ความไม่สำเร็จครั้งที่หนึ่งประจำปี 2556

บล็อกนี้ไม่เท่ ไม่หล่อ ไม่ลึก ไม่คม นี่เตือนไว้ก่อนนะ

หนึ่งในโจทย์ใหญ่ของปณิธานปีใหม่ที่ได้ตั้งเอาไว้ นั่นคือลาออกจากงาน ตอนนี้ขออัปเดตว่าทำไม่สำเร็จครับ

ตอนบ่ายเดินเข้าห้องไปคุยกับเจ้านายว่าจะขอลาออก เหตุผลคือเบื่อชีวิตซ้ำๆ การเดินทางในกรุงเทพฯ ที่ทำให้ชีวิตฝ่อลงทุกวัน (ต้องย้ำว่าไม่ได้มีปัญหากับงานหรือคนในออฟฟิศนะครับ แค่มีปัญหากับวิถีชีวิตหุ่นยนต์ เป็นความชิวของตัวเอง) จึงขอกลับไปช่วยเมียพับเสื้อขายอยู่บ้าน หรือรับงานมาทำกุ๊กกิ๊กๆ นิดหน่อย ได้ตังค์น้อยก็จ่ายน้อยลงเหมือนเมื่อก่อน สบายดี

แต่กลับได้รับข้อเสนอกลับมาว่า เอางี้ไหม ลดวันมาทำงานวันเดียวพอ อย่างน้อยๆ ก็โผล่หัวมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้น้องๆ ในออฟฟิศบ้าง ส่วนเนื้องานก็เหลือไว้พัฒนาสมองหน่อย กันโง่ (ซึ่งผมเห็นด้วย ทุกวันนี้มีึความสุขกับการได้ออกแบบอะไรต่อมิอะไรอยู่ดี)

เรื่องเงินน่ะคงโดนลดไปเยอะแหละ (ไม่ได้คุยละเอียด) แต่ช่างมัน ในเมื่อสิ่งที่เราได้คิืนมาคือเวลาชีวิตอีกมหาศาล เอาเวลานี้ไปทำเสื้อ ไปทำฟอนต์ ไปวาดการ์ตูนเล่น เขียนอะไรเล่น หรือหัดทำโน่นนี่ยังได้ ที่สำคัญคือได้เลี้ยงลูกแบบเต็มๆ ซะที

ข้อเสนอนี้จึงโอเคแฮะ กลายเป็นว่าขอลาออกไม่สำเร็จ เราจึงอยู่ในระบบการทำงานแบบสังกัดมนุษย์เงินเดือนต่อไป แต่คงชิวขึ้นแหละ เพราะคุณภาพของเพื่อนฝูงพี่น้องร่วมงานที่นี่ก็ดีมากๆ แถมหัวก็ไม่ฝ่ออีกด้วย

บันทึกตรงนี้ไว้ว่าวินวินนะ ต่อไปจะเป็นยังไงเดี๋ยวค่อยมาดูกันอีกที

ป.ล.
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ผมขับรถพาลูกเมียไปเที่ยวต่างจังหวัดแทบทุกสัปดาห์เลยครับ เปิด Location History ใน Google Latitude แล้วสนุกดี พอเสาร์อาทิตย์ปั๊บ กราฟการเดินทางพุ่งปรี๊ดเลย เนี่ยดูดิ ชีวิตในฝัน :30:

อย่างไม่คิดจะถุยชีวิตให้เสียเวลา

เตือนไว้ก่อนว่าบล็อกตอนนี้ออกแนวเพ้อเจ้อและนามธรรมมาก ไม่รู้จักกันก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน

คือระยะนี้เห็นคนรอบข้างกำลังแสดงอาการเบื่อหน่ายและถ่มถุยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยครั้ง เลยหันมามองตัวเองบ้าง ก็พบว่า

อันข้างบนนี้ทวีตไว้หลายวันแล้ว (ไม่หลายเท่าไหร่หรอก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้เอง) แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่

ถ้าเทียบกับคนอื่นที่เวลาเล่าจะเล่าอย่างโลดโผน ว่าผ่านนู่นนั่นนี่มาแล้วทั้งชั่วดี โดยเฉพาะเพื่อนที่ยิ่งผ่านเรื่องชั่วๆ มาก่อน จะยิ่งเล่าได้อย่างออกรส ในขณะเดียวกันถ้ายังไม่ผ่าน แต่ยังอยู่ในสถานการณ์เหี้ยๆ อันนี้จะออกแนวถุยชีวิตหน่อย … พอมองตัวเองบ้าง ก็จะพบว่าชีวิตเรานี่ค่อนข้างเรียบง่าย และออกแนวน่าเบื่อด้วยซ้ำ เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีเสน่ห์อะไรเลย ซึ่งจะว่าเกิดด้วยความบังเอิญก็ไม่ใช่ เพราะเราเชื่อเสมอว่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตนั้นไม่เคยมีปาฏิหาริย์ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมัน แปลว่าอะไรที่ดูเหมือนเป็นผล ก็ต้องมีเหตุ (คือนี่แม่งพุทธมากๆ เลยนะ ดูเหมือนเป็นพวกหยิบปรัชญามาใช้กับตัวเองส่งเดชจริงๆ)

