ความทรงจำสมัยเป็นทหารเกณฑ์ทะลักล้นออกมาดั่งทำนบแตก

สรุปสำหรับคนขี้เกียจอ่านยาวๆ: บล็อกตอนนี้อวยกระทู้เล่าเรื่องในพันทิปในซีรี่ส์ “ประสบการณ์ เรื่องเล่าของตุ๊ดมนุษย์เงินเดือนขี้ขลาด ต้องเป็นทหารเกณฑ์ รับเงินเดือน 9,000 บาท แต่ก็ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้” ซึ่งตอนนี้มีหลายตอนมาก กดเข้าไปอ่านเอง แต่ต้องขยันอ่านและว่างมาก (1, 2, 3.1, 3.2, 4)

ในยุคที่พันทิปเปลี่ยนแปลงไปเยอะ(ในทางที่ดีขึ้น) มีเรื่องเล่าของตัวเองให้อ่านเป็นนิยายนับพันนับหมื่นเรื่อง ผมตามทวิตเตอร์ @pantip_kratoo และกดอ่านอันที่น่าสนใจ (ส่วนมากเป็นเรื่องใต้สะดือปะ) ก็มาเจออันนี้ที่อ่านแล้วเออ ขอคารวะ ยกให้เป็นตำนานเลยละกัน

มันเป็นชุดกระทู้ (เรียกว่าชุดเพราะมีหลายภาคต่อกัน) ว่าด้วยตุ๊ดคนนึงที่เป็นตุ๊ดไม่แสดงออก คนรอบกายไม่รู้ แต่ตัวเองน่ะตุ๊ดสุดๆ เลยครับ เรียนเก่ง ปริญญาสองใบ แล้วอยู่ดีๆ ก็อกหัก เดินมึนๆ ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์เฉยเลย พล็อตเริ่มต้นประมาณนี้ตอนแรกที่ผมกดเข้าไปอ่านก็กะว่าฮาแน่ๆ คือแบบ มึงเล็งกระเจี๊ยวทหารทั้งกองร้อยแน่ๆ

แต่ผิดถนัดเลยครับ มันไม่ฮาเหมือนกระทู้ที่เขียนโดยตุ๊ดแบบที่เราจำๆ กัน (จขกท บอกว่าตัวเองไม่อ่านหนังสือนิยาย ไม่ได้เป็นนักเขียน ซึ่งพอเราอ่านก็เชื่อนะ เพราะสำนวนและชั้นเชิงทางภาษาไม่ใช่สไตล์นักเขียน แต่ถ้าบอกว่าเป็นทนาย อันนี้เชื่อ) แต่กลับเจ๋งตรงที่ความละเอียดในการเล่าของเจ้าของกระทู้ ที่ละเอียดเกินไปรึเปล่าวะ จำได้แบบเป็นวันๆ เลย วันนี้บ่ายโมง จับไข่เพื่อน วันนั้นนอนกอดกัน อะไรแบบนี้

คือถ้าตัดดีเทลยุบยิบๆ แบบที่ต้องการเขียนยั่วให้ผู้อ่านฟินจิ้นตาม หรือพวกใส่สีใส่ไข่อะไรแล้วเนี่ย ถือเป็นชุดกระทู้ที่เล่าประสบการณ์การเป็นทหารเกณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา คือผมเองก็โดนทหารมา 2 ปีนะ (ผมเข้ารุ่น 47 ผลัด 1 .. เหี้ย สิบปีมาแล้วนี่หว่า) แต่ความตั้งใจในการละเลียดกลั่นกรองและจดจำประสบการณ์มาบอกต่อนั้นเทียบชั้นกับ จขกท ไม่ติดเลยครับ คือเคยหยิบมาเล่าเสี้ยวนึงนะ นอกนั้นคือบันทึกไว้ในสมุดจดหมด ด้วยหวังว่าวันนึงจะเรียบเรียงเอาแบบที่ออกอากาศเกือบได้มาเล่าในบล็อกหลังจากปลดทหาร คิดไกลขนาดจะเขียนเป็นต้นฉบับไปส่งอะบุ๊กเลยด้วยซ้ำ 5555 (สมัยนั้นยังเขียนแนวๆ อวดสำนวนน่าหมั่นไส้ และยังไม่มีเรื่องกับ วทน ถึงขั้นแตกหักนะ) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ขยันไม่พอ จนตอนนี้ความทรงจำมันคืนกลับเข้าสู่ลิ้นชักไปหมดแล้ว ไอ้ที่เคยเขียนเล่าไว้ในบล็อกแค่เสี้ยวนึงก็หายไปกับระบบที่พังและกู้คืนไม่ได้ ความทรงจำดิจิทัลนี่มันแย่จริงๆ

