ฝันถึงเมียน้อย

บันทึกไว้หน่อย

ในฝันคือเป็นภาพอนาคตที่บิดเบี้ยว คือลูกสองคนยังตัวเล็กๆ เท่านี้นี่แหละ เมียก็อายุเท่านี้ แต่เหตุการณ์ในฝันเหมือนแต่งงานอยู่กินกับเมียมานานกว่าโลกแห่งความจริงเป็นสิบปีเลย (ที่ลูกเมียและเราอายุเท่านี้ในฝันก็คงเพราะว่าเรายังไม่เคยจินตนาการถึงหน้าตาของครอบครัวเราในช่วงวัยที่มากกว่านี้เลย)

สิ่งที่ต่างออกไปก็คือเมียผมที่กลายเป็นคนบ้างานมากๆ มากๆ

โลกแห่งความจริง ณ พ.ศ.นี้ เมียผมก็บ้างานในระดับหนึ่ง ชอบวาร์ปไปอยู่ในงาน เหตุผลก็เพราะเรื่องเงิน เมียผมชอบเงิน แต่เราคุยกันทุกเรื่อง ย้ำว่าทุกเรื่อง อันนี้ทีแรกคิดว่าคู่อื่นเขาก็เป็นกัน แต่พอมารู้ว่าคู่เรามันไม่มีอะไรปิดบังเลย ต่างจากที่เพื่อนฝูงเป็นกัน ก็ถือว่าแปลก แปลกได้ยังไงวะ

แต่ในฝันคือเป็นการเพิ่มเลเวลไปกว่านั้นอีกหลายเท่า คือไม่สนใจกูเลย ทำงานแบบวาร์ปถาวร ไอ้ผัวก็เปลี่ยวเหี่ยวสิครับ โดยเฉพาะไอ้เรื่องอย่างว่านี่เมียในฝันปิดโหมดไปเลย

พอนานๆ เข้าก็เหมือนตัวตนถูกลบให้จืดจางลง และค่อยๆ เฟดหายไป…

อันนี้ในฝันยังวิจารณ์ตัวเองเลยครับว่ามึงออกแบบสถานการณ์ได้เห็นแก่ตัวมาก 5555

ระหว่างนั้นก็มีผู้หญิงคนนึงเข้ามาครับ

จำชื่อไม่ได้ จำหน้าไม่ได้

มันมีคำอธิบายในทางจิตวิทยาด้วยนะว่าทำไมเราจำหน้าคนที่ไม่มีอยู่จริง (นี่คือออกตัว) ในฝันไม่ได้ แน่นอนว่าคาแรกเตอร์ปูมาให้ตัวละครนี้พัฒนามาสู่ความเป็นเมียน้อยแน่นอน

แต่น้องคนนี้ต่างออกไปนะครับ คือเป็นผู้หญิงน่ารักๆ ธรรมดานี่แหละ ไม่ได้เป็นผู้หญิงแรงๆ ร้ายๆ อะไร คือมีมิติความลึก มีแบ็กกราวด์ มีครอบครัว เป็นพนักงานออฟฟิศสักตำแหน่ง (นึกภาพว่าเป็นเออี) ทำมาหากินใช้ชีวิตปกติ

ที่ไม่ปกติก็คือน้องคนนี้ได้มีโอกาสร่วมงานกันกับผม แล้วดันสารภาพว่าชอบเราเว้ย

55555555555 ไอ้สัส เขียนบทได้แบบ มึงนี่หล่อมาก มีสาวตึงมาชอบ 55555555555 โอ๊ยทำไมของจริงไม่มีงี้มั่งวะ

เนื่องจากตัวเองไม่มีความสามารถในการขยี้บทรักๆ ใคร่ๆ อะไรแบบนี้เท่าไหร่ ในฝันก็เลยสคิปข้ามไป เอาเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่บนทางสองแพร่งที่อันตรายต่อชีวิตครอบครัวแล้วล่ะ

ทางที่ผมเลือกก็คือ บอกเมียว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

ด้วยเชื่อว่าการคุยกันทุกเรื่องนั้นแก้ปัญหานี้หรือปัญหาใดๆ ได้ เราเลยมานั่งคุยกันในร้านข้าวริมถนนสักแห่ง

เมียทำละสายตาจากมือถือ หันมาจ้องตาและคุยกับผมจริงจัง มันเป็นใคร หน้าตาเป็นไง เกิดขึ้นนานหรือยัง (ไม่นาน) แล้วชอบเขาไหมล่ะ (เปล่า แต่น้องก็น่ารักอยู่นะ) ได้กันหรือยัง (ยัง!)