แต่รู้สึกอย่างชัดเจนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรื่อยเปื่อยเลยนะ คือวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็เป็นแผนที่แบบหลวมๆ และชิวๆ (ที่จริงมันต้องเขียนว่าชิลล์ แต่เราติดเขียนแบบนี้ ให้อภัยเราเถอะ) คือไม่ได้แน่นจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้หลวมจนเหลาะแหละ (นี่ก็ปรัชญาพุทธอีก เท่ฉิบหายเลยสิมึง)

ประเด็นคือ เราค้นพบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราชอบอะไร เรามองเห็นแล้วว่าเป้าหมายสูงสุดที่ถ้าไปถึงได้จะฟินมากคืออะไร ทีนี้ก็เริ่มก้าวเดิน..

ใช่ ชีวิตแต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกันเลย บางคนก็อยากรวยสุดๆ หรืออยากเท่สุดๆ อยากดังสุดๆ อยากประสบความสำเร็จสุดๆ อยากมีเกียรติยศศักดิ์ศรีสุดๆ หรืออยากเป็นพ่อพันธุ์ ไล่ปี้ตัวเมียให้มากที่สุด ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ผิด ตราบใดที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น (เช่นไม่ไปไล่ปี้คนอื่น) ก็ทำไป.. ยอดเขาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แถมบางคนมีหลายยอดด้วย ปีนมาถึงนี่ กูพอละ ขอลองลูกข้างๆ บ้าง ก็ว่าไป

สำหรับเรา ที่ผ่านมาพอรู้แนวทางว่าตัวเองชอบอะไร และเสี้ยนหนามของเป้าหมายในชีวิตคืออะไร แต่ก็ยังคงเบลอๆ จนมาถึงระยะหนึ่งก็ตอบได้แล้วว่า เราเป็นมนุษย์ชิว.. อะไรก็ตามที่ขัดขวางความชิวของชีวิต นั่นคืออุปสรรค แต่ก็จะค่อยๆ แกะเสี้ยนหนามออกทีละหน่อยเท่าที่มีโอกาส ความสามารถ และกำลังพอ อย่างไม่คิดจะถุยชีวิตให้เสียเวลา

ยอดเขาของเรานั้นชื่อว่าชิว และเรากำลังค่อยๆ ปีนอยู่

อย่างชิวๆ

เติมพลังเต็มถังเลยน้อง

ดึกแล้ว
แต่รู้สึกว่าต้องระบายอะไรออกมาหน่อย

เคยรู้สึกทำนองนี้กันไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังเป็นอยู่เลย คืออยู่ดีๆ พลังงานชีวิตมันก็มา มาแล้วก็อยากริเริ่มอะไรจริงจังให้สมกับที่ “ว่าจะ” ทำนั่นนี่ตลอดมา แต่ก็ติดข้ออ้างเรื่องเวลามาตลอดเช่นกัน

ตอนนี้เรื่องลดน้ำหนักเราทำได้เป็นที่น่าพอใจ
ก็เป็นประกายไฟแวบแรกให้รู้สึกว่าไอ้ที่เราอ้างอยู่เสมอว่าช่างไม่มีเวลาว่างแบบคุณภาพๆ เอาซะเลยนั้นมันปัญญาอ่อนมาก

โปรเจกต์ล้านแปดในสมอง ถ้าไม่ได้เริ่มลงมือทำ มึงก็แค่ไอ้ขี้โม้

โอเค พรุ่งนี้จะเริ่มละ!!
บริหารเวลาด้วยการใส่อุปสรรคลงไปในเวลาที่ไม่ค่อยจะมีนั่นแหละ ดูซิว่าพอมีเป้าหมายแล้วมันจะช่วยทำให้เวลาฟุ้งๆ ที่ว่า มันตกตะกอนลงได้ไหม

ถึงพวกเขาจะไม่รู้ตัว แต่ก็ขอขอบคุณจักรี ขอบคุณพี่หนุ่ม ขอบคุณแชมป์ เอม หนุงหนิง และอี บ.ก.แบงค์มากๆ เลยครับ

