การลาออกครั้งล่าสุด

ที่จริงควรจะเขียนว่าการลาออกครั้งสุดท้ายตามชื่อหนังสือเล่มที่เคยซื้อมาอ่าน (อ่านรู้เรื่องแค่ครึ่งเล่มแรก ส่วนครึ่งหลังที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการลงทุนนั่นไม่อินเลย อ่านอะไรพวกนี้ไม่รู้เรื่อง โง่เรื่องตัวเลข 5555)

แต่มานึกดู ใครจะไปรู้ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะอีตอนลาออกจากอาร์เอสนั่นก็คิดว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 30 เพื่อมาทำอะไรที่บ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ได้แล้วเชียว แต่ก็ไม่ เพราะดันมีงานประจำที่น่าสนุกมากวักมือเรียกให้ไปลองทำดู

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบๆ 2 ปี 5 เดือน การทำงานที่สามย่าน นับเป็นงานประจำในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ผมอยู่กับมันนานที่สุด นานจนตกใจตัวเองว่าเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถตู้ ซ้อนวิน ขี่แว้น (และขี่จักรยานแค่ 2 ครั้ง แต่อยากนับรวมด้วยเพราะมันพูดแล้วดูเท่) ไปทำงานซ้ำๆ กัน แบบไปสายกลับค่ำแบบนี้ได้ยังไงตั้งสองปีกว่าๆ

ถ้าไม่นับที่งานมันสนุกดี วิชาออกแบบเว็บ ออกแบบแอป ออกแบบกราฟิก รื้อระบบหน้าบ้านหลังบ้าน ปรับปรุงหน้าตา อินเทอร์เฟซนั่นนี่ และทำงานกับเทคโนโลยี มันสนุก ยิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ แล้วยิ่งสนุก เหมือนเด็กเนิร์ดจับกลุ่มคุยเรื่องสตาร์วอร์ส (แต่ผมไม่ดูสตาร์วอร์สนะ) หรือโอตาคุมาล้อมวงสนทนาเรื่องกันดั้ม (ตูก็ไม่รู้จักกันดั้มสักตัว)

สรุปว่าสามย่านเป็นบริษัทที่มีระบบนิเวศน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เจอมาเลย ถึงแม้บางอย่างจะขลุกขลักไปบ้าง ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องปกติของโลก (เช่นเว็บบริษัทที่ว่าจะทำใหม่มาชาตินึงแล้วก็ยังไม่ได้ทำซะที จนพนักงานในหน้าแรกของเว็บนั่นเปลี่ยนถ่ายย้ายเข้าย้ายออกกันไปหมดแล้ว 5555 คือที่จริงเมื่อสองปีก่อนคิดไว้ว่าพอเอาเมาส์ชี้จะให้มันนั่นนี่ แต่ก็ไม่ว่างทำซะทีเลยเอาแบบนั้นไปก่อนมาจนถึงทุกวันนี้)

แต่หลังจากพบว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นดันมีปัญหากับสังคมเมือง ที่จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับปลากระป๋องตัวอื่นๆ บนท้องถนน ผมก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านและซุ่มทำอะไรอยู่ในถ้ำเงียบๆ แบบที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนั้นดันเป็นการลาออกที่ไม่สำเร็จ ซะฉิบ

ขอต๊ะเรื่องลาออกไว้ก่อนแป๊บนะ…

จนเวลาผ่านไปหกเดือน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตแค่หกเดือนมานี้ หลังจากลดเวลาทำงานบริษัทลงจนได้มีเวลาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ผมกับลูกเมียก็เวียนกลับบ้านที่เพชรบุรี เพื่อไปซ่อมบ้านหลังเก่าให้แม่ (ฟังดูเป็นคนดี… ไม่หรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นพวกเดือนสองเดือนจะกลับไปหาแม่ที โทรหาก็ไม่โทร) และพอวนไปเวียนมาหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วครับ ว่าสำหรับมนุษย์ชิวอย่างเรา การที่ต้องทนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันทำให้พลังชีวิตลดลงถึงขั้นเหี้ยจริงๆ เรียกว่าชิวมิเตอร์บนหน้าอกงี้กระพริบรัวๆ เลย เทียบกับตอนอยู่เพชรบุรี มันให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเดินโลตัส (เชี่ย แถวบ้านกูมีโลตัสแล้ว)

พอได้ลองขี่จักรยานวนไปรอบๆ ตัวอำเภอท่ายางหลายๆ ครั้งเข้า ก็รู้สึกว่ามันใช่ มันมีน้ำ มันมีคลอง มันมีเขื่อน มันมีนา มันได้อารมณ์มานี (ไม่มีแชร์) และสารพัดองค์ประกอบแห่งความชิว ที่ทำให้พลังชีวิตพุ่งขึ้นถึงขีดสุด มันคือสถานที่ที่มีแต่อณูความผูกพันส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ (ตอนเด็กผมเป็นหนึ่งในแก๊งจักรยานแบบเรื่องแฟนฉันเป๊ะๆ — อ้อ เรื่องแฟนฉันเขาก็ถ่ายทำกันที่ท่ายางนี่แหละ ดังนั้นตัวเองเลยอินกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะโดดน้ำก็โดดที่เดียวกัน จักรยานก็ขี่ที่เดียวกัน) แม้ลองสลัดความรู้สึกโหยหาอดีตออกไป มองให้เป็นปัจจุบัน ดูการเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปของเมืองเก่าแก่นี้ มันก็ยังรู้สึกว่าใช่

