#หนีกรุง Day 1: สะพานสระแก้ว

image

เมียบอกว่า รับไม่ได้ ที่การมาเหยียบสะพานสระแก้วคราวนี้จะเป็นระยะเวลา 16 ปีนับตั้งแต่ได้มาทับแก้วครั้งแรก

เอ้า ก็แก่แล้วอะ จะให้เนียนใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งกระโปรงพลีตมาเดินงี้เหรอ แฟนตาซีไปปะ

แต่ดูแววตาแฮปปี้ของเมีย ผมก็โอเค สบายใจละ หายล้าจากการโหมทำงานล่วงหน้าติดต่อกัน 2-3 วัน เพื่อจะได้ใช้เวลาหยุดยาวประจำปีคราวนี้ หมดไปกับการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แบบยาวๆ (เมียฝากบอกโจรไว้ว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังมีคนอยู่บ้านที่ลาดปลาเค้าตลอด 24 ชั่วโมง)

ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ประสาคนมีลูกเล็ก และมีเมียสลิ่ม ไอ้อะไรยากๆ ลำบากๆ คงกดข้ามไปก่อน รอลูกโตและรอเมียอยากลองอะไรประหลาดๆ ค่อยว่ากัน

ชีวิตเราเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ไอ้การจะหนีเที่ยวลุยๆ แบบสมัยยังโสดนั้นก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่ (มีไฟอยู่นะแต่ไม่มีโอกาส 5555)

ช่วงที่ผ่านมา นิทานกับเวลาต่างหายป่วย RSV (นิทานติดมาจากโรงเรียน แล้วเอามาเผื่อน้อง สรุปป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ทั้งคู่) ก่อนออกมานี่ แม่มันไปขอสมุดการบ้านจากครูต่าย และขออนุญาตลาหยุดพักฟื้นร่างกายยาวๆ สักสองสัปดาห์ จะได้ไม่ติดเพื่อนด้วย ครูต่ายยินดี  และให้การบ้านระบายสีมาหอบใหญ่

ส่วนผมเอง ดันเป็นตาอักเสบช่วงนี้พอดี (แถมยังโหมงานก่อนพักยาวด้วย เลยยิ่งอักเสบใหญ่) นับเป็นรอบที่สิบกว่าๆ เกือบยี่สิบแล้วมั้ง ประจำปี 2558 ซึ่งก็ไปหาหมอเกือบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งที่อาการมันคุ้นจนรู้ว่าไอ้แบบนี้เดี๋ยวก็หาย คือมันอักเสบหลายแบบ หลากหลายกระบวนท่าจนประวัติคนไข้ที่หมอจดไว้ช่างสวยงาม

สำหรับคราวนี้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย จะปวดทุกครั้งที่จ้องจอนานๆ จนตาล้า

ซึ่ง… นั่นแหละ เป็นสัญญาณว่ามึงควรพอได้แล้ว ปิดคอม ชาร์จแบตให้ยาวเลย

โอเค ไปนอนละ บั๊ย

ป.ล.จะลองเขียนบล็อกซีรีส์นี้ในมือถือดูว่าจะรอดไหม หวังว่าคงรอด

แค่แกะเปลือกอารมณ์ก็เปลี่ยน

นี่มันฤดูอะไรของเราวะ นอกจากจะดองบล็อกผิดปกติแล้ว เหล่าโซเชียลต่างๆ ก็โดนเล่นน้อยลงอย่างมาก

นั่นคงเพราะการเอาตัวเองออกไปข้างนอก ในโลกออฟไลน์ซะเยอะ เลยไม่ได้มาเล่าในนี้

แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนที่จะไม่สนิทกับการเขียนบล็อกอย่างที่สมัยก่อนเคยเป็นมาแล้วครั้งนึง หนนั้นเพราะชีวิตเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้จะเริ่มยังไง เลยไม่เขียนแม่งซะเลย

หนนี้ก็ไม่แพ้กัน ระยะเวลาแค่ไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก แม้วันๆ จะทำได้แค่ขยับตัวนิดๆ หน่อยๆ และเลี้ยงลูก แต่มวลเมฆที่ก่อตัวขึ้นภายในมันเปลี่ยนวิถีการเดินของชีวิตไปเยอะจนไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี

เคยทวีตไว้ว่า

พอผ่านมาหนึ่งอาทิตย์นิดๆ ฝันหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนจากแค่นั่งฝันแล้วยิ้ม กลายเป็นการเริ่มลงมือลงแรง ดังนั้นไอ้ที่ฟุ้งๆ มันเลยควบแน่นมาเป็นการต่อสู้เพื่อให้ฝันนั้นเป็นความจริง ตอนนี้ก็เลยกำลังสนุกอยู่กับอะไรไม่รู้ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ลงมือคลุกคลีกับมันจริงๆ

ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัว 555555555555 ไม่ได้ให้อะไรกับประเทศชาติและสังคมเลย อันนี้รู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ก็ไม่มาก มันเป็นช่วงวัยหรือโอกาสกันแน่นะที่ทำให้เราหละหลวมจากอุดมการณ์นั้น ไม่ได้หันเปลี่ยนทิศหรือไปเจอชุดความคิดใหม่ที่ทำให้สิ่งที่ยึดถือมันล่มสลายไป แต่ความเห็นแก่ตัวมันก็ก่อตะกอนตะกรันเป็นเปลือกที่ค่อยๆ ห่อเราหนาขึ้น แน่นขึ้น และเคลือบผิวนอกสุดด้วยภาพลักษณ์ที่พยายามจะบอกคนอื่นว่าสิ่งนี้คือกูเป็น

แต่สุดท้ายมันก็ตกตะกอนออกมาข้นๆ หยดออกมา นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ และจบลงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้ให้อะไรกับโลกหรอก แต่กับเราแล้วมันมากพอที่จะทุ่มเทและใส่ใจกับมัน

…สาบานว่าตอนพิมพ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้เมากาว

ก่อนจากกันในวันนี้ ขอลงบันทึกไว้หน่อย

  • โครงการหนองแฟบเดอะโปรเจ็กต์เลื่อนไปอีกหลายปี (ตามดำริของเมีย ซึ่งเราก็โอเคนะ)
  • ส่วนโครงการใหญ่ที่สุดในชีวิตหลังจากข้อก่อนหน้า ก็ต้องพักไว้ก่อน เพื่อให้สอดรับกับโครงการใหม่ที่กำลังปั้นอยู่
  • ตั้งแต่พ้นงานหนังสือเป็นต้นมา ตอนนี้พูดเลยว่าเราแม่งขลุกอยู่กับงานออกแบบสถาปัตย์มาก มากๆๆๆ มากกว่าตอนเรียนห้าปีรวมกันซะอีก ถึงจะเป็นโครงการกระจอกๆ ส่วนตัว ไม่ได้ให้อะไรกับใครหรือกับโลกทั้งสิ้น แถมยังตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงอีกก็ตาม 55555
  • และช่วงเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เราได้เห็นพลังงานจากคนที่กำลังมุ่งหน้าทุ่มเท ทำในสิ่งที่เราเคยทำสมัยที่ยังเป็นไอ้บ้าพลังดีดไม่หยุด เห็นเลยว่าเขาดีดกว่าเราเยอะ แถมยังมาสะกิดเราให้ดีดด้วย พอโดนแตะไหล่เท่านั้นแหละ พลังงานมันไหลเข้ามาจนหัวใจเต้นไม่ทัน ขอบคุณที่มาดึงสติ ขอบคุณ

ขอบคุณ

บทเพลงที่หายไป

ตั้งหัวเรื่องได้โคตรจืดเลย 55555555

คือ เดี๋ยวนี้ผมแทบเลิกฟังเพลงไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ

ที่ผ่านมา ผมและเมียเป็นคนฟังเพลงด้วยวิธีโบราณ คือซื้อซีดีมา เสียบแผ่นไปกับเครื่องเล่นในรถยนต์ ตอนที่ขับรถไปไหนต่อไหนก็ฟังแล้วร้องงึมงำตาม หรือเอามือข้างที่ว่างจากการจับพวงมาลัย ไปเคาะกระจกบ้าง ประตูรถด้านขวาบ้าง เป็นพฤติกรรมปกติที่ทำมาตลอด

หรือสมัยที่ทำงานในออฟฟิศ ก็จะรู้จักเพลงใหม่ๆ จากน้องๆ ที่ทำงาน ที่สลับกันเป็นดีเจ พาทุกคนไปสู่พรมแดนใหม่ๆ ตามรสนิยมของตัวเองอยู่เสมอ