โอ๊ย เล่าแล้วก็เสียดายบล็อกโพสต์เก่าๆ ฮือๆ T-T

กลับมาเข้าเรื่อง ในขณะที่เจ้าของกระทู้เล่าเป็นมหากาพย์ละเอียดยิบ เล่าเหตุการณ์ของตัวเองเนี่ย อ่านแรกๆ ก็จะเซ็งนิดนึง และหยุดอ่านไป (เพราะคิดว่าเราน่าจะได้เห็นสำนวนตลกๆ แต่มันไม่ค่อยตลก) นั่นคงเพราะมันเป็นเรื่องที่เราเคยเจอมาหมดแล้วในค่ายทหารมั้ง เลยปิดแอป (อ่านในแอป) แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป … แต่พอวันดีคืนดี เห็นทวีตของ @pantip_kratoo บอกว่าถึงภาค 4 แล้ว ก็เลยกดเข้าไปดู แล้วก็เฮ้ย คนเม้นเยอะมาก โคตรๆ มากๆ เลยเริ่มอ่านตรงภาค 4 ก่อน พบว่ามีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมาก เลยนั่งย้อนอ่าน เชี่ยยยยย จขกท พบประสบการณ์เจ๋งๆ ในค่ายที่เหนือกว่าที่ผมเจอมาแบบคนละชั้นกันเลย ติดเลยครับ เอาความทรงจำของตัวเองไปซ้อนทับในนั้นได้ละเอียดยิบ โคตรอยากขุดสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านอีกรอบเลยครับ

ข้าพเจ้าสมัยเป็นทหาร (ถ่ายโดย @ohaeey)

คือที่ผมเป็นทหาร 2 ปีนี่ สรุปพล็อตได้สั้นๆ ว่า

  • จับทหาร ได้ทหารอากาศ อยู่หน่วยอากาศโยธิน (คือเรียกว่าเป็นทหารราบของกองทัพอากาศ)
  • โดน 2 ปี เพราะปีนั้นใบเกรดออกไม่ทัน บัดซบ
  • ไปเป็นทหารที่ประจวบฯ เป็นกองบิน 53 (ตอนนี้อัปเกรดเป็นกองบิน 5 เลขหลักเดียวคือใหญ่กว่าสองหลัก)
  • พอบอกว่าก่อนจับทหารได้ ผมทำงานกราฟิกดีไซน์ ทุกคนในนั้นมองเราด้วยสีหน้าแบบ… อะไรของมึงนะ (สุดท้ายจ่าเรียกผมว่า มึงน่ะเป็นโปรแกรมเมอร์ละกัน โดยแกก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมเมอร์คืออะไร รู้แค่ไอ้นี่มันน่าจะช่วยทำรายงานกองร้อยในเอ็กเซลได้ งั้นมึงไปทำคอม จบนะ)
  • คือ 40% ของคนในนั้นทำประมง 40% เป็นเกษตรกร 30% อื่นๆ ส่วนอีก 20% เถลไถลเกาะพ่อแม่แดก (เกินยังวะ)
  • กว่าครึ่งเรียนไม่จบ ม.3, 99% สูบบุหรี่, 50% เคยติดคุกมาก่อน!!, 1/3 มีเมียเด็ก!!!
  • และอีกมากมายหลากหลายสถิติที่ไอ้เนิร์ดๆ อย่างผมไปเจอแล้วโคตรงง คือเป็นโลกที่ไม่รู้จัก (และไม่จำเป็นต้องรู้จัก) ว่าวงสครับมีอยู่ในโลกน่ะ พอนึกออกปะ ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้นึกว่าเป็นโลกที่ไม่รู้จักเว็บพันทิป (และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรู้จัก ชีวิตเขาก็ปกติสุขดี) ดังนั้นรสนิยมและวิถีชีวิตนี่ พลิกกลับ 360 องศาเลยครับ
  • โดยเฉพาะเรื่องเรต 20+ ทุกอย่างมีครบจริงๆ อยากรู้ไปอ่านในกระทู้ที่ผมอวยอยู่นี่ได้เลย
  • แต่ของผมมีออปชันเพิ่ม คือไอ้ต้อง ผู้มีควยใหญ่เท่าขวดโค้ก (จริงๆ) (ย้ำ) (จับมาแล้ว) เพราะมันไปฉีดมาตอนติดคุก ความเจ๋งคือมันก็ซื่อๆ นี่แหละ แต่แค่ควยใหญ่ และซ่องที่ไหนก็ขึ้นแบล็กลิสต์ (นี่มันโม้ให้ฟัง) คือจะมีอยู่วันนึงที่เพื่อนทหารนับสิบชีวิตไปนั่งดูมันถกให้ลูบคลำเล่น (คือทหารนี่เห็นกระเจี๊ยวกันเป็นเรื่องสามัญพอๆ กะเห็นหน้าครับ) โอ้ย เจ๋ง คือไม่อยู่ในสถานะที่จะเอาความรู้จากหมอแมวไปเตือนมันได้เลย เป็นโลกที่เออ มึงทำไปเหอะ เน่าเมื่อไหร่บอกด้วย
  • เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวระดับตุ๊กแกของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเนียนใช้ชีวิตกับทุกคนได้อย่างกลมกลืน ทำไปทำมาได้เป็นหัวหน้ากองเฉยเลยเหอะ 5555
  • เพราะตั้งใจตั้งแต่จับทหารแล้วว่า จับได้ก็โอเค มันคือการสวมหมวกแสดงบทบาทอะไรบางอย่าง แล้วก็จริงตามนั้น คือเตรียมรับประสบการณ์เอ็กซ์ตรีมอย่างเดียว และก็ได้ทุกอย่างตามที่คิด
  • เป็นทหารใหม่ 6 แต่ฝึกหนักแค่ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ชิวๆ
  • ชิวมาก ย้ำเลย เนื่องจากมันเป็นค่ายทหารตรงอ่าวมะนาว ดังนั้นทุกอย่างคือความสวยงาม ทะเลสวย บ่ายๆ จ่าใช้ให้ไปจับหอย เย็นๆ แอบหนีออกจากค่ายไปปีนเขาล้อมหมวก (เพื่อการอวดอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกท่านกรุณาคลิกดูภาพนี้ โคตรอยากอวดเลย 5555) นอกนั้นก็ตัดไม้ ถางหญ้า ดับเพลิง ซ่อมคอม ฯลฯ
  • เออ เรื่องซ่อมคอมนี่คือในกองทั้งหมดมีคนเป็นคอมนับได้ 3 คน รวมผมด้วย (ยุคนั้นโลกยังไม่มีไอโฟนนะ) ดังนั้น การทำงานคอมพิวเตอร์แปลว่ามึงต้องทำอะไรก็ได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็ดี เพราะมันพาให้มีโอกาสเจออะไรเจ๋งๆ อีกเยอะเลย โดยเฉพาะการขอจ่าเอาคอมตัวเองไปทำงานในกองร้อย แล้วผู้กองดันอนุญาต เชี่ยยย
  • เออ ยุคนั้นมันว่างไง แล้วได้ทำงานใน บ.ก. (กองบัญชาการ) ก็เลยได้ทำฟอนต์เยอะแยะ และเป็นจุดกำเนิดเว็บฟอนต์ในปัจจุบัน (เว็บฟอนต์เกิดในค่ายทหาร!) อย่างฟอนต์ที่ประทับใจคือ iannnnnDVD นี่ จำได้เลยว่าหลังจากออกวิ่งตีห้าเสร็จ กลับมารอคิวอาบน้ำ เลยเปิดคอม (ในกองร้อย) มานั่งตวัดๆ ได้ฟอนต์ตัวนึงในเวลา 5-10 นาที ทำลายสถิติโลก แล้วตอนนั้นฟอนต์นี้ฮิตด้วยนะ 5555
  • พอครบ 6 เดือน เขาจะให้แยกไปประจำที่นั่นที่นี่ ของผมมีวาสนาไอ้ย้ายข้ามห้วยมาที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ทำงานหน้าห้อง (คือเป็นเบ๊) ของผู้บัญชาการใหญ่ในหน่วยระดับที่เป็นรองก็แค่ออฟฟิศ ผบ.ทอ.เท่านั้นเอง ใชเวลาอีก 1 ปีครึ่งที่เหลือในเครื่องแบบทหารรัดรูปทุกวัน ทำงาน 6 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน คล้ายๆ เป็นข้าราชการ จนครบสองปี ก็ปลดประจำการ จบ

