ปณิธานปีใหม่ 2556

2556

เพิ่งสังเกตว่าเมื่อต้นปีนี้ ตัวเองเขียนเรื่องเกี่ยวกับปีใหม่ไว้เป็นการ์ตูน 2 ตอน ซึ่ง เหี้ยมาก พอขึ้นปีหน้าเลยกะจะขอจริงจังสักหน่อย ด้วยการตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดนโยบายของตัวเองในปีหน้า (และหวังว่จะเป็นธรรมเนียมในปีต่อๆ ไปด้วย) ที่จริงเขียนไว้ในบอร์ดแล้วแหละ ขอเอามาเรียบเรียงลงในพื้นที่ส่วนตัวอีกที

อ้อ ก่อนอื่นเราคงขอข้ามไอ้ประโยคหล่อๆ แบบว่า เฮ้ย ทำไมต้องปีใหม่ด้วย เราตั้งใจทำอะไรให้ได้ทุกวันไม่ได้เหรอ อะไรพวกนั้นไปเลยนะครับ

เนื่องจากปีก่อนไม่ได้เขียนปณิธานอะไรเอาไว้ ก็เลยไม่มีจุดหมายอะไรในชีวิตมาก ดังนั้นปี 2555 ที่ผ่านมาเลยค่อนข้างเป๋ไปเป๋มา มีความสุขบ้าง มีความกังวลเรื่องเวลาชีวิตส่วนตัวบ้าง ส่วนปีก่อนหน้านั้นอีกก็ผ่านครึ่งนึง ไม่ผ่านอีกครึ่ง ก็ถือว่าพอถูไถละเนอะ

เอาล่ะ ปี 2556 ที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้ามีความตั้งใจหลายประการ

เรื่องงาน

  • กลับมาทำฟอนต์ ไม่มีข้ออ้างอีกแล้ว หลังจากผัดมาหลายปี (อันนี้มันถือเป็นงานได้มะ งานอดิเรกก็นับละกันเนอะ) ไม่รอแล้วอี FontLab ห่าเหวนั่น เมลไปถามเรื่องเวอร์ชันใหม่ (ที่ไม่ตกยุค) ทีไรก็บอกว่าปีนี้แหละ ปีนี้แหละจะออกทุกที แม่งเลื่อนมาหลายปี เลยทำกูเหลวไหลไปด้วย (ไม่โทษตัวเองเลยนะ)
  • รื้อเว็บฟอนต์ใหม่ทั้งเว็บ ให้เป็นอย่างที่ “ว่าจะ” มานานแล้ว และกลับมาทำให้เว็บฟอนต์มันมีเสน่ห์มากๆ อีกครั้ง
  • เลิกบ่นเรื่องการเป็นมนุษย์เงินเดือน ด้วยการลาออกจากงานประจำเสียที เกษียณตัวเองจากโลกหุ่นยนต์ กลับมามีชีวิตเพื่อครอบครัวและตัวเอง เรื่องเงินไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเราอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ารวย (ใครรู้จักกันจะรู้ว่ากูแกล้งรวย แกล้งไม่เนียนด้วย) ประเด็นคือ มาถึงป่านนี้เราพิสูจน์ตัวเองมาหลายครั้งแล้ว ว่าเงินไม่ใช่คำตอบของชีวิตจริงๆ แต่เป็นความชิว อันเป็นความฝันอันสูงสุด (เขียนไว้ในบล็อกนี้: อย่างไม่คิดจะถุยชีวิตให้เสียเวลา) คือจะกลับมาพับเสื้อที่บ้าน ช่วยเมียสกรีนเสื้อขายเหมือนเดิม และหารายได้อื่นๆ ที่ไม่ต้องจ่ายเวลาไปวันละ 4-5 ชั่วโมงบนท้องถนนอีก อาจจะรับจ้างทำฟรีแลนซ์อยู่บ้านเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตามเรื่องตามราวงี้
  • หรือถ้ามันยากนักก็อาจจะเกษียณตัวเองออกจากวงการออกแบบสื่อดิจิทัลไปเลย (ข้อนี้ไม่มั่นใจ และไม่คิดว่าจะทำได้)
  • เขียนหนังสือออกวางขาย ตอบโจทย์ความฝันหนึ่งก้อนของตัวเองเรื่องการเป็นอยากนักเขียน
  • เอาเวลามาทำร้านโมนามาเฟียให้ดี ให้เป็นอย่างที่เคยฝันไว้ว่าอยากเห็น