แต่พอมาถึงทุกวันนี้ ลูกสาวคนโตพ้นวัยแบเบาะมาสู่วัยอนุบาล เริ่มเรียนรู้สิ่งรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง ตามมาด้วยน้องอีกคนที่คลอดตามกันมา ทุกวันนี้ทีวีเครื่องข้างล่างถูกวางไว้ให้ฝุ่นเกาะ นับได้เป็นปีแล้ว ส่วนเครื่องข้างบนบ้าน ถ้าไม่เอาไว้เปิดเพลงเด็กอนุบาลจากยูทูบ ก็คือเมียยึดไปเปิด T25 แล้วเต้นตามฝรั่งในนั้น

อันนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะโดยปกติวิถีชีวิตแทบไม่ได้คลุกคลีกับทีวีอยู่แล้ว จะดูข่าวดูอะไรก็พึ่งอินเทอร์เน็ตตลอด (วันก่อนมีคนมาเปิดประเด็นวิวาทะด้วย เลยทำให้นึกได้ว่าผมดูสรยุทธ์เป็นประจำครั้งสุดท้ายก็สมัยพิธีกรคู่ชื่ออรปรียา)

แต่กับความสุนทรีย์ทางหูนั้น ตอนนี้เรียกว่าเราแยกทางกันเดินไปเลย

อย่างตอนขับรถ ไม่ว่าจะออกไปธุระประเดี๋ยวประด๋าว หรือนั่งกันไปไกลๆ ยันต่างจังหวัด ล่าสุดก็เพิ่งขับไปเที่ยวอีสานแล้วอ้อมไปเกือบๆ เหนือ… เสียงดนตรีที่เกิดขึ้นในรถคือเพลงจากการ์ตูนดอร่า “ชึดชึดๆๆ ชึด ดอร่า ชึดๆๆ ชึดๆ ด๊อรา” หรือเทเลทับบี้ส์ “ทิ้งกี้วิงกี่ ดิ๊บสี่ ล้าหล่า โพ (โพ่!)” และล่าสุดคือโพโรโร่ (อันนี้ยังจำไม่ได้ มันร้องเร็ว กลัวพิมพ์เนื้อผิด) ตลอดการเดินทาง สลับกับเพลงเด็กอนุบาลที่วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับสิงสาราสัตว์

ไม่ใช่แค่ขับรถ แต่ทุกเช้าที่ตื่นนอน ก็มาละ ปลุกลูกด้วย “แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน” (เปิดจากยูทูบ) อาบน้ำก็ “ก้าบก้าบก้าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง” ยิ่งตอนขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนนี่ยิ่งหนักใหญ่เลย ซีดีใหม่ที่ซื้อมามันมี 21 เพลง อลังๆ ทั้งนั้น ก็เปิดวนรอระหว่างรถติด ส่วนตอนบ่าย เวลาไปรับลูกก็จะเปิดการ์ตูน ตามกติกาที่กำหนดกันเอาไว้ว่าตอนเช้าฟังเพลง ตอนกลับจากโรงเรียนให้ดูการ์ตูนได้ ส่วนที่บ้านนี่ วันไหนยุ่งๆ (แต่ไม่บ่อย) ก็จะเปิด Nursery Rhymes ในยูทูบให้ดูแล้วร้องตาม (แนะนำช่อง Mother Goose Club, LittleBabyBum ® และ Super Simple Songs ส่วนถ้าเมื่อก่อนที่ยังขวบกว่าๆ แนะนำช่องนี้ของญี่ปุ่น 東京ハイジ TOKIOHEIDI)

ฉะนั้นเวลาเปิดเพลงเด็กทีนึง คุณลูกก็ร้องตามเสียงใสแน้ว โยกหัวโยกตัวทำท่าทำทาง ส่วนอีพ่อก็แปลเป็นไทยให้แบบงูปลางูปลา ถ้าฟังตอนขับรถก็จะเคาะเป็นจังหวะกันทั้งพ่อทั้งลูก

จนมันติดน่ะครับ ทุกวันนี้เหมือนโดนค่ายเพลงโปรโมตกรอกหูเลย ไม่ว่าจะอาบน้ำสระผม นั่งทำงาน หรือกินข้าวอยู่ดีๆ เพลงพวกนี้ก็จะวนมาหลอนในหัวอยู่ทั้งวัน ทุกวัน