เท่านั้นยังไม่พอ มันยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านของผม (เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ได้ด้วย แต่คนที่เลือกดันไม่ได้ แพ้ไปล้านกว่าเสียงเอง) แต่จะแคร์อะไรในเมื่อยุคนี้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันไม่ได้เกี่ยวกับอุปสรรคทางภูมิศาสตร์แล้ว ไม่ว่าพี่จะอยู่ระยองหรือน้องจะอยู่เชียงใหม่ ขอเพียงก้าวสู่โลกออนไลน์ปั๊บ ทุกคนก็มายืนเรียงกันถ้วนหน้า ยื่นนิ้วโป้งกดไลก์กันนัวไปหมด

เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแข็งแรงว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นทำลายความจำเป็นของเมืองหลวงลงไปอย่างราบคาบ

แถมลงไปท่ายางครั้งล่าสุด ก็เพิ่งเอาเน็ตสิบเม็กไปติดไว้บ้านแม่อีก ให้สามารถทำงานง่ายๆ ที่บ้านวันละ 3-5 ชั่วโมงได้ในสตูดิโอหนองบ้วย (ชื่อหมู่บ้านผม โคตรงงเลย อะไรวะหนองบ้วย จะบ๊วยก็ไม่บ๊วย) และถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องโครงการทดลองใช้ชีวิตอยู่เพชรบุรีสลับกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้ไป!

แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ การจะไปสิงเนียนอยู่บ้านแม่ที่หนองบ้วยก็คงไม่เป็นการถาวรนัก (อีกสามปี ครอบครัวของพี่ชายคนโตจะมาอยู่) ผมก็เลยหารือกับเมีย และได้ข้อสรุปว่า เราจะทุบหม้อข้าวกันเฮือกใหญ่ เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบกันมาไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่กันแถวๆ นี้แม่งเลย (เห็นชิวๆ นี่ไมไ่ด้รวยนะครับ เพิ่งมาลืมตาอ้าปากได้หลังจากปลดหนี้บ้านพ่อตาแม่ยายหมดและผ่อนบ้านตัวเองหมดนี่แหละ แถมเราตั้งกฎของบ้านไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นหนี้อีก ก็เลยต้องมีวินัยทางการเงินพอสมควร)

คิดได้ดังนั้นจึงฝากภาระไว้กับแม่ในการไปถามหาชาวบ้านแถวๆ บ้านเราที่ประกาศขายที่ดิน หรือที่นา (คือหาในเน็ตมันมีแต่พวกนายหน้า ซึ่งดูแล้วแพ้งแพง) ซึ่งได้ผล โซเชียลเน็ตเวิร์กของลุงๆ ป้าๆ แก่ๆ ที่อยู่นอกโลกออนไลน์ยังขลังอยู่เสมอ เราไปเจอที่ดิน 1 ไร่ ที่เจ้าของประกาศขายในราคาไม่แพงนัก อยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ชื่อ “หนองแฟบ” ซึ่งตรงตามสเป็กที่ต้องการทุกอย่างเลย ดังนี้

  • มีแหล่งน้ำสาธราณะใกล้ๆ 20 คะแนน (มีคลองชลประทาน ซึ่งสวยมาก ใสมาก น่าโดดน้ำที่สุด)
  • มีชุมชนสงบๆ 30 คะแนน (เช็กแล้วยังไม่มีเด็กแว้นหรือแหล่งค้ายาแถวนั้น)
  • มีสีเขียว อากาศดี มีภูเขา มีนา อารมณ์มานี 50 คะแนน (นี่เหมือนเอาแผนที่มานีมากางดูเลยแหละ)
  • มีเซเว่น โลตัส และอินเทอร์เน็ต 20 คะแนน (ทุนนิยมนี่มันสะดวกจริงๆ)
  • จุดหมายจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน บอกทางง่าย ถามกูเกิลแมปส์แล้วไม่เครียด 20 คะแนน
  • เกินยังวะ
  • มีอณูความชิวอัดแน่นอยู่ในห้วงบรรยากาศ 5,000,000 คะแนน (สรุปว่าไอ้ที่บวกๆ มาไม่ต้องก็ได้)

จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของที่ซึ่งต่อไปจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันเรียบร้อย เรียกว่าหมดตูดอย่างสิ้นเชิงครับ

วิทยาเขตหนองแฟบ

และในที่สุด เราก็มีที่ทางเป็นของตัวเอง หนองงงงงแฟบบบบบบบ (สะกด Nong Fab ไม่ใช่ Nong Fap นะ)

