วันนี้เมียท้อง

สองปีกว่าๆ จากบล็อกสมัยที่ท้องแรก (เกิดมาเพิ่งเคยทำผู้หญิงท้องครับ) และถือกำเนิดเป็นคุณลูกสาวชื่อนิทานในเวลาต่อมา

บัดนี้เมียผมเดินยิ้ม เต้นกระดุ๊กกระดิ๊ก เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งขึ้นเป็นขีดแดงสองขีด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรียบร้อยครับ ซัลโวเข้าประตูไปอีกหนึ่ง


(นั่นคือทวีตมาก่อนที่ผมจะตื่นอีกนะน่ะ พอดีเมื่อคืนนอนดึกเลยตื่นสาย)

เราสองคนวางแผนกันไว้ตั้งนานแล้วว่า ถ้าในปีนี้ยังไม่มีลูก ผมก็จะไปทำหมันและมีนิทานเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้ามี ก็คือลงตัวเลย ชีวิตกำลังนิ่งและพร้อมที่จะมีคนที่สองในปีนี้พอดี เวลาเราก็มี ตังค์เราก็ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร แถมประสบการณ์ในการมีลูกครั้งที่ผ่านมาทำให้ความประหม่า ความหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างนั้นหายไป อาจจะมีลืมๆ ไปบ้างแล้วว่าตอนท้องนิทานนี่เราต้องเตรียมอะไร ต้องทำและไม่ทำอะไรบ้างวะ (กลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองเขียนสิโว้ย #โฆษณา)

ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างเคลียร์ และเราโตพอที่พร้อมจะรับมืออะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพอรู้ว่าท้องคราวนี้ จึงต่างจากตอนมีนิทานพอสมควร จะว่าไม่ตื่นเต้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นเต้นอีกแบบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องเจอนั่นนี่ สเต็ปต้องเป็นงี้ เราอ่านสปอยล์มาแล้ว

ติดอยู่แค่อย่างเดียวคือ นังลูกสาวของเรา (ที่กำลังจะกลายเป็นลูกคนโต) ดันยังไม่หย่านมแม่นี่สิ

เมียผมให้นมลูกมาตลอด จนบัดนี้ลูกสาวเราก็อายุขวบสิบเดือน ก็เกือบสองขวบแล้ว จนชาวบ้านเขาเลิกให้นมกันหมดตั้งนานละ ไอ้ที่รู้ว่าท้องก็เพราะอยู่ดีๆ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอนิทานกินนมแล้วเจ็บ (ซึ่งเป็นการดีไซน์ของพระเจ้าที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนว่าควรหยุดได้แล้ว) และเพราะการให้นมลูกมาตลอด ฮอร์โมนส์ของคนเป็นแม่เลยบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมนส์นะ เดี๋ยวจะมีปัญหา (นี่ก็ยังทึ่งที่พระเจ้าคิดระบบนี้มาเจ๋งมาก) แต่พอพ้นระยะที่จะต้องคอยเป็นห่วงแล้ว เมนส์ของเมียก็มาครับ แต่เพิ่งมาได้แค่ 2 เดือน แม่งท้องเลย ไงล่ะ.. วัยรุ่นมะ

ดังนั้นเควสต์ใหม่ของเราในฐานะพ่อกับแม่ก็คือ ทำยังไงให้คุณลูกสาวหย่านม ซึ่งยากมากบอกเลย

ป.ล.
วันนี้หยุดทำงานทำการ วางมือจากงานแทบทุกชนิด เพื่อเสพบรรยากาศที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่พบเจอได้ทุกวัน ซึ่งโอเคนะครับ ใครลองมามีเมียท้องดูก็จะเข้าใจว่ามันทำงานไม่ได้จริงๆ ดังนั้นหยุดซะ แล้วมานั่งดูตัวเองดีกว่า สนุกดี