ผลคือนึกไม่ออกแล้วว่าเพลงแบบที่ผู้ใหญ่เขาฟังกันแล้วมันติดหูครั้งล่าสุดของเราคือเพลงอะไร นี่พยายามนึกถึงเพลงหลังๆ ก็มีแต่แสตมป์ / สิงโตนำโชค / โรส / ละอองฟอง / กรูฟไรเดอร์ส / แพรว / ลุลา / 25 Hours / Slot Machine (ตอนนี้นึกออกเท่านี้) หรือแผ่นรวมฮิตเพลงหากินซ้ำซากของค่ายใหญ่ที่พอหาซื้อแผ่นได้ตามร้านเครื่องเขียนและเซเว่น ซึ่งท้งหมดที่ว่ามานี้ถ้าสำหรับคนที่ฟังเพลงและติดตามศิลปินก็จะพบว่ามันเก่ามากละนะ

นอกนั้นที่ออกมาใหม่ๆ คือบอดใบ้ ไม่รู้จักเลย อย่าง POLYCAT หรือ Cocktail หรืออะไรเทือกนี้นี่สารภาพว่าเคยฟังอย่างละครั้งสองครั้ง ชอบ แต่ไม่สนิท คงเพราะยังเปิดกล่อมหูไม่พอ เลยแทบไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันอีกเลยหลังจากนั้น

ส่วนที่น่าสังเกตก็คือ เวลาเจอสาวตึงในยูทูบเขามาร้องคัฟเวอร์กันผ่านหูผ่านตาเวลารูดไทม์ไลน์ ก็จะสงสัยว่านี่มันเพลงในยุคเดียวกะที่เราห่างหายไปเลยนี่หว่า

จึงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอย่างปี 2558 ที่ผ่านมาครึ่งปีแล้วเนี่ย มันมีเพลงที่ดังไปทุกหย่อมหญ้าโดยศิลปินไม่จำเป็นต้องดัง แบบที่ชอบระบาดมาเป็นระยะๆ ในทุกปีบ้างไหม ถ้านึกไม่ออกก็ยกตัวอย่างเพลงสมัยก่อนๆ อย่าง แอบเหงา / แค่บอกว่ารักเธอ / อะไรอีกวะ เก่ามากๆ หน่อยก็ ขอใจเธอคืน / มุม / รักเดียว / แน่นอก (ของ 3-2-1 ที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นของใบเตยมากกว่า) / ขอใจเธอแลกเบอร์โทร / คันหู / กังนัมสไตล์ / กาโว (นับไหม ไม่นับละกัน ถ้าไม่ได้ดูเฟ็ดเฟ่ก็คงไม่รู้จัก 5555)

ก็พบว่า นอกจากเพลงคืนความสุขฯ แล้ว ปีนี้แม่งไม่มีเพลงไหนที่ดังถล่มทลายโดยบังเอิญขนาดที่แม้แต่คนไม่ฟังเพลงก็ต้องฮัมตามได้เลยแฮะ

เลยสงสัยว่ามันเป็นที่ตัวเราเอง ที่กะลาแคบลงเพราะห่างจากการฟังเพลงอยู่คนเดียว หรือว่าวงการเพลงมันแห้งแล้งลงจริงๆ

ภาวนาขอให้เป็นเพราะสาเหตุอย่างแรกทีเถอะ

ช่องทางที่เคยติดตามทุกวันอย่างแฟตเรดิโอก็หายไปแล้ว (มาเป็นแคตก็ไม่ค่อยสะดวก) หมุนไปคลื่นอื่นอย่างชิลล์เอฟเอ็ม หรือคูลอะไรสักอย่างก็โอเค แต่ก็ไม่ค่อยได้ฟังในรถด้วยเหตุผลข้างต้น เพราะเอาเข้าจริงเวลาว่างขับรถไปรับลูกมันเป็นช่วงรายการ อ.วีระ ด่าท่านผู้ฟังพอดี ก็เลยฟัง (เฮ้ยไม่ได้เพิ่งมาเป็น นี่เป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้ามีแฟตกะวีระ ผมเลือกวีระ เพราะฮากว่า) จนล่าสุดเพิ่งเห็นพี่เลย์แชร์เพลงใหม่ล่าสุดของนักร้องชื่ออะตอมโผล่มา เฮ้ย เพราะอ้ะ ดีอะ นี่เราไม่รู้จักเลยนะ แต่พอกดดูเพลงก่อนหน้าที่ไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ก็พบว่ามีคนดูไป 33 ล้านวิวแล้ว!