ป.ล. เขียนบล็อกตอนนี้ในมือถือ แอปเวิร์ดเพรสก็เข้าท่านะ

ผีหางตา

(ต่อไปนี้จะหัดเขียนแบบตัดประโยคทีละย่อหน้าแบบชาวบ้านเขาดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเขียนแบบกด Enter ท้ายบรรทัดให้มันกว้างเท่าๆ กันมาตลอด รู้สึกว่าเป็นธรรมเนียมที่น่ายกเลิก)

ทุกวันเวลาผมเลิกงาน และกลับบ้านด้วยรถประจำทางเนี่ย กว่าจะถึงแถวหน้าบ้านก็ล่อไปสองสามทุ่มละ มันจะมีจังหวะที่ต้องสะดุ้งทุกที (ย้ำว่าทุกที) ครับ เพราะนอกจากตรงนั้นจะมืดมาก เปลี่ยวมากแล้ว มันยังเป็นกำแพงวัดด้านหลังเมรุซะด้วย

อ่านดูแล้วยังกะหนังผีพล็อตโบราณๆ ที่เอะอะไอ้คนเล่าแม่งต้องเดินผ่านป่าช้าหรืออะไรแบบนี้ทุกที แต่ขอโทษครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนึงจะได้มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเองจริงๆ

จุดที่ผมลงจากรถกระป๊อคือหน้าซุ้มวัด แล้วต้องเลาะเลียบกำแพงวัด เดินหลบขี้หมาแล้วไต่ทางเท้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 100 เมตร กว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านซึ่งมีแสงไฟ มียามหมู่บ้าน และถ้าวันไหนกลับไม่ดึกมากก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์นั่งรอผู้โดยสารอยู่ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้นคืออุ่นใจละ กูถึงบ้านละ เดินไปจุดจอดจักรยานได้ก็ถือว่าฟิน อีกไม่กี่วินาทีจะถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียและแมวๆ ละ

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะมันต้องผ่านจุดเปลี่ยว ที่มีผี ที่ผม “เจอทุกวัน” เสียก่อน

คือผมชอบใส่หูฟังเวลาเดินทาง เพราะพบว่ามันสงบดี ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายและกลิ่นเหม็นของกรุงเทพฯ ข้างนอก บางทีก็เปิดเพลง บางทีก็โหลดรายการทีวีย้อนหลังอย่างพวกตอบโจทย์ สยามวาระ หรือเทยเที่ยวไทยมาตุนไว้ในมือถือ แล้วก็เปิดคลอมาตลอดทาง นานๆ ทีจะมีคนอวดผีย้อนหลังมาแจมด้วย (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการฟังอย่างเดียวเท่าไหร่ เพราะมันต้องก้มลงดูด้วย)

ทีนี้พอลงจากรถปั๊บ ก็ถอดหูฟัง เพื่อเรียกตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และก้าวเดิน ผ่านหลังเมรุเผาศพและกำแพงวัดที่มีเฟรนด์ชิปบรรพบุรุษจำนวนมากอาศัยอยู่นั่นแหละครับ

มันจะมีจังหวะนึงที่พอเดินปั๊บ ก้มหลบป้าย แล้วเตรียมลงจากทางเท้า หางตาด้านขวา (ฝั่งเดียวกับเมรุ) ของผมจะเห็นไอ้นี่

ghost-on-the-way

เหี้ย! ไม่ใช่เหี้ยสิ ผี!

คือสะดุ้งทุกครั้ง จำได้ว่าตอนเจอครั้งแรกนี่ตกใจมากจนเดินตัวงอเลยครับ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเคยเจอผีมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันมีจริงอยู่ แต่หลังๆ ไม่ได้กลัวเพราะว่ามันไม่ได้เจอมานานแล้ว พอเดินผ่านไปสักสองสามก้าวก็หันมามองเพื่อดูว่าที่จริงมันคืออะไร (เป็นวิธีสยบเรื่องผีทุกเรื่องในโลก) ปรากฏว่าที่แท้มันคือต้นไม้ที่อ้วนขนาดเท่าแขนขาเราพอดี แล้วมีไม้กระดานพาดไว้

แต่จังหวะและบรรยากาศตรงนั้นนั่นแหละ พร้อมด้วยการจินตนาการต่อยอดจากภาพจากหางตาเวลาแวบเห็น ที่หลอกเราว่ามันคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน ทั้งที่จริง ..แม่งก็เหมือนคนจริงๆ นะ

