ม 20.15 น.

อันนี้ที่บอกว่าเหมียวเดิมมันยังไม่ยอมรับครับ
แต่อีแมวเด็กก็เกรียนๆ เที่ยวไปแหย่คุณป้าเขาไม่ได้กลัวเลย แบบนี้แหละ

.

//ยังเห่อได้อีก เพิ่มตอนตีสองครึ่ง

มันกำลังจะหาที่ซุกหลับครับ ทุกวันนี้จะนั่งจะนอนก็ลำบาก เกรงใจแมว
(ขออภัยที่แต่งองค์ไม่เรียบร้อย อยู่บ้านชอบใส่เสื้อสมัยเป็นทหารครับ สบายดี ใส่มาเจ็ดแปดปีละ)

คอมเมนต์

มาสร้าง Twitter Infographic ส่วนตัวกันป๊ะล่ะ

เจอเว็บนี้มาครับ น่าสนใจดี: Visual.ly
เป็นเว็บที่รวมงาน Infographic สวยๆ จากทั่วทุกแห่งหนตำบลไหน
คือต้องเข้าใจว่าธรรมชาติมนุษย์ยุคออนไลน์มันขี้เกียจอ่านกันจริงๆ
ข้อมูลดิบทุกอย่างต้องผ่านการปรุงและใส่หีบห่อให้ดูสวยงามสราญตาเสียก่อน ไม่งั้นไม่มีใครอ่านกันหรอก
(แม้กระทั่งข้อมูลแก้ที่เขาบอกว่าคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือปีละเจ็ดแปดบรรทัดโว้ย ..ก็ยังไม่มีใครอ่าน)

visual-ly

หน้าตาเว็บมันเป็นแบบนี้ครับ มีงานสวยๆ ให้เสพเพียบเลย
นักศึกษาที่โดนอาจารย์สั่งให้ทำอะไรแบบนี้ก็เที่ยวมาเปิดลอกกันสบาย
แต่ไอ้ที่เตะตาคือแบนเนอร์อวบๆ ด้านบนนั่นครับ
ที่บอกว่า “อยากเปรียบเทียบกะเซเล็บทวิตเตอร์ที่คุณปลื้มไหมล่ะ” นั่นแหละครับ กดเลย
(มีคนบอกว่าในทวิตเตอร์เนี่ย คำว่า “เซเล็บ” คือคำด่าที่อีคนโดนด่าไม่รู้ตัวและคิดว่าถูกชม ..เออจริง)

แล้วล็อกอินด้วยทวิตเตอร์ พลันกรอกข้อมูลผมเผ้าโหงวเฮ้งของคุณและคู่เปรียบเทียบ
ในกรณีนี้ผมนึกหน้าคุณเมียออกเป็นคนแรก ก็เลยใส่ชื่อและรูปพรรณเมียลงไปด้วยความศรัทธา

twitter-yourself

อ้อ เตือนไว้ก่อนว่าใกล้ๆ ปุ่มโอเคด้านล่างสุดจะมีข้อความดักให้ติ๊กว่าจะ Follow มันด้วยนะครับ
เสียใจ เราไม่หลงกลแกหรอก แค่นี้ไทม์ไลน์เราก็รกจะตายห่าอยู่แล้ว โฮะๆๆๆ (ป้องปากแบบตุ๊ดญี่ปุ่น)

เสร็จแล้วเมื่อกดโอเค ผ่านไปสักพักนึงชั่วครู่ตดหายเหม็น
มันก็จะ Generate ผลมาให้เป็นที่สวยงามและน่าอูอาอวดมิตรสหายเป็นยิ่งนักชินวัตร (นั่นมันยิ่งลักษณ์!)