เกิดหนองบ้วย โตมาเรียนท่าช้าง ซื้อบ้านอยู่ลาดปลาเค้า แล้วนี่จะไปหนองแฟบอีก แต่ละชื่อนี่นะ ดูไฮโซโก้หราพารากอนซะจริง

เลยวางโครงการในระยะสิบยี่สิบปีเอาไว้ว่า ตอนนี้เราจะอยู่ใกรุงเทพฯ สลับกับเพชรบุรี (บ้านแม่ที่หนองบ้วย) ไปก่อน ไปๆ มาๆ แบบนี้จนลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว (สมัยนั้น ม.ปลายก็คงมีผัวแล้วมั้ง นี่พูดติดตลกแบบเอาจริงๆ ก็โออยู่นะ) เราสองผัวเมียจะลาออกจากกรุงเทพฯ กันเป็นการถาวร กลับไปอยู่ที่เพชรบุรี

แต่งานก็ยังทำอยู่นะ เพราะเราต้องเริ่มหยอดกระปุกกันใหม่ตั้งแต่แรกเลยอีกครั้ง โชคดีที่วิธีการหาเงินของเราสองผัวเมียมันถูกออกแบบมาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า จะต้องเป็นงานที่ทำที่ไหนก็ได้ เลยสะดวกหน่อย (เมียเปิดร้านเดรสนลินฟ้ากับแม่ยาย ส่วนผมกำลังจะเทกกิจการสกรีนเสื้อโมนามาเฟีย แหะๆ .. แล้วก็รับออกแบบ ทำเว็บ ดีไซน์นั่นนี่หนุกๆ) เมื่อไหร่อยากได้ตังค์ขึ้นมาก็ทำงาน ทำกันซื่อๆ นี่แหละ ไอ้พวกการลงทุน หรือไปยุ่งกับตัวเลชยากๆ อย่างหุ้นเหิ้นนี่เล่นไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชิว ไม่ใช่แนว ด้วยเหตุผลนี้มั้ง ก็เลยอ่านหนังสือการลาออกครั้งสุดท้ายครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง

ก็เนอะ มนุษย์แต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ถึงจะเรียกร้องให้แต่ละคนเสมอกัน แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่สร้างเรามาให้เกิดมา มีรสนิยม ต่อสู้ปัญหา และใช้ชีวิตต่างๆ นานาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นโลกคงน่าเบื่อแย่เลย

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบริษัทสามย่าน ขอบคุณกรุงเทพฯ ขอคารวะความอดทนของมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน

เออ พอพูดถึงลาออก เลยขอกลับมาเรื่องเดิม ผมเพิ่งยื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อวานนี้ พี่อาทเข้าใจในความขี้เกียจของเรา คราวนี้เลยอนุมัติ ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งสล็อธแมนให้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้ามีงานอะไรก็โยนมาให้ทำได้นะะะะ ถึงจะชิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ตังค์อยู่นะะะะ

ป.ล.
ตอนถ่ายภาพแต่งงานผมมาถ่ายที่นี่ด้วย ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่จริงๆ 5555

nongfab

ป.อ.
ระหว่างที่เขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพื่อรอคิวของสำนักงานที่ดิน… พอได้รู้ศัพท์ในวงการที่ดินว่า “หยอดน้ำมัน” (ยัดใต้โต๊ะ) เพื่อให้ดำเนินการเร็วขึ้นจากปกติที่ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดที่ดินแบ่งขายอะไรแบบนี้ มันต้องรอคิวประมาณสี่เดือน! ผมถึงกับสบถออกมาด้วยชื่อสัตว์เลื้อยคลานหนึ่งพยางค์ ใช่ครับ — เต่า (บ้า ใครจะไปด่าระบบราชการว่าเหี้ยล่ะ ไม่มีหรอกครับ ใช่ไหม ไม่มี้)

ป.ฮ.
ไว้ใครมาเที่ยวเพชรบุรี หรือท่ายาง บอกด้วยนะครับ จะพาไปปั่นจักรยานชมวิวแถวๆ หนองแฟบ-ตาลกง ชิวระดับแปดแสนริกเตอร์ คือภาวนาอย่าให้มันดัง อย่าให้มีรีสอร์ตอะไรมาเปิดเหมือนเชียงคาน เหมือนปายเล้ย เพี้ยงงงง

ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนทำรายการเพื่อเรา

ทำไมต้องขยัน?

