ธ.ไก่ชน

thor-kaichon

ทายสิครับว่าโลโก้ที่เห็นด้านบนนี้คือโลโก้ของธุรกิจอะไร?

เอาเถอะครับ เพื่อไม่ให้ยาวไปไม่อ่าน มันคือบริษัทผลิตไม้ไผ่เพื่อเอาไว้สร้างบ้านช่อง ที่เปิดโดยรุ่นน้องคณะผมเอง โดยตัว ธ.นี่มาจากชื่อจริงของไอ้ตั๊บ และไก่ชน มาจากไหนวะ มึงเอาไก่มาทำไมวะ

คือตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีเพื่อนมีพี่ทำงานวนเวียนอยู่ในวงการสร้างบ้าน ก็เจอแต่ออฟฟิศสถาปัตย์ที่ตั้งชื่อเท่ๆ ดูสากลบ้างแหละ หรือเอาเก๋ไก๋เล่นคำไทยน่ารักๆ บ้างแหละ แต่นี่มึงมา “ธ.ไก่ชน” พร้อมไก่โต้งตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม (โอเค ยังดีที่มีเกาะไม้ไผ่ไว้นิดนึง) ในแง่ของการออกแบบและมาร์เก็ตติ้ง มึงมาได้สุดแล้วครับน้อง …สุดขอบเหว 555555555

คืองี้ครับ

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมาเป็นวันสถาปนาคณะครบรอบ 60 ปี ผมโดนเรียกไปนั่งคุยกับพี่ๆ ในห้องเสวนา มีทั้งพี่แบบอายุห่างกันไม่มาก ลากไปยันรุ่นสาม โดยวงเสวนามีสองสามรอบ โดยนักศึกษาเก่าที่มีงานเจ๋งๆ มานำเสนอ

ไอ้อันของผมน่ะข้ามไปเถอะครับ ที่ชอบจริงๆ คือของน้องรุ่น 50 คนนี้ เพิ่งจบไปไม่นาน แต่ค้นพบทางของตัวเอง ว่าอยู่ดีๆ กูมาเอาดีด้านการผลิตและออกแบบด้วยไม้ไผ่ดีกว่า ว่าแล้วก็ไปเริ่มศึกษา เริ่มจากศูนย์เลยนะ มาได้ด้วยพลังใจแท้ๆ ในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง และในที่สุดมันก็เปิดเป็นโรงงานผลิตไม้ไผ่ (ที่ใช้คำว่าผลิต คือมันต้องควบคุมคุณภาพและผ่านกระบวนการทำอะไรสักอย่างไม่ให้มอดกิน ถ้าเป็นนมก็เรียกว่าพาสเจอไรส์กันบูดคงได้)

ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความบ้าบิ่นจริงๆ และไอ้อะไรแบบนี้มันมีปลายทางอยู่แค่สองอย่าง คือเจ๊งกับเจ๊ง เฮ้ย รุ่งสิวะ

และของน้องตั๊บก็น่าจะมาในโซนรุ่ง เพราะพลังใจมันสูงจริงๆ

ทีแรกว่าจะเขียนเล่าว่ามันทำอะไรบ้างถึงได้น่าสนใจขนาดนี้ แต่เพิ่งเห็นว่าที่เว็บผู้จัดการมีบทสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว ก็กดไปอ่านเอา

แต่ประเด็นที่ผมสนใจมากกว่านั้นคือการค้นพบท่าไม้ตายของคนเรา คือจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ดีๆ กูจะมาเอาดีด้านการเป็นสุดยอดผู้ชำนาญการด้านไม้ไผ่ ทั้งที่ครอบครัวและการเรียนที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวเลยสักนิด แต่มันไปติดใจจากงานชิ้นนึงเท่านั้นเอง แล้วก็ยาว

ไอ้อะไรที่เป็นสไตล์คล้ายๆ แบบนี้นี่มันเจ๋งชะมัด เกิดมาทั้งที ได้ลองอะไรแล้วพบว่า เฮ้ย นี่แหละวะ ทางของกู แล้วไปให้สุด

บ้าเล่นเกม ก็หาโอกาสจากมัน กลายเป็นนักแคสต์เกมเฉยเลย
บ้าโซเชียล ก็หาโอกาสจากมัน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลก็มีคนใกล้ตัวเป็นมาแล้ว
บ้าอ่านการ์ตูน โตขึ้นเป็นนักเขียนการ์ตูนเฉยเลย (แล้วก็ไส้แห้งตาย)