และหาทางแก้ไขปัญหา ป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกอย่างจบอย่างเข้าใจในระหว่างรอสั่งข้าว

พอฝันมาถึงตรงนี้ ผมรู้ตัวแล้วว่าฝัน ในฝันเลยหยิบโน้ตบุ๊กมา เปิดเว็บ เขียนบล็อก

ตั้งชื่อหัวข้อว่า “ฝันถึงเมียน้อย”

.

ป.ล.ตื่นมาในโลกแห่งความจริง แน่นอนผมเล่าความฝันนี้ให้เมียฟัง ทำไมเมียทำท่าเหมือนจะหยิบมีดวะ

ดราม่าประจำเดือนมิถุนายน 2560 ของข้าพเจ้า

  1. เราไม่เคยบ่นเรื่องงาน
  2. เราไม่เคยเล่าปัญหาดราม่าของตัวเอง

ทั้งหมดนี้เพราะต้องการสร้างภาพลักษณ์ต่อโลกโซเชียลอันฉาบฉวยว่าฉันเป็นคนตลกและอารมณ์ดี

แต่เคสนี้ขอจดไว้หน่อย

ร้านสกรีนเสื้อเล็กๆ ของผม​ (ทำลิงก์ไว้เพื่อการ SEO) เปิดให้บริการมาสิบกว่าปี ผ่านวิกฤตมาหลายๆ อย่างเล็กบ้างใหญ่บ้าง ประสบการณ์ทำให้เราค่อยๆ เติบโต แต่จะว่ายังไงก็เอาเถอะ ผมตัดสินใจยับยั้งไม่ให้เติบโตเกินไป ขี้เกียจเหนื่อย เลยทำเป็นร้านเล็กๆ แบบนี้ จะได้ลงดีเทลเองได้อย่างละเอียดทุกส่วน และมีความเป็นโฮมเมด ไอ้นี่แหละที่เขาว่ากันว่าเป็นกับดักรายได้ปานกลาง 5555

แต่เผอิ๊ญ ช่วงฝนตกฟ้าร้องฟ้าคะนองที่ผ่านมานี่แหละ เครื่องสกรีนแม่งพัง ไม่ได้พังเครื่องเดียวนะครับ คราวนี้พังทุกเครื่อง ด้วยสาเหตุต่างๆ กัน

ถ้าดูซีรีส์เดอะแฟลชจะเห็นว่าอีตอนที่เมืองของพระเอกเกิดระเบิดวิเศษตูมขึ้นมา ใครที่กำลังทำอะไรอยู่ก็จะได้รับพลังวิเศษอันนั้น เช่นพระเอกโดนฟ้าผ่าอยู่ เลยมีพลังวิ่งเร็วเหมือนสายฟ้า (มึงก็เชื่อมโยง) บางคนกินเกาเหลาหม้อไฟก็น่าจะมีพลังหม้อเป็นไฟ อะไรงี้เป็นต้น

แต่กับเรื่องจริงคือ เครื่องสกรีนที่ร้าน แม่งพัง พังแบบที่กว่าจะงมสาเหตุกันจนได้รู้ว่าสาเหตุคือการที่ไฟกระชากเนี่ย ก็ล่อไป 3 วัน

พร้อมกับออเดอร์ที่ค้างไว้อยู่ในระหว่างการสั่งอีกร้อยกว่าตัว

จากลูกค้า 8 ราย ความดราม่ามีอยู่ 8 เลเวล (อย่าให้เล่าถึงรายที่เป็นเลเวลสูงสุดละกัน)

