จงบริหารเวลา

เป็นโจทย์ของช่วงเวลาหลายๆ เดือนถัดจากนี้ไปครับ

ลูกก็จะงอกมาอีกหน่อนึงในอีกเดือนนึงข้างหน้านี้ แน่นอนว่าเมียก็ต้องย้ายไปกกลูก งานค้างๆ คาๆ ก็ยังมีให้สะสางไม่รู้จักหมด ช่วงเวลาพักผ่อนที่ตั้งใจจะพักให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างการอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยคืบหน้า เหล่านิตยสารเอย การ์ตูนเอย ก็กองไว้เป็นภูเขารอให้เราไปอ่าน ที่สำคัญคือตั้งใจจะเขียนหนังสือสักเล่ม (กล่าวไว้ในตอนที่แล้วจึ๋งนึง) สรุปสุดท้ายก็พอกหางหมูมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

แล้วที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับอะไรวะ

ที่จริงก็พอจะเดาได้ละ ถ้าตัดเน็ตปั๊บ อ้าวมีสามจีอีก ตัดสามจี (เสือกมีสี่จีอีก) ปิดทวิตเตอร์ กดล้างฟีดข่างรกสมองที่ตุนไว้ ฯลฯ เราน่าจะมีเวลาว่างคุณภาพๆ ไว้สะสางสิ่งต่างๆ ในย่อหน้าข้างบนให้ลุล่วงสินะ

ก็พูดแบบนี้ทุกที เวลาคุณภาพในโลกแห่งความจริงและเฉื่อยชาเหลวเป๋วของช้าพเจ้านั้นแม่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ ป้าล้านเคยบอกว่าคนที่ทำงานได้ในทุกสถานการณ์ นั่นแหละมืออาชีพของจริง ไม่ต้องมาอ้างเลย พออ่านประโยคนั้นเราก็ฮึกเหิมขึ้นมาได้หน่อยนึง..

ประมาณ 10 นาที แล้วก็มาเปิดไทม์ไลน์ เปิดฟีด นั่งอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยต่อ

บัดซบเมทะนี

ป.ล.
ทีแรกกะว่าจะไปสำนักพิมพ์เพื่อคุยกับเหล่า บ.ก.ในวันพรุ่งนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยและบวงสรวงตัวเอง จุดพลุปั๊มพลังในการสร้างงานขึ้นมาสักหน่อย (กะว่าถ้าเริ่มปั๊บ มันจะมีข้ออ้างให้ตั้งใจเขียนเป็นกิจวัตรจนได้ไง) แล้วจะทยอยมาเล่าในนี้เรื่อยๆ แต่พอติดต่อนัดหมายปั๊บ ไม่มีใครว่างอยู่สำนักพิมพ์เลยจ้า อนาคตสดใส บายจ้า

ความทรงจำสมัยเป็นทหารเกณฑ์ทะลักล้นออกมาดั่งทำนบแตก

สรุปสำหรับคนขี้เกียจอ่านยาวๆ: บล็อกตอนนี้อวยกระทู้เล่าเรื่องในพันทิปในซีรี่ส์ “ประสบการณ์ เรื่องเล่าของตุ๊ดมนุษย์เงินเดือนขี้ขลาด ต้องเป็นทหารเกณฑ์ รับเงินเดือน 9,000 บาท แต่ก็ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้” ซึ่งตอนนี้มีหลายตอนมาก กดเข้าไปอ่านเอง แต่ต้องขยันอ่านและว่างมาก (1, 2, 3.1, 3.2, 4)

ในยุคที่พันทิปเปลี่ยนแปลงไปเยอะ(ในทางที่ดีขึ้น) มีเรื่องเล่าของตัวเองให้อ่านเป็นนิยายนับพันนับหมื่นเรื่อง ผมตามทวิตเตอร์ @pantip_kratoo และกดอ่านอันที่น่าสนใจ (ส่วนมากเป็นเรื่องใต้สะดือปะ) ก็มาเจออันนี้ที่อ่านแล้วเออ ขอคารวะ ยกให้เป็นตำนานเลยละกัน