เรื่องครอบครัว

  • เล่นกับลูกทุกวัน ทำให้ลูกติดพ่อให้ได้ ฮ่าๆๆ
  • ไปเที่ยวกับครอบครัวบ่อยมากๆ ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรกของชีวิตเสียที (ที่ผ่านมาคืองาน)

เรื่องสุขภาพ

  • ออกวิ่งทุกเช้า หรือหาทางออกกำลังกายอื่นที่พอแก้เขินได้ เช่นว่ายน้ำ ขี่จักรยาน (ถ้าไม่ได้ทุกวันก็อย่างน้อยวันเว้นวัน) ข้อนี้เริ่มทำทันทีตั้งแต่ต้นปีเลย
  • เออใช่ ซื้อจักรยานมาขี่ด้วย แต่ขอศึกษาข้อมูลและดูความพร้อมก่อน
  • นอนก่อนห้าทุ่มครึ่งให้ได้โดยถาวร (เขียนบล็อกตอนนี้ในเวลาห้าทุ่มครึ่งเศษๆ)

สรุปว่าปี 2556 ที่จะถึงนี้ เราตั้งใจว่าจะเป็นคนที่มีความสุข และเป็นครอบครัวที่มีความสุข เป้าสูงสุดในอุดมคติ (พูดอย่างไม่อาย) คือ กูจะสุขจนคนอิจฉา.. แต่ถ้าไม่ได้ตามเป้า ก็ขอให้เป็นชีวิตแบบที่ตัวเองอยากเป็นมานาน

เป็นตัวเองเสียที

ขนมหน้าโรงเรียน

เห็นด้วยกับอะไรแบบนี้ไหมครับ

ผมเห็นด้วยนะ (ที่จริงต้องบอกว่าเห็นแบบนี้มานานแล้ว) และคิดว่านี่คือปัญหาของนโยบายประชานิยมอย่างแร็งเลย

อารมณ์เหมือนตอนนี้เรามีสูตรสำเร็จการเลือกตั้ง (ซึ่งเขาว่ามันคือการได้มาซึ่งประชาธิปไตยอันศักดิ์สิทธิ์ และใครดูถูกจะถูกตราหน้าว่าไร้อารยะ) แบบแจกขนมหน้าโรงเรียน พอถึงฤดูทีไรก็เอารถมาตั้งแจก ครูก็ปล่อยเด็กๆ ก็กรูกันไปกิน กินฟรีทุกวันๆ โดยที่ไม่ได้มีใครเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและการพัฒนาความคิดของเด็กในระยะยาว แม่งโตมาถือไหแบบในคุนิมิตสึกันหมด

ในขณะที่บริษัทใดที่ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ซื้อใจแบบนี้ ก็ไม่มีวันขายขนมได้หรอก แถมกลับมีเสียงเรียกร้องให้ต้องปรับวิธีมาแจกขนมบ้าง เผื่อยอดปีนี้จะได้ชนะ คู่แข่งหน่อย และอ้างว่ามันคือความชอบธรรม

(หมายเหตุ: ย่อหน้าสุดท้าย ทีแรกจะพูดถึงประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่ตรงนัก เพราะ ปชป ก็แจกขนมเหมือนกัน แต่มันซื้อใจเด็กไม่ได้แล้วไง ขนมคุณไม่อร่อยนี่หว่า และเด็กมันเสพติดขนมของบริษัทคู่แข่งไปแล้ว งั้นก็รอเงกไปเหอะ)

อย่างไม่คิดจะถุยชีวิตให้เสียเวลา

เตือนไว้ก่อนว่าบล็อกตอนนี้ออกแนวเพ้อเจ้อและนามธรรมมาก ไม่รู้จักกันก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน

คือระยะนี้เห็นคนรอบข้างกำลังแสดงอาการเบื่อหน่ายและถ่มถุยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยครั้ง เลยหันมามองตัวเองบ้าง ก็พบว่า

อันข้างบนนี้ทวีตไว้หลายวันแล้ว (ไม่หลายเท่าไหร่หรอก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้เอง) แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่

ถ้าเทียบกับคนอื่นที่เวลาเล่าจะเล่าอย่างโลดโผน ว่าผ่านนู่นนั่นนี่มาแล้วทั้งชั่วดี โดยเฉพาะเพื่อนที่ยิ่งผ่านเรื่องชั่วๆ มาก่อน จะยิ่งเล่าได้อย่างออกรส ในขณะเดียวกันถ้ายังไม่ผ่าน แต่ยังอยู่ในสถานการณ์เหี้ยๆ อันนี้จะออกแนวถุยชีวิตหน่อย … พอมองตัวเองบ้าง ก็จะพบว่าชีวิตเรานี่ค่อนข้างเรียบง่าย และออกแนวน่าเบื่อด้วยซ้ำ เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีเสน่ห์อะไรเลย ซึ่งจะว่าเกิดด้วยความบังเอิญก็ไม่ใช่ เพราะเราเชื่อเสมอว่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตนั้นไม่เคยมีปาฏิหาริย์ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมัน แปลว่าอะไรที่ดูเหมือนเป็นผล ก็ต้องมีเหตุ (คือนี่แม่งพุทธมากๆ เลยนะ ดูเหมือนเป็นพวกหยิบปรัชญามาใช้กับตัวเองส่งเดชจริงๆ)

แต่รู้สึกอย่างชัดเจนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยแล้ว เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรื่อยเปื่อยเลยนะ คือวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็เป็นแผนที่แบบหลวมๆ และชิวๆ (ที่จริงมันต้องเขียนว่าชิลล์ แต่เราติดเขียนแบบนี้ ให้อภัยเราเถอะ) คือไม่ได้แน่นจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้หลวมจนเหลาะแหละ (นี่ก็ปรัชญาพุทธอีก เท่ฉิบหายเลยสิมึง)

ประเด็นคือ เราค้นพบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราชอบอะไร เรามองเห็นแล้วว่าเป้าหมายสูงสุดที่ถ้าไปถึงได้จะฟินมากคืออะไร ทีนี้ก็เริ่มก้าวเดิน..

ใช่ ชีวิตแต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกันเลย บางคนก็อยากรวยสุดๆ หรืออยากเท่สุดๆ อยากดังสุดๆ อยากประสบความสำเร็จสุดๆ อยากมีเกียรติยศศักดิ์ศรีสุดๆ หรืออยากเป็นพ่อพันธุ์ ไล่ปี้ตัวเมียให้มากที่สุด ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ผิด ตราบใดที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น (เช่นไม่ไปไล่ปี้คนอื่น) ก็ทำไป.. ยอดเขาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แถมบางคนมีหลายยอดด้วย ปีนมาถึงนี่ กูพอละ ขอลองลูกข้างๆ บ้าง ก็ว่าไป

สำหรับเรา ที่ผ่านมาพอรู้แนวทางว่าตัวเองชอบอะไร และเสี้ยนหนามของเป้าหมายในชีวิตคืออะไร แต่ก็ยังคงเบลอๆ จนมาถึงระยะหนึ่งก็ตอบได้แล้วว่า เราเป็นมนุษย์ชิว.. อะไรก็ตามที่ขัดขวางความชิวของชีวิต นั่นคืออุปสรรค แต่ก็จะค่อยๆ แกะเสี้ยนหนามออกทีละหน่อยเท่าที่มีโอกาส ความสามารถ และกำลังพอ อย่างไม่คิดจะถุยชีวิตให้เสียเวลา