เมื่อยังเด็กเราคงจะได้ยินคนบอกอยู่เสมอว่­าให้ขยัน เมื่อทำงานบางทีเราขยันไปเองโดยไม่ต้องมีใ­ครมาบอก แต่เราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า ‘ทำไมเราต้องขยันกันขนาดนี้ และเรามีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจกันบ้างไหม’

วัฒนธรรมชุบแป้งทอดอยากจะชวนคุณผู้ชมไปสำร­วจดูว่า ในสังคมปัจจุบัน ความขยันและความขี้เกียจมีหน้าตาเป็นอย่าง­ไร ความขยันและขี้เกียจเป็นเรื่องส่วนตัวจริง­หรือ ทำไมเราจึงถูกสอนให้ขยันตลอดเวลา คนในสังคมอื่นขยันเหมือนเราหรือไม่ และทำไมคนบางคนถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะขี้เกีย­จ

ร่วมทำความเข้าใจ สังคมแห่งความขยันกับ รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, คุณ พลอย จริยะเวช นักเขียนผู้เห็นคุณค่าของการหยุดพัก, และคุณจิตร์ ตัณฑเสถียร ศิษย์หมู่บ้านพลัมที่มองเห็นความศักดิ์สิท­ธิ์ของวันขี้เกียจ

ออกอากาศพุธที่ 10 ก.ค.นี้ 20.20 น. ทางไทยพีบีเอส

นี่สินะที่ต้องเรียกว่า “น้ำตาจะไหล ขอแชร์นะคะ”

ป.ล.ถ้างง อ่านย้อนตอนเก่าได้ครับ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

โลกหมุนที่ความเร็วสามแมวเดินคุยกัน

กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน

พอดีแอปทวิตเตอร์มันเด้งขึ้นก่อนโครม เลยทวีตไปทีนึงว่าจะเขียนบล็อกด่วน เสร็จแล้วก็เปิดหน้านี้ขึ้นมาเขียน จะได้ด่วนจริงๆ ไม่งั้นนั่งพิมพ์เป็นชั่วโมงแน่

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมโคตรมีความสุขเลยครับตะกี้

พอดีลูกเมียไปค้างบ้านแม่ยาย เมื่อคืนผมเลยนั่งทำงานจนดึกไปหน่อย วันนี้หลังจากตื่น (สิบโมงครึ่ง) ลุกจากที่นอน (เที่ยงครึ่ง — พอดีเสพติดโทรศัพท์และอ่านการ์ตูนอยู่ ไม่ดีๆๆ) อาบน้ำแปรงฟัน เสร็จแล้วเอาโทรศัพท์ไปชาร์จทิ้งไว้ แล้วเดินลงมาหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจบ้านเพื่อขี่จักรยาน ออกเดินทางไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ซอยลาดปลาเค้า 62 (ก๋วยเตี๋ยวหมูเปื่อย อร่อยมาก อยากให้ทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้ได้ลองจริงๆ)

แล้วพอดีว่าแดดวันนี้มันไม่แรงไงครับ ลมกำลังเย็นสบาย ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก ก็เลยพบอณูความชิวกระจายอยู่ในมวลอากาศเป็นปริมาณหนาแน่นผิดปกติ (ขอเรียกว่า “ความชิวสัมพัทธ์”)

ผมเลยขับเลยปากซอยเข้าหมู่บ้านไปอีกหน่อย กะว่าจะไปเที่ยวตลาดลาดปลาเค้าเล่นๆ มันตอนบ่ายนี่แหละ ชาวบ้านเขาทำงานกัน แต่เราไม่

จอดรถซื้อถั่วหน้าปั๊มน้ำมัน แม่ค้าจะใส่ถุงพลาสติกให้อีกชั้น เราปฏิเสธ (ด้วยความโลกสวยและรักสิ่งแวดล้อม) แม่ค้าถามว่า “ไม่เอาเหรอ ไว้ใส่เปลือกไงน้อง” … เออ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย วงการถั่วต้มนี่ร้ายกาจจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เอา เราหยิบถุงถั่วมาแขวนไว้ตรงแฮนด์จักรยานแล้วปั่นต่อ หาที่จอดหน้าตลาดไม่ได้ ก็เลยปั่นเลยไปเรื่อยๆ

เป้าหมายคือ…

ไม่มีว่ะ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำไม แต่ตีนมันปั่นไปแล้ว มือนึงกำแฮนด์ อีกมือล้วงเข้าไปในถุงถั่ว และแกะกินระหว่างปั่นไปด้วย

การปั่นจักรยานของผมนั้นไม่เคยคิดว่าจะปั่นให้เร็วเท่าไหร่เลย เพราะเคยพยายามปั่นเร็วๆ เผื่อจะได้เท่แบบคนอื่นที่เคยขับแว้นแซงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างกายเราบอกว่าปั่นไปมึงก็เมื่อย และที่สำคัญมากคือมันไม่ชิว

เมือสะกิดใจถึงสิ่งนั้น ผมเลยปั่นด้วยความเร็วระดับ 3 แมวเดินคุยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และพบว่าบรรยากาศสองข้างทางนั้นเป็นของเราโดยสิ้นเชิง

ผมขับรถยนต์เวลาไปไหนมาไหนกับลูกเมีย

ผมขี่ฟีโน่เมื่อเดินทางไปทำงาน

ผมขึ้นรถเมล์เมื่อเบื่อรถไฟฟ้า

นี่ถ้าแถวบ้านมีท่าเรือ ผมก็อาจจะขึ้นเรือ เพื่อให้การเดินทางในแต่ละวันไม่ซ้ำกันก็ได้

