#ปิดเล่มแล้วจะเขียนอะไรก็ได้ ตอน The Final Countdown

ดูสิ กะว่าปิดเล่มเสร็จแล้วจะเขียนบล็อกถี่ๆ วันละตอนให้ได้เลย แต่พอเอาเข้าจริง ดันมีงานนู่นนี่ที่อั้นไว้ตอนยังเขียนต้นฉบับไม่เสร็จ จนต้องผัดงานนู้นงานนี้ไปต่อท้าย

แล้วกรรมก็สนองออกมาเป็นความไม่ว่างอย่างแรงด้วยงานที่พอกไว้อีกหลายวันต่อเนื่อง โครงการเขียนบล็อกวันละตอนก็เลยเป็นหมันไป

ช่างมัน เอาเป็นว่าคราวนี้ขอเขียนสั้นๆ เช่นเคย (เคยตอนไหนวะ) ว่าตอนใกล้ปิดเล่มนั้น ผมพบว่าวิธีการทำงานให้มีสมาธิและเพลิดเพลินมากๆ นั่นคือการเปิดอะไรฟังไปเป็นเพื่อนด้วย รับรองว่าอยู่ได้ทั้งคืนไม่มีง่วง และ พ.ศ.นี้ “อะไร” ที่ว่านั้น หวยมาออกที่พอดแคสต์ครับ… ซึ่งเรื่องพอดแคสต์นี่มีอะไรจะเล่าเยอะมาก ขอยกยอดไปครั้งถัดไป เดี๋ยวยาว

และอีกอย่างที่ทำให้ไม่เถลไถลไม่แวะไปนั่งทวีตเล่นหรือนั่งอ่านนู่นอ่านนี่ให้เสียเวลา นั่นคือการเปลี่ยนวอลเปเปอร์แบบโหดๆ ให้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง หรือสลับหน้าจอโปรแกรม ต้องเห็นภาพบาดตานี้

ทีแรกผมใช้เป็นภาพตารางเวลา ปฏิทินเส้นตายที่ได้มาจากบอกอกาย กะว่านี่โหดแล้ว เปิดมาทีไรก็เห็นเดดไลน์ต่อหน้าต่อตา

แล้วก็พบว่า เฮ้ย มันยิบไปว่ะ มันไม่ตูมใส่สมองในเสี้ยววินาทีแรกที่เห็น

จน 2-3 วันสุดท้ายที่ตั้งเวลาไว้กับตัวเองว่ากูต้องทำต้นฉบับให้เสร็จให้ได้ ก็เลยต้องผลิตนวัตกรรมอีกแบบขึ้นมา และมันได้ผลว่ะ

นั่นคือวอลเปเปอร์อันนี้

final-countdown

เท่านั้นยังไม่พอ ในหน้าโฮมของโครม อันเป็นโปรแกรมที่พาเราเข้าสู่โลกแห่งความเถลไถล ผมเปลี่ยนให้เป็นลิงก์คลิปยูทูบนี่

เปิดมาให้เล่นเพลงเลยครับ! คือเพลงนี้แม่งเป็นเพลงที่เคยใช้เปิดวนทั้งคืนเพื่อปลุกใจสมัยทำธีสิสตอนเรียนในช่วงท้ายๆ ดังนั้นจึงผูกพันกับมัน และเป็นเพลงที่ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ ไม่เอียน หลอนอยู่ในหัวเท่าไหร่ก็ไม่เอียน แต่กลับกระตุ้นว่าเฮ้ย มึง ชีวิตมงอีกแค่นิดเดียวก็จะผ่านมันไปได้แล้วนะ!