ยอดเขาของเรานั้นชื่อว่าชิว และเรากำลังค่อยๆ ปีนอยู่

อย่างชิวๆ

ผมชอบเขียนการ์ตูน ผมชอบอ่านการ์ตูน ผมเป็นแฟนคลับสะอาด

ผมชอบการ์ตูน

ชอบทั้งอ่าน และชอบทั้งเขียน แม้อย่างหลังจะทำได้ไม่ดีเพราะดันไม่ได้ทุ่มเทให้มัน แต่ชอบก็คือชอบ มีความสุขเวลาได้อ่าน ได้เล่น ได้ขยับปากกาเขียนนั่นนี่เป็นงานอดิเรก
ก็เพิ่งมาฝีแตกโพละเอาตอนงานหนังสือที่ผ่านมา ผมซื้อหนังสือของ ทปก ชื่อ Draw Something และพบความสุขที่อยู่ระหว่างหน้ากระดาษนั่น

คือเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตอนเด็กๆ แชมป์ก็เป็นพวกชอบเอากระดาษมาพับทบๆ ให้เหลือเล็กๆ แล้ววาดการ์ตูนอวดเพื่อนเหมือนกัน ต่างกันที่ตอนนี้แชมป์ยังคงทำอะไรคล้ายๆ แบบนั้นอยู่ แต่เราทิ้งมันไปแล้ว ซึ่งเสียดาย ผิดมาก) เลยรู้สึกว่าต่อแต่นี้เป็นต้นไป เราควรจะกลับมาสนุกกับการวาดมากขึ้น ก็ไปเปิดบล็อกวาดการ์ตูนเล็กๆ ที่ Tumblr ไว้ (ขออนุญาตไม่แชร์ให้รู้ละกัน จะได้อิสระหน่อย)

ส่วนการวาดเพื่อ “อวด” คนอื่นทั่วไปนั้นก็ยังคงทำอยู่ (เช่นใน Instagram / Pinterest:Pinstagram ที่หลังๆ ไม่ได้เล่นทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะพอรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่แล้วจะไม่สนุก) แล้วก็วาดการ์ตูนตีนปาดเรื่อยๆ (อย่างเรื่องนี้ที่กำลังทยอยวาดอยู่) แต่ไม่ได้พัฒนาฝีมือตัวเองอะไร วาดไปงั้นๆ

คือมีบางทีที่อยากพัฒนาบ้าง แต่สันดานเรารักสบายกว่านั้น ก็เลยไม่ได้หัดอะไร ซึ่งไม่ดี เราเริ่มเป็นไม้แก่ขึ้นไปทุกที ก็จะพยายามหัดตัวเองต่อไปเรื่อยๆ นะ

ทีนี้เข้าเรื่อง
Continue reading ผมชอบเขียนการ์ตูน ผมชอบอ่านการ์ตูน ผมเป็นแฟนคลับสะอาด

เมื่อคืนนั้น ฉันฝันเนิร์ด

(NERD ALERT)

ตอนนี้อยู่สระแก้วครับ มาชาร์จแบตชีวิต ปรากฏว่าเมื่อคืนดันนั่งเฝ้าจอดูแอปเปิลเขาขายของซะงั้น เลยนอนดึกมาก ..นอนดึกไม่พอ ดันฝันสนุกอีก (สนุกแบบเนิร์ดๆ นะ เตือนไว้ก่อน) พอตื่นมาเลยต้องรีบทวีตไว้ก่อน เดี๋ยวลืม แล้วก็ตามฟอร์ม บันทึกไว้เพราะเดี๋ยวทวีตแม่งก็จม (ยากจริงชีวิตกู)


(เผื่อใครไม่เก็ต ลองค้นหาวิดีโอเกี่ยวกะอนุบาลฝันในฝัน อะไรสักอย่าง สตีฟจ็อบส์ร่างยักษ์ก็อยู่ในนั้น)


ความเนิร์ดมาละครับ


อันนี้เจ๋ง พี่เม่นมายืนครีติกหน้าชั้นเลย ว่าถ้าจะมีความสามารถนี้จริง ทวิตเตอร์น่าจะเสียเอกลักษณ์เรื่องