บางลำพูในวันที่ยังมีต้นลำพู

ใครยังไม่รู้ข่าวต้นลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพูที่โดนตัด ก็ไปอ่านจากเว็บ ผจก ก่อนได้นะครับ

สำหรับผมแล้ว ถึงตอนอยู่มหาลัยจะเรียนไม่ไกลจากท่าพระอาทิตย์ สวนสันติชัยปราการ ป้อมพระสุเมรุ และบางลำพูสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รักเลยแหละตอนนั้น เพราะมันเป็นที่ที่สามารถลงไปกลิ้งชิวได้กลางสนามหญ้า และดูการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมนานาชาติที่ไม่มีใครต้องมาร้องขอให้แสดง เพราะไม่ว่าจะไทยญี่ปุ่นฝรั่งดินแดง ต่างก็มาโชว์ออฟ โชว์ความเท่กันเยอะแยะไปหมด

เมื่อไหร่ที่เบื่อๆ เหงาๆ ไม่มีอะไรทำ ผมก็จะมานั่งอ่านหนังสือ รับลมเย็นๆ ดูวิว ดูหมวยบ้าง ตามประสามนุษย์ชิวแบบไม่มีตังค์จะไปเที่ยวหรือสังสรรค์แบบชาวบ้านเขา

ความผูกพันระหว่างผมกับสถานที่แห่งนั้น ที่มีต้นลำพูร้อยปียืนต้นอยู่ ก็มีเท่านั้นแหละครับ.. ฟังดูไม่โรแมนติกเลยใช่ไหม ก็มันจริงนี่หว่า เดี๋ยวจะหาว่าอินเกินเหตุหรือว่าอะไร แต่ตอนที่ได้ยินข่าวว่าอ้าว เขาตัดอีต้นนี้ทิ้งไปแล้วเหรอ ก็คงมีความรู้สึกโหวงๆ ขึ้นมา ว่าเออ เสียดายว่ะ ธรรมชาติของต้นไม้ชายเลนแบบนี้ที่จริงมันสามารถแตกหน่อแตกกอออกมาได้เรื่อยๆ เนอะ แต่กว่าอีต้นรอบๆ จะโตได้ขนาดต้นแม่มันก็ไม่รู้จะนานแค่ไหน แถมวิสัยทัศน์ของผู้รับผิดชอบการดูแลก็ไม่รู้จะใส่ใจกับ “เรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้” ขนาดไหน

ตอนปี พ.ศ.2545 (2002) ผมขอขูดรีดเงินจากพ่อแม่ (ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) มาซื้อกล้องดิจิทัลได้สำเร็จ สมัยนั้น Fuji Finepix 6800Z ในตำนาน ราคาฝากเพื่อนหิ้วจากญี่ปุ่นคือ 14000 บาท) ที่ซื้อเพราะข้ออ้างในการเรียนด้วย (ทุกคนควรมีกล้องเพราะใช้ในการออก Site ..แต่ผมไม่มีตังค์ซื้อฟิล์มบ่อยๆ เลยไปศึกษาเรื่องกล้องดิจิทัลมา ก็ได้รุ่นนี้ ทุกวันนี้ยังชอบดีไซน์มันอยู่เลย แถมภาพออกมาก็ไม่ได้แย่สมเป็นกล้องดิจิทัลยุคโบราณซะหน่อย

Continue reading บางลำพูในวันที่ยังมีต้นลำพู

คอมเมนต์

ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้

การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ

โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ

โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ

คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก

ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป Continue reading ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