แน่นอนว่าต้องใช้วิธีการรับมือ 8 ประการ

สิ่งที่ทำคือ เรื่องเครื่องพัง ให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายและพี่สะใภ้ ที่ผ่านการซ่อมมาสารพัด เป็นผู้ดำเนินการซ่อมให้อย่างหามรุ่งหามค่ำ คิดว่าน่าจะใช้วิธีแบบคินดะอิจิ ที่เอาอะไหล่จากเครื่องนึงมาใส่อีกเครื่องนึง เพื่อให้ทำงานระยะสั้นได้ แล้วตัดเครื่องที่เจ๊งให้ลอสต์ไป ระหว่างนั้นให้ติดต่อดีลเลอร์ ฯลฯ (ที่จริงมีปัญหากับดีลเลอร์ที่ไม่เป็นมืออาชีพอีก แต่ไม่โฟกัสละกัน ข้ามๆๆ)

ปัจจุบันที่เขียนบล็อกนี้อยู่ สถานการณ์คือ เครื่องสกรีนยังพังเหมือนเดิม แม่ง การตัดต่อปลูกถ่ายอวัยวะไม่เห็นจะง่ายเหมือนใน Doctor K เลยวะ

โอเคแหละ ทำใจได้แล้วว่าเดี๋ยวต้องควักเงินจำนวนไม่น้อยมาทำอะไรในการนี้บ้าง ก็เอาไว้ต่อสู้กันในเฟสถัดไป

แต่เฟสนี้ซึ่งเป็นงานระยะเร่งด่วนก็คือ ต้องรับมือกับสถานการณ์ของเสื้อร้อยกว่าตัวที่มีคนจ่ายเงินเรามาแล้ว และต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของเขาให้ได้

ผมในฐานะเจ้าของร้าน บรรจงกลั่นจดหมายขอโทษอย่างยาว อย่างละเอียด และอย่างจริงใจ (คือเกิดอะไรขึ้นก็ต้องบอกไปตามจริง) แล้วส่งให้ลูกค้าทุกคน ด้วยหัวใจระทึกและนิ้วชุ่มเหงื่อ โดยเสนอทางเลือกให้ลูกค้าคือ

1.คืนเงิน
วิธีนี้เสียลูกค้าแน่นอน แต่จบปัญหาทุกอย่างได้เร็วที่สุด (มีลูกค้า 1 เจ้าเลือกวิธีนี้)

2.คืนเงิน และให้ทางร้านแนะนำร้านอื่นให้
วิธีนี้เสียลูกค้าแหละ แต่มีทางออกให้ลูกค้าได้ใช้บริการร้านที่เรา invite ไป

3.ให้ทางร้านดำเนินการผลิตให้ โดยใช้ sub-contract
วิธีนี้ลูกค้ารอเพิ่มอีกหน่อย คือเราไม่ได้ผลิตเอง แต่ไปจ้างที่อื่นทำ แน่นอนว่าเราได้ลูกค้าเหมือนเดิม แม้จะขาดทุน แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ต้องทำคือต้องดูแลควบคุมการผลิตกับโรงงานอื่นที่เราไม่คุ้นเคยกับระบบการดีลของเขา (ลูกค้า 7 เจ้าที่เหลือ เลือกใช้วิธีนี้ ประทับใจและขอบคุณมากๆ)

ทั้งหมดนี้ผมขอโทษและมอบคูปองแสดงความขอโทษให้กับลูกค้าทุกคน และคุยปรึกษาถามตอบ รับมือกับลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าหมากที่เราเลือกเดินนั้นถูกต้องแล้ว

เพื่อไม่ให้ลงรายละเอียดที่หยุมหยิมมากนัก เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังดำเนินการคุยกับโรงงานอื่นที่สามารถผลิตให้เราได้ตามสเป็กที่ลูกค้าทั้ง 7 รายต้องการ

ตัดภาพมาตอนนี้คือ อะไรวะ! ทำไมบริการของร้านอื่นๆ มันไม่ได้มาตรฐานขนาดนี้ โอ๊ยหงุดหงิด 55555