มันยังมีความบ้าแบบใหม่ๆ อีกหลายอย่างใน พ.ศ.นี้ ที่ผุดขึ้นมารัวๆ แบบไม่ให้ตั้งตัวได้ติด ผมชอบดูรายการ IS COMING ที่เป็นสารคดีประเภทปลุกพลังหนุ่มสาว ว่ามึงน่ะโชคดีแค่ไหนที่เกิดและโตมาในยุคนี้ ที่ให้ตายก็ไม่อดตายหรอก

ประเด็นคือมันต้องพาตัวเองไปสู่สภาวะที่ได้ลอง ได้วิ่งไปหาโอกาส ไม่ใช่นั่งกระดิกตีนให้โอกาสมาหาเราเอง โอเค ไอ้การวิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 385 แต่ในที่สุดก็เจอ

พาลนึกถึงการ์ตูนต่างๆ ที่แต่ละคนมันมีพลังวิเศษต่างกันไปตามความชอบของตัวเอง (ที่จริงคือหาเรื่องวางคาแรกเตอร์ไปยังงั้นเอง) อยู่ดีๆ ทุกคนก็พัฒนาวิชานินจาของตัวเองแบบเทพๆ ขึ้นมา หรืออยู่ดีๆ ก็ฝึกเน็นจนแก่กล้าไปในทางใดทางหนึ่ง

เออ ทำไมมันไม่มีใครก๊อปกันวะ เออ มีนี่หว่า อย่าง Street Fighters นี่โชริวเคนกันได้ตั้งหลายตัว งั้นย่อหน้าก่อนช่างมันละกันนะ

พอละ สรุปว่า เจ๋งว่ะ นับถือ ดีใจที่ได้รู้จักและสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แผ่พุ่งออกมาแบบนี้

การได้เจอคนที่พลังชีวิตแพ่พุ่ง แถมยังแผ่มาถึงเราเหมือนโรคระบาดจากตะวันออกกลางสักอย่างนี่

ดี

คุณค่าที่ดิฉันควรคู่

ปกติจะไม่บ่นอะไรแนวนี้ลงบล็อก (บ่นแต่แนวอื่น) แต่ช่วงนี้แย่จริงๆ จนต้องมาระบายสักหน่อย

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เหมือนผมจัดการตารางชีวิตตัวเองไม่ลงตัว รู้สึกเลยว่าวันๆ ทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน โอเคไอ้แบบที่ทำแล้วได้ตังค์น่ะได้ แต่ได้ความสุขกระชุ่มกระชวยหัวใจนั้นมันเหือดแห้งไปได้ยังไงก็ไม่รู้

เหี้ยแล้ว ไฟบนหน้าอกกะพริบแดงวาบ แบบนี้ผิด ต้องรื้อ ต้องรีบูต

วันนี้ตอนเมียออกไปฟิตเนส เลยมานั่งทบทวน พบว่าในแต่ละวันนอกจากจ้องมือถือแล้ว เราทำอะไรอีกบ้าง ก็พบว่าแทบไม่เหลือเวลาอะไรที่เป็นโล้เป็นพาย

อย่างเมื่อวานจะเขียนบล็อกนึง ก็เขียนๆ ไป เมียเรียกไปดูลูก เสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับมาต่อ เพราะเปิดคอมทีก็เข้าเฟซบุ๊กตอบลูกค้าเลย จนหมดวัน และไม่มีอะไรที่สร้างคุณค่าให้กับชีวิตอีกเลย

นอนหลับไปโดยที่รู้สึกว่าโควต้าที่พระเจ้าให้ชีวิตเรามา (และผสมอะไรไม่รู้ผิดๆ ลงในชามน่ะ) สองหมื่นวัน โดนเผาเล่นไปวันนึงฟรีๆ

พอนึกไปถึงคีย์เวิร์ดอย่าง “คุณค่าของชีวิต” ปั๊บ ก็ถึงบางอ้อ เออ กูขาดเรื่องนี้ไปนี่เอง