ทั้งหมดนี้เลยเป็นอีกสูตรนึงที่ผมทำมาแล้วได้ผล เลยเอามาบอกต่อสำหรับคนที่อย่ในภาวะ Final Countdown เหมือนกันครับ

ทั้งนี้ขอแจกไฟล์วอลเปเปอร์นี้ขนาดเบิ้มๆ ไปให้ใช้กันด้วย เอ้าโหลด

อันนี้โฆษณา

อันนี้รีวิวจากผู้ใช้

อันนี้มีการดัดแปลงไปใช้ตามใจชอบ

ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตการณ์ Final Countdown ไปได้ด้วยดี
สวัสดี.

แต่เอ๊ะ มัวแต่มาอ่านบล็อก งานมึงจะเสร็จไหมล่ะ

// แถมๆๆ
เดี๋ยวพอเล่มจริงเสร็จแล้วจะมาอวดอีกที ที่นี่แหละ (เล่มศิลป์ซิตี้ลืมเขียนถึงเฉยเลย แง)

#ปิดเล่มแล้วจะเขียนอะไรก็ได้ ตอน การซื้อหนังสือการ์ตูนไม่ใช่เรื่องแมสๆ อีกต่อไป

บอกไว้ก่อนว่านี่ก็เป็นการบ่นซ้ำๆ ในเรื่องที่เราก็รู้ๆ กันนั่นแหละ คือวงการหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแบบที่เราคุ้นๆ กันมาหลายสิบปี มันกำลังหายใจรวยรินเต็มที

แต่ถึงรู้แบบนั้น จะบ่นซ้ำอีกก็คงไม่เป็นไรเนอะ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะไม่มีให้บ่นแล้ว สถานะของเรื่องที่บ่นอยู่นี่ก็จะเหลือไว้แค่เพรยงความทรงจำ ที่อีกพักนึงก็ลืม ผ่านไปห้าปีสิบปี กลับมาอ่านก็จะไม่เก็ต ซึ่งน่าเสียดายยิ่ง

ก็เลยบ่นละกันเนอะ

bookstore

ณ ชั่วโมงนี้ ร้านการ์ตูนประจำที่เคยแวะเวียนเป็นประจำมากกว่า 20 ร้าน ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด “เกือบทั้งหมด” ปิดกิจการลงในช่วง 1-3 ปีมานี้ ยังคงเหลือเจ้าที่ยังแวะเวียนอยู่บ่อยๆ แค่สามเจ้า คือ B-Books ข้างเมเจอร์รัชโยธิน, ร้านรัตนาภรณ์ ซอยเสนา และร้านบาร์ใหม่ ม.เกษตร

ในย่านซอยเสนาเคยมีร้านหนังสือทั้งแบบซื้อ แบบเช่า รวมกัน 6-7 ร้าน เอาเฉพาะร้านขายก็มี 3-4 ร้านได้เนอะ ตอนนี้ร้านที่ยังคงยืนหยัดขายหนังสือ นิตยสาร (และอุปกรณ์เครื่องเขียน + ลายแทงหวย) ก็คือรัตนาภรณ์

ร้านรัตนาภรณ์ (แผนที่) เป็นร้านที่ผมชอบมากที่สุดตลอดสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอาศัยอยู่แถวๆ นี้ แม้เดี๋ยวนี้พอย้ายบ้านออกมา ก็ยังหาโอกาสแวะเวียนไปฟังเสียงหวานๆ ของเจ๊แป้น สาวแว่นใจดีตัวเล็ก ที่จำผมได้ตั้งแต่สมัยนู้น จนเดี๋ยวนี้แม้จะห่างหายกันไปนาน เพราะผมย้ายบ้านออกมาอยู่ไกลจากแถวนั้น แต่เดือนสองเดือนพอแวะไปทีนึง แกก็ยังจำได้อยู่เสมอ

การจำลูกค้าได้ และทักทาย หรือบางทีไม่ทักทายก็ไม่เป็นไร แต่รู้นะว่าจำได้ ประสบการณ์นี้หาที่ร้านหนังสือตามห้างไม่ได้นะครับ