ป.อ.
อย่างที่ทวีตไปว่าผมรู้เรื่องเมียตัวเองท้องหลังชาวบ้านซะอีก ก็เหมือนตอนท้องแรกที่ติดประชุม แต่ท้องนี้คือนอนอยู่ 5555 ขอบคุณทุกคนที่อยู่ดีๆ ก็ส่งประกวดชื่อหลานกันเยอะแยะ มีทั้งไมตรีคนน้อง (นี่ยังจำชื่อที่นักข่าวนั่งเทียนเขียนให้ตอนไปถ่ายเว็ดดิ้งในม็อบพันธมิตรได้อีกเรอะ! – เสียดายบล็อกผมเน่าเลยเนื้อหาตอนนั้นหายไปแล้ว แต่มีกระทู้ด่าที่ mthai เข้าไปอ่านดิ สนุก), น้องนิยาย, น้องปรัมปรา, น้องพงศาวดาร(เลวมากอันนี้), น้องตำนาน (เฮ้ยเจ๋ง สองแง่สองง่ามดี), น้องตำหนัก (อันนี้ง่ามเดียว), น้องตำลึง (นี่เหี้ยเลย), น้องเขาใหญ่, น้องหลีเป๊ะ (นี่ก็เดาสถานที่ว่าไปซั่มกันที่ไหน), น้องนกหวีด, น้องกำนัน(นึกหน้าแล้วแบบ), น้องปฏิรูป, น้องอีปู ฯลฯ

ป.ฮ.
ที่เด็ดที่สุดคือแม่ยายผมเคยไปขอพระ (เอาอีกแล้ว นี่กูไม่ได้ทำเมียกูท้องเองนะ ช่างแอร์ช่างฉีดปลวกอะไรที่แซวกันก็ไม่ใช่ .. แต่นี่ พระทำให้) บอกว่าขอเทพธิดามาเป็นหลานอีกคน แล้วเมื่อคืนก็ดันฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาโกรธ สงสัยจะมาแย่งเกิดไม่ทันเพราะดันไปขอหลานสาวสกัดไว้ (หลอนมะ) ดังนั้นเลยขอบันทึกไว้หน่อยว่าถ้าเกิดลูกคนนี้เป็นผู้ชายขึ้นมา โตขึ้นแม่งเป็นตุ๊ดชัวร์ เพราะคือร่างกายปฏิสนธิตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่คุณยายได้ไปขอวิญญาณผู้หญิงไว้ เอามาสวมเป๊ะ เก้งเลยฮ่ะ

2557

2557

นั่งเล่นนั่นนี่อยู่ดีๆ ก็นึกว่าควรสำรวจตัวเองก่อนที่โอกาสแห่งวันปีใหม่นี้จะหมดลง และวันที่ 2 มกราคมที่จะถึงนี้ก็กลายเป็นแค่วันธรรมดากากๆ วันนึงเช่นเดียวกับวันอื่นๆ ที่เหลือทั้งปี (ความเท่าเทียมกันไม่มีในปฏิทิน)

ปีนี้เราก็เริ่มก้าวเข้าสู่ ไม่สิ ไม่ก้าวแล้ว กูมาทั้งตัวแล้ว เข้าสู่วัยผู้ใหญ่นี่แหละ ที่แบกความอะไรไม่รู้ไว้มากมาย กับอีแค่คำว่า “ผู้ใหญ่” ที่มันบีบให้เราต้องอ๊ะ ต้องเฮอะ ต้องอุ๊ยกับอะไรหลายๆ อย่าง

คนอายุ 32 ปีนี่มันคือผ่านชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนะ สมมติว่าเรากะว่าจะแก่และอ้วนตายหล่อๆ ตอน 60 แสดงว่านี่เกินครึ่งชีวิตมาสองปีแล้ว ต่อไปนี้คือการนับถอยหลังด้วยความมืดมนล้วนๆ

เรายังจำความรู้สึกแรกที่ฟังชื่ออัลบั้ม “ฉลองครบรอบ 30 ปี” ของพี่ป้างได้อยู่เลย ห่ามาก พี่ครับ พี่เอาอายุตัวเองมาประกาศว่าแก่เลยเหรอ (หัวเราะ)

คือตอนนั้นหัวเราะ แต่ตอนนี้ เหล่าคนอายุ 30 มันเรียกเราว่าพี่กันหมดแล้ว

เหมือนที่เราอยู่ประถมและมองพี่ๆ ป.6 ว่าเจ๋งมาก กร้านโลกสุด เช่นเดียวกันกับมัธยม (พี่ ม.6) และมหาลัย (พี่ปี 5) หรือแม้แต่จบมามองคนเป็นหัวหน้าคน เป็นเจ้าของบริษัท คนที่ทำอะไรประสบความสำเร็จอย่างน่าจดจำด้วยความความตาลุกวาว

เราผ่านความรู้สึกนั้นมาไม่ทันไร พอรู้สึกตัวอีกที ตัวเองก็ได้ยืนในจุดที่ว่ามาแล้วเกือบทั้งนั้น เป็นจุดที่เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่ามันไกลและยิ่งใหญ่มากๆ แต่พอผ่านมันมาปั๊บ อ้าว ก็ธรรมดานี่หว่า