(รายละเอียดหลายอย่างหล่นหายไประหว่างทางแล้ว แต่ถ้าขุดสมุดบันทึกมาอ่านอาจจะเล่าได้เป็นกิโลๆ)

แต่กับเจ้าของกระทู้นั้นเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี ผมเลยเชื่อนะครับว่าเหตุการณ์เอ็กซ์ตรีมต่างๆ ที่แม่งประทับใจมากขนาดนั้น เขาจะหยิบมาเล่าได้ละเอียดยิบย่อย (ถึงจะยิบไปนิด แต่ให้เชื่อว่าโครงเรื่องนั้นมันเจ๋งและคู่ควรต่อการจำได้จริงๆ) เพราะเขามีโหมดทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน และติดคุกด้วย ซึ่งตอน 3.2 ที่เล่าเหตุการณ์ในคุกนี่เจ๋งมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการโดดถังขี้นี่ ลืมไปแล้วว่าที่กองร้อยก็มี 555555

จบแล้วครับ เขียนระบายเฉยๆ ด้วยความเซ็งในความขี้เกียจของตัวเอง ถ้าเรียบเรียงการเล่าให้เป็นระบบตั้งแต่สมัยนั้นคงสนุก ดังนั้นใครอยากทำอะไร ทำเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องมาบ่นเป็นคนแก่แบบนี้

คอมเมนต์

Bar Bar Bar – Crayon Pop (เนื้อร้องภาษาไทย)

นี่เป็นเพลงเกาหลีเพลงแรกของโลกที่ตั้งใจฟังแบบไม่คลาดสายตา (กังนัมสไล์อะไรนั่นไม่ได้สนใจ ดูแต่ตูดผู้หญิงในเอ็มวี) ประเด็นมันคือยังงี้ครับ…