มันเป็นชุดกระทู้ (เรียกว่าชุดเพราะมีหลายภาคต่อกัน) ว่าด้วยตุ๊ดคนนึงที่เป็นตุ๊ดไม่แสดงออก คนรอบกายไม่รู้ แต่ตัวเองน่ะตุ๊ดสุดๆ เลยครับ เรียนเก่ง ปริญญาสองใบ แล้วอยู่ดีๆ ก็อกหัก เดินมึนๆ ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์เฉยเลย พล็อตเริ่มต้นประมาณนี้ตอนแรกที่ผมกดเข้าไปอ่านก็กะว่าฮาแน่ๆ คือแบบ มึงเล็งกระเจี๊ยวทหารทั้งกองร้อยแน่ๆ

แต่ผิดถนัดเลยครับ มันไม่ฮาเหมือนกระทู้ที่เขียนโดยตุ๊ดแบบที่เราจำๆ กัน (จขกท บอกว่าตัวเองไม่อ่านหนังสือนิยาย ไม่ได้เป็นนักเขียน ซึ่งพอเราอ่านก็เชื่อนะ เพราะสำนวนและชั้นเชิงทางภาษาไม่ใช่สไตล์นักเขียน แต่ถ้าบอกว่าเป็นทนาย อันนี้เชื่อ) แต่กลับเจ๋งตรงที่ความละเอียดในการเล่าของเจ้าของกระทู้ ที่ละเอียดเกินไปรึเปล่าวะ จำได้แบบเป็นวันๆ เลย วันนี้บ่ายโมง จับไข่เพื่อน วันนั้นนอนกอดกัน อะไรแบบนี้

คือถ้าตัดดีเทลยุบยิบๆ แบบที่ต้องการเขียนยั่วให้ผู้อ่านฟินจิ้นตาม หรือพวกใส่สีใส่ไข่อะไรแล้วเนี่ย ถือเป็นชุดกระทู้ที่เล่าประสบการณ์การเป็นทหารเกณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา คือผมเองก็โดนทหารมา 2 ปีนะ (ผมเข้ารุ่น 47 ผลัด 1 .. เหี้ย สิบปีมาแล้วนี่หว่า) แต่ความตั้งใจในการละเลียดกลั่นกรองและจดจำประสบการณ์มาบอกต่อนั้นเทียบชั้นกับ จขกท ไม่ติดเลยครับ คือเคยหยิบมาเล่าเสี้ยวนึงนะ นอกนั้นคือบันทึกไว้ในสมุดจดหมด ด้วยหวังว่าวันนึงจะเรียบเรียงเอาแบบที่ออกอากาศเกือบได้มาเล่าในบล็อกหลังจากปลดทหาร คิดไกลขนาดจะเขียนเป็นต้นฉบับไปส่งอะบุ๊กเลยด้วยซ้ำ 5555 (สมัยนั้นยังเขียนแนวๆ อวดสำนวนน่าหมั่นไส้ และยังไม่มีเรื่องกับ วทน ถึงขั้นแตกหักนะ) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ขยันไม่พอ จนตอนนี้ความทรงจำมันคืนกลับเข้าสู่ลิ้นชักไปหมดแล้ว ไอ้ที่เคยเขียนเล่าไว้ในบล็อกแค่เสี้ยวนึงก็หายไปกับระบบที่พังและกู้คืนไม่ได้ ความทรงจำดิจิทัลนี่มันแย่จริงๆ