พอหลังๆ ลงรถและเดินผ่านตรงนั้นอีกทีทีไร ผมจะคอยจับสังเกตครับว่าผีตนนี้จะโผล่มาตอนไหน คือวันไหนสังเกตก็จะไม่สะดุ้งเพราะสปอยล์ตัวเองไว้แล้ว (ถือว่าเสียอรรถรสนะ) แต่วันไหนเสียบหูฟังคนอวดผีอยู่ ก็จะสะดุ้งเฮือกเหมือนเดิมทุกที

ก็นับเป็นการเล่นสนุกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเข้าบ้านครับ

อ้อ เมื่อเช้าเลยแวะถ่ายผีตนนี้มา เผื่อวันนึงมันโตขึ้นจนเกินความสูงที่สายตาจะจินตนาการให้เป็นรูปร่างคล้ายคนแล้ว จะเสียความสนุกตรงนี้ไปฉิบ

รั้ววัดลาดปลาเค้า

การเคลื่อนไหวที่ไม่มีประโยชน์

บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนสดุดีการ์ตูนเรื่อง Bambino! ของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ครับ
เป็นการ์ตูนที่เห็ฯหน้าปกแล้วก็ไม่ได้คิดจะอ่าน เพราะผมเฉยๆ กับการ์ตูนทำอาหาร
แต่ทำไมใครๆ รอบกายก็ต่างยุให้อ่านให้ได้ และมัน “มีค่าพอจะซื้อเก็บสะสม” เลยล่ะ
ก็เลยไปสอยมาจากงานหนังสือที่ผ่านมา (ขนาดคนขายที่บูทเองยังคิดว่าอยู่ค่ายอื่นเลยคิดดู)

ที่จริง Bambino! (ใช้เป็นสแลง หมายถึงเด็กอ่อนหัด หรือกาก อะไรแบบนี้) เขียนมาแล้วสองภาค
ภาคสองเพิ่งถึงเล่มสี่ และภาคหนึ่งก็มีคนเอาไปทำซีรี่ส์ออกทีวีเรียบร้อยแล้ว ใครไม่อ่านการ์ตูนก็หามาดูได้
ผมเพิ่งอ่านภาคแรกไปได้แค่หกเล่ม แต่ก็คิดว่าต้องเขียนแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวลืมประเด็นที่มันแว้บขึ้นมาฉิบ

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวสู้เพื่อฝันครับ แต่ไม่ได้เฉิ่มๆ เหมือนหลายๆ เรื่องนะ คือเรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ใดๆ
ไม่มีความแฟนตาซี พระเอกไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือมีพรสวรรค์แบบที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องเฉพาะ ไกลตัว
แบบ Bakuman ที่พระเอกทั้งคู่ก็เก่ง หรือ BECK ที่พระเอกก็มีพวงสวรรค์อยู่ไม่น้อย

ไอ้ความที่พระเอกมันไม่ได้เก่งกาจชาตินักรบมาจากไหนนี่แหละ เหมือนคนเขียนตั้งใจบอกว่า มึงน่ะก็ทำได้
ขอแค่ ขอแค่อะไรสักอย่าง ต้องไปอ่านเอาเองจากในการ์ตูน เดี๋ยวเล่าแล้วจะไม่หนุกฉิบ

ถึงเนื้อหาจะว่าด้วยการเข้าไปทำงานในร้านอาหารอิตาลี ซึ่งโคตรจะไกลตัวเราเลย
แต่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ย่อยง่ายมาก และอ่านสบายอยู่กึ่งกลางระหว่าง BECK กับ Bakuman ครับ
ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าเฮ้ย ชีวิตกูหมดไฟ หรือใครเพิ่งเรียนจบ (พระเอกในเรื่องเริ่มต้นตอนอยู่มหาลัยปี 3)
จงหามาอ่าน แล้วน่าจะจูนทิศทางชีวิตของตัวเองได้เลย

ผมนั้นนับถือการ์ตูนเสมอ ไม่ว่ามันจะไร้สาระหรือปัญญาอ่อนสักแค่ไหน ไม่เคยมองมันเป็นขยะเลย
ตราบใดที่คนเขียนใส่ใจกับเนื้องาน มันดูออกนะ (คือในบ้านเรามันมีแนวๆ ตีหัวเข้าบ้านอยู่ก็ไม่น้อย)

.. อ้อมไปไกลตามเคย ลูกร้องแล้ว เข้าเรื่องได้

ในเล่มแรกๆ นั้นพระเอกต้องรับภาระเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในการทำอาหารมือใหม่สุดๆ เลย
แล้วอีพ่อครัวนี่แม่งทำงานเร็วมาก เซียนมาก เก๋ามาก แต่เหยียดหยามพระเอกฉิบหายเลย เพราะมันกากไง
ถึงจะเจ็บใจ แต่ไอ้พระเอกมันก็อยากเก่งแบบนั้น อยากไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นมั่งไง แต่ทำไงก็ไวไม่เท่าสักที
จนแม่ครัวสาวในร้านก็หันมาเตือนว่า “หร่อนน่ะเคลื่อนไหวแบบไร้ประโยชน์มากเกินไป”

ฉึก!