ตัวเพลงและท่าเต้นต้นฉบับน่ะเป็นของวง Crayon Pop แต่เรารู้จักจากคลิปนี้ก่อน (น้องแอนส่งมา ขอบคุณครับ) ที่มันกรี๊ดมากๆ ก็คือการมีน้องสองคนฝาแฝดรึเปล่าก็ไม่รู้ มาเต้นคัฟเวอร์ คือน่ารักมากๆๆๆๆ กดดูคลิปอื่นๆ ก็รู้เลยว่าน้องสองคนนี้ดังเป็นพลุแตกเลยในประเทศตัวเอง

แล้วที่ฟังแล้วฟังอีกซะหลายๆ รอบ ก็เพราะนิทานกำลังบ้าเต้นเพลงนี้อยู่น่ะครับ (ใครที่คุยกันบ่อยๆ คงรู้ว่าคุณลูกสาวคนนี้เกิดมาเต้นคัฟเวอร์ซะจริงๆ ก่อนหน้านี้ฮิตเพลงคุมะมงเซอร์ไพรส์ (ตอนนี้ก็ยังฮิตอยู่ แต่คือเต้นได้พรุนทั้งเพลงแล้วไง) โดยเรียกเพลง Bar Bar Bar นี้ว่า “เพลงของพี่ๆ ใส่หมวกกันน็อก” (ผมซื้อหมวกกันน็อกสีชมพูให้ลูกพอดี ซึ่งการมีคลิปที่ว่านี้ทำให้ลูกยินดีใส่หมวกเวลาแว้นไปไหนต่อไหนกันทั้งบ้านอย่างยิ่ง)

แล้วพอนิทานบ้าเพลงไหนขึ้นมา ก็จะร้องขอให้เปิดตัลหลอด ทั้งในบ้าน ในรถ ตอนอุ๊จ ตอนฉี่ ตอนนอน ตอนกินข้าว นั่นแปลว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีก็ควรจะร้องได้สักหน่อย (เหรอวะ)

เลยลองหาเนื้อร้องมาแปะไว้ก่อน เจอจากที่นี่ เลยเอามาเขียนเนื้อร้องไทยทับลงไปแทนในส่วนที่เป็นภาษาเกาหลี อาจจะดูเนื้อแล้วอนาถไปนิด แต่ก็เป็นความพยายามจะถอดเสียงตามเสียงวรรณยุกต์ให้ครบถ้วน จะได้อ่านเนื้อแล้วร้องประกอบการออกสเต็ปของคุณลูกได้ถนัดหน่อย ดังนี้ (ถ้าติ่งเกาหลีผ่านมาแล้วเห็นว่ามีคำไหนมันทุเรศไปโปรดชี้แนะนะครับ จะได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์อันดีงามของติ่ง)

ด๊ะก่าจิว่อน (ป่าๆๆ ป่าๆ ป่าๆๆ)
เน้ต่าราทู่ว (ป่าๆๆ ป่าๆ ป่าๆๆ)
โซ้หริดจะโฮ่ (โฮ่)
ตี๊หยอบะคุ่ง (คุ่ง)
เน้ต๋าระเฮ้ (เฮ้)

อ๊อมหมะโด ป๊ะปะโดก้ะ ฉี โก้ (ป่าๆๆ ป่าๆ ป่าๆๆ)
ซึนนะเกโก้ (โก้)
โซ้หริดจะโฮ่ (โฮ่)
ตี๊หยอบะคุ่ง (คุ่ง)
เน้ต๋าระเฮ้ (เฮ้)

พั่บ พั่บ คือเรยองพั้บ (*ตรงนี้เขียนตามการออกเสียงแล้วฮามาก*)

Get, set, ready… Go!

*
Jumping (เย่) Jumping (เย่) Everybody
Jumping (เย่) Jumping ดากาจิเซี่ยเซี่ย

Jumping (เย่) Jumping (เย่) Everybody
I don’t want to stick at home now

(ซ้ำ *)

I don’t want to stick at home now

ก๊อกจ๋อเงินโน่ (ป่าๆๆ ป่าๆ ป่าๆๆ)
โก๊หมินโดโน่ (ป่าๆๆ ป่าๆ ป่าๆๆ)
อุ๊สอบะโฮ่ (โฮ่)
ดั๊กขือเดเย่ (เย่)
เน้ต๋าระเฮ้ (เฮ้)

Get, set, ready… Go!

(ซ้ำ *)

I don’t want to stick at home now

โย่ คัมม่อน! (ท่อนแรปขี้เกียจแกะ)

Ready… Go!

(ซ้ำ *, *)

I don’t want to stick at home now

1-2-3 เย้


อันนี้เพลงต้นฉบับ น่ารักดีครับ ไม่เน้นเอ็กซ์ก็เพลงสนุกได้เนอะ


ส่วนอันนี้มีแฟนชาวไทยใส่ซับไตเติลและคำแปลให้ เพิ่งเห็น โธ่… อุตส่าห์นั่งพิมพ์ตั้งนาน :05:


แล้วอันนี้ค้นไปเรื่อยๆ จนเจอคลิปจากคอนเสิร์ต ก็เลยรู้ว่าวงนี้ก็เป็นที่นิยมเหมือนกันนี่หว่า 5555 (คิดว่าที่เกาหลีจะอิ่มตัวแล้วซะอีกเพราะแต่ละวงออกมาเหมือนกันเด๊ะๆ นี่จากสายตาคนนอกวงการติ่งนะ) แต่ว่าก็ว่าเหอะ เห็นในคลิปแล้วติ่งรุ่นลุงที่นั่นศรัทธากันจนหลอนเบย ร้องพร้อมเพรียงกันยังกะชุมนุม กปปส.