แต่จักรยานสำหรับผมนั้นไม่ใช่การเดินทาง มันคือการโดดขึ้นขี่เพื่อย้ายตูดตัวเอง (สำนวนฝรั่งซะด้วย) จากที่นึงไปอีกที่นึง โดยไม่ได้ระบุพิกัดเป้าหมาย เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจริงๆ

อย่างเมื่อวานปั่นไปคืนหนังสือการ์ตูนแถวเสนา (ผ่านบ้านเศรษฐี ถ่ายรูปไว้ด้วย) ก็กะว่าจะไปทางปกติที่ขับรถยนต์ไป แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจ เลี้ยวเข้าซอยที่ไม่ค่อยได้เข้า และแวะชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ

ใช้เวลามากกว่าเดิมสองเท่า แต่ความสุขมันแทบจะล้นออกมาจากสองรูจมูก

แม้โอกาสจะเพิ่งอำนวยเมื่อไม่นาน หลังจากลดเวลาการทำงานที่บริษัทลง แต่นั่นก็ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่า ผมชอบการเดินทางแบบนี้ คือไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็จอดแวะซื้อน้ำเก๊กฮวยกิน แล้วก็ปั่นต่อ

มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเมื่อขี่แว้น และยากกว่านั้นอีกเมื่อขับรถยนต์ เรากำหนดจุดหมาย แล้วก็ขับไป มีสมาธิจนถึงจุดหมายปลายทาง

ซึ่งอารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นกับจักรยานเลย

ด้วยความเร็วระดับสาวแมวฯ ทำให้เห็นว่าสองข้างทางนั้นมีบ้านคน ทั้งแบบรวยๆ รั้วสูงๆ กับแบบจนๆ ที่ไม่มีรั้วเลย จนเราอนุมานได้ว่าความรวยนี้แปรผันตรงกับความสูงของรั้วบ้าน

มีถังขยะ 3 แบบ (แบบขุ่น แบบเขียวเหลือง และแบบถังสีน้ำเงิน) มีต้นไม้ใบหญ้าที่ปกติเราไม่ได้เจรจากับมัน แต่พอปั่นจักรยาน เราเลยได้โยนเปลือกถั่วลงไปเป็นปุ๋ยไนโตรเจนให้มัน (แต่มันเป็นวัชพืชนะ)

มีหมาที่บางตัวเป็นมิตร บางตัวกลัวเรา บางตัวเตรียมโจมตี เราก็เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์เดียวกับมัน (เกียร์หมา) แล้วปั่นหนีสุดชีวิต

มีร้านรับปะ ซ่อม เย็บเสื้อผ้าจำนวนมาก คือแถวๆ นั้นเป็นแฟลตทหารน่ะครับ แล้วเมียจ่านี่แหละ เป็นทรัพยากรแรงงานด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศเรา

มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ว่าเด็ด (ธรรมดา 30 พิเศษ 35) แต่ดูแล้วงั้นๆ อยู่ติดกับร้านข้าวแกงที่ดูไม่น่าอร่อยเหมือนกัน แต่มีตู้แช่น้ำยี่ห้ออาร์ซีโคล่า ซึ่งดูเจ๋งมาก ไม่แคร์สงครามน้ำดำเจ้าอื่นทั้งสิ้น น่าเสียดายเรากินน้ำอื่นไปแล้วก่อนหน้านี้

มีคลองน้ำเน่าที่เหม็นมาก กลิ่นงี้โชยมาแตะจมูก ทิวทัศน์ก็ไม่สวยเลย ผักตบงี้เต็ม แต่ที่เต็มกว่าคือผักบุ้ง ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผักบุ้งที่ขึ้นจากน้ำเน่านี่มันกินได้ไหม แล้วแม่ค้าผักบุ้งที่ตลาดบัวนี่เขาเก็บจากแถวนี้ไปขายหรือเปล่า

มีถนนที่สร้างไว้เปล่าๆ เหมือนงบเหลือ นานๆ ที จะมีรถผ่านมาสักคันให้พอหายเหงา แต่นั่นกลับทำให้สภาพผิวถนนดีมากๆ ลองปั่นไปปั่นมา วนซ้ายวนขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เพราะต้องแกะถั่วกินไปด้วย ก็พบว่าปลอดภัยดี ไม่มีแท็กซี่มาตำ

สรุปว่าเมื่อกี้ผมปั่นไปรอบๆ ราบสิบเอ็ด (คือสถานที่เดียวกับที่รัฐบาลพี่มาร์คเข้าไปตั้ง ครม.อยู่ในนั้น ขณะที่มีชุมนุมเสื้อแดงปี 53 น่ะ) แล้วจอดคุยกับทหารยามที่เฝ้าประตูทางเข้าในโซนทหารช่าง ว่าที่นี่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาปั่นจักรยานชิวๆ เล่นไหม และได้คำตอบว่า “เข้าได้จ้ะ หลังเวลาราชการคือบ่ายสามครึ่งก็จะเปิดให้เข้ามาออกกำลังกายได้จ้ะ”