เออ สบายใจแล้วว่ากะลาเราแคบจริงๆ

การได้บังเอิญเจอเพลงที่ไม่รู้ว่าดังหรือไม่ดัง ที่แน่ๆ คือไม่ได้ถูกโปรโมตมาจากค่ายเพลงหรือคลื่นวิทยุ แต่ฟังแล้วชอบเอง ถูกใจได้ด้วยตัวเองแบบนี้มันดีนะ เมื่อก่อนเป็นบ่อย แต่เดี๋ยวนี้นานๆ จะมีมาที ขนาดเฝ้าหน้าจอโซเชียลวันละหลายๆ ชั่วโมงเลยนะ

จนรู้สึกอยู่หน่อยๆ เหมือนกันว่านี่มันวิกฤตชีวิตช่วงที่พ้นวัยรุ่นมาแล้วรึเปล่าวะ จะเป็นแบบพ่อเราไหมที่หยุดทุกอย่างไว้กับชาตรี อรวี สัจจานนท์ เพลงลูกกรุงสมัย Nick Karaoke และเพลงโฟล์กซองฝรั่งยุคเซเว่นตี้ส์

ถ้าใช่นี่ก็น่ากลัวเลย เพราะเซเว่นตี้ส์ปลายๆ เป็นปีเกิดของพี่ชายคนโต นั่นแปลว่าชีวิตชิลของพ่อก็หมดอายุลงเพียงเท่านั้น

ส่วนผมและเมีย ตอนนี้ทุกๆ วันก็ตกอยู่ในภาวะชุลมุนกับภารกิจจับเด็ก เฮ้ย นี่กูจะซ้ำรอยพ่อรึเปล่าวะเนี่ย แต่เอาเถอะ ตอนนี้สนิทกับแอป MixRadio แล้ว (เจ๋งมาก!) ถึงจะยังวนเวียนอยู่กับเพลงเดิมๆ ที่เคยฟัง ยังไม่ก้าวเข้าสู่พรมแดนใหม่ๆ แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นอีกครั้งในยุคสมัยปัจจุบันได้ดี รอให้ลูกสาวคนเล็กเข้าอนุบาลตามพี่มันไปก่อน จะกลับมาสนุกกับการค้นหา

นะ สัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน… (เพลงนี้ก็เลิกฮิตไปแล้วเพราะโปรโมตบ่อยเกิน)

ธ.ไก่ชน

thor-kaichon

ทายสิครับว่าโลโก้ที่เห็นด้านบนนี้คือโลโก้ของธุรกิจอะไร?

เอาเถอะครับ เพื่อไม่ให้ยาวไปไม่อ่าน มันคือบริษัทผลิตไม้ไผ่เพื่อเอาไว้สร้างบ้านช่อง ที่เปิดโดยรุ่นน้องคณะผมเอง โดยตัว ธ.นี่มาจากชื่อจริงของไอ้ตั๊บ และไก่ชน มาจากไหนวะ มึงเอาไก่มาทำไมวะ

คือตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีเพื่อนมีพี่ทำงานวนเวียนอยู่ในวงการสร้างบ้าน ก็เจอแต่ออฟฟิศสถาปัตย์ที่ตั้งชื่อเท่ๆ ดูสากลบ้างแหละ หรือเอาเก๋ไก๋เล่นคำไทยน่ารักๆ บ้างแหละ แต่นี่มึงมา “ธ.ไก่ชน” พร้อมไก่โต้งตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม (โอเค ยังดีที่มีเกาะไม้ไผ่ไว้นิดนึง) ในแง่ของการออกแบบและมาร์เก็ตติ้ง มึงมาได้สุดแล้วครับน้อง …สุดขอบเหว 555555555

คืองี้ครับ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมาเป็นวันสถาปนาคณะครบรอบ 60 ปี ผมโดนเรียกไปนั่งคุยกับพี่ๆ ในห้องเสวนา มีทั้งพี่แบบอายุห่างกันไม่มาก ลากไปยันรุ่นสาม โดยวงเสวนามีสองสามรอบ โดยนักศึกษาเก่าที่มีงานเจ๋งๆ มานำเสนอ