พลังงานชีวิตของมนุษย์ประเภทผมคือการได้ทำอะไรสำเร็จสักอย่าง อะไรก็ได้ เป็นก้อนๆ ไม่ใช่ขี้ แต่คืออะไรที่มันให้ความรู้สึกว่าถ้าทำแล้ววันนี้จะนอนหลับอย่างไม่เสียดายชีวิต

ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตัวอย่างเช่น เขียนบล็อก (กำลังทำอยู่นี่แหละ) ไปว่ายน้ำกับลูก ปั่นจักรยานเที่ยวในซอยที่ไม่เคยไป โพสต์ฟอนต์ในเว็บที่ดองไว้ เขียนการ์ตูนสักหน้า วาดรูปสีน้ำ ทำเว็บที่ดองไว้ ออกแบบบ้านต่อ อ่านหนังสือให้จบสักเล่ม หรือทำงานที่ดองไว้ให้เสร็จ ไปบิ๊กซีซื้อของมาตุนใส่ครัว เดินให้ครบหมื่นก้าว ดูหนัง ฯลฯ

สังเกตว่าจุดร่วมของงานแต่ละอย่างคือ ทำแล้วมันเป็นหมุดหมายอะไรให้จดจำ ทำอะไรที่มันบำบัดความเหี่ยวเฉาของการตื่นมาตอบเมลลูกค้า นั่งหน้าคอม กดมือถือ เลี้ยงลูก กินขี้ปี้นอน แล้วหมดไปวันๆ รู้สึกตัวอีกทีก็แก่เป็นตาลุงแล้ว

ปัจจัยที่เป็นหลุมพรางดักตัวเองมาตลอดเวลาจะทำอะไร ก็คือข้ออ้างว่าผม “ไม่มีเวลาว่างเป็นก้อนๆ” ซึ่ง… แล้วยังไงล่ะ คนอื่นเขาก็ไม่มีนะ เวลาเราก็ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แถมเอาจริงๆ ตัวกูเองน่ะว่างมากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ

ดังนั้น โครงการเติมสารอาหารให้ชีวิตประจำวัน ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่พรุ่งนี้…

ไม่ นับตั้งแต่วินาทีนี้เลย!

ต้มไข่ด้วยเตาไมโครเวฟ

เคยได้ยินมานานว่า “ห้ามต้มไข่ในเตาไมโครเวฟ เพราะมันจะระเบิด”

ด้วยความไม่เคยต้องสงสัยอะไร ก็เลยไม่ต้ม เอาจริงๆ คือไม่ได้ชอบกินไข่ต้มเป็นพิเศษอยู่แล้ว ตอกดิบๆ ใส่ใส่มาม่า แล้วโยนลงไปในเตายังจะถนัดกว่า ประสาคนขี้เกียจแม้แต่จะจุดเตาแก๊ส

แต่วันนี้ลูกสาวบอกว่าอยากกิน (พ่อทำไข่น้ำให้เอาไหม — ไม่เอา ทานจะกินไข่ต้ม)

ส่วนเมียก็ยุ่งอยู่ชั้นบน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า #พ่อบ้านใจกล้า จากทั่วโลกคงเคยเจอสถานการณ์บีบบังคับนี้มาบ้างแหละ ก็เลยเปิดตู้เย็น และปรึกษากูเกิล ได้คำตอบมาประมาณนี้

  1. อย่านะครับ ของผมนี่ระเบิดตูม ฝาหน้าไมโครเวฟหลุดกระจายมาแล้ว
  2. ไม่ได้ยากอะไรหรอก แต่ต้องจ้องดีๆ ถ้ามันทำท่าจะระเบิด ให้รีบกดปิดทันที (แม่งใครจะไปกล้าจ้องวะ)
  3. ของเราใส่น้ำให้ท่วมไข่ แต่พอทำออกมาแล้วตอกดู มันมาระเบิดข้างนอก เต็มหน้าเลย ร้อนมาก
  4. เคยมีเคสที่ต่างประเทศ การระเบิดของไข่นี่แหละทำให้คนที่ทำเกือบตาบอด เพราะเปลือกไข่ร้อนๆ ที่พุ่งเข้ามาแรงๆ มันคือสะเก็ดระเบิดดีๆ นี่เอง
  5. ฯลฯ

เหี้ยแล้วไหมล่ะ กำลังใจแต่ละอย่างมาเต็ม

แต่กระนั้นก็ต้องมีคนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ผมเลยทำเป็นลืมข้อมูลเชิงลบจากพวกนู้บข้างบน แล้วหาข้อมูลจนสรุปออกมาได้วิธีการดังนี้