ป.ล.
นิทานน่าจะได้น้องสาวแหละ แต่กว่าน้องจะโตมาเต้นคู่ได้ ป่านนั้นนิทานคงหนีไปฟังกรีซซี่คาเฟ่แล้ว

คอมเมนต์

ผมโดนผีเด็กประถมหลอกเข้าจังๆ

นี่ตอนเขียนบล็อกยังเหงื่อแตกไม่หยุดเลยครับ อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไร แต่ไอ้ที่ทำให้ใจเต้นโครมครามก็คือความรู้สึกโหยหาอดูตอย่างแรง

เรื่องมันมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ เพื่อนสมัยประถมของผมก็เกิดคิดถึงกัน ไม่ได้เจอกัน (เรียกว่าขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิงเลยแหละ) มายี่สิบปีแล้วไรงี้ เลยนึกสนุก นัดรวมพลกันอีกครั้ง เลยลากกันมาคุยในกรุ๊ปไลน์ (ถ้าเป็นเมื่อก่อนพฤติกรรมนี้คงเกิดในเฟซบุ๊ก แสดงว่าเอาเข้าจริงพบแนวโน้มว่าคนจะเริ่มไม่เล่นเฟซบุ๊กกันจริงๆ ละ) แล้วก็ไถ่ถามกันแบบไม่อายเลยว่าเราก็จำนายไม่ได้ บ้างก็จำได้แต่ชื่อ บ้างก็เปลี่ยนชื่อไปจนลืมทุกอย่างที่เคยเกี่ยวพันกันเลยดีกว่า

แต่อีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับมาเจอกัน นึกภาพฉากจบในหนังเรื่องแฟนฉันดูสิครับ (สปอยล์แบบนี้คงไม่เป็นไรเนอะ) คือไอ้เจี๊ยบแม่งเดินเข้างานแต่งน้อยหน่า น้อยหน่าหันมา อ้าว หน้ายังเป็นน้องโฟกัสตอนสิบขวบอยู่เลย!

ตอนนี้ภาพของเพื่อนฝูงสมัยประถมหลายคนนั้นก็อารมณ์นี้เลยครับ ฟรีซความทรงจำแช่แข็งไว้เท่านั้น แต่พอเริ่มพูดคุยก็ได้รู้ว่าทุกคนก็ต่างเติบโต แบบเดียวกับที่มีนักเขียนหลายท่านที่บอกเล่าเรื่องราวของมานีมานะในยุคที่พอโตแล้วมาเจอกัน อารมณ์ถวิลหามันพวยพุ่งรุนแรง

จนผมเปิดกล่องรองเท้าที่เก็บสะสมนั่นนี่มาตั้งแต่ประถม จนเจอเฟรนด์ชิปเอย ภาพถ่ายเอย การ์ตูนที่วาดแบ่งห้เพื่อนอ่านสมัยนั้นเอย ฯลฯ แต่ไม่กล้าดูนาน เพราะยิ่งดูยิ่งเหงื่อแตก และยิ้มปากฉีกถึงหู ใครเปิดประตูห้องเข้ามาจะพบภาพที่น่ากลัวมาก คือไอ้อ้วนบ้านี่นั่งยิ้มปากฉีก และเหงื่อท่วมตัวเหมือนกำลังดูหนังโป๊ในห้องเซาน่า

กรุสมบัติแอน

ไม่อายแล้วครับที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ และพร้อมจะดักแก่ทุกคนที่ขวางหน้าด้วย!

ที่สำคัญคือเริ่มสงสารรุ่นน้องๆ หลานๆ สมัยนี้ (ใช้คำว่า “สมัยนี้” ด้วย… ครบสูตรแก่ละกู) ที่ดันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเอย ความเป็นดิจิทัลทั้งหลายเอย ที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเก่าลงตามการกัดกร่อนของกาลเวลา

ภาพถ่ายดิจิทัลยังคงคมชัดเสมอ จนน้องเองก็คงสงสัยแล้วว่า ไอ้การเลือนหายของความทรงจำนี่มันดียังไงวะ

เออ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่านั่งยิ้มเหงื่อแตกจนน้ำหนักตัวลดไปสัก 5 ขีดได้ละเนี่ย

ป.ล.
ไว้จะเอาอะไรมาโพสต์เรื่อยๆ นะครับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกบ้าสะสมของในยุค 253X เยอะเลย เช่นที่เคยเขียนถึงอันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ 5555 คือวันนี้เช่านารุโตะมาอ่านหลายเล่ม เลยมีเวลาเขียนเท่านี้ ไว้จะไล่ละเลียดทีหลังครับ รู้แต่ว่าเขียนสามวันไม่หมดแน่ๆ