วันนี้ผมมีธุระแถวนั้น เลยขอวะสักหน่อย ก่อนแวะก็เช็กดูว่าเรื่องที่ติดตามอยู่มีออกเล่มใหม่หรือยัง (ผมใช้แอป miimai – มีไหม ซึ่งเวิร์กมากๆ ช่วยชีวิตคนที่เผลอพลาดซื้อการ์ตูนซ้ำเล่มได้ดีมากๆ) ก็โอเค ซื้อไซโคเมทเธอร์ เล่ม 13 แล้วก็พบว่า

แม่งขึ้นราคาเป็น 70 บาท

เหี้ย 70 บาท นี่กูยังจำได้อยู่เลยว่ามันเพิ่งขึ้นจาก 25 เป็น 30 บาทสมัยโคนันแรกๆ จนเลิกซื้อไป (มึงก็แก่ไป)

หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นกับเด็กตอนนี้ก็เริ่มหาความเชื่อมโยงกันยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนเงิน 70 บาทนี่ถือว่าสูงมากๆ เข้าใจว่ามันติดบ่วงวงจรอุบาทว์ และงูกินหางตัวเองไปเรื่อย (ยอดขายน้อยลงมากๆ สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น) ก็สรุปได้เลยว่าในระยะเวลาอันใกล้มากๆ นี้ วงการการ์ตูนญี่ปุ่นฉบับลิขสิทธิ์ที่ยังขายแบบเดิมๆ แบบที่เราค้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็กำลังรอวันล่มสลายเนอะ

ไหนจะซีคิดส์ที่ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้าย ถามเจ๊แป้นแล้วแกบอกว่าเล่มนี้ดันขายดีเพราะมีคนซื้อเก็บ เนี่ย หมดร้านเลย เดี๋ยววันจันทร์(มะรืนนี้) จะไปรับมาใหม่ น้องมาอีกรอบนึงนะ

แม้แต่เจ้าแห่งนิตยสารขายดีอย่างคู่สร้างคู่สมเองก็บอกไว้สักแห่งว่าโดนผลกระทบไม่น้อยเลยเช่นกัน เพราะโฆณาน้อยลง ก็ต้องลดการผลิตลง เนื่องจากคนอ่าน “มีตัวเลือกอื่นๆ มากขึ้น” ไม่เห็นต้องอ่านนิตยสารเลย

เราเลยได้ลาก่อนเปรียว ลาก่อนสกุลไทย ลาก่อนพลอยแกมเพชร อินสไตล์ วอลุ่ม ไรต์เตอร์ คอสโม่ ลาก่อนวีว่า บูม ซีคิดส์ และลาก่อนการ์ตูนรวมเล่มดีๆ หลายสำนักพิมพ์ที่โดนลอยแพไปเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว

จะว่าก็ว่าเถอะ นิตยสารหลายๆ หัวที่เจ๊งไป บางฉบับนั้นดี แต่บางเจ้ามันก็กากจริงๆ นะครับ เนื้อหาแบบเดียวกับที่อ่านได้ในเน็ตอยู่แล้ว แต่ซื้อแบบกระดาษมาก็ต้องมาสคิปข้ามโฆษณาไปค่อนเล่ม อีห่า ชุ่ยเกิน ตายไปเลยไป

แต่อีเหี้ย ที่ยังรับความจริงของโลกนี้ไม่ได้ก็คือ เม็ดเงินโฆษณาหลายๆ พันล้านในแต่ละปีที่ตอนนี้โยกจากสื่ออื่นไปออนไลน์กันมากขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย ดันไปหวยออกที่เหล่าแอดมินเพจเฟซบุ๊กจนแม่งรวยเอาๆ 5555 เห็นแล้วเหม็นยังไงก็ไม่รุ้ รู้สึกว่านี่มันเป็นสภาวะระบบนิเวศน์ที่บิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางอยู่ ยังไม่ลงตัวลงล็อกบางอย่าง อารมณ์เหมือนมีคนปล่อยปลาซักเกอร์(เบิร์ก) ลงมาในแหล่งน้ำสาธารณะ แล้วตอนนี้แม่งขยายพันธุ์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด มองเข้าไปทั้งจากสายตาชาวบ้าน และสายตากำนันผู้ใหญ่บ้านก็บอกเลยว่าไม่รู้จะทำยังไงดี ไม่รู้คนอื่นรู้สึกไหม หรือแฮปปี้กันดีวะ โอ๊ยพูดงี้เดี๋ยวโดนด่า 55555