โอ๊ย เล่าแล้วก็เสียดายบล็อกโพสต์เก่าๆ ฮือๆ T-T

กลับมาเข้าเรื่อง ในขณะที่เจ้าของกระทู้เล่าเป็นมหากาพย์ละเอียดยิบ เล่าเหตุการณ์ของตัวเองเนี่ย อ่านแรกๆ ก็จะเซ็งนิดนึง และหยุดอ่านไป (เพราะคิดว่าเราน่าจะได้เห็นสำนวนตลกๆ แต่มันไม่ค่อยตลก) นั่นคงเพราะมันเป็นเรื่องที่เราเคยเจอมาหมดแล้วในค่ายทหารมั้ง เลยปิดแอป (อ่านในแอป) แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป … แต่พอวันดีคืนดี เห็นทวีตของ @pantip_kratoo บอกว่าถึงภาค 4 แล้ว ก็เลยกดเข้าไปดู แล้วก็เฮ้ย คนเม้นเยอะมาก โคตรๆ มากๆ เลยเริ่มอ่านตรงภาค 4 ก่อน พบว่ามีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมาก เลยนั่งย้อนอ่าน เชี่ยยยยย จขกท พบประสบการณ์เจ๋งๆ ในค่ายที่เหนือกว่าที่ผมเจอมาแบบคนละชั้นกันเลย ติดเลยครับ เอาความทรงจำของตัวเองไปซ้อนทับในนั้นได้ละเอียดยิบ โคตรอยากขุดสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านอีกรอบเลยครับ

ข้าพเจ้าสมัยเป็นทหาร (ถ่ายโดย @ohaeey)