อันที่จริงผมเคยขับรถหลงเข้าไปเพราะคิดว่ามันเป็นทางลัดไปร้านขายต้นไม้ในราบ 11 ที่เยอะๆ และหาทางเข้ายากฉิบหายน่ะครับ ที่ไหนได้มันเป็นคนละโซนกัน (ตอนออกมาโดนทหารที่เฝ้าประตูนี่แหละดุเอาด้วย ว่าทำไมไม่ถามผม เขา ว.กันให้วุ่นเลยว่ามีรถภายนอกเข้าไปในเขตหวงห้าม 55555 T-T) แต่วิวงี้สวยเช็ดเม็ดจนไม่คิดว่านี่คือกรุงเทพฯ เลยครับ เพราะโซนนี้มีโบกี้รถไฟเก่าๆ วางทิ้งไว้ริมบึงน้ำด้วย น่าถ่ายมิวสิกมากๆ คือช่วงพระอาทิตย์กำลังอ่อนล้านี่ บรรยากาศบริเวณดังกล่าวแม่งชิวระดับแปดจุดเก้าเลยทีเดียว

เอาไว้เดี๋ยวลูกเมียกลับมาถึงบ้าน จะพาเข้าไปเดินเล่นในนั้นกันอีกที หวังว่าคุณทหารจะไม่ดุแล้วนะ

ส่วนคราวนี้ ผมไม่ได้เอามือถือไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดครับ แวบนึงก็เสียดาย เพราะเราแม่งเป็นทาสโซเชียลไง เจออะไรก็ต้องอัป ต้องทวีตอวดชาวบ้าน แต่นี่ไม่ได้เอาไป เลยตัดโหมดนี้ทิ้งไป เลิกเสียดาย แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางเต็มที่

เสร็จแล้วก็กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน..

(อ่านบรรทัดแรกอีกครั้ง)

งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

จริงเหรอวะ

ใครเป็นคนเริ่มพูดวะเนี่ย แล้วมันฝังหัวด้วยนะ เพราะเราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ถามว่าเชื่ออย่างที่เขาว่าไหม? ถามตัวเองในตอนนี้คงจะได้คำตอบว่าไม่เชื่อแน่นอน เพราะเราไม่ได้จนกรอบแบบเมื่อก่อนแล้ว อุดมการณ์น่าจะเปลี่ยนไป

จึงขอย้อนกลับไปถามตัวเองเมื่อมัยเรียน ตอนที่ไม่มีเงินเลย แม้จะแบมือขอพ่อแม่ก็ยังไม่พอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสำหรับคนอยู่หอพักในกรุงเทพฯ (ถูกๆ ด้วยนะ) จนต้องทำงานพิเศษระหว่างเรียนเป็นการรับจ็อบออกแบบนั่นนี่ จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้

พอถามไอ้แอนตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ มันก็บอกว่าจริง ถ้ามึงอยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบ สิ่งสำคัญในชีวิตคือการเอาปากท้องตัวเองให้รอดก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน

แต่ไอ้แอนตอนอายุยี่สิบ (นั่งถัดจากไอ้แอนคนก่อนหน้านี้ 1 ปี) มันเริ่มเริ่มมีเพื่อน มีสังคมนอกคณะ เรียกว่ากบาลเริ่มเปิดเพราะพอจะรู้จักโลกภายนอกแล้ว มันชิงตอบว่า พอมีเงินเข้ามาพอให้ตัวเองพ้นจากสภาวะปากกัดตีนถีบปั๊บ สิ่งที่ต้องการในชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนที่อีตามาสโลว์แกเคยกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มันไล่มาจากพื้นฐานสุดๆ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยกระดึ๊บเป็นลำดับถัดไปเป็นสเต็ปๆ (ใครไม่เคยอ่านที่แกกล่าวก็กดเข้าไปซะนะ)

ทีนี้ลำดับถัดไปของใครจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ของผม มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันเลยว่า “ธง” ในชีวิตคือความชิว ไม่ใช่เงิน

ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์อีกหลายหมื่นแสนล้านคน ที่มีความต้องการถัดจากขั้นพื้นฐานแตกต่างกันออกไป บางคนมีความสุขที่จะได้แฟนที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท (ที่เพิ่งเป็นกระแสฮือฮาดราม่าในทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน ลองกดอ่านดู) บางคนแฮปปี้ที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทตอนอายุ 31 บางคนอยากมีชื่อเสียง บางคนอยากมีอำนาจ บางคนอยากได้รับการยกย่อง บางคนคิดว่าพอตายไปแล้วอยากทิ้งอะไรให้โลกไว้สักอย่างให้คนยังพูดถึงอยู่ (ผมก็เป็นประเภทนี้) บางคนอยากมีเพื่อน บางคนอยากปี้ให้ครบทุกประเทศทั่วโลก (มีจริงๆ เคยอ่านมา อิจฉา เอ๊ยทึ่งมาก ที่มึงอุทิศชีวิตเพื่อการขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้) บางคนอยากนิพพาน บางคนอยากเห็นโลกสงบสุข บางคนอยากได้ประชาธิปไตย และบางคนอาจอยากจับนมสาวเกิร์ลเจนสักครั้ง