ถาม: แล้วมึงเดือดร้อนอะไร อิจฉาเหรอ เดือดร้อนเหรอ เปล่าเลยนี่
ตอบ: เดือดร้อนสิครับ เรื่องอิจฉานั่นเรียกว่าหมั่นไส้ดีกว่า 55555 เอาแค่มันส่งผลกระทบต่อวงจรนิตยสารประจำที่ติดตามอยู่ทยอยปิดตัวลง แค่นี้ก็เดือดร้อนมากๆ แล้ว ไหนจะการ์ตูนขึ้นราคาขนาดนี้อีก นี่ไม่ได้มองวงกงวงการอะไรเลยนะ มองแค่ตัวเองที่หนังสือเล่มโปรดทยอยหายไป การ์ตูนดีๆ หลายเรื่องที่รอให้มันออกไลเซนส์ไทย แต่ไม่มีใครกล้าเอามาขายเพิ่มซะทีเนี่ย โอ๊ยเดือดร้อนจะตายชัก

ทางออกที่สำนักพิมพ์บางเจ้ากำลังดิ้นอยู่ก็คือ การแปลงตัวเองเป็นอีบุ๊ก อันไหนได้รับความนิยมหน่อยก็ค่อยทำออกมาเป็นเล่มจริงวางขาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเวิร์กไหม แต่ก็ภาวนาพุทโธมากๆ ว่าจงอยู่รอดปลอดภัย และต่อสู้กับพวกแปลเถื่อนได้สักหน่อยเหอะ

แต่เอ้อ อยากจะบอกว่า เท่าที่ผ่านมา โมเดลการแปลงตัวเองจากสำนักพิมพ์กระดาษไปเป็นอีบุ๊ก อีแม็กกาซีน หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่นๆ นี่ ดูมาหลายปีมากๆ ออกมากี่แพลตฟอร์ม เท่คูลแค่ไหร ก็ยังไม่เห็นเจ้าไหนอยู่รอดหรืออยู่ได้เลยครับ ก็อย่างที่รู้กันนะว่าเรามีทัศนคติกันว่าโลกออนไลน์มันต้องฟรี …แต่มึงเสียตังค์ซื้อสติกเกอร์ไลน์และเติมเงินในเกมกันนะ ก็ซื้ออะไรอ่านดูไหมล่ะ

ที่พูดนี่คือผมเองยังไม่ซื้อเลย 555555 ไม่ชอบหนังสือไฟฟ้าง่ะ ความรื่นรมย์มันต่างกันมากๆ

ก็ได้แต่ภาวนาว่าที่ผ่านมามันเป็นการมาก่อนกาลนะครับ ตอนนี้คุณกาลกรุณาพร้อมได้แล้ว เริ่มเห็นการปรับตัวของนิตยสารหลายๆ ฉบับ เช่น WAY เปลี่ยนตัวเองเป็นแนว bookgazine นานๆ ออกที แพงหน่อยแต่แน่นเปรี๊ยะ หรือบางฉบับเปลี่ยนเป็นฟรีก๊อปปี้ คนซื้อไม่ต้องซื้อ แต่อ่านหนังสือที่มีโฆษณาเยอะหน่อย แฮปปี้ดี แบบเดียวกับพวกแอปมือถือเลยที่คนชอบแอปฟรีแต่มีโฆษณามากกว่าแอปเสียเงิน