คือที่ผมเป็นทหาร 2 ปีนี่ สรุปพล็อตได้สั้นๆ ว่า

  • จับทหาร ได้ทหารอากาศ อยู่หน่วยอากาศโยธิน (คือเรียกว่าเป็นทหารราบของกองทัพอากาศ)
  • โดน 2 ปี เพราะปีนั้นใบเกรดออกไม่ทัน บัดซบ
  • ไปเป็นทหารที่ประจวบฯ เป็นกองบิน 53 (ตอนนี้อัปเกรดเป็นกองบิน 5 เลขหลักเดียวคือใหญ่กว่าสองหลัก)
  • พอบอกว่าก่อนจับทหารได้ ผมทำงานกราฟิกดีไซน์ ทุกคนในนั้นมองเราด้วยสีหน้าแบบ… อะไรของมึงนะ (สุดท้ายจ่าเรียกผมว่า มึงน่ะเป็นโปรแกรมเมอร์ละกัน โดยแกก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมเมอร์คืออะไร รู้แค่ไอ้นี่มันน่าจะช่วยทำรายงานกองร้อยในเอ็กเซลได้ งั้นมึงไปทำคอม จบนะ)
  • คือ 40% ของคนในนั้นทำประมง 40% เป็นเกษตรกร 30% อื่นๆ ส่วนอีก 20% เถลไถลเกาะพ่อแม่แดก (เกินยังวะ)
  • กว่าครึ่งเรียนไม่จบ ม.3, 99% สูบบุหรี่, 50% เคยติดคุกมาก่อน!!, 1/3 มีเมียเด็ก!!!
  • และอีกมากมายหลากหลายสถิติที่ไอ้เนิร์ดๆ อย่างผมไปเจอแล้วโคตรงง คือเป็นโลกที่ไม่รู้จัก (และไม่จำเป็นต้องรู้จัก) ว่าวงสครับมีอยู่ในโลกน่ะ พอนึกออกปะ ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้นึกว่าเป็นโลกที่ไม่รู้จักเว็บพันทิป (และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรู้จัก ชีวิตเขาก็ปกติสุขดี) ดังนั้นรสนิยมและวิถีชีวิตนี่ พลิกกลับ 360 องศาเลยครับ
  • โดยเฉพาะเรื่องเรต 20+ ทุกอย่างมีครบจริงๆ อยากรู้ไปอ่านในกระทู้ที่ผมอวยอยู่นี่ได้เลย
  • แต่ของผมมีออปชันเพิ่ม คือไอ้ต้อง ผู้มีควยใหญ่เท่าขวดโค้ก (จริงๆ) (ย้ำ) (จับมาแล้ว) เพราะมันไปฉีดมาตอนติดคุก ความเจ๋งคือมันก็ซื่อๆ นี่แหละ แต่แค่ควยใหญ่ และซ่องที่ไหนก็ขึ้นแบล็กลิสต์ (นี่มันโม้ให้ฟัง) คือจะมีอยู่วันนึงที่เพื่อนทหารนับสิบชีวิตไปนั่งดูมันถกให้ลูบคลำเล่น (คือทหารนี่เห็นกระเจี๊ยวกันเป็นเรื่องสามัญพอๆ กะเห็นหน้าครับ) โอ้ย เจ๋ง คือไม่อยู่ในสถานะที่จะเอาความรู้จากหมอแมวไปเตือนมันได้เลย เป็นโลกที่เออ มึงทำไปเหอะ เน่าเมื่อไหร่บอกด้วย
  • เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวระดับตุ๊กแกของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเนียนใช้ชีวิตกับทุกคนได้อย่างกลมกลืน ทำไปทำมาได้เป็นหัวหน้ากองเฉยเลยเหอะ 5555
  • เพราะตั้งใจตั้งแต่จับทหารแล้วว่า จับได้ก็โอเค มันคือการสวมหมวกแสดงบทบาทอะไรบางอย่าง แล้วก็จริงตามนั้น คือเตรียมรับประสบการณ์เอ็กซ์ตรีมอย่างเดียว และก็ได้ทุกอย่างตามที่คิด
  • เป็นทหารใหม่ 6 แต่ฝึกหนักแค่ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ชิวๆ
  • ชิวมาก ย้ำเลย เนื่องจากมันเป็นค่ายทหารตรงอ่าวมะนาว ดังนั้นทุกอย่างคือความสวยงาม ทะเลสวย บ่ายๆ จ่าใช้ให้ไปจับหอย เย็นๆ แอบหนีออกจากค่ายไปปีนเขาล้อมหมวก (เพื่อการอวดอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกท่านกรุณาคลิกดูภาพนี้ โคตรอยากอวดเลย 5555) นอกนั้นก็ตัดไม้ ถางหญ้า ดับเพลิง ซ่อมคอม ฯลฯ
  • เออ เรื่องซ่อมคอมนี่คือในกองทั้งหมดมีคนเป็นคอมนับได้ 3 คน รวมผมด้วย (ยุคนั้นโลกยังไม่มีไอโฟนนะ) ดังนั้น การทำงานคอมพิวเตอร์แปลว่ามึงต้องทำอะไรก็ได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็ดี เพราะมันพาให้มีโอกาสเจออะไรเจ๋งๆ อีกเยอะเลย โดยเฉพาะการขอจ่าเอาคอมตัวเองไปทำงานในกองร้อย แล้วผู้กองดันอนุญาต เชี่ยยย
  • เออ ยุคนั้นมันว่างไง แล้วได้ทำงานใน บ.ก. (กองบัญชาการ) ก็เลยได้ทำฟอนต์เยอะแยะ และเป็นจุดกำเนิดเว็บฟอนต์ในปัจจุบัน (เว็บฟอนต์เกิดในค่ายทหาร!) อย่างฟอนต์ที่ประทับใจคือ iannnnnDVD นี่ จำได้เลยว่าหลังจากออกวิ่งตีห้าเสร็จ กลับมารอคิวอาบน้ำ เลยเปิดคอม (ในกองร้อย) มานั่งตวัดๆ ได้ฟอนต์ตัวนึงในเวลา 5-10 นาที ทำลายสถิติโลก แล้วตอนนั้นฟอนต์นี้ฮิตด้วยนะ 5555
  • พอครบ 6 เดือน เขาจะให้แยกไปประจำที่นั่นที่นี่ ของผมมีวาสนาไอ้ย้ายข้ามห้วยมาที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ทำงานหน้าห้อง (คือเป็นเบ๊) ของผู้บัญชาการใหญ่ในหน่วยระดับที่เป็นรองก็แค่ออฟฟิศ ผบ.ทอ.เท่านั้นเอง ใชเวลาอีก 1 ปีครึ่งที่เหลือในเครื่องแบบทหารรัดรูปทุกวัน ทำงาน 6 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน คล้ายๆ เป็นข้าราชการ จนครบสองปี ก็ปลดประจำการ จบ