คือเข้าใจเลยว่ามันต่างกันมากเลย ในการที่ดีลงานกับร้านเล็กๆ ที่วางระบบการทำงานมาดี และใส่ใจลูกค้ามากๆ (อันนี้กล้าอวยตัวเอง) กับร้านใหญ่ที่เครื่องจักรทันสมัย และจ้างลูกจ้างมาเป็นคนดีลกับลูกค้า

ระดับความประทับใจ ความพึงพอใจมันต่างกันมาก

สองสามวันนี้พอได้เห็นระบบการทำงาน ระบบการถามตอบ ระบบการดำเนินการในมุมของลูกค้าแล้ว ก็รู้สึกได้เลยว่างานบริการนั้นความเอาใจใส่ลูกค้าโคตรสำคัญ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกดีว่าเฮ้ยที่ผ่านมาเราโคตรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นั้นถูกต้องแล้ว

เครื่องพังก็ช่างกะเครื่องมันสิ ซื้อใหม่ได้ ใช้เงินแก้ปัญหา

แต่ใจนี่แหละที่ต้องไม่พัง เพราะถ้าใจพัง จะเป็นพังใจ เว็บฟังเพลงอินดี้

จำไว้.

เสาเสาเสาและโรงเลื่อย

ตอนนี้ผมทำพอดแคสต์ (=วิทยุออนไลน์) อยู่สองรายการ ชื่อ “ยูธูป” และ “เสาเสาเสา” (เออ ว่าจะเขียนเรื่องพอดแคสต์ในประเทศไทยตั้งนานแล้ว นี่ดราฟต์ไว้ยังไม่เสร็จซะที ไว้ก่อนนะๆ) ทั้งสองรายการที่ทำนั้นสังกัดอยู่ในช่อง Get Talks โดยมีฐานอยู่ในซาวด์คลาวด์และทวิตเตอร์ (เหมือนจะเป็นพวกต่อต้านจักรวรรดิเฟซบุ๊ก 5555)

ยูธูป (@youtoopna) เป็นรายการรีวิวของกินที่เอาเรื่องผีมาบังหน้า อันนี้ได้รับการตอบรับอย่างอิ่มหมีไปแล้ว เราจะข้ามไป

ส่วนเสาเสาเสา (@saosaosaona) เป็นรายการพอดแคสต์ที่คุยกันเรื่องสถาปัตยกรรม ที่พยายามจะเล่าเรื่องที่เรารู้ ให้กับคนฟังที่ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน ได้ฟังกันง่ายๆ ย่อยให้ฟังง่ายๆ และเป็นกันเอง

โดยที่เอาจริงๆ แล้ว ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้เท่าไหร่ แต่เป็นคนอยากรู้ เลยส่วนใหญ่จะเป็นแผนกถามในรายการนะ ส่วนคนที่คอยตอบก็จะเป็นโบ๊ท น้ำ โอห์มซะเป็นส่วนใหญ่ โดยมีแนทเต้มานั่งถามอีกคน มีตั้งมาคอยช่วยในบางครั้ง และพี่โอเป็นที่ปรึกษาลับๆ อีกที ทำไมทีมงานมันเยอะจังวะ!

เนื่องจากทีมงานเราเยอะใช่มะ การจะนัดคนเหล่านี้ให้มานั้่งทำอะไรพร้อมกันได้นั้นช่างยากเย็นนัก ปกติเราก็เลยนัดหมายกันมานั่งอัดรายการกันสองอาทิตย์ครั้ง — อัดครั้งละสองตอน จะได้ไม่ต้องนัดกันบ่อยๆ แต่อัดทีนึงก็ล่อไปดึกดื่นเที่ยงคืนทุกที โดยที่ทั้งหมดนี้ทำเอาผลงานล้วนๆ
ยังไม่ได้คิดเรื่องเงินๆ ทองๆ เลย เหมือนมานั่งคุยกันเพื่อบำรุงสมองและหัวใจมากกว่า (แต่ถ้าวันนึงมีสปอนเซอร์ได้เราจะดีใจมาก 5555)

แต่เสาเสาเสาอีพีนี้ต่างออกไป หลังจากที่เรานัดอัดกันปกติใช่มะ ดันมีเหตุที่ทำให้ผมกระเหี้ยนกระหือรือ ไปบุกถึงบ้านของแขกรับเชิญ เพื่อขอสัมภาษณ์ในประเด็นที่ตัวเองกระหายใคร่รู้มากๆ