twitter-yourself-result

แถ่แด๊มมมม จบแล้วครับ ลิงก์ของจริงอยู่ที่นี่

  • ถึงในบ้านผมจะเป็นรองหัวหน้าครอบครัว (ในบ้านมีสมาชิกอยู่สองคน) แต่ในทวิตเตอร์ ผมชนะเมีย
  • เสียดายว่าโปรแกรมมันไม่เข้าใจภาษาไทย ดังนั้นค่าที่ประมวลออกมาจึงดักแค่บางคำที่เป็นประกิตเท่านั้น
    ไม่งั้นในภาพคงเป็นผมกำลังถือขี้อยู่ และเมียอุ้มแมว หรือหิ้วกระเป๋า ขายเสื้อยืดอะไรแบบนั้น
  • แล้วผลมันก็ดูมึนๆ ไม่รู้ไปเก็บสถิติมาจากไหน อย่างช่วงท้ายๆ นี่บางคนผมไม่ค่อยได้คุยแต่ก็ดันติดมาด้วยเฉยเลย
  • ถ้าเว็บนี้มันเก็บสถิติเอาไปวิจัยซากอะไรต่อ ฝรั่งคงมึนนะครับว่าคนไทยทำไมผูกใจกับเลข 555 จัง
  • สนุกดี เจอแบบนี้แล้วอยากบอกต่อครับ นักพัฒนาบ้านเราก็สามารถเขียนอะไรแบบนี้เท่ๆ ได้อยู่นะ
คอมเมนต์

ทำไมไม่ค่อยมีสาวๆ ใน Google+

อีกละ เขียนเรื่อง Google+ อีกละ..

Girls-in-Google-Plus

คอมเมนต์

สร้างสรรค์ด้วยการทำลาย

เวลาไปเที่ยว ผมชอบเก็บ “ลาย” ครับ
ชอบไปเจอลายสวยๆ ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือจากมือของมนุษย์เอง
ลายจากธณรมชาติเราเจอกันเยอะแล้ว แต่ลายจากมนุษย์เนี่ยสนุก

ชุดแรกเป็นลายจากโรงงานเซรามิก “Tao Hong Tai” ที่ราชบุรี
ที่เป็นโรงปั้นโอ่งมาตั้งแต่นมนาน พอกาลเวลาผ่านไปก็ปรับตัวเองกลายเป็นโรงเซรามิกที่มีชื่อเสียงสุดๆ
แถมเจ้าของเขาก็ไม่ได้รวยอย่างเดียว แต่มีใจรักด้วย ก็เปิดโรงงานของตัวเองเป็นสวนศิลป์ซะเลย
ผมไปราชบุรีมาสองครั้งในรอบสองเดือน ก็ได้ไปทั้งสาขาที่อยู่ริมแม่น้ำ กับสาขาโรงงานเลยครับ
อุ้ย เผลอพิมพ์ยาวอีกแล้ว พอๆ ดูภาพเลยดีกว่า

Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai

อีกชุดมาจากราชบุรีเหมือนกัน แต่ถ่ายมาตั้งแต่ไปเที่ยวกับมนุษย์ฟอนต์อีกกลุ่ม
ทีนี้เป็นของ “ชมรมจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกไทย” เขาพาผูั้ชนะการประกวดออกแบบตัวอักษรไปทัศนศึกษากัน
แล้วผมในฐานะกรรมการและวิทยากร (ที่ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกะเขาเลย) ก็ได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย
ลายที่จะเห็นด้านล่างนี้มาจากพิพิธพภัณฑ์วัดขนอนหนังใหญ่ครับ ไม่รู้คนอื่นเขาถ่ายแผ่นหนังหรืออะไรกัน
แต่ผมบ้าลายก็เลยไปส่องใกล้ๆ แล้วเก็บเฉพาะแบ็กกราวด์ของผืนหนังใหญ่อย่างเดียว
พอถึงบ้านมานั่งเปิดดู ก็พบว่าตัวเองลืมถ่ายหนังทั้งผืนซะฉิบ แบบนี้เรียกเสียเที่ยวไหมเนี่ย :30:

ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน

ผืนสุดท้ายนี่มีรูแหว่งตรงกลางเลย หาส่วนอื่นที่แสดงลายชัดๆ ก็ไม่เจอ เลยถ่ายมาแบบนี้ :58:

ในทุกยุคทุกสมัย เราจะเห็นศิลปะการออกแบบลวดลายต่างๆ
โดยศิลปินเองจะพยายามสร้างลายที่ไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีมาก่อนแล้ว
อีโก้แบบนี้แหละครับที่สนุก มันเหมือนกับการ Planking ของสมัยนี้
คือเห็นคนก่อนหน้าทำ กูต้องทำได้แจ๋วกว่า และทำให้คนอื่นว้าวให้ได้
อีโก้แนวสร้างสรรค์แบบยอมกันไม่ได้เนี่ย ทำให้โลกของนักออกแบบไม่เคยตายครับ