(รายละเอียดหลายอย่างหล่นหายไประหว่างทางแล้ว แต่ถ้าขุดสมุดบันทึกมาอ่านอาจจะเล่าได้เป็นกิโลๆ)

แต่กับเจ้าของกระทู้นั้นเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี ผมเลยเชื่อนะครับว่าเหตุการณ์เอ็กซ์ตรีมต่างๆ ที่แม่งประทับใจมากขนาดนั้น เขาจะหยิบมาเล่าได้ละเอียดยิบย่อย (ถึงจะยิบไปนิด แต่ให้เชื่อว่าโครงเรื่องนั้นมันเจ๋งและคู่ควรต่อการจำได้จริงๆ) เพราะเขามีโหมดทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน และติดคุกด้วย ซึ่งตอน 3.2 ที่เล่าเหตุการณ์ในคุกนี่เจ๋งมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการโดดถังขี้นี่ ลืมไปแล้วว่าที่กองร้อยก็มี 555555

จบแล้วครับ เขียนระบายเฉยๆ ด้วยความเซ็งในความขี้เกียจของตัวเอง ถ้าเรียบเรียงการเล่าให้เป็นระบบตั้งแต่สมัยนั้นคงสนุก ดังนั้นใครอยากทำอะไร ทำเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องมาบ่นเป็นคนแก่แบบนี้

เปลี่ยนอ่าน

feeds

หัวข้อคราวนี้ยังคงจมปลักอยู่กับพฤติกรรมการอ่านของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้ก็จะบ่นสลับกับพฤติกรรมการเขียน เพราะกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยเอามาบันทึกไว้ซะหน่อย

คงเพราะผมก็เป็นหนึ่งในมนุษย์อ่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านไอ้แบบที่คนเขาชื่นชมกันนัก (เช่นอ่านวรรณกรรม บทกวี หรือบทวิเคราะห์ลึกซึ้งปรัชญาสิงห์โตอะไรนี่ยิ่งไม่ได้สนใจใหญ่) เพราะนอกจากอ่านการ์ตูนไปวันๆ แล้ว สิ่งที่ชอบมากก็คือการอ่านฟีดจากเว็บที่ subscrie ไว้

การอ่านทุกวันนี้คือการหยิบอะไรที่มีตัวอักษรขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เปิดแอปอ่านฟีด แล้วก็จมอยู่กับมันเป็นห้วงๆ เพื่อเป็นการถมเวลาว่าง (ก็ฆ่าเวลานั่นแหละ) ไม่ว่าจะระหว่างขี้ ระหว่างอาบน้ำ ระหว่างรอนั่นนี่ เพราะพบว่ามันเข้ากับจริตเราอย่างยิ่ง อ่านซิว่าวันนี้มีอะไรใหม่บ้าง ข่าวหนังใหม่จากเว็บหนังที่ตาม ข่าวการเมืองนิดหน่อย ข่าวงานออกแบบ ข่าวไอที บล็อกของเพื่อนฝูง บล็อกของนักเขียนที่ชอบ ดูรูปโป๊ที่สับตะไคร้ไว้ ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ ทำมานานมากจนติดเป็นนิสัย … เป็นนิสัยที่ถูกเปลี่ยนไปเยอะจากยุคก่อนมือถือ ถ้าเป็นตอนนั้นผมจะเป็นคนติดการอ่านอะไรที่แบบ “แป๊บๆ ก็จบ” เช่นหนังสือพิมพ์ตามร้านก๋วยเตี๋ยว หรือนิตยสารที่ซื้อประจำ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ไอ้ความที่เป็นมือถือ มันดันง่าย และทำให้เราเสพติดกับความสนุกเวลากด เวลาลบ เวลาโหลดใหม่ หรือเวลาที่ข่าวใหม่มันงอกไล่ตามเวลามาให้เราเก็บแต้มมันให้ครบ (โดยนานๆ ทีจะกด Mark all as read เพื่อตัดใจจากกองข่าวที่สะสมมานานเวลาที่ทำงานยุ่งๆ)