คอมเมนต์

เปลี่ยนอ่าน

feeds

หัวข้อคราวนี้ยังคงจมปลักอยู่กับพฤติกรรมการอ่านของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้ก็จะบ่นสลับกับพฤติกรรมการเขียน เพราะกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยเอามาบันทึกไว้ซะหน่อย

คงเพราะผมก็เป็นหนึ่งในมนุษย์อ่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านไอ้แบบที่คนเขาชื่นชมกันนัก (เช่นอ่านวรรณกรรม บทกวี หรือบทวิเคราะห์ลึกซึ้งปรัชญาสิงห์โตอะไรนี่ยิ่งไม่ได้สนใจใหญ่) เพราะนอกจากอ่านการ์ตูนไปวันๆ แล้ว สิ่งที่ชอบมากก็คือการอ่านฟีดจากเว็บที่ subscrie ไว้

การอ่านทุกวันนี้คือการหยิบอะไรที่มีตัวอักษรขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เปิดแอปอ่านฟีด แล้วก็จมอยู่กับมันเป็นห้วงๆ เพื่อเป็นการถมเวลาว่าง (ก็ฆ่าเวลานั่นแหละ) ไม่ว่าจะระหว่างขี้ ระหว่างอาบน้ำ ระหว่างรอนั่นนี่ เพราะพบว่ามันเข้ากับจริตเราอย่างยิ่ง อ่านซิว่าวันนี้มีอะไรใหม่บ้าง ข่าวหนังใหม่จากเว็บหนังที่ตาม ข่าวการเมืองนิดหน่อย ข่าวงานออกแบบ ข่าวไอที บล็อกของเพื่อนฝูง บล็อกของนักเขียนที่ชอบ ดูรูปโป๊ที่สับตะไคร้ไว้ ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ ทำมานานมากจนติดเป็นนิสัย … เป็นนิสัยที่ถูกเปลี่ยนไปเยอะจากยุคก่อนมือถือ ถ้าเป็นตอนนั้นผมจะเป็นคนติดการอ่านอะไรที่แบบ “แป๊บๆ ก็จบ” เช่นหนังสือพิมพ์ตามร้านก๋วยเตี๋ยว หรือนิตยสารที่ซื้อประจำ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ไอ้ความที่เป็นมือถือ มันดันง่าย และทำให้เราเสพติดกับความสนุกเวลากด เวลาลบ เวลาโหลดใหม่ หรือเวลาที่ข่าวใหม่มันงอกไล่ตามเวลามาให้เราเก็บแต้มมันให้ครบ (โดยนานๆ ทีจะกด Mark all as read เพื่อตัดใจจากกองข่าวที่สะสมมานานเวลาที่ทำงานยุ่งๆ)

นี่ยังไม่นับพวกสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่พอเปลี่ยนอาชีพมาทำงานบนเฟซบุ๊กปั๊บ (พยายามหัดใช้ตั้งนานจนเพิ่งใช้เป็น) อีพวกบรรดาโนติรบกวนสมาธิต่างๆ ก็จะมา นี่ขนาดบล็อกสิ่งกวนใจทุกอย่างที่คิดว่าไม่ทำให้หลุดวงโคจรของเพื่อนออกไปหมดแล้วนะ แล้วไหนจะทวิตเตอร์อีก แม้ช่วงไม่กี่วันมานี้ผมเล่นน้อยลงอย่างสังเกตตัวเองได้ชัด ไอ้เสพก็เสพอยู่นะ มีความสุขเวลานั่งอ่านมัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงบำบัดไง โชคดีที่แอปทวิตเตอร์ในมือถือมันห่วยลงทุกวันๆ เลยไม่ค่อยได้อัปเดตเรียลไทม์แบบเมื่อก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่แบบไม่คิดจะเลิกหรอกทวิตเตอร์เนี่ย)

กลับมาเรื่องการอ่าน เนี่ยพอมีมือถือปั๊บ พฤติกรรมการอ่านเดิมๆ ของผมก็ถูกบิดไป วันๆ ก็กวาดสายตาแค่ในหน้าจอที่เอานิ้วรูดได้ ส่วนบรรดาหนังสือที่รักกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะ แม้จะเป็นผลงานของนักเขียน (หรือนักวาด) ที่ชอบมากๆ ที่ซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อสองสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นว่าเฮ้ย เล่มนี้วางกองอยู่ในหมวด “ว่างๆ ค่อยอ่าน” มาตั้งนานแล้วได้ไงวะ

มันจะไป “ว่างๆ” ได้ยังไง ในเมื่อเวลาว่างของเราถูกถมด้วยการก้มหน้าใส่มือถือขนาดนี้

วันก่อนที่ไปซื้อหนังสือกองใหญ่จากงานหนังสือมา เลยเป็นการประกาศสงครามกับพฤติกรรมการอ่าน “ข้อมูลล้นเกิน” ในรูปดิจิทัล ให้ตัวเองได้เปลี่ยนมาจับกระดาษอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อในความพิถีพิถันของสื่อที่ทำจากกระดาษ เนื่องจากเวลาพิมพ์ออกมาขายทีต้นทุนมันแพงกว่าแบบดิจิทัลไง เป็นเราเราก็ต้องตั้งใจ ใส่ใจให้หนังสือมันดีหน่อยใช่มะ อืม โอเค (นี่คิดเองเออเองจนเห็นด้วยไปแล้ว)