มองไปที่คนอื่นๆ เราก็พบว่าใครๆ ที่ก็ต่างมีภูเขาให้ปีนกันคนละลูก บางคนเริ่มก่อน บางคนเริ่มช้า บางคนปีนเก่ง บางคนล้มลุกคลุกคลาน บางคนเพิ่งปีนแต่แซงเราไปแล้ว (เป็นธรรมดาที่เอาเข้าจริงก็อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้นะ)

แต่พอก้มมองมาที่ซอกไข่ของตัวเอง ผ่านมากี่ปี กี่สถานะแล้ว ทำไมเรายังเหมือนเดิมเลยวะ ยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่แค่บางส่วน (หมายถึงร่างกาย) แต่ข้างในยังเด็กเหมือนเดิม (หมายถึงกระเจี๊ยว) (ไอ้บ้า หมายถึงสมอง)

บางทีรู้สึกว่าเราหยุดปีน แล้วนั่งอ่านการ์ตูนเล่นตรงเชิงเขา จะว่าเป็นความชิว บางครั้งก็ไม่ใช่ เพราะบางครั้งก็คือความขี้เกียจ เราเบื่อหน่ายกับอะไรหลายอย่างในสังคมของการปีนเขานี้ จนไม่อยากปีนแล้ว เราอยากหยุดตั้งแต่ตอน ม.ปลาย ที่ได้ยินบทสะกดจิตที่สลักไว้หลังคู่มือตำราระดับเทพของเพื่อน ที่ได้มาจากสถาบันสอนพิเศษแห่งนึง จำชื่อไม่ได้ บอกว่า “ขณะที่เธอกำลังเดิน อยากให้รู้ว่ามีคนก้าวเร็วกว่า และขณะที่เธอกำลังหยุดเดิน คนอื่นๆ ก็แซงเธอไปหมดแล้ว” (จำไม่ได้แต่ประมาณนี้แหละ)

ไอ้เหี้ยเอ๊ย

รู้สึกเลยว่านั่นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของเรามาจนถึงวันนี้ ว่าเฮ้ย กูไม่ไปแล้ว กูจะลง หรืออย่างน้อยกูขอไปตามทางของกูได้ไหม ในขณะที่เพื่อนคนนั้นที่เป็นเจ้าของตำราดังกล่าว มันเคารพนับถือและบูชาข้อความนั้นดั่งคาถาเรียกเกรด

เราจึงเลือกทางเดินเอง และเดินมาทางนั้นเรื่อยๆ อย่างราบรื่นบ้าง กระท่อนกระแท่นบ้าง ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่มีจำกัด คือถ้าคนมันจะอยากแนวนี่ก่อนอื่นต้องมีเงินพอใช้นะ ซึ่งบังเอิญเราไม่ค่อยจะมี 5555

ผ่านมาหลายปี จนนี่คือปี 2557 แล้ว

มองย้อนกลับไป เรารู้สึกช่างแม่ง และขอบคุณกับหลายเรื่อง

มองซ้ายมองขวา เราเห็นปัจจุบันที่ดี เรามีครอบครัวที่ดี (ภูมิใจมาก) เรามีเพื่อนที่ดี (ไอ้ที่เลิกคบเราไปหมดแล้วก็ถือว่าไม่ดีละกันนะ) เรามีสังคมที่ดี (ไอ้ที่ตีๆ กันออกทีวีและเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ทั้งหลายนี่ก็ถือว่าดี คืออะไรก็ได้ที่มันยังขยับตัวเราว่าดีหมด)

มองไปข้างหน้า รู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยยังรู้สึกว่ามีอะไรสนุกๆ และเติมพลังชีวิตแบบนี้ให้ทำอีกเยอะมากๆ

จึงตั้งใจอย่างยิ่งว่าเราขอถือหลักกิโลแห่งปี 2557 นี้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตครึ่งหลัง เราจะสวมชุดผู้ใหญ่อ้วนๆ ที่สามารถบรรจุเด็กไม่ยอมโต (ยกเว้นกระเจี๊ยว) เอาไว้หนึ่งหน่วย เด็กคนนี้สามารถทำอะไรเพ้อเจ้อ ผิดพลาด มุทะลุ ทำอะไรแบบที่โลกของผู้ใหญ่ไม่ค่อยอนุญาตให้ทำอยู่เสมอๆ แต่บางอย่างที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่แย่ๆ เราก็จะสนับสนุนมันเช่นกัน เช่นความขี้เกียจที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรเพื่อคนอื่นน้อยลงเรื่อยๆ เห็นแก่ตัว(และครอบครัว)มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้เราจะไม่พยายาม เพราะเราขี้เกียจ