พระเอกหันไปดูอีพ่อครัวคนนั้น หันมาทีจับกระทะ หันไปหยอดเห็ดงี้ มันขยับตัวทุกอย่างแบบมีคุณค่าหมดเลย
เลยเกิดปัญญาขึ้นมา และพยายามพัฒนาตัวเองตาม

แต่ประเด็นคือ ผมดันไปชอบประโยคที่บอกว่าเป็ฯการขยับตัวที่ไม่มีประโยชน์นั่นจังเลยครับ
เห็นตัวเองเลยว่าก่อนหน้านี้หลายๆ ปี เราขยับตัวแบบไร้ประโยชน์มานานมากๆ
เอาเวลาไปทำนั่นนี่ที่ เออ ทำไปทำไมวะ ทำแล้วได้อะไรวะ มัน “ได้อะไรกลับมาบ้าง” วะ

ที่จริงก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะวัยรุ่นที่ไหนก็ทำกัน เวลาว่างเหลือมากมาย ตังค์ถึงมีน้อยหน่อยแต่ก็ไม่ได้รีบ
เพราะพ่อแม่ก็มีให้เกาะแดก คือชีวิตไม่ได้ต้องต่อสู้อะไรนักไง ยังไมได้ข้ามมาสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มๆ ตัว
แล้วก็นึกย้อนไปถึงเรื่องบันไดสามขั้น (อีกแล้ว) .. เรียนจบ / แต่งงาน / มีลูก นี่ผมมาถึงขั้นที่สามแล้ว
ทำให้พบคำตอบที่เมื่อก่อนสงสัยมานาน หลายๆ เรื่อง ที่วัยรุ่นไม่เคยเข้าใจ พอมาถึงตรงนี้แล้วมันเก็ตเองนะ

สิ่งเหล่านั้นผมเรียกเหมาๆ รวมๆ (อาจจะไม่ครอบคลุมแต่นึกได้ตอนนี้) ว่ามันคือผลประโยชน์
มันคือโลกของความเห็นแก่ตัว การทำอะไรแล้วจะต้องไม่สูญเปล่า หรืออย่างน้อยก็ต้องหวังอะไรกลับมา
ขนาดเป็นงานฟรี งานขำๆ สนุกๆ แต่ในหัวมันก็จะคิดแล้วว่าเสร็จงานนี้จะมีอะไร “คืนมา” สู่เราบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมี ไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างเช่นถ้าจะทำฟอนต์เล่นๆ ขึ้นมาอีกหลายๆ ตัว คือเราอยากมากเลยนะ เป็นความอยากที่อัดอั้นมากๆ
แต่ข้ออ้างก็มีมากมาย เช่นถ้ามีอะไรที่ทำแล้วได้ตังค์ (หรือได้หน้าตา) กว่า เราก็พร้อมจะทิ้งสิ่งที่รักนี้ไป
โดนกระบี่กลืนกินจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ..

แต่ก็รู้ตัวนะ และไม่ได้ขึงขังว่าจะต้องฝืนต่อต้านหรือโอนอ่อน
ตราบใดที่เราก็ยังเป็นเราอยู่อย่างนี้ มันจะมีเส้นบางๆ ที่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นคนที่เหี้ยไง
เพราะเราเคยเจอผู้ใหญ่ที่เหี้ยมากๆ มา แล้วเราคันมาก คันตีนมากๆ และตั้งใจว่ากูจะไม่เป็นอย่างมึงเด็ดขาด

แต่ทั้งนี้เราก็ยังนึกประคับประคองการเคลื่อนไหวของตัวเอง
ให้ไม่มีประโยชน์เสียบ้าง —- จะพูดให้ชัดว่านั้นก็คือ จะเคลื่อนไหวแบบไม่มีผลประโยชน์เสียบ้าง

เขียนปักหมุดไว้เพื่อคุยกับตัวเอง ผมให้เวลากับตัวเองไว้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ความอึดอัดนั้นยังแค่ปริ่มๆ
ตั้งใจว่าถ้ามันเกินเส้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเคลื่อนไหวแบบไร้ผลประโยชน์ ..แต่โคตรมีความสุขอีกครั้ง