ไอ้อันของผมน่ะข้ามไปเถอะครับ ที่ชอบจริงๆ คือของน้องรุ่น 50 คนนี้ เพิ่งจบไปไม่นาน แต่ค้นพบทางของตัวเอง ว่าอยู่ดีๆ กูมาเอาดีด้านการผลิตและออกแบบด้วยไม้ไผ่ดีกว่า ว่าแล้วก็ไปเริ่มศึกษา เริ่มจากศูนย์เลยนะ มาได้ด้วยพลังใจแท้ๆ ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง และในที่สุดมันก็เปิดเป็นโรงงานผลิตไม้ไผ่ (ที่ใช้คำว่าผลิต คือมันต้องควบคุมคุณภาพและผ่านกระบวนการทำอะไรสักอย่างไม่ให้มอดกิน ถ้าเป็นนมก็เรียกว่าพาสเจอไรส์กันบูดคงได้)

ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความบ้าบิ่นจริงๆ และไอ้อะไรแบบนี้มันมีปลายทางอยู่แค่สองอย่าง คือเจ๊งกับเจ๊ง เฮ้ย รุ่งสิวะ

และของน้องตั๊บก็น่าจะมาในโซนรุ่ง เพราะพลังใจมันสูงจริงๆ

ทีแรกว่าจะเขียนเล่าว่ามันทำอะไรบ้างถึงได้น่าสนใจขนาดนี้ แต่เพิ่งเห็นว่าที่เว็บผู้จัดการมีบทสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว ก็กดไปอ่านเอา

แต่ประเด็นที่ผมสนใจมากกว่านั้นคือการค้นพบท่าไม้ตายของคนเรา คือจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ดีๆ กูจะมาเอาดีด้านการเป็นสุดยอดผู้ชำนาญการด้านไม้ไผ่ ทั้งที่ครอบครัวและการเรียนที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวเลยสักนิด แต่มันไปติดใจจากงานชิ้นนึงเท่านั้นเอง แล้วก็ยาว

ไอ้อะไรที่เป็นสไตล์คล้ายๆ แบบนี้นี่มันเจ๋งชะมัด เกิดมาทั้งที ได้ลองอะไรแล้วพบว่า เฮ้ย นี่แหละวะ ทางของกู แล้วไปให้สุด

บ้าเล่นเกม ก็หาโอกาสจากมัน กลายเป็นนักแคสต์เกมเฉยเลย
บ้าโซเชียล ก็หาโอกาสจากมัน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลก็มีคนใกล้ตัวเป็นมาแล้ว
บ้าอ่านการ์ตูน โตขึ้นเป็นนักเขียนการ์ตูนเฉยเลย (แล้วก็ไส้แห้งตาย)

มันยังมีความบ้าแบบใหม่ๆ อีกหลายอย่างใน พ.ศ.นี้ ที่ผุดขึ้นมารัวๆ แบบไม่ให้ตั้งตัวได้ติด ผมชอบดูรายการ IS COMING ที่เป็นสารคดีประเภทปลุกพลังหนุ่มสาว ว่ามึงน่ะโชคดีแค่ไหนที่เกิดและโตมาในยุคนี้ ที่ให้ตายก็ไม่อดตายหรอก

ประเด็นคือมันต้องพาตัวเองไปสู่สภาวะที่ได้ลอง ได้วิ่งไปหาโอกาส ไม่ใช่นั่งกระดิกตีนให้โอกาสมาหาเราเอง โอเค ไอ้การวิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 385 แต่ในที่สุดก็เจอ

พาลนึกถึงการ์ตูนต่างๆ ที่แต่ละคนมันมีพลังวิเศษต่างกันไปตามความชอบของตัวเอง (ที่จริงคือหาเรื่องวางคาแรกเตอร์ไปยังงั้นเอง) อยู่ดีๆ ทุกคนก็พัฒนาวิชานินจาของตัวเองแบบเทพๆ ขึ้นมา หรืออยู่ดีๆ ก็ฝึกเน็นจนแก่กล้าไปในทางใดทางหนึ่ง

เออ ทำไมมันไม่มีใครก๊อปกันวะ เออ มีนี่หว่า อย่าง Street Fighters นี่โชริวเคนกันได้ตั้งหลายตัว งั้นย่อหน้าก่อนช่างมันละกันนะ

พอละ สรุปว่า เจ๋งว่ะ นับถือ ดีใจที่ได้รู้จักและสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แผ่พุ่งออกมาแบบนี้