หรือแม้แต่บางฉบับที่ประกาศว่าฉันจะโกออนไลน์เต็มตัว ต่อไปจะเป็น content provider ให้คนอ่านอ่านฟรี พยายามกระตุ้นให้เกิดยอดวิวเยอะๆ แล้วเวลาขายโฆษณาก็ขายแพ็กพ่วง อวดการแชร์ อวดยอดวิวงั้นงี้ว่าไป เอาตังค์โฆษณามาเลี้ยงชีพ (ซึ่งอันนี้แหละคือโมเดลที่ดูโอเคมั้งใน พ.ศ.นี้ แต่ก็นะ พอตัวเลขพวกนี้มันชัดและชูโรง มันเลยไปทำอะไรที่ทุ่มเทลงทุนเจาะลึกมากไม่ได้ และก่อกำเนิดการพาดฉาบฉวยหัวล่อคลิกมากมาย ไม่เว้นแม้สำนักข่าวที่ดูมีมาตรฐานก็ยังทำหำๆ แบบนี้เลย) ทั้งหมดนี้ก็ขอเอาใจช่วยละกันครับ

แต่ก็นั่นแหละ อย่างไรก็ตามถ้ามองจากมุมคนอ่านการ์ตูน และสะสมการ์ตูนเต็มผนังบ้าน นี่คือความเศร้า แต่ถ้าถอยออกมามองจากสายตา (สายตาใครดีวะ พระเจ้างี้เหรอ จะจบหล่อๆ แต่นึกไม่ออก) มันก็คือกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติธรรมดาๆ แค่นั้นเอง คนที่แพ้ก็ตายจากไป และเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวได้และแข็งแกร่งพอเท่านั้นที่จะอยู่รอด ออกลูกออกหลาน และวิวัฒนาการต่อไปได้

ก็ขอภาวนาพุทโธ

จบ

ป.ล.
ความเครียดคือ หาซื้อเอย์จิ (ภาค 2) เล่ม 11 ไม่ได้ คือจำไม่ได้ว่าซื้อมาแล้ว วางไว้ที่ไหนสักแห่งแต่ยังไม่ได้อ่าน เอ๊ะหรืออ่านแล้ววะ กะว่าจะปิดต้นฉบับให้เสร็จก่อนแล้วค่อยอ่าน พอเปิดเล่ม 12-13 แล้วงง เล่มก่อนเนื้อเรื่องมันไปถึงไหนแล้ววะ คือเรื่องมันต่อกัน มันอ่านข้ามไม่ได้ไง ทำไงดีวะ ทวีตถามก็ท่าจะไม่มีคนรู้เลย เพราะการซื้อการ์ตูนอ่านมันไม่ใช่กิจกรรมกระแสหลักมาพักใหญ่แล้ว ฟวยมาก

ป.อ.
ก็เลยต้องกูเกิลดู และได้รู้ว่ามีกระทู้สปอยล์ในพันทิปว่ะ เลยเข้าไปส่องๆ ดู เออ โอเค เล่ม 11 ยังไม่ได้อ่าน ถ้าหาไม่เจอจะซื้อใหม่ ถึงแม้ในแอป miimai เราลงไว้ชัดเจนว่าซื้อแล้วก็ตาม (เศร้าอยู่ดี)

ป.ฮ.
โอ๊ย คิดถึงการเขียนบล็อกเพ้อเจ้อไหลยาวไปเรื่อยๆ ไม่ได้ประเด็นแก่นสารไม่ต้องตรวจทานแบบนี้มาก ตอนปั่นต้นฉบับก็ว่าจะแวะมาเขียนแต่แม่งไม่ได้สักที งั้นตั้งชื่อหัวข้อว่างั้นละกัน เดี๋ยวจะมาต่ออีกหลายเรื่อง เรื่องยูธูปก็ยังไม่ได้เขียน อยากเล่าโว้ย