คอมเมนต์

หมอขี้ตายเพราะขี้

ปกติผมจะมีความสุขดีกับการขี้นะครับ (คำที่ทวีตบ่อยที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้นี่แหละมั้ง)
คือขี้วันละ 1-3 ครั้งแล้วแต่โอกาสและร่างกายจะอำนวย
แล้วก็รู้สึกยินดีกับการขี้ เพราะถือคติว่า “การขี้คือสิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำคุณประโยชน์ให้กับโลกได้”
ไม่เชื่อก็ลองนึกๆ ดูสิครับ แต่ละอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งการลดโลกร้อน ก็ยังไม่เห็นว่าโลกจะได้อะไรเลย

แต่เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
หลังจากกลับจากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ชาวฟอนต์ที่สวนผึ้ง ราชบุรี
ซึ่งตอนนั้นซื้อเนื้ออะไรต่ออะไรมาปิ้งย่างกินกันสนุกสนานยันเกือบจะโต้รุ่ง
กลับมาจากทริปนี้ ผมขี้แตกระเบิดระบมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้

ปกติที่ทำงานผมจะสามารถทำงานที่บ้านได้ 1 วัน คิวของผมคือวันจันทร์
ซึ่งปกติจะมีความสุขมาก เพราะได้นอนดึกและตื่นสายๆ มาทำงานกับห้องทำงานที่คุ้นเคยได้สะดวก
แต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ผมโคตรทุกข์ทรมานเลยครับ เพราะนอกจากจะเป็นไข้(1) ผื่นขึ้นตูด(2) แล้ว
(คือดูรวมๆ เราก็เรียกว่าไม่สบายนั่นแหละครับ แต่แจกแจงได้เป็นสามโรคที่แทบไม่เกี่ยวอะไรกันเลยด้วยซ้ำ)
ผมยังใช้ชีวิตวนเวียนระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเหมือนรับจ็อบทดสอบระบบสุขภัณฑ์อย่างหฤโหด

ตื่นมาขี้ แล้วไปนอนซม (เป็นไข้ไง)
นอนได้แป๊บๆ เอ้าขี้อีก
แล้วไปนอน แล้วก็ลุกมาขี้อีก
เดี๋ยวก็ไปนอนอีก แล้วก็ลุกมาขี้อีก
วนลูปไปเรื่อยๆ จนจำไม่ได้ และเข็มนาฬิกาเริ่มเลือนลาง

ขี้จนตูดเป็นเหน็บ จนเริ่มหาวิธี ท่านั่งแบบใหม่ๆ
ก็เลยรู้ว่ามนุษย์เราพัฒนาปัญญาและฝึกการแก้ปัญหามาจากการขี้นี่เอง
ขี้จนได้รู้จักตัวเอง ขี้จนมานั่งพูดคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าชีวิตเราเกิดมาทำไม
คนเราต้องใส่เสื้อผ้ากันทำไมในเมื่อมันขัดขวางการมีชีวิตขนาดนี้
และการออกแบบสถาปัตยกรรมไม่ว่าจะเป็นระดับเมือง หรือระดับอาคารเนี่ย
มันทำลายพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์เกินไปหรือเปล่า
คือเราควรจะมีเสรี ขี้ได้ทุกที่ที่ใจอยากไม่ใช่หรือ?
ถ้านึกไม่ออกก็ลองเปลี่ยนเป็นคำว่ารักสิครับ มันไม่ควรมีกำแพง เราควรรักได้เท่าที่ใจต้องการมิใช่หรือ

ฯลฯลฯลฯ

ผมทรมานจนหลับไป และตื่นมาช่วงที่ไข้เริ่มทุเลา
เปิดคอม เขียนอีเมลบอกพี่ที่ทำงานว่าขอลาป่วย
(ไม่รู้จะมีกี่คนที่จดหมายลามีแต่คำว่าขี้ๆๆๆ เต็มไปหมดแบบนี้)

พอวันที่สองก็ยังขี้อยู่ แต่สภาพของขี้เปลี่ยนไป
ใครที่เคยท้องเสียคงเข้าใจดีว่ามันมีระยะของอาการอยู่