  1. เทน้ำใส่ถ้วยในปริมาณเยอะพอที่จะท่วมเหนือไข่สัก 1 นิ้ว (ไข่ไก่นะไม่ใช่อัณฑะ …ถ้าอัณฑะนี่ สูงขึ้นมา 1 นิ้วก็คงอยู่กลางดงหมอย) เอาไปต้มให้ร้อนก่อน นี่ถามจริงๆ ว่าแกจะให้ต้มทำไมในเมื่อนี่คือหลักสูตรการใช้ไมโครเวฟ งี้ถ้ารักจะต้มกิน แค่เอาไข่โยนลงไปด้วยก็จบแล้วเนอะ อีบ้า (ดังนั้นผมเลยเอาน้ำเปล่าไปเวฟ 1.30 นาที ได้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อน
  2. โยนไข่ลงไปแล้วตรวจสภาพ ต้องแน่ใจว่าน้ำท่วมไข่นะ ถ้าไข่ลอยห้ามดื้อดึงทำต่อ ระเบิดแน่ คือต้องจมน้ำเท่านั้น (แนะนำแบบคนที่ไม่เคยทำอ่านแล้วเสียวมาก) แช่ไว้ประมาณ 2 นาที (ทำไมนาน)
  3. เสร็จแล้วลากทุกอย่างไปเข้าเตาไมโครเวฟ เลือกความร้อนสูงสุด 5 นาทีสำหรับไข่ยางมะตูม และ 7 นาทีสำหรับไข่สุก
  4. เมื่อได้ยินเสียงติ๊ด (บางบ้านก็ปี๊บ บางบ้านก็นิ้งหน่อง แต่นั่นใช่เรื่องที่จะใส่ใจไหม ก็ไม่นะ) ให้เอาออกมาแช่น้ำเย็นด้วย ไม่งั้นระเบิดใส่หน้า (มีการขู่ปิดท้ายอีก สัสเอ๊ย)

อีกแหล่งข้อมูลนึงบอกว่า ไม่เห็นยากเลย ใส่เกลือลงไปในน้ำ 1 ช้อนชา (ไม่ได้บอกปริมาตรน้ำ) แล้วเวฟตามปกติ โซเดียมในเกลือจะทำให้การสั่นเทิ้มของแอมปลิจูดส้มตำอะไรสักอย่างที่เป็นภาษาวิชาการสารประกอบทางเคมี อันนี้ผมอ่านข้ามไปอย่างไม่ไยดี สรุปว่ามึงใส่เกลือก็พอ

ด้วยความเป็นมือใหม่ เลยเอาสองวิธีมาปนกันแม่งเลย และไหนๆ ก็ขอทดลองทีเดียว 3 ฟองดังนี้

20150419_154540

ขอแนะนำตัวละครทั้งสาม: ไพโรจน์ผู้เป็นไข่เบอร์ 0 ส่วนฉวีวรรณและอุไรรัตน์ เธอเป็นไข่เบอร์ 4 ที่ซื้อมาหลังสงกรานต์จากแผงหน้าร้าน CP (เขาลดราคาเธอทั้งสองเหลือแค่กระบะละ 69 บาท ก็ตกฟองละ 2 บาทนิดๆ เอง)

ทีแรกจะลองแค่ 2 ฟอง คือไพโรจน์กับฉวีวรรณ แต่พอแช่น้ำร้อนไปได้สัก 30 วินาที ก็สังเกตพบปัญหาคือ ฉวีวรรณเธอมีฟองพรายผุดออกมา เอ๊ะ ไข่รั่ว หรือมีรอยร้าว หรือเธอต้องการเรียกร้องความสนใจกันแน่ ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เรียกอุไรรัตน์ลงมาออนเซ็นอีกฟอง