ไอ้ความใคร่รู้เนี่ยนั่นเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ นึกทีไรก็เสียดายว่าทำไมตอนเรียนกูไม่อยากรู้อยากเห็นนั่นนี่เหมือนอย่างทุกวันนี้วะ หรือกบาลมันเพิ่งเปิดตอนลูกสอง

นั่นแหละ เลยอยากให้ฟัง เผื่อจะชอบอย่างที่ผมชอบเนอะ เอ้า เอาคำนำไปอ่านก่อน

คุณผู้ฟังบางท่านที่โตมาพร้อมๆ กับมานีมานะและผองเพื่อน น่าจะจำฉาก “โรงเลื่อยร้าง” ซึ่งเป็นสุดยอดฉากระทึกขวัญเท่าที่เด็ก ป.6 ในยุคนั้นจะได้มีโอกาสอ่าน ภาพความทรงจำของบรรยากาศโรงเลื่อยร้าง ที่พอหมดสัมปทานก็ปิดตัวลง ปล่อยให้เถาวัลย์พันเกี่ยวและเป็นสวรรค์ของเหล่าตัวโกงในตำราเรียน… ยังคงฝังใจมาจนทุกวันนี้

ย่อหน้าตะกี้คือดักแก่ล้วนๆ

ส่วนเนื้อหาของเสาเสาเสาตอนนี้ เราไปสัมภาษณ์คุณติงลี่ แห่ง “โรงเลื่อยจักรไทยนำแสง” เกี่ยวกับการ “ทำไม้” จากท่อนซุงใหญ่ๆ ที่ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา จนผ่านกระบวนการกลายเป็นไม้แปรรูปวัสดุก่อสร้างสุดฮิต และยังเอาไปทำนั่นนี่ได้อีกมากมาย จนเราเองก็ตกใจว่าเฮ้ย ทำได้ด้วยเหรอวะ — ได้!

นอกจากนี้แล้วยังมีสาระเรื่องราวเกี่ยวกับไม้ ทั้งชนิด คุณสมบัติ ราคา! (ใช่ เราถามราคาด้วย) แหล่งที่มา กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเทคนิคการดูแลรักษา ฯลฯ เท่าที่ความอยากรู้อยากเห็นของเสาเสาเสาจะพาคุณไปถึง

ขอให้สนุกครับ!

ก็นั่นแหละครับ เชิญฟังเสาเสาเสา หนึ่งในอีพีที่ผมชอบที่สุด “รักเธอเลื่อยไปไม้เปลี่ยนแปลง” ได้ที่นี่เลยครับ

ป.ล.
นอกนั้นที่ตัวเองรับผิดชอบในการจัดรายการเอง ก็เป็นเรื่องการซื้อบ้าน กับเรื่องสถาปัตยกรรมกับขี้… ลองกดฟังกันนะ ในเพลย์ลิสต์รายการเสาเสาเสาบน Spotify

คองรักคองข้า

ไปดูหนังกับแฟนมาครับ แน่นอนครับ โอกาสพิเศษแบบนี้ทั้งที เลยไปดูลิงยักษ์ถล่มโลกมา…

เรื่องรีวิวหนังไม่ใช่งานถนัดของผม เอาเป็นว่าดูแล้วก็เออ สนุกดีละกัน (ยังยึดมั่นตำราของ บ.ก.โชเน็นจั๊มป์เสมอ ที่บอกว่าการ์ตูนมันต้องสนุก — เท่านั้นแหละ เลยยึดถือเรื่อยมาเวลาใครถามว่าเรื่องนี้เป็นไง ดีไหม ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแฝงสัญญะแมวน้ำอะไรไหม เราก็จะเหลือปัญญามาตอบได้แค่สนุกหรือไม่สนุกเท่านั้นเอง จบ)