วันๆ มึงทำอะไร

ม้าบุกเมือง

ปกติเราไม่ชอบเขียนเป็นลิสต์ๆ เพราะดูมันลวกๆ และไม่ได้ฝึกการเขียนเชื่อมประโยค แต่วันนี้จะเขียนลวกๆ สักครั้ง

พอดีมีคนถามบ่อยว่าหลังจากลาออกแล้วนี่มึงทำอะไรบ้าง นอกจากเลี้ยงลูกและเป็นลูกจ้างเมีย งั้นจะเขียนเล่าว่าวันนี้ผมทำอะไรบ้าง เอาเป็นลิสต์ๆ ละกันนะ

  • ตื่นเจ็ดโมงครึ่ง เมื่อคืนนอนหัวค่ำเพราะเพิ่งเคลียร์งานเว็บตัวนึงเสร็จ เลยเพลีย และกะว่าวันนี้จะได้ทำนั่นนี่มากมาย งั้นตัดสินใจนอนก่อน
  • พอตื่นมา ก็ปลุกน้องเมียทั้งสองคน (โมนาและมาเฟีย มานอนที่บ้านเพราะปิดเทอม) ให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟัน วันนี้เรามีงานใหญ่ นั่นคือย้ายที่นอนจากชั้นสามห้องขาวไปห้องเทา และที่ใหญ่กว่านั้นคือย้ายที่นอนยางพาราหนัก 38 ตัน จากชั้นสองไปชั้นสาม
  • อ้อ เพราะก่อนหน้านี้สองสามวัน บ้านเรามีสภาพเหมือนถูกซอมบี้บุก เพราะช่างมารื้อบันไดลามิเนตกากๆ ของอารียา ที่อยู่มาแค่ไม่กี่ปี แม่งกรอบแกรบเป็นกระดาษยุ่ย เลยให้ผู้รับเหมารายเดิมที่สนิทกันมานาน มาช่วยรื้อ และเปลี่ยนเป็นปูนดิบ นั่นรวมถึงสวนหลังบ้าน (เรียกว่าสวนก็กระดากใจ มันคือที่ตากผ้ากว้างยาวไม่เกิน 8 ตารางเมตร) และพื้นชั้นสองทั้งชั้น
  • หลังจากสมุนทั้งสองคนตื่น ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จ และพร้อมออกศึกแล้ว เราก็เริ่มรื้อของในห้องนอนชั้นสาม (ห้องสีขาว) เลย ปกติห้องนั้นจะเรียกว่าห้องยายยาย หรือห้องตั๊กถั่ว หรือห้องนอนแขก หรือห้องเก็บของ แล้วแต่จะเรียกตามใจ แต่ต่อไปนี้มันจะกลายเป็นห้องนอนหลักของเราสามคนพ่อแม่ลูก ส่วนห้องนอนแขกและฟังก์ชันเก็บของของบ้านเรา ก็ย้ายไปห้องข้างๆ ที่ทาสีผนังเป็นสีเทาด้วยความอินดี้ ไม่รู้ทาทำไม
  • เริ่มจากย้ายตู้ ชั้นวาง ยุบเปลเด็กเตรียมเอาไปส่งมอบให้ผัวเมียเมืองทองที่ท้องแก่กำลังจะคลอด เลยรับช่วงต่อเปลจากเรา
  • แล้วขนข้าวของ ตุ๊กตามากมาย สมบัติบ้าและไม่บ้า ของเรา และของยายยายที่มียาอะไรไม่รู้ด้วยเยอะแยะ อะไรไม่รู้จักก็โยนทิ้งให้หมด จังหวะนี้สนุกมาก
  • พี่แอ๋วมาตอนเก้าโมง ที่จริงช่างต้องมาวันนี้ด้วย แต่โทรถามเฮีย เฮียบอกว่าเข้าพรุ่งนี้นะ วันนี้เลื่อยไม้รอไว้ก่อน
  • ย้ายที่นอนจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วพักเหนื่อย
  • ย้ายชั้นวางของจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วถูพื้นรัวๆ
  • เคลียร์พื้นที่ชั้นสอง เอาคอกเด็กออก ไฮไลต์ที่โหดหินที่สุดของวันนี้คือที่นอนยางพาราน้ำหนัก 79 ตัน (เอ๊ะตะกี้บอกกี่ตันนะ ไม่ได้จำ) ขึ้นกระไดไปไว้ชั้นสามเป็นการถาวร
  • พี่แอ๋ว แอน โมนา และมาเฟีย รวมสี่คน ช่วยกันแบก ลาก กลิ้ง ที่นอนที่หนักเหี้ยๆ ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล และสงสัยว่าตอนสองผัวเมียที่เป็นเจ้าของร้านขายที่นอนนี้เอามาส่งบ้านเรา เขายกกันได้ไงแค่สองคน เขากินอะไรเป็นอาหาร หรือเขาหมั่นฝึกฝนในการยกที่นอนนี้มากว่า 30 ปี
  • หิวมาก ไปกินพืซซ่าที่ยูเนี่ยนมอลล์กัน ว่าแล้วก็ออกเดินทางทันที (ที่จริงที่เลือกไปยูเนี่ยนเพราะ 1.เราต้องไปทำธุระที่ร้านพันธมิตรในวงการสกรีนเสื้อ 2.นารายณ์พิซเซอเรียมันมีโปรลดอะไรสักอย่าง เหมาะกับเด็กสองคนที่มีพลังสวสาปามสูงมาก)