ส่วนผม บวกลบคูณหารดูแล้วยังมั่นใจว่า ธงในชีวิตตัวเองไม่ใช่เงินแน่นอนครับ แต่มันคือความชิว (แล้วจะพูดซ้ำกับย่อหน้าข้างบนทำไม) ให้นึกภาพว่ายอดเขาที่ตัวเองกำลังปีนอยู่และหวังว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปยืนปักธงอยู่บนนั้น มันต้องชิวมากแน่ๆ

ว่าแต่ความชิวคืออะไร?

คำว่าชิวของผม (ที่จริงมันต้องเขียนว่า ชิล หรือ ชิลล์ แต่เพื่ออรรถรสส่วนตัวผมเขียนชิวละกัน เหมือนคำว่าโซเชี่ยวอะ) หมายถึงการนอนกลิ้งๆ ขี้เกียจๆ แคะขี้มูก อ่านการ์ตูน อ่านหนังสือ ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวดูนกดูไม้ โดดน้ำเขื่อน พาลูกเมียไปทะเล ฯลฯ

แค่นี้เอง ต้องการแค่นี้จริงๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็พบว่ามันต้องใช้เงินครับ ก็เลยมีบ้างที่ตัวเองต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบ (อย่างกลางเมืองหลวงในกรุงเทพฯ เนี่ย) เพื่อแลกเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองความต้องการขั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของตัวเอง

ผมเกลียดชีวิตมนุษย์เงินเดือน เกลียดระบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันทุกวัน ถึงจะได้เงินเยอะ แต่เมื่อแลกกับเวลาที่หดหายไปกับการเดินทางนั้น ก็พูดได้เต็มปากว่าโคตรไม่คุ้มเลย

เออ พออ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกมีปัญหากับบริษัทนะ ไม่หรอกครับ กับวิชาชีพที่เราทำอยู่นี้ (งานออกแบบเว็บและอินเทอร์เฟซต่างๆ รวมถึงการเป็นสถาปนิกเว็บด้วย) เรามีความสุขดี เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็น่ารักและเป็นมนุษย์ประเภทที่เคมีตรงกัน เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ก็ถือว่าโคตรน่าอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่าเราไม่ได้ไม่ชอบบริษัทนี้ เราไม่ได้มีปัญหากับใคร ยกเว้นตัวเอง ที่รับไม่ได้กับการหมดเวลาของชีวิตตั้งเยอะกับการทำงานบริษัท

ซึ่งไม่ชิวเลย

ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงไปขอลาออก ถึงจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังได้ข้อเสนอที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิม คือไปทำงานอาทิตย์ละสองวันพอ แน่นอนว่าเงินเดือนตอนนี้ก็ถูกปรับลดลงตามสเกล ตอนนี้ถ้านับงานนอกงานใน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีรายได้พอที่จะไปเป็นแฟนบางคนในทวิตเตอร์ได้แล้ว 55555

แต่ถามว่าแคร์ไหม บอกได้เลยว่าไม่แคร์ และยินดีมากด้วย เมื่อได้แลกมากับ “เวลา” ที่เป็นหัวใจของความชิว

ตอนนี้เราตื่นแปดโมงทุกวัน ตื่นเองแบบไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกก็ได้ นี่ก็ชิว / ลุกขึ้นจากเตียง หยิบการ์ตูนที่อ่านไว้จนสัปหงกเมื่อคืนขึ้นมาอ่านต่อ พร้อมกับดินไปแปรงฟัน นี่ก็ชิว / พอลูกเมียอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งจับลูกใส่เสื้อผ้า แล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกับการอ่านนิทานให้นิทานฟัง นี่ก็ชิว / ก่อนจะเปิดมือถือและเข้าไปจมปลักในโลกออนไลน์ที่เราเสพติดอยู่ นี่ก็ชิว / ว่างๆ วันไหนก็ได้ที่นึกอยากจะออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวพักผ่อนกะลูกกะเมียก็ได้ไป นี่แหละคือความชิว

ใช่แล้ว ความชิวคือความขี้เกียจ!

และก็ใช่แล้ว เราเป็นมนุษย์ขี้เกียจ เราทำทุกอย่างได้เพื่อบูชาความขี้เกียจ!