การได้เจอคนที่พลังชีวิตแพ่พุ่ง แถมยังแผ่มาถึงเราเหมือนโรคระบาดจากตะวันออกกลางสักอย่างนี่

ดี

คุณค่าที่ดิฉันควรคู่

ปกติจะไม่บ่นอะไรแนวนี้ลงบล็อก (บ่นแต่แนวอื่น) แต่ช่วงนี้แย่จริงๆ จนต้องมาระบายสักหน่อย

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เหมือนผมจัดการตารางชีวิตตัวเองไม่ลงตัว รู้สึกเลยว่าวันๆ ทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน โอเคไอ้แบบที่ทำแล้วได้ตังค์น่ะได้ แต่ได้ความสุขกระชุ่มกระชวยหัวใจนั้นมันเหือดแห้งไปได้ยังไงก็ไม่รู้

เหี้ยแล้ว ไฟบนหน้าอกกะพริบแดงวาบ แบบนี้ผิด ต้องรื้อ ต้องรีบูต

วันนี้ตอนเมียออกไปฟิตเนส เลยมานั่งทบทวน พบว่าในแต่ละวันนอกจากจ้องมือถือแล้ว เราทำอะไรอีกบ้าง ก็พบว่าแทบไม่เหลือเวลาอะไรที่เป็นโล้เป็นพาย

อย่างเมื่อวานจะเขียนบล็อกนึง ก็เขียนๆ ไป เมียเรียกไปดูลูก เสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับมาต่อ เพราะเปิดคอมทีก็เข้าเฟซบุ๊กตอบลูกค้าเลย จนหมดวัน และไม่มีอะไรที่สร้างคุณค่าให้กับชีวิตอีกเลย

นอนหลับไปโดยที่รู้สึกว่าโควต้าที่พระเจ้าให้ชีวิตเรามา (และผสมอะไรไม่รู้ผิดๆ ลงในชามน่ะ) สองหมื่นวัน โดนเผาเล่นไปวันนึงฟรีๆ

พอนึกไปถึงคีย์เวิร์ดอย่าง “คุณค่าของชีวิต” ปั๊บ ก็ถึงบางอ้อ เออ กูขาดเรื่องนี้ไปนี่เอง

พลังงานชีวิตของมนุษย์ประเภทผมคือการได้ทำอะไรสำเร็จสักอย่าง อะไรก็ได้ เป็นก้อนๆ ไม่ใช่ขี้ แต่คืออะไรที่มันให้ความรู้สึกว่าถ้าทำแล้ววันนี้จะนอนหลับอย่างไม่เสียดายชีวิต

ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตัวอย่างเช่น เขียนบล็อก (กำลังทำอยู่นี่แหละ) ไปว่ายน้ำกับลูก ปั่นจักรยานเที่ยวในซอยที่ไม่เคยไป โพสต์ฟอนต์ในเว็บที่ดองไว้ เขียนการ์ตูนสักหน้า วาดรูปสีน้ำ ทำเว็บที่ดองไว้ ออกแบบบ้านต่อ อ่านหนังสือให้จบสักเล่ม หรือทำงานที่ดองไว้ให้เสร็จ ไปบิ๊กซีซื้อของมาตุนใส่ครัว เดินให้ครบหมื่นก้าว ดูหนัง ฯลฯ

สังเกตว่าจุดร่วมของงานแต่ละอย่างคือ ทำแล้วมันเป็นหมุดหมายอะไรให้จดจำ ทำอะไรที่มันบำบัดความเหี่ยวเฉาของการตื่นมาตอบเมลลูกค้า นั่งหน้าคอม กดมือถือ เลี้ยงลูก กินขี้ปี้นอน แล้วหมดไปวันๆ รู้สึกตัวอีกทีก็แก่เป็นตาลุงแล้ว

ปัจจัยที่เป็นหลุมพรางดักตัวเองมาตลอดเวลาจะทำอะไร ก็คือข้ออ้างว่าผม “ไม่มีเวลาว่างเป็นก้อนๆ” ซึ่ง… แล้วยังไงล่ะ คนอื่นเขาก็ไม่มีนะ เวลาเราก็ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แถมเอาจริงๆ ตัวกูเองน่ะว่างมากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ

ดังนั้น โครงการเติมสารอาหารให้ชีวิตประจำวัน ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่พรุ่งนี้…

ไม่ นับตั้งแต่วินาทีนี้เลย!