  • ไปถึงยูเนี่ยนตอนห้างเปิดพอดี ไม่เคยคิดว่าจะได้จอดรถง่ายแบบนี้มาก่อน
  • แดก
  • ระหว่างรอสั่งอาหารก็รีบไปทำธุระเรื่องเสื้อ ธุระท่ว่านี่คือ เครื่องสกรีนของร้านเราดันมาเสียเอาช่วงนี้พอดี เลยขนเสื้อไปให้เขาสกรีนให้หนึ่งกอง เพิ่งเคยทำแบบนี้เหมือนกัน แปลกดีเวลาเห็นคนอื่นสกรีนเสื้อของร้านเรา 555
  • รีบลงมาแดกต่อ แดกๆๆๆ
  • ที่รีบเพราะว่าโทรนัดศูนย์ซัมซุงเอาไว้ บ่ายโมงจะไปเปลี่ยนกรอบของโน้ตสองที่เคยทำตกและเป็นรอตรงมุมค่อนข้างยับเยิน แล้วผมมีโครงการจะขายเครื่องนี้เพื่อซื้อโน้ตสามแทน (เมียเซ็นอนุมัติแล้ว) ถ้าขายในสภาพเดิมคงได้สัก 300 บาท เลยตัดสินใจทำให้มันดีๆ ปิ๊งๆ ดีกว่า
  • นัดบ่ายโมง ออกจากยูเนี่ยนเที่ยงครึ่ง ขึ้นรถเมล์เบอร์อะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ ไปต่อบีทีเอสที่หมอชิต ได้นั่งด้วย
  • ไปถึงศูนย์ซัมซุงมาบุญครองตอนเที่ยงห้าสิบเก้านาที ขอบคุณพี่ยามสำหรับการบอกทางอย่างตั้งใจ
  • เข้าใจพนักงานที่ศูนย์รับซ่อมละว่าทำไมหน้าเหวี่ยงตลอดเวลา ทั้งที่ตัวจริงอาจจะไม่ได้เหวี่ยงโดยกำเนิดก็ได้ ก็เพราะขนาดผมนั่งรอคิวไม่นาน ก็มีทั้งอีป้า และไอ้ลุง ที่เนียนขอ “โทษนะครับ ผมไม่ได้กดบัตรคิว แต่แค่จะถามว่า…” แล้วไอ้แค่ของท่านๆ น่ะ มันก็คือเรื่องที่จะต้องกดบัตรคิวเพื่อสอบถาม ปรึกษาอาการ ฯลฯ ทั้งสิ้น
  • อีห่า ลองเมียกูเป็นพนักงานล่ะก็ ได้ตะเพิดกลับบ้านแล้วลาออกทันที ไม่แคร์ ผจก.ไปแล้ว
  • พนักงาน (ที่หน้าเหวี่ยงๆ) บอกว่าอีกชั่วโมงนึงมารับเครื่องนะคะ ผมถือใบซ่อมออกมาจากศูนย์ แล้วเดินงงๆ ในมาบุญครอง มีเวลาตั้งชั่วโมง
  • ไปหอศิลป์ดีกว่า (เป็นมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์ในความสลิ่มของห้างย่านสยามไม่เป็นโดยสิ้นเชิง)
  • เดินดูงานตั้งแต่ชั้นสามที่เป็นสะพานเชื่อมกะมาบุญครอง ไล่ไปเรื่อยๆ จนชั้นห้า นึกอะไรได้อย่างนึง เลยไปแวะขี้ซะเลย
  • เสร็จแล้วเดินกลับมาที่ศูนย์ซัมซุงอีกครั้ง รับเครื่อง จ่ายตังค์ (ค่าอะไหล่ ค่าแรง ค่าภาษี รวมๆ พันนึงได้)
  • เดินไปถามตู้รับซื้อ ว่ารับกี่บาท อีร้านแรกติดป้ายว่าให้ราคาสูงปี๊ด มันบอก แปดพัน! ปรี๊ดพ่องเรอะแปดพันเนี่ย
  • เลยไลน์ไปถามเจ๊เพ็ญผู้เชี่ยวชาญด้านการขายมือถือ เจ๊เพ็ญแนะนำมาอีกร้าน เลยเดินไป เฮ้ย ได้ตั้ง 11,000 แน่ะ!
  • ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน โดยผ่านห้างสยามอะไรไม่รู้ จำชื่อไม่ได้ แต่ที่มันทำใหม่ทาสีดำๆ น่ะ พบว่าเสื้อผ้าหน้าผมของเราไม่เหมาะกับการมาเดินผ่านที่นี่เลย (แค่เดินผ่านก็ผิดแล้ว)
  • บนรถไฟฟ้าสงบดี เอาหนังสือมาเล่มนึง ก็เลยยืนอ่านไปจนถึงหมอชิต เพื่อจะพบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้ากันแล้ว ทุกคนมีแต่คนกดมือถือ กับคนที่แอบดูคนใกล้ๆ กดมือถือ
  • ลงหมอชิต นั่งสายอะไรไม่รู้ที่เป็นสีแดงๆ (6.50 บาท) ไปลงยูเนี่ยน ขึ้นไปรับเสื้อที่สกรีนเสร็จแล้วลงมาต่อรถเมล์ (8 บาท) ต่อกระป๊อ (7 บาท) ถึงวัดลาดปลาเค้า
  • เดินเข้าบ้าน เหงื่อแตก อาบน้ำเสร็จ ลงมาพิมพ์ข้อความ ถึงบรรทัดนี้.