นี่ยังไม่นับพวกสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่พอเปลี่ยนอาชีพมาทำงานบนเฟซบุ๊กปั๊บ (พยายามหัดใช้ตั้งนานจนเพิ่งใช้เป็น) อีพวกบรรดาโนติรบกวนสมาธิต่างๆ ก็จะมา นี่ขนาดบล็อกสิ่งกวนใจทุกอย่างที่คิดว่าไม่ทำให้หลุดวงโคจรของเพื่อนออกไปหมดแล้วนะ แล้วไหนจะทวิตเตอร์อีก แม้ช่วงไม่กี่วันมานี้ผมเล่นน้อยลงอย่างสังเกตตัวเองได้ชัด ไอ้เสพก็เสพอยู่นะ มีความสุขเวลานั่งอ่านมัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงบำบัดไง โชคดีที่แอปทวิตเตอร์ในมือถือมันห่วยลงทุกวันๆ เลยไม่ค่อยได้อัปเดตเรียลไทม์แบบเมื่อก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่แบบไม่คิดจะเลิกหรอกทวิตเตอร์เนี่ย)

กลับมาเรื่องการอ่าน เนี่ยพอมีมือถือปั๊บ พฤติกรรมการอ่านเดิมๆ ของผมก็ถูกบิดไป วันๆ ก็กวาดสายตาแค่ในหน้าจอที่เอานิ้วรูดได้ ส่วนบรรดาหนังสือที่รักกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะ แม้จะเป็นผลงานของนักเขียน (หรือนักวาด) ที่ชอบมากๆ ที่ซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อสองสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นว่าเฮ้ย เล่มนี้วางกองอยู่ในหมวด “ว่างๆ ค่อยอ่าน” มาตั้งนานแล้วได้ไงวะ

มันจะไป “ว่างๆ” ได้ยังไง ในเมื่อเวลาว่างของเราถูกถมด้วยการก้มหน้าใส่มือถือขนาดนี้

วันก่อนที่ไปซื้อหนังสือกองใหญ่จากงานหนังสือมา เลยเป็นการประกาศสงครามกับพฤติกรรมการอ่าน “ข้อมูลล้นเกิน” ในรูปดิจิทัล ให้ตัวเองได้เปลี่ยนมาจับกระดาษอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อในความพิถีพิถันของสื่อที่ทำจากกระดาษ เนื่องจากเวลาพิมพ์ออกมาขายทีต้นทุนมันแพงกว่าแบบดิจิทัลไง เป็นเราเราก็ต้องตั้งใจ ใส่ใจให้หนังสือมันดีหน่อยใช่มะ อืม โอเค (นี่คิดเองเออเองจนเห็นด้วยไปแล้ว)

แต่การซื้อหนังสือกองใหญ่มาเติมกองเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นจะช่วยอะไร ก็คงช่วยมั้ง เพราะตอนนี้แม้กระทั่งที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็รู้สึกละอายอยู่ในใจตลอดเวลาว่า นิตยสารอายุห้าเดิอนที่เรายังอ่านไม่จบ วางกองอยู่ข้างหน้า ส่วนฝั่งซ้ายมือคือการ์ตูนที่ซื้อมาว่าจะอ่าน และบนชั้นหนังสือซึ่งมีหมวดรออ่านวางเรียงอย่างอลังการอยู่แล้ว ก็ดันมีสมาชิกใหม่มาอีกหลายเล่ม วิธีที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ถ้าไม่นับว่าเอาไปเผา ก็คือต้องอ่านแม่งเท่านั้น