แต่การซื้อหนังสือกองใหญ่มาเติมกองเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นจะช่วยอะไร ก็คงช่วยมั้ง เพราะตอนนี้แม้กระทั่งที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็รู้สึกละอายอยู่ในใจตลอดเวลาว่า นิตยสารอายุห้าเดิอนที่เรายังอ่านไม่จบ วางกองอยู่ข้างหน้า ส่วนฝั่งซ้ายมือคือการ์ตูนที่ซื้อมาว่าจะอ่าน และบนชั้นหนังสือซึ่งมีหมวดรออ่านวางเรียงอย่างอลังการอยู่แล้ว ก็ดันมีสมาชิกใหม่มาอีกหลายเล่ม วิธีที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ถ้าไม่นับว่าเอาไปเผา ก็คือต้องอ่านแม่งเท่านั้น

ส่วนเหล่าฟีดข่าวที่ดูดมาจากเว็บ เมื่อก่อนนึ่นับได้หลักพัน! (ยุค Google Reader นี่ตัวเลขข่าวใหม่ขึ้น 1000+ ทุกวัน เสียเวลาฉิบหายเหอะ) จนปลดเว็บหรือบล็อกที่ไม่คอยอัปเดตออกไปครั้งใหญ่เมื่อสักปีก่อนหนนึง ในช่วงที่ Google Reader ปิดตัวลง และเพื่อนๆ ที่ผมนับถือในความคิดผ่านตัวอักษรต่างทยอยเลิกเขียนบล็อกและหันไปโพสต์สเตตัสกันเกือบหมด ก็ถือว่าหลุดวงโคจรจากกันไปเลยหลายคน) จนช่วงสังคายนาเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็เปิด Feedly นั่งไล่ unsubscribe และกรองเว็บที่เข้าข่าย “ไม่ต้องอ่านก็ได้วะ” กับประเภทที่ว่า “แม่งข่าวแปลเหมือนกันเด๊ะ งั้นเลือกเอาเว็บเดียวพอ” คัดจนเหลือแหล่งที่ยังติดตามอยู่จริงๆ แค่หลักร้อยต้นๆ (ในภาพประกอบข้างบน ก็ยังเยอะนะ) ที่ดีขึ้นคือผมเกษียณตัวเองจากวงการดิจิทัลเอเจนซี่แล้ว เลยลดละเลิกการไล่กวาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายๆ หมวดซึ่งมองวันนี้ก็กลายเป็นเพียงข้อมูลล้นสมองออกไป นี่ทำให้รู้สึกเสียเวลากับมันน้อยลงเยอะ

ถึงจะเพิ่งเริ่มต้น แต่หลังจากวัดผลมา 4 วัน ก็พบว่าการ์ตูนและนิตยสารค้างปีที่วางกองไว้ถูกกวาดต้อนไปได้หลายเล่มอยู่ (อ่านจากใหม่ไปเก่า จะได้ไม่รู้สึกตกรุ่นตลอด) และเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ว่าต้องอ่านเพราะรู้สึกผิดที่ซื้อมาดอง กลายเป็น “เฮ้ย ใช่เลยว่ะ นี่แหละความสุข” ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หวังว่านี่จะไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือวอนนาบี

คอมเมนต์

ไปงานหนังสือ ไปซื้อหนังหา

P4028351

เพิ่งกลับจากงานหนังสือ ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยไปมา พูดไปอาจจะดูตลก คือครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะไป “ซื้อให้มากเท่าที่อยากได้”

แล้วครั้งก่อนๆ ล่ะ? มีทั้งแบบ “ตั้งงบไม่เกินพัน”, “ไปนั่งแจกลายเซ็นอย่างเดียว” (สมัยที่ออกหนังสือกะเขาน่ะนะ), “ซื้อแต่การ์ตูน”, “ซื้อเพราะมารยาท” (อันนี้แย่มาก แต่ในอีกมุมนึงก็คือมันก็คมควรปะวะ ซื้อหนังสือเพราะรู้จักคนเขียนเลยรักษามารยาท แต่ซื้อมาแล้วก็ดันไม่ชอบเลยอ่านไม่จบงี้ แต่ถ้าไม่ซื้อก็ดูจะมองหน้ากันเจื่อนๆ โอ๊ย ใครก็ได้ช่วยที)

ประจวบกับความตั้งใจที่จะเริ่มลดละอาการเสพติดโลกออนไลน์และหน้าจอดิจิทัล ด้วยการ “แบ่งเวลา” ออกจากการถมเวลาจุ๋มจิ๋มหมดไปกับการนั่งอ่านฟีดข่าวที่ผมเสพติดมันมาตลอด เสพติดมากกว่าทวิตเตอร์อีก (เปิดมือถือส่วนใหญ่ของผมคือการนั่งอ่านข่าว ซึ่งแม่ง ไร้มาก โคตรไร้เลย)