ยังอยู่นะ

มีอะไรอยากเล่าเยอะมากๆ เลยด้วย ขอส่งงานบอกองวดนี้ก่อนแล้วเรามาคุยกัน

มืออาชีพ

มืออาชีพ

ช่วงนี้เวลาขับรถรับลูกกลับจากโรงเรียน ผมชอบทดลองสอนให้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ ยากๆ ที่จำเป็นต้องใช้บริบทรอบข้าง (แบบที่ไม่ได้เป็นไดอะล็อกปกติสำหรับเด็กเล็ก) ด้วยถึงจะเข้าใจ อันนี้เป็นการท้าทายตัวเองด้วยว่าจะอธิบายคำที่เราเก็ตกันทุกวันทุกวี่ให้เด็กที่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เข้าใจได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เก็ตนะ

คำศัพท์ใหม่ในวันนี้ คือคำว่า “มืออาชีพ”

มืออาชีพที่หมายถึง คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สามารถทำงานบางอย่างได้เก่งกว่าใครๆ

หลังจากอธิบายความหมายเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทดสอบความเข้าใจ
ผม: เห็นคุณลุงคนขับแท็กซี่นั่นไหม คุณลุงเป็นมืออาชีพเรื่องอะไร
นิทาน: น่าจะ… (คิดแป๊บนึง) เรื่องการขับรถนะ
ผม: ช่ายยย แล้วคุณลุง ร.ป.ภ.ล่ะ
นิทาน: … (คิดนาน)
ผม: คุณลุงคอยดูแลหมู่บ้านไม่ให้มีขโมยเข้ามาใช่ไหม
นิทาน: ใช่ๆๆ มืออาชีพด้านการดูแลหมู่บ้านเรา
ผม: ถูกต้องงง อะแล้วคุณยายล่ะมืออาชีพด้านไหน
นิทาน: คุณยายเย็บผ้าเก่ง มืออาชีพด้าน… เย็บผ้า!
ผม: เจ๋ง แล้วแม่ล่ะ
นิทาน: มืออาชีพด้าน… (นึกอีกแป๊บ) ขายของ!
ผม: ใช่เลยยยย เก่งนะเนี่ย
นิทาน: แฮ่ (ยิ้ม)
ผม: อะ แล้ว… แล้วพ่อล่ะ มืออาชีพด้านอะไร
นิทาน: … (นึก)
ผม: …
นิทาน: นึกออกแล้วๆ
ผม: ว่ามาเลย!
นิทาน: มืออาชีพ…! ด้านการตากผ้า!

ความอยาก (2559)

จดไว้

อยากได้กล้องฟูลเฟรมสักตัว
– ไอ้ที่อยากได้นั่นก็ราคาเรือนแสน ไม่รวมเลนส์เลยนะ
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเก็บเงินเย็นได้เมื่อไหร่
– และมีค่ายอื่นไหมนอกากโซนี่ที่มันทำกล้องฟูลเฟรมขนาดไม่ควาย

อยากได้โดรน
– ระยะเวลา: อีกสิบปีข้างหน้าก็รอได้ ไม่รีบ
– ไม่รีบเพราะไม่มีเงินเอามาฟุ่มเฟือยมาก และรอให้มันเก่งกว่านี้

อยากเปิดบ้านให้คนต่างชาติที่ไม่รู้จักมานอนเล่น
– ระยะเวลา: อีกสิบปีข้างหน้าก็รอได้ ไม่รีบ
– สนใจทั้ง Couchsurfing และ Airbnb
– คือให้มีคนต่างชาติ หรือคนไทยก็ได้ มาเที่ยวบ้าน แล้วเราพาทัวร์ ไม่คิดเงินยังได้

อยากทำฟอนต์
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ เสียใจแต่ก็พูดตามตรงแบบนี้
– เคยตั้งเป็นปณิธานแห่งปีสักปีแล้วก็เหลว เพราะโอกาสและความใส่ใจมีน้อยมากๆ
– จนบางทีก็เสียใจเหมือนกันว่าเราไม่ได้ไม่ว่างหรอก แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด

อยากขี่จักรยานวันละ 4 ชั่วโมง
– ระยะเวลา: อันนี้ทำได้เลย รอลูกสาวเปิดเทอม ไม่ใช่เรื่องใหญ่
– แต่ไม่ได้ถึงขนาดวันละ 4 ชั่วโมง เพราะลูกกวนตัว ก็จะได้แค่อาทิตย์ละครั้ง
– การขี่จักรยานของข้าพเจ้าไม่ใช่การขี่เพื่อออกกำลังกาย แต่เพื่อความบันเทิงล้วนๆ

อยากออกกำลังกาย
– ระยะเวลา: ฝันไปเถอะ
– มีข้ออ้างสารพัดที่จะไม่ทำ ถือเป็นความล้มเหลว พูดให้ปากดีไปงั้น
– แต่ทุกวันนี้ก็มีออกนิดๆ นะตอนดูซีรีส์ไปด้วย ซึ่งก็แค่เบาๆ วันละ 45 นาที

อยากหัดปลูกต้นไม้ใหญ่ ไม้ยืนต้น ปลูกป่าเป็นของตัวเอง
– เกิดมาในตระกูลเกษตรกร แต่ปลูกกล้วยยังไม่เป็น กระจอกมาก
– แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะตั้งเป้าหมายชีวิตพุ่งไปทางนั้นเรียบร้อย

อยากเที่ยวทั่วไทยแบบอันซีน (อีกครั้ง)
– เป็นบาปของคนมีลูกเล็กมากๆ (ย้ำว่าไม่ใช่เพราะมีลูก แต่เป็นเพราะลูกยังเล็ก)
– ตอนนี้นับถอยหลัง เหลืออีกปีครึ่งน่าจะลงตัวและเที่ยวได้เหมือนเดิม
– จะไปเหมือนเดิมได้ไงล่ะ เพราะเอาลูกไปด้วยนี่ ก็จะไปแนวดิบเถื่อนไม่ได้
– ซึ่งก็โอเค

อยากวาดรูปเล่นได้ทุกวัน
– อันนี้ฝันเป็นจริงพอสมควรแล้ว เหลือแค่จัดการเพิ่มความถี่และความชิล

อยากอ่านหนังสือที่ซื้อมาดองไว้
– จากเดิมดองไว้ประมาณ 1 หลา ปัจจุบันนี้น่าจะขยับเป็น 2-3 หลาแล้ว
– ที่บาปมากคือการ์ตูน เมื่อก่อนไม่เคยมีสักครั้งที่ซื้อการ์ตูนมาดองไว้ แต่ตอนนี้มีแล้ว

อยากเข้าสู่โหมดแต่งบ้าน
– ระยะเวลา: 6-18 เดือนนับจากนี้

อยากตื่นมาเลี้ยงหมาแมว เล็มต้นไม้ ปลูกผักงี่เง่า
– ระยะเวลา: 12-18 เดือนนับจากนี้
– อันนี้เป็นฝันระยะสั้นและสลิ่มกว่าโหมดทำสวนข้างบน
– มันคือการปลูกพืชแบบคนเมืองๆ นี่แหละ กล้อมแกล้มไปก่อนระหว่างที่ยังอยู่ไม่ไกลกรุง

อยากไปยะลา
– ระยะเวลา: ไม่รู้แฮะ
– เพราะเมียไม่อนุญาต

อยากสนุกกับงานแปลกๆ ที่ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมาทำ
– กำลังทำอยู่ มีทั้งแบบได้เงินและไม่ได้เงิน (ส่วนใหญ่จะไม่ได้เงิน)

นึกออกเท่านี้