(อ้อ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าดูหนังตัวอย่างเลยเหอะ หรือพวกสกู๊ปอะไรๆ ก่อนไปดูจริง โดยเฉพาะพวกรีวิวสัตว์ประหลาดสุดโหด 5 อันดับที่จะมาปรากฏตัวในหนัง มึงเล่าอย่างละเอียดเลยอีเว้ร การรู้อะไรแบบนี้มันคงมีคนที่ชอบอยู่หรอก แต่กับผมแล้วมันทำให้หนังจืดมากอะ พอดูจริงแล้วจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับการรู้แค่คร่าวๆ หรือไม่รู้เลยยิ่งดี ความเซอร์ไพรส์มีมูลค่าของมันนะ จำไว้นะ Beauty and the Beast และ Wonder Woman … อ้อ Spider-man เวอร์ชันนู้นด้วย เบื่ออออ)

ทีนี้ พอดูจบเลยนึกถึงหนังแนวที่ตัวเองชอบ แล้วก็ลามเลียไปถึงยุคที่เคยเขียนบล็อกลง blogger.com (โอ้โห เก่าจนแทบจะบรรจุลง #เน็ตเมื่อวานซืน) ตอนนั้นหน้า bio เขาให้ระบุประเภทหนังที่ชอบ ก็นั่งนึกอยู่นานว่าชอบแนวไหน

จึงกรอกไปว่า หนังแมงมุมยักษ์ สัตว์ประหลาด จระเข้ยักษ์ อะไรแบบนี้

ลืมเขียนเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกอย่าง…

ด้วยความสัตย์จริง เออผมก็ชอบดูนี่หว่า ไอ้อะไรที่ว่าเนี่ย แม่งสนุก ยิ่งถ้าเป็นหนังที่มีฉากอยู่ในเมือง หรือมันพอจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับตัวเองด้วย และยิ่งพล็อตเรื่องเป็นประมาณว่า กูอยู่ของกูดีๆ แล้วโดนไอ้พวกอสุรกายถล่มโลกนี่มารังควานจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จับกลุ่มกับคนรอบข้างแล้วทุลักทุเลพากันหนี หนีอยู่ดีๆ ก็ทยอยตายกันทีละคน มีพระเอกลากนางเอกตึงๆ หน่อย พากันรอดไปจนจบเรื่องไรงี้ ยิ่งรู้สึกอินใหญ่ (มึงอินได้ยังไง)

นี่ถ้าให้นึกถึงหนังที่แว้บเข้ามาตอนพิมพ์บรรทัดนี้แล้วนึกได้ว่าชอบจัดๆ เลย ก็คงเป็น Cloverfield ครับ เรียกได้ว่ารวมฮิตเม็กกะแดนซ์ ครบทุกความกระสันที่ผมต้องการเลย นั่นจึงเป็นโคตรสุดยอดหนังสนุกในดวงใจที่ดูมาแล้วรอบเดียว (อ้าว) เออไว้เดี๋ยวจะหาโอกาสซ้ำอีกที

แล้ววันก่อนก็เพิ่งดูหนังเซอร์ไพรส์เรื่อง 10 Cloverfield Lane อันนี้ไม่บอกละกันว่ามันเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวยังไง เพราะแค่บอกก็ไม่สนุกแล้ว (ที่เพิ่งได้ดูก็เพราะตอนนั้นพลาดการดูในโรง แล้วดันไปอ่านนั่นนี่มาด้วยความที่หนังมันเก่งในด้านการขายแบบยุทธการไวรัสไง ให้เหล่าติ่งหยอดนั่นแปะนี่นิดๆ หน่อยๆ) (ขออีกวงเล็บละกัน ใครยังไม่ได้ดู อย่าดูหนังตัวอย่างเด็ดขาด!!!!!!! ไอ้สัส สปอยล์จนจบเรื่อง แบบเน้นๆ จะจะด้วยนะ อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดันไปอ่านสกู๊ปมาแล้วรู้ว่าคนทำหนังกับค่ายแม่งไม่ลงรอยกัน อีค่ายก็จะขาย คนทำหนังก็จะเก็บความลับ พอตัดตัวอย่างออกมาปั๊บ พัง เฉลยตอนจบในนั้น ฆ่าหนังได้ทั้งเรื่อง)