ทำทุกอย่างได้แม้กระทั่งต้องเบนไปนอกลู่นอกทางนิดนึง ด้วยการไปทำงานบริษัทด้วยความจำใจ

เปล่า เราไม่ได้ปฏิเสธเงิน แต่ไม่ค่อยชอบคำขวัญที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”

เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการบันดาลของเงินเท่านั้น เงินน่ะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร้อยพันสิ่งที่จะสามารถบันดาลความสุขให้กับเราได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่ได้รับการปลูกฝังมา

แถมเมื่อชั่งนำ้หนักกับ “เวลา” แล้ว เราให้ราคากับเวลามากกว่าเงินมากมายนัก (ฟังดูเป็นคำพูดของคนมีเงินแล้วดีนะ ไม่หรอก เราเป็นงี้มาตั้งแต่เป็นไอ้แอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบละ) ก็เลยพาลเกลียดวัฒนธรรมที่เป็นผลพวงจากคำขวัญปลุกใจมนุษย์เงินเดือนดังกล่าว นั่นคือพอคนเราทำงานกันจนชินชาแล้ว เราก็จะคิดว่าชีวิตนี้ข้าขออุทิศเพื่องาน เป็นพนักงานบัญชีก็ทำบัญชีต่อไป เป็นเด็กเสิร์ฟก็เสิร์ฟต่อไป เป็นคนทำเว็บก็ทำเว็บต่อไป

แล้วเวลาแนะนำตัวเองกับใคร จะต้องมี bio ห้อยท้ายต่อจากชื่อของตน คือพูดชื่อก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน” แล้วคำถามต่อมาที่เจอทันทีหลังจากรู้จักชื่อก็คือ “ทำงานอะไรอยู่ครับ”

เฮ้ย มึงถามอายุ ถามแนวเพลงที่ชอบ ถามสเป็กสาว ถามว่าเมื่อวานกินอะไร กินพริกหยวกได้ไหม อะไรงี้ก่อนได้ไหมอะ

มนุษย์เรามีวิธีการเขียน bio ตั้งมากมายไว้ระบุถึงความเป็นตัวเองนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนถึงวิชาชีพที่ตนสังกัดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันแบนไป

และไม่ชิวเลย

.

ป.ล.
บล็อกตอนนี้เขียนวกวนหน่อย ช่างมันเนอะ ขี้เกียจรีไรต์ ขนาดสรรพนามตอนแรกๆ ยังเรียกตัวเองว่าผม พอหลังๆ มาเป็นเราเฉยเลย

ป.อ.
เออ ลืมเขียนไปเรื่องนึง การปลดหนี้ได้คือต้นทุนของความชิวนะ ที่ผ่านมาเราทำงานนั่นนี่สารพัดเพื่อการปลดหนี้ให้หมด จนตอนนี้บ้านที่ซื้อก็ผ่อนหมดแล้ว รถก็ผ่อนหมดแล้ว และมีเงินทองเก็บอีกนิดหน่อยพอที่จะเอาตัวรอดได้ แถมยังวางแผนการหาเงินของตัวเองไว้พอสมควร ไม่ได้ถึงกับลงมือศึกษาหรือโดดไปเล่นหุ้น(มันไม่ชิว) แต่ก็ไม่ได้ผยองหรือประมาทในการใช้ชีวิตบนโลกของทุนนิยมนี่นา ดังนั้นการมีเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่แบบนี้ ก็น่าจะเลี้ยงลูกเมียได้นะ 55555

ป.ฮ.
ว่าจะวาดภาพประกอบ แต่ตอนที่ผ่านๆ มาก็วาดแบบตีนปาด(เพราะขี้เกียจ) … อายว่ะ ไม่วาดดีกว่า

ยาวไปไม่อ่าน

ผ่านงานหนังสือมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมเพิ่งหยิบหนังสือเล่มแรกจากงานนั้นมาอ่าน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซื้อหนังสือจากงานมาดองไว้ เหมือนกับว่าพอเห็นปก เห็นชื่อคนเขียนปั๊บ ก็อยากจะครอบครองมันเพื่อความเท่และแสดงตัวตนอะไรบางอย่าง เอาเข้าจริงไม่ได้อินหรือสนใจเนื้อหาข้างใน เท่ากับการได้อวดคนอื่นว่า “อ๋อ เล่มนี้เหรอ เราซื้อแล้ว”

แน่ะ ดูหล่อเลยเห็นไหม มีรสนิยมจริงๆ เมื่อได้บอกใครว่ามีหนังสือเล่มนี้ของนักเขียนคนนี้ (แต่อ่านหรือไม่นั่นอีกเรื่อง — อ่านแล้วเก็บอะไรไปได้แค่ไหนนั่นก็อีกเรื่อง)

เมื่อก่อนก็แปลกใจพฤติกรรมนี้ของตัวเองเหมือนกันนะครับ แต่พอผ่านงานหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็พบว่าตัวเองมีหนังสือประเภทดังกล่าว (ซื้อมาไว้เท่ๆ) เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมาสำรวจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร

ก็สรุปได้ว่า ระยะหลังมานี้ เราเหลือสมาธิในการอ่านหนังสือน้อยลงจริงๆ
Continue reading ยาวไปไม่อ่าน