ส่วนเหล่าฟีดข่าวที่ดูดมาจากเว็บ เมื่อก่อนนึ่นับได้หลักพัน! (ยุค Google Reader นี่ตัวเลขข่าวใหม่ขึ้น 1000+ ทุกวัน เสียเวลาฉิบหายเหอะ) จนปลดเว็บหรือบล็อกที่ไม่คอยอัปเดตออกไปครั้งใหญ่เมื่อสักปีก่อนหนนึง ในช่วงที่ Google Reader ปิดตัวลง และเพื่อนๆ ที่ผมนับถือในความคิดผ่านตัวอักษรต่างทยอยเลิกเขียนบล็อกและหันไปโพสต์สเตตัสกันเกือบหมด ก็ถือว่าหลุดวงโคจรจากกันไปเลยหลายคน) จนช่วงสังคายนาเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็เปิด Feedly นั่งไล่ unsubscribe และกรองเว็บที่เข้าข่าย “ไม่ต้องอ่านก็ได้วะ” กับประเภทที่ว่า “แม่งข่าวแปลเหมือนกันเด๊ะ งั้นเลือกเอาเว็บเดียวพอ” คัดจนเหลือแหล่งที่ยังติดตามอยู่จริงๆ แค่หลักร้อยต้นๆ (ในภาพประกอบข้างบน ก็ยังเยอะนะ) ที่ดีขึ้นคือผมเกษียณตัวเองจากวงการดิจิทัลเอเจนซี่แล้ว เลยลดละเลิกการไล่กวาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายๆ หมวดซึ่งมองวันนี้ก็กลายเป็นเพียงข้อมูลล้นสมองออกไป นี่ทำให้รู้สึกเสียเวลากับมันน้อยลงเยอะ

ถึงจะเพิ่งเริ่มต้น แต่หลังจากวัดผลมา 4 วัน ก็พบว่าการ์ตูนและนิตยสารค้างปีที่วางกองไว้ถูกกวาดต้อนไปได้หลายเล่มอยู่ (อ่านจากใหม่ไปเก่า จะได้ไม่รู้สึกตกรุ่นตลอด) และเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ว่าต้องอ่านเพราะรู้สึกผิดที่ซื้อมาดอง กลายเป็น “เฮ้ย ใช่เลยว่ะ นี่แหละความสุข” ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หวังว่านี่จะไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือวอนนาบี

เมื่อข้าพเจ้าไว้หนวด

คือไม่เคยไว้หนวดเลยน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกะมีลูกสาวอะไรหรอก ปรากฏว่าแม่งรำคาญมาก เหมือนกินข้าวแล้วมีเศษข้าวติดอยู่ริมฝีปากตลอดเวลา กะว่าถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะหั่นทิ้งละ (เอ๊ะหรือหั่นทิ้งข้างเดียวดีวะ เผื่อเท่)

ก่อนตาย

ก่อนตาย

ถ้ามีชีวิตอยู่จนแก่ สิ่งที่จะทำก็คือ

  1. ปลูกต้นไม้ จัดสวนให้สวยให้ได้ (ตอนนี้ทักษะเป็นศูนย์ ขนาดต้นเคราฤาษีที่แม่ให้มาซึ่งควรจะดูแลง่ายที่สุดในโลกยังแห้งตายคาต้นมาแล้ว ถือว่าไม่ธรรมดา)
  2. นอนเปล หรือเก้าอี้โยก ทยอยอ่านเพชรพระอุมาแบบไม่รีบ

นี่คิดได้หลังจากคิดเรื่อยเปื่อยว่า ถ้าเราแก่แบบไม่ไหวแล้ว หรือเป็นโรคร้ายแรงสักอย่าง (ไม่ใช่เอดส์โว้ย หมายถึงมะเร็ง หรือโรคที่มันต้องรักษาแพงๆ หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นผักเสียยังดีกว่า) เราอาจจะขอเลือกวิธีตายเอง ก็ดูขนาดตอนเกิด (พ่อแม่)เรายังเลือกได้ว่าจะผ่าหรือจะคลอดเอง จะเอาฤกษ์เมื่อไหร่ แล้วทำไมตอนตายเราถึงจะเลือกไม่ได้ล่ะ