แต่ก็ต้องบอกว่า สนุกดีครับ

แล้วทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่เมียผมไม่ชอบทั้งคู่ 55555555555555 อันแรกเพราะกล้องมันส่าย อันสองคือมันกดดัน 555555555

ตอนดู War of the World นั่นก็ชอบนะ ค่อนข้างลืมไปแล้วว่าตอนนั้นทำไมมีคนวิจารณ์ในทางลบเยอะอยู่ แต่แม่คุณเอ๋ย ฉากที่อีพระเอกหลบหูลู่ไม่ให้มนุษย์ต่างดาวทำร้ายนั่นแหละ คือฉากเดียวกับที่ผมฝันบ่อยๆ

ผมชอบฝันเรื่องหลบๆ หนีๆ ซ่อนๆ ไอ้พวกอสุรกายที่มันจะมาฆ่าเราแบบนี้ (คำว่า “ชอบ” นี่หมายถึงทั้ง like และ usualy)

เป็นความฝันที่ไม่รู้ต้องเตรียมสภาพร่างกายอยู่ในโหมดไหน ถึงจะได้นอนหลับและออกผจญภัยในจินตนาการได้ขนาดนั้น หลายครั้งพล็อตแม่งสนุกมากจนอยากตื่นมาเขียนการ์ตูนไว้กันลืม ยิ่งเป็นช่วงที่โตมาแล้วพานพบประสบการณ์ชีวิตที่มันซับซ้อนกว่าวัยเยาว์แล้วล่ะก็ ฝันแนวหนีตายแบบนี้ก็ดันยิ่งสนุก มีดราม่า มีการผูกเรื่อง

แต่ที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ฝันจะมีจุดร่วมคล้ายๆ War of the World และ Cloverfield คือ กูอยู่ของกูดีๆ ก็ต้องมาหนีตาย

ตัดจบเท่านี้.

รูของทีน

เรื่องน่าเศร้าก็คือ นี่เราแก่ป่านนี้แล้วยังจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตไม่ถูกเลย ไม่ได้เฉพาะเรื่องงาน แต่เป็น To-do list หลายๆ อย่างในชีวิต

เรียกว่าการบริหารเวลาส่วนตัวพังพินาศเลยก็คงไม่ผิด

ชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาก็ลองนึกอยู่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ว่า ที่ผ่านมาเราเกลียดการทำอะไรแบบรูทีน (รวมถึงการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน) ก็เลยหนีรูทีนมา พอหมดข้อจำกัดที่เคยมาฟาดแส้บังคับให้เราทำนั่นนี่ปั๊บ อิสระที่ได้มากลับทำให้วินัยพัง

ไม่ใช่แค่เรื่องงาน เพราะเรื่องงานไม่ค่อยซีเรียส เราห่วงเรื่องเล่นมากกว่า

ทั้งกองการ์ตูนที่วางพะเนิน รอให้เปิดอ่าน (ก่อนหน้านี้ไม่เคยเลยนะ การ์ตูนนี่เป็น priority แรกสุดเสมอไม่ว่าจะยังไงก็ตาม) ตอนนี้ซื้อมาตุนไว้เต็มมุมห้อง นี่ถ้าแอนตอนมัธยมหรือมหาลัยมาเห็นเข้าคงชี้หน้าด่าเหี้ยเลยนะ ถือเป็นปาราชิกขั้นสูงสุด

ขนาดการ์ตูนยังดอง นับประสาอะไรกับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเอย นิตยสารเอย ที่กะว่าเดี๋ยวนี้เราตั้งกฏเหล็ก งดซื้อเล่มที่พิจารณาว่าถ้าซื้อมาแล้วคงยังไม่ได้อ่านทันที (ว่างๆ ค่อยอ่าน ไรงี้) แต่สุดท้าย ทุกเล่มตอนนี้ก็ไปกองอยู่ในโซนว่างๆ ค่อยอ่านไรงี้ทั้งหมด