20150419_154258

ก็นั่นแหละครับ ด้วยความป๊อด ผมเลยทำทุกวิธีทางที่กูรูแนะนำมา คือใส่เกลือด้วย ต้มน้ำร้อนก่อนด้วย แล้วค่อยเอาไปเวฟด้วยใจระทึก ระหว่างนี้ก็บอกลูกสาวให้ไปหลบหลังบังเกอร์ แล้วอีพ่อมาเกาะดูห่างๆ อย่างห่วงๆ เหงื่อเริ่มซึมตามง่ามนิ้วมือ อ้อ ผมตั้งเวลาไว้ 4 นาทีเท่านั้นเอง กะว่าถ้าระเบิดตูมขึ้นมา ลูกจะได้ปลอดภัย พรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนวันแรกด้วย (อีพ่อก็คาดว่าอีหวีวรรณมึงตูมแน่ แววมึงมาตั้งแต่แช่นำ้แล้ว)

หลังจากนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างเยือกเย็น ในที่สุดก็ครบ 4 นาทีแห่งความทรมาน ผมเชิญทั้ง 3 ออกมาจากห้องเซาน่า แล้วตรวจดูสภาพ

20150419_154421

นั่นไง อีหวี ปริเชียวนะแก นี่แกเตรียมเปลี่ยนเป็นร่างสามแล้วสิ!

เอ้า ย้ายลงไปแช่น้ำก๊อกธรรมดา (นี่ก็เพราะความป๊อด เขาบอกอะไรมานิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อหมด อารมณ์คนมีญาติเป็นมะเร็งแล้วโดนหมอผีหลอกให้กินยาหม้อ) เสร็จแล้วจัดการใช้มีดผ่าออกมาดูผลการทดลองเลยทั้งสามฟอง

20150419_154846

ไพโรจน์: สุกสนิท แบบนี้เหมือนไข่ต้มเซเว่น ซึ่งโอเค นั่นแสดงว่าการแช่น้ำร้อน 2 นาทีแรก ทำให้แกสุกจนเวลดัน

20150419_155007

อุไรรัตน์: เป็นไข่ยางมะตูมพอดี!!! ยูเรก้า!!! นิทานชอบกินเยิ้มๆ แบบนี้เลย แล้วเซเว่นนะ แม่งขายแพงมาก ทั้งที่ทำเองได้ แค่เสี่ยงระเบิดนิดเดียวเอง งั้นนิทานรอพ่อแป๊บนะ ขอถ่ายมาโซเชียลก่อน

20150419_155255

ขอดูอุไรรัตน์อีกมุมนึง อื้อหือ เซ็กซี่สุดๆ!

ส่วนฉวีวรรณที่น่าเป็นห่วง ผมเอามาเคาะๆ ถอดเสื้อผ้าดู ก็พบว่ามีความสุกประมาณไพโรจน์ (เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนเหมือนกัน) ซึ่งแสดงว่าการที่ไข่มีฟองอากาศตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้มีผลอะไรนัก สบายใจ ไม่ใช่ไข่เน่าอย่างที่คิด (เพราะมันจมน้ำด้วยแหละ)

แต่ไม่ทันได้ถ่าย เพราะนิทานทนหิวไม่ไหว เลยคว้าไปกิน …ก็พ่อมัวแต่เล่นอยู่ได้

.

สรุปผลการทดลอง: โลกโซเชียลทำให้เสียเวลาทำมาหากิน

เจ็บ

pain

เกิดมา 30 กว่าปี (กว่าเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ) ผมไม่เคยนอนโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเลยครับ

ด้วยร่างกายที่ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะออกกำลังกายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยแน่ๆ แต่การที่ไม่เคยต้องเจ็บป่วยจนต้องใช้สิทธิ์ที่(เมียบังคับ)ทำประกันไว้เลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี และก็คิดไว้ด้วยว่าอย่าได้เจ็บเลย

มันคงไม่สนุกหรอก

ที่ไม่สนุกก็เพราะช่วงตลอดเกือบสิบวันที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผมไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นเพราะลูกสาวคนโตป่วย

ขนาดได้คลอดหนังสือเล่มล่าสุดวางขายที่งานหนังสือ ทีแรกกะว่าจะเขียนอวยในบล็อกตัวเองให้เรี่ยมมันแผล็บเลย แต่เชื่อเถอะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขียนไม่ออกจริงๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเขียนเลย นั่นเพราะใจมันแป้วไปแล้วส่วนหนึ่ง

ไปเซ็นหนังสือในงานมาสามวัน (+1 วัน ที่ไม่ได้มีคิวเซ็น แต่ก็ไปเซ็นกองหนังสือที่ผู้อ่านพรีออเดอร์ไว้) ก็พบว่ามันชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อยนึง (ใช้ศัพท์แก่) แต่บอกตามตรงว่ามันปกปิดริ้วรอยความกังวลไม่ได้

นิทานไม่สบายมาหลายวันแล้วครับ

นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดที่เคยป่วยมาตลอดอายุ 3 ปีของลูก (เคยป่วยนอนโรงพยาบาลแล้วทีนึง แต่ตอนนั้นขวบเดียว) คราวนี้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสที่คุณหมอเรียกว่า EBV-Like โดยชื่อโรคที่เหมือนอ่านแล้วเห็นไอคอนเฟซบุ๊กลอยมานี้ บ่งบอกว่าอาการอยู่ในกลุ่มไวรัส EBV ที่เป็นญาติๆ กับเริม (ตระกูล Herpes เหมือนกัน) แปลเป็นไทยว่ามันคือไวรัสตัวนึงที่สามารถแพร่เชื้อส่งถึงกันได้ทางน้ำลาย ส่วนใหญ่จะมาจากการจูบ แต่กับลูกสาวผมนี่คงไม่ได้ไปจูบกับใครมาหรอกครับ (เอ๊ะหรือมี) แต่น่าจะเกิดจากการที่เด็กชอบไปอม ไปเลียพนักเก้าอี้เอย ขอบโต๊ะเอย ขาตู้เอย ฯลฯ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่งสอนเท่าไหร่ก็ยังมีเผลอไปเอาปากทาบมาจนได้ ก็ให้โรคนี้เป็นตัวสอนละกัน แถมยังคิดค่าสอนโหดด้วย

นี่ถ้าไม่ได้ทำประกันไว้ก็กรอบกันทั้งพ่อทั้งแม่เลยแหละครับ (ขนาดประกันจ่ายให้ก็ยังตัวเบาเลย)

อาการของโรคนี้คือ — ไปกูเกิลเอาเถอะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็อกสุขภาพเกินไป แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่เอฟเฟกต์ที่ไวรัสทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คืออาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ แต่จะเพลียไปอีกหลายวันเลย

ในคลิปนี่คือถ่ายตอนอยู่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 4 มั้ง? ตอนนั้นอาการป่วยไข้ยังสำแดงพลังอยู่ ตอนที่ถ่ายคือสุขภาพจิตของนิทานยังดีเพราะเป็นช่วงไข้ลด แต่ก็หลั่นล้าน้อยกว่าปกติ (ที่ไม่ได้ป่วย) ประมาณ 50% แล้ว คือปกติจะเป็นเด็กที่ดีดมาก เหมือนกินยาบ้าตลอดเวลา หลังจากนั้นพอตรวจไม่พบเชื้อ และค่า #@#$ (ศัพท์ทางการแพทย์) ที่แปลว่าหมดระยะของโรคแล้ว เราก็ขนข้าวของ เดินทางออกจากโรงพยาบาล

ทีนี้เข้าสู่ระยะอ่อนเพลียแทน ตรงนี้แหละประเด็น

ทีนี้เหมือนเรามีลูกเป็นผักเลย นอนทั้งวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแม้เสียงหัวเราะลั่นบ้านแบบที่เคยเป็นมาตลอดทั้งวันทุกวัน แต่เปลี่ยนเป็นคราง อือ… อือ… สลับกับการบ่นหนาว ไม่มีแรง ทานง่วง ทานไม่หิว ทานไม่ฉี่ วนลูปแบบนี้ตลอดทั้งวัน

ในฐานะของพ่อแม่ที่มีลูกสาวซึ่งค้นพบตัวเองว่ากูเอาดีด้านตลกตั้งแต่สองสามขวบ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงงดตลก กลายเป็นโหมดนิ่ง เล่นมุกอะไรไปก็ไม่ตอบนั้น …โอ้โห

มันเจ็บปวดมากนะครับ

ด้วยความกังวลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วอาการของโรคนี้มันคืออะไร ยังไง มันมีตัวอะไรแทรกซ้อนที่จะพาสู่อะไรที่ไม่อยากรับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เมียผมถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ สะกิดก็ไม่เล่นด้วย (อีพ่อนี่ก็นะ)

ในแต่ละคืน ขณะที่เมียไปกกลูกหลับ อีพวกมนุษย์กูเกิลอย่างผมก็เฝ้าเปิดหาข้อมูลดูอาการเทียบเคียงว่ามันใกล้เคียงกับโรคอะไรบ้าง ซึ่งในทางการแพทย์แล้วการวินิจฉัยโรคด้วยกูเกิลนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะครับ เพราะเปิดไปเจอกระทู้โอดโอย โดยเฉพาะจากผู้ปกครองเด็ก หรือชุดความเชื่อผิดๆ ที่พาเราสู่ความไม่รู้เข้าไปใหญ่ แบบนี้จะยิ่งมั่ว – แต่ผมยังศรัทธาในภูมิคุ้มกันข้อมูลของตัวเอง เลยขอดูซะหน่อยน่ะ (คืออยากรู้ไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่แล้ว)

สลับกับปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งคำตอบในรอบล่าสุดของมันก็คือ “แกรีบพาลูกไปเจาะเลือดเถอะ” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้เมียผมยิ่งว้าวุ่น และรอให้ถึงเช้าวันนี้

และแล้ว เมื่อเช้าเราจึงพาลูกไปหาหมอเด็กท่านเดิมอีกครั้งเพื่อ “ติดตามอาการ” ของลูก ซึ่งที่จริงจุดประสงค์หลักของผมคือไปรักษาความกังวลของคนเป็นแม่มากกว่า

และแล้ววันนี้ก็เลยเป็นการนั่งคุยกับหมออย่างยาวนานที่สุด ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ และความเป็นมืออาชีพ คุณหมอก็อ่านแววตาของเมียผมออก จึงตอบทุกคำถาม แนะนำทุกอย่าง แม้กระทั่งพูดคุยเรื่องหัวใจของคนเรียนหมอ (โฆษณา #เรียนหมอหนักมาก ของ @guplia)

เพียงเท่านี้ ความกังวลที่สั่งสมมานานก็สลายไปหมดเลยครับ

 

การได้เจอหมอแบบนี้ ในมุมของคนไข้ (และญาติคนไข้ที่มักเรื่องมากกว่าตัวคนไข้เอง) ถือว่าประเสริฐนัก แต่ความเหนื่อยก็จะมาตกอยู่กับตัวหมอเองที่เวลารักษาเด็กทีนึง ก็ต้องรักษาอาการอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ด้วย ขอนับถือใจคุณหมอจริงๆ ครับ อยากตีลังกากราบแต่เกรงใจครอบครัวถัดไปที่มารอคิวตรวจอยู่

ส่วนอาการของนิทานตอนนี้ไม่น่ากังวลอะไรแล้วครับ แม้จะเป็นอาการเดิมที่เป็นมาหลายวันแล้วก็ตาม (แต่ต่างกันมาก ตรงที่ความเข้าใจของพ่อแม่ ซึ่งมีผลมากๆ) คืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์จากไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว โดยอาการนี้น่าจะเป็นไปอีกพักนึง อาจจะอาทิตย์นึง สองอาทิตย์ (ไอ้ที่อ่านๆ มาจากการกูเกิลบางทีลามไปหลายเดือนเลย แต่เราจะทำเป็นไม่เห็นละกันนะ)

สงกรานต์นี้บ้านเราเลยของดตลกนะ เดี๋ยวนิทานแข็งแรงดีแล้วมาสาดน้ำย้อนหลังกัน

ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ อยู่ดีๆ ก็นึกสนุก เขียนบล็อกลุยๆๆ ตูมๆๆ เกือบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่กลับมาอ่านแล้วก็ไม่เสียดายที่ยังเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากเขียน (ซึ่งต่างจากการเขียนเพื่อให้คนอ่าน)

แต่แล้ว มรสุมแซลมอนก็พรากเวลาว่างในชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวไป 1 เดือนกว่าๆ เรียกได้ว่ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ตารางงานแน่นเอี้ยด จนคนรอบกายแซะกันว่า ไหนล่ะความเป็นมนุษย์ชิลของมึง

ถึงกระนั้น เมื่อพายุงานที่ถ่าโถมได้พัดผ่านไป ตอนนี้ฟ้าใสแล้วครับ ถึงจะสีออกเหลืองหน่อยๆ ก็เถอะ แต่แอนกลับมาแล้ว เป็นนิวแอน ที่จะมาหัดวาดภาพสีน้ำ จะมาเขียนการ์ตูนปัญญาอ่อนเล่น จะมานอนอ่านการ์ตูน จะไปปั่นจักรยานเล่น จะไปขูดหินปูน

และที่สำคัญ จะได้กลับมาอยู่กับลูกเมียเหมือนเคย (ให้นึกภาพว่าช่วงกลางกุมภาฯ เป็นต้นมา เมียผมหอบลูกไปอยู่บ้านตายายมากกว่าอยู่บ้านตัวเอง ที่ทำแบบนี้เพื่อหลีกทางให้ตัวพ่อทำงานได้สะดวก ซึ่งนี่มันบาปมาก พรากลูกเมียของคนอื่นน่ะ มันบาป!)

แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อคืนนี้เอง

แน่นอนว่าลูกเมียอยู่บ้านตายายเหมือนเดิม ส่วนเราแวะไปสำนักพิมพ์ หอบคอมไปด้วย และจัดการทุกอย่างให้สะเด็ดน้ำในตีสาม จึงขับรถกลับถึงบ้านภายใน 20 นาที (ปกติการฝ่ารถติดไปสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ชั่วโมงกว่า) แล้วอาบน้ำนอนอย่างสบายใจ

ตื่นมาก็ช่วยเมียทำงานเหมือนเดิม คือกิจการครอบครัวน่ะยังเต็มมือและเต็มเวลาเหมือนเดิม แต่เป็นตารางเวลาชีวิตปกติ ไม่ได้สวิงอย่างเปรตเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว ตาแม่งบวมสลับซ้ายขวาทุกครั้งที่โต้รุ่งเลยครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมนึกสนุก อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังของหนังสือตัวเองที่เคยทำมากับสำนักพิมพ์นี้ ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้ตัวเองลืมซะเอง …เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะทยอยเล่าทีละเล่มละกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ลืมน่ะนะ เคนะ

.

ป.ล.
ทีแรกว่าจะเขียนบ่นเรื่องข่าวคราวรกสมองประจำวันที่ลามไปทั่วโซเชียล แต่ไม่ไหวจริงๆ เพราะพอตัวเองจดจ่อกับการทำงาน เลยมารู้ข่าวเอาทีหลังชาวบ้านเสมอ ตั้งแต่อีคุกกี้ เพจพยาธิดูดคลิปมาหากิน ฯลฯ (รวมถึงน้องอลิซด้วย แต่คนนี้เราดูแค่พอหื่น ไม่ได้ตามเท่าน้องมุกกี้ แต่พูดก็พูดเถอะ น้องจินเจ๋งสุด) (นี่ไงล่ะสาเหตุที่แท้จริงของการโดนเมียหอบลูกหนี) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงสั้นๆ ละกันว่ากูเหนื่อยจะตามพวกมึงแล้วโว้ย แม่งไม่เกี่ยวห่าอะไรกับชีวิตเลย แต่ต้องตามเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่นว่ากูก็ทันข่าวเหมือนมึงนะ อีห่า เนื้อยเหนื่อย จะลาออกจากโซเชียลก็ยังกิเลสหนาเกินไป ก็บ่นไปแบบไร้คุณค่าทางโภชนาการใดๆ งี้ไปละกัน

.

ป.อ.
หนังสือเล่มที่เพิ่งส่งทุกอย่างเสร็จไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหา’ลัยศิลปะแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง ที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนและพบความเปรตมา (ตามหลักแล้ว คำว่ามหาลัยต้องมีเครื่องหมายอะโพ้ดโซฟี่ด้วยนะ ต่อไปจะหัดเขียนให้ถูกถึงจะไม่ชินเองก็เถอะ) ซึ่งเล่มนี้วาดเป็นการ์ตูน และตอนทำก็ชอบมากที่ส… เฮ้ยพอๆ เดี๋ยวค่อยเขียนเต็มๆ แต่ดูทีเซอร์ก่อนที่โพสต์นี้ของสำนักพิมพ์นะ

.

ป.ฮ.
แด่เพื่อนนักเขียนทุกท่านทั้งร่วมค่ายและต่างค่ายที่ยังปิดเล่มไม่เสร็จ


ข้อความด้านหลังนั่นตัดมาจากหนังสือเล่มนี้นะ ไม่ใช่อีกายพูดเอง แต่จริงๆ มันก็คือคำพูดจากใจของอีกายนั่นแหละ