ถ้าเลือกได้จริงๆ เราจะขอกำหนดวิธีตายคือ ต้องเหมือนเป็นการปิดสวิตช์ตัวเองให้เคลียร์ไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ แบบที่ไม่ดูเหมือนเป็นการทิ้งชีวิตโฉ่งฉ่าง ให้คนอื่นเดือดร้อน  หรือทำให้ร่างกายเหลวแหลกเสียดายของ (ร่างกายก็บริจาคไป เออ ยังไม่ได้ไปทำเรื่องเลย อย่าเพิ่งตายนะกูนะ)

ซึ่งนั่นถ้ามองผาดๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่น่าจะไม่ได้เป็นการตายอย่างคิดสั้น แต่คิดมาแล้ว (คิดมาตั้งแต่ตอนนี้เลย) ว่า ถ้าสมมติลูกเราก็มีชีวิตที่ดีแล้ว เมียเราก็โอเค (ตามสถิติคนเป็นเมียหนังเหนียวกว่าอยู่แล้ว) เราจะคุยกันเรื่องการจากโลกนี้ไปแบบเท่ๆ ซึ่งตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะตายยังไงดี ถึงจะเท่ และไม่ทำให้เกิดเรื่องผีไร้สาระในหมู่บุตรหลาน

ก่อนตายเราควรเคลียร์ทุกอย่างให้หมดห่วง หรืออย่างน้อยก็เข้าใกล้สถานะนั้น (เช่น ปลูกต้นไม้ จัดสวน อ่านเพชรฯ หรือทำฟอนต์ที่ค้างๆ ไว้ให้หมดงี้) และคุยกะลูกเมียว่าเดี๋ยวเราจะปิดสวิตช์ ถอดปลั๊กตัวเอง และหายไปตลอดกาล แบบในเทพนิยายเวลาใครตายก็ไม่ได้ตายแหง็กๆ ให้เห็น แต่เขาจะสื่อด้วยการใช้สัญลักษณ์คือการลอยเรือแล้วค่อยๆ เฟดหายไปตลอดกาล เอางี้ละกัน

แน่นอนว่าวันหนึ่งทุกคนก็ต้องถึงเวลาตาย อาจจะมีบางคนที่ลัดคิวไปก่อนหน้าด้วยเหตุต่างๆ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ความสูญเสียโดยไม่ได้คาดคิดนั้นทำให้คนข้างหลังเสียใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ (ถ้าช่วยได้ก็คงไม่ตาย) ซึ่งอันนี้เราก็รู้ๆ กันอยู่ แต่จะเตรียมใจกันไว้แค่ไหนนั่นก็แล้วแต่บ้านละกันนะ (อย่างบ้านเมียผมนี่คือยังไม่มีญาติสนิทคนไหตายเลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นพอถึงเวลาก็คงเหวอกันหน่อยงี้)

ใช่ เราทุกคนต้องตายแน่นอน จะใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็ต้องตาย แต่ถ้าการขอเลือกความตายแบบเท่ๆ นั้นเป็นสิ่งเพ้อเจ้อ เราจะพยายามมีชีวิตอยู่แบบเท่ๆ ซึ่งนั่นเราว่าเราพยายามอยู่ และจะทำให้ได้

ป.ล.
เพชรพระอุมามีเวอร์ชัน epub  แล้ว ของอัมรินทร์มั้ง ยังไม่รู้จะอ่านยังไงดีเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังสนุกกับอย่างอื่นมากกว่าอยู่ และที่สำคัญคือไม่ยักมีเวลาว่างเป็นก้อนๆ ไว้จมปลักอยู่กับมันแฮะ ขนาดวอล์กกิ้งเด๊ดยังเพิ่งดูได้แค่ปีสองเอง :05:

ป.อ.
เกือบลืม ไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ว่างมามโนเรื่องความตายแบบที่วัยรุ่นไฟแรงเขาทำกันนะ แต่คือมันมาจากการคิดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเหี้ยเอ๊ย การตาย หรือยอมตายด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองหรือสงครามไม่ว่าจะครั้งใดๆ มันช่างบัดซบและดูถูกความเป็นมนุษย์เสียจริงๆ