ไหนจะสีน้ำที่อุปกรณ์พร้อม มิตรสหายร่วมอุดมการณ์ในกรุ๊ปไลน์ก็ขยันเอางานมาอวด

ไหนจะการลุกมาออกกำลังกายทุกวัน วันละนิดหน่อยก็ยังดี ที่ตั้งใจว่าจะเริ่มทันทีหลังจากหายปวดหลังครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

ไหนจะการเขียนบล็อกทุกสัปดาห์ (เคยคุยกับพี่ปอง พี่ปองโยนมาประโยคนึง บอกว่าต้องลับสมองด้วยการเขียนซะบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี อะไรงี้แหละ จำเป๊ะๆ ไม่ได้ นี่ไง สมองไปแล้ว) ที่จริงประเด็นเขียนมีล้นไปหมด อยากเล่านั่นนี่ แบบที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอ่านไหม (เป็นข้อดีของยุคที่แทบไม่มีใครอ่านบล็อกกันแล้ว) — เออ เสริมหน่อยว่า กะว่าจะเขียน Year in Review 2016 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับตัวเองในวินาทีแรกที่อายุ 35 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนการ์ตูนที่ปิ๊งมุกแว้บขึ้นมาแล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม ฯลฯ

ไหนจะการขี่จักรยานเล่นไปเรื่อยๆ แบบร้อนก็ช่างแม่ง

ทั้งหมดนี้นับว่าเหลวสิ้นดี

กลายเป็นว่ากิจกัตรประจำวัน (ไม่นับงานรายวันนะ อันนั้นไม่อยู่ในโฟกัส) ที่ยังทำอย่างแข็งแรงมั่นคง คือตื่นเช้าเสมอ และไปส่งลูกเข้าโรงเรียนให้ทันมาตรฐานเวลาที่ตั้งใจไว้ แล้วก็การจัดรายการพอดแคสต์ที่ตรงเวลาเป๊ะๆ ทีแรกมียูธูปรายการเดียว นี่แม่งงอกเสาเสาเสามาอีกรายการ แล้วเสือกสนุกและมีแนวโน้มจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ก็น่าจะทำไปอีกนาน

นอกนั้นพังหมด เปิดฮาวทูของอดีตรัฐมนตรีท่านไหนก็ไม่ช่วย

ลองวิเคราะห์ดูว่าแต่ละวันเราใช้เวลาไปกับอะไร แน่นอน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เน้นไปทางการนั่งทำงาน สลับกับเปิดนั่นนี่ดู ต้องบอกไว้นิดนึงว่าถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในใจกลางโซเชียล แต่ไม่เสพติดโซเชียลเท่าไหร่ เสือกไปติดพวกการอ่านข้อมูลล้นเกินมากกว่า เนี่ย เวลาเหลือนิดหน่อยก็ถูกใช้ไปกับสิ่งเหล่านี้ รวมๆ แล้วก็เยอะนะ

จนกลายเป็นว่าวันอาทิตย์หรือวันจันทร์เช้าๆ ที่เคลียร์กองฟีดหมดแล้ว นั่นแหละเป็นเวลาที่เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเกิดมาคุ้มค่า ไม่ได้หายใจและขี้ไปวันๆ

แต่เมื่อเทียบกับการเสียเวลาไปอาศัยอยู่บนหน้าจอ ก็ทุเรศตัวเองอยู่ไม่น้อย

ตะกี้พิมพ์แล้วย้อนขึ้นไปอ่านตรงที่บอกว่าไม่เสพติดโซเชียล อันนี้มันแว้บขึ้นมาว่าที่จริงมึงติดนะ ไม่ติดแค่เฟซบุ๊กอย่างเดียว แต่หนักมากในทวิตเตอร์นะ สารภาพเลย เวลาว่างถูกถมไปกับการรูดจอดูคนอื่นเล่นมุก และหักห้ามใจไม่ให้ทวีตวันละเยอะๆ ให้ได้ แต่แม่ง ก็นะ

ไอ้การถมเวลานิดๆ หน่อยๆ ให้หมดไปกับการรูดจอเนี่ย แม่งจั๊งก์ฟู้ดในโลกของการบริหารเวลาเลย

สิ่งนี้ต้องแก้โดยไว และขอบันทึกไว้ตรงนี้.