กำหนดการคืนนี้

  • กินข้าวเย็นกับลูกเมียและน้องเมียทั้งสองพี่น้อง
  • กลับบ้านมาเพื่อกดซื้อ FontLab ซะที จะได้หมดห่วงปัญหาที่คาใจมานาน ว่ามึงทำฟอนต์ด้วยโปรแกรมเถื่อนเนี่ยนะ?
  • พอดีมีงานจ้างอันนึงให้ทำฟอนต์ด่วนๆ เลยเริ่มมันคืนนี้ซะเลย!

จบ

ป.ล.
ภาพข้างบนถ่ายจากแยกปทุมวัน ตอนรอขบวนเสด็จผ่าน เขาเลยกั้นคนไม่ให้ข้าม / วาดแล้วอัปไว้ที่ อตก

ยาวไปไม่(ต้อง)อ่าน

scan001

scan002

scan003

scan004

scan005

scan006

scan007

ป.ล.
พอปั่นจักรยานหนีเมฆฝนกลับบ้าน ก็มานึกได้ว่าลืมเขียนนั่นนี่นู่นโน่นอีกประมาณ 7 ประเด็นได้ แต่ก็ช่างเถอะ เขียนไปแล้ว กดอันดู แก้ไขซ้ำไม่ได้ นี่คงเป็นเสน่ห์ของสมุดบันทึกละมั้ง

ป.อ.
ถึงจะยังงี้ยังงั้น แต่ก็ยังแชร์ขึ้นบล็อกอยู่ดี (แค่บันทึกไว้เฉยๆ ว่าจะกลับมาบันทึกไง)

ป.ฮ.
อีเล่มนี้คือมันบางจ๋อยเลยนะ ปกก็ไม่สวยเท่าไหร่ด้วย ก่อนหน้านี้เดินเลือกนานมาก จะหาเล่มที่ปกมันตุ๊ดๆ ที่สำคัญคือต้องไม่มีเส้น เพราะไม่ชอบ ทำไปทำมาเลือกไปเป็นสิบเล่ม มาจบเล่มนี้ได้ไงไม่รู้ 55555 ช่างมันวะ