ส่วนวันที่สามอาการใหม่ก็มาถึง คือตูดเปื่อยครับ
รูตูดนี่แหละเปื่อยยุ่ยเพราะใช้งานหนักไป เวลาขี้จะแสบตูดและทรมานมาก
มากจนสงสัยว่าเก้งกวางเขาทนกันได้ยังไง หรือทำไปบ่อยๆ แล้วมันก็โอ
ที่สำคัญคือได้รู้ว่าการทำงานและเดินทางทั้งวันนั้นทรมานมาก แวะขี้ทุกป้าย
ตั้งแต่บ้าน ห้องน้ำเอ็มโพเรียม (ถ่ายรูปไว้ข้างบน – ป้ายห้ามเสกของออกจากส้วม)
ไปยันที่ทำงานก็เอาซะหน่อย แถมตอนกลับอาการกำเริบเพราะกินไส้อั่ว(กินทำไมวะ)
เลยไปแวะห้องน้ำสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน ซึ่งโสโครกระดับห้าดาว แต่กูยอม

ความซวยบังเกิดก็อีตรงที่พี่มูส(พี่ที่ทำงานเก่า)และพรรคพวก ดันอยากกินเนื้อย่าง
คือไม่ได้เจอหน้ากันนานไง ก็เลยยกพวกกันไปร้านบอยโพนยางเจ้าเก่ากัน
แล้วก็คงนึกภาพออกว่าเกิดสงครามขึ้นทุกที ซัดเนื้อกันระเนระนาด
โดยมีผมนั่งน้ำลายยืด ไม่กล้าแตะมาก (ปกติมาทีก็ยัดห่าเหมือนซูโม่หลังแข่งเสร็จทุกครั้งแท้ๆ)
ที่สำคัญคือตลอดระยะการกินเนื้อย่างแบบนิดๆ นั่นเอง ผมแวะไปขี้ถึงสองครั้ง
ทำให้เปลี่ยนทัศนคติต่อห้องน้ำร้านเนื้อย่างโพนยางคำ ..ว่าเออ ห้องน้ำเขาก็น่าขี้ดีนะ

จากวันนั้นจนวันนี้ นี่คือวันที่สี่
ลำไส้ยังไม่ฟื้นตัวดี (อาการท้องเสียที่เขาว่าลำไส้อักเสบนั่นแหละ คือผนังมันเจ๊ง รอฟื้นตัว)
รูตูดยังไม่โอเค แต่เลือดไม่ออกให้หลอนเล่นเวลาก้มลงไปตรวจผลงาน
แต่ท้องยังแน่นมาก ระบบทางเดินอาหารมึงยังไม่แข็งแรงแต่เสือกอยากแดกเนื้อ สมควรตาย

ป.ล.
ก่อนขี้แตก ผมกะจะเขียนบล็อกโหมดจริงจังเรื่องปัญหาการสื่อสารข้อมูลในการเลือกตั้ง
ว่าที่จริงแล้ว ก.ก.ต.ควรหางบสักก้อนมาจ้างทีมนักออกแบบดีๆ ให้ช่วยสื่อสารอะไรต่ออะไรออกมา
เพราะมันมีเรื่องที่ต้องสื่อสารเต็มไปหมดแต่คนก็ยังกาชูวิทย์ทั้งสองใบบ้าง กาที่ชื่อพรรคเพื่อไทยบ้าง
หรือแม้แต่หยอดหีบผิดบัตร เฮ้ย หยอดบัตรผิดหีบบ้าง ฯลฯ
มีประเด็นเยอะเลยเรื่องที่รัฐควรมาพึ่งนักออกแบบซะทีเนี่ย (ส่วนเรื่องนักออกแบบพึ่งรัฐนั่นไม่ต้องหวัง)
แต่เขียนตอนนี้ก็หมดไฟละ งั้นเอามาย่อเหลือแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านี้พอ เรื่องขี้แตกนี่แหละ เป็นปัจจุบันกว่า

ป.อ.
ขอบคุณคุณเมีย ที่ชงเกลือแร่จากโรงพยาบาลมาให้
ช่วยให้ไม่ตายระหว่างขี้ครับ ผมเป็นคนโชคดีที่กินอะไรก็ไม่รู้สึกว่าไม่อร่อย
ก็เลยกินได้แทบทุกอย่างไม่มีบ่น แม้กระทั่งน้ำเกลือแร่ชนิดนี้ที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่อร่อย
(เอ๊ะ หรือไอ้การกินไม่เลือกนี่แหละที่เป็นเหตุแห่งท้องเสียครั้งนี้)

ป.ฮ.
แต่ประโยคที่เมียพูดบ่อยๆ ตอนมาดูอาการ คือ “อย่าเพิ่งตายนะ ยังไม่ได้ทำประกัน”

คอมเมนต์