คอมเมนต์

บริการใหม่จาก Google Translate: แปลภาษาสก๊อยได้แล้ว

skoy

(16 ก.ค.55) รายงานข่าวแจ้งว่า เนื่องจากภาษาสก๊อยกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ไทยในขณะนี้ ทางกูเกิลจึงได้เพิ่มระบบแปลภาษาสก๊อยเข้ามาในบริการ Google Translate โดยผู้ใช้สามารถเลือกภ่ษ่สก๊อยดั้ยต่มสฎวฆ พริ๊ส์จ่เฮว์าญัว์.งรั๊ส์ญก่นุ๊ง์วกรั๊ท์นแณ่ฆร๊ T.T ณริ๊ส์ฬถว่ธิ๊แฟว์ลนุ๊ซ์วฆ๊ธิจ่ปรั๊ส์ยซ่เว๊ม์ลเซร๊ส์ลพรุ๊สฺงนิ๊ว์ เธ๊ว์หมรั๊ว์ยฆร๊ นุ๊ง์วญั๊ซ์กดั๊ล์ยปั๋ส์วเ)้ฯฏำหร๋ซ์วฅภฮ์อดริ๊ข๊ >,.< (ไอ้ที่อ่านไม่ออกนี่ก็อปเขามาให้เนื้อหาบล็อกมันยาวๆ น่ะ)

ทั้งนี้ มาร์ค ซักกะเบิก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเฟซบุ๊กก็ได้ออกมายอมรับว่า เฟซบุ๊กเองก็เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ดังกล่าวเมื่อคลิกที่ลิงก์ “แปลภาษา” ใต้ข้อความที่โพสต์ในเร็วๆ นี้เช่นกัน โดยระยะแรกจะเปิดให้ทดลองใช้กันก่อนในวงจำกัด โดยผู้ที่สนใจสามารถนำไปทดลองใช้ได้ในเพจ “ษม่ค่ล์มนิ๋ญฒสก๊อย” (ชื่อเพจอะไรของแม่งวะ พิมพ์ยากฉิบหาย อยากรู้ว่าใครสามารถพิมพ์ได้โดยไม่ก็อปปี้แปะมั่ง ..อุ๊ย ลืมไป นี่มันข่าว)

// เพิ่มเติมจากคอมเมนต์ข้างล่างของคุณ @narze ทำเครื่องมือแปลภาษาสก๊อยที่ว่านี่มาจริงๆ ด้วย!

คอมเมนต์

[Nerd Alert] ไอติมในโค้ดสีที่มีคำว่า face

เมื่อวานซืน อยู่ดีๆ ก็อยากรู้ครับว่าไอ้รหัสสีแบบ Hex color ที่ใช้สำหรับทำเว็บเนี่ย ถ้าพยายามบังคับมันให้เป็นตัวอักษรที่อ่านออก หรือคำที่อ่านง่ายเลย มันจะมีคำว่าอะไรบ้างไหม เผื่อจะเอามาใช้สุ่มสีมั่วๆ ซะหน่อย

แล้วก็เจอครับ!
ดีใจมาก ดีใจอยู่คนเดียวแบบไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังว่าไงดี เพราะแม่งเป็นเรื่องความสนใจส่วนตัวและเนิร์ดมากๆ :30:

เอาสั้นๆ เผื่อใครงง ก็คือไอ้เจ้าโค้ด #000000 ถึง #ffffff เนี่ย ถ้าเปลี่ยนตัวเลข (ฐาน 16 มีตั้งแต่ 0 ถึง f) ข้างในให้มีคำว่า “face” เป็นส่วนหนึ่งปั๊บ รับรองสวยเลย จบเลย (ซึ่งทั้ง f a c และ e นี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลขฐาน 16 เหมือนกัน) แล้วพื้นที่ที่เหลือก็ใส่อะไรไปก็ได้ตั้งแต่ 0 ยัน f ปั๊บ รับรอง ผลออกมาจะดูสวยดีมีรสนิยมทั้งหมด ที่สำคัญมันเป็นโทนสีที่คล้ายๆ กับไอติมในร้าน i-berry น่ะครับ คือจะว่าแว้นก็ไม่แว้น จะทึมก็ไม่ทึม แต่มันหวานๆ เปรี้ยวๆ น่ากินชะมัด!

พูดไปก็คงนึกภาพไม่ออกเท่าไหร่ ยิ่งคนที่ไม่ได้ทำเว็บก็ยิ่งงงว่าไอ้นี่มันพูดอะไร ..อ้ะ งั้นดูตัวอย่างนะ
Continue reading [Nerd Alert] ไอติมในโค้ดสีที่มีคำว่า face

คอมเมนต์