และไอ้การซื้อโดยปกติที่เคยทำมา มันส่งผลให้กองหนังสือที่บ้านที่วางไว้ในหมวด “เดี๋ยวว่างจะอ่าน” เพิ่มขนาดขึ้นเป็นภูเขาเลากาสูงขึ้นทุกที และพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนมีบางเล่มซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อ 3 ปีก่อน (หมายถึงเมื่อ 5-6 ครั้งที่ผ่านมา) เราก็ยังไม่ได้อ่าน คือผมกลายเป็นนักสะสมหนังสือ แต่ไม่ใช่นักอ่าน

ในฐานะอดีตหนอนและเนิร์ดสุดขีด ก่อนที่จะมาเสพติดหน้าจอไฟฟ้าแทนนั้น นี่เป็นสิ่งที่เลวมาก

วิธีหักดิบมีอยู่อย่างเดียว คือทุ่มเทชีวิตเพื่ออ่านหนังสือ แบบเดียวกะที่เมื่อก่อนเคยทำตอนสมัยเรียน ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่าหนังสืออ่านวันนึงหนาประมาณ 1 นิ้ว อ่านยังไงก็หมดเหอะ

นี่ต้องขอบคุณบล็อกของพี่ยุ้ย (ตอบคำถาม “เอาเวลาจากไหน(วะ)มาอ่านหนังสือ?”) ที่ตอบคำถามของผมไปได้อย่างหมดจด คือต่อไปนี้เราจะแบ่งเวลาเพื่อหันมาพลิกหน้ากระดาษจริงจัง ส่วนหน้าจอมือถือก็จะขยัน “Mark all as read” แทนที่จะไล่อ่านครบวันละพันเรื่องอย่างทุกวันนี้ (ซึ่งแม่งโคตรไร้)

ครั้งนี้เลยแบกเป้ไป ปล่อยลูกเมียนอนอยู่บ้าน และในที่สุดก็ฟินกลับมา!

นอกจากซื้อมาได้เป็นกองแล้ว ยังสมัครสมาชิก / ต่ออายุสมาชิกนิตยสารรายปีอีก 2 หัว (คือ Way Magazine และ Let’s Comics) ให้มันรู้ไปว่าต่อไปนี้กูจะอ่านแล้วนะ ไอ้กองๆ ที่พะเนินสูงขึ้นทุกๆ ครึ่งปีนี่ ต่อไปจะต้องถูกย้ายไปหมวดอื่นทีละเล่มแล้วนะ ด้วยการแบ่งเวลาอ่านหนังสือก่อนนอนวันละชั่วโมงเป็นอันขาด

ฟังดูโคตรเท่เลย อุดมคติสุดๆ

จบด้วยประโยคเดิม คอยดูซิว่ากูจะทำได้ไหม เนี่ยเมียเรียกแล้ว ไปล่ะ

ป.ล.
ทีแรกจะเขียนรีวิวความประทับใจไล่เรียงรายเล่ม แต่เดี๋ยวเมียก็จะเรียกขึ้นไปกล่อมลูกนอนแล้ว เลยอุดช่องว่างสิบนาทีนี้มาเขียนซะหนึ่งบล็อกเหอะ งั้นไม่รีวิวละ บายนะ

ป.อ.
ไปคราวนี้เรียกได้ว่าไม่เจอใครที่รู้จักเลย (ที่เป็นนักเขียนหรือเกี่ยวข้องกับการขายหนังสือ) ยกเว้นสะอาดแห่ง Let’s Comics ก็เลยขอลายเซ็นพร้อมภาพวาดอย่างบรรจงมาหนึ่งดอก ดีใจ มีลายเซ็นกลับบ้านไว้ประดับเล่มเพื่อความเท่ งานหนังสือมันสลิ่มแบบนี้แหละ!

ป.ฮ.
ซื้อนิวยอร์กครั้งแรกมาตามกระแสนิยมเล่มนึง (พลิกอ่านดูแล้วตลก โอเค เราไม่ได้โดนกระแสหลอก) อีกเล่มเพื่อนฝากซื้อ นั่นก็ตามกระแสเหมือนกัน ถือว่าปีนี้แซลมอนโคตรถูกหวย.. ไม่สิ ถูกหวยมันดวงเกินไป ไม่ได้อาศัยฝีมือ ต้องเรียกว่าแทงม้าถูกแจ็กพ็อตมากกว่า ดีใจด้วย!

=======

ลูกเมียหลับแล้วมาเขียนเพิ่มต่ออีกหน่อย พอดีไอ้ตั๊กโวยวายว่าทำไมไม่ซื้อเล่มที่ฝากไว้ด้วย เลยบอกไปแล้วว่าขืนแบกมากกว่านี้กูหลังหักแน่ๆ เพราะว่าที่จริงก็เล็งไว้อีกหลายเล่มมากๆ แต่คราวนี้คือไม่ไหวจริงๆ แบกจนเหนื่อย (ที่น่าตกใจคือมันเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่มางานหนังสือ! สะสมอะไรกันวะ!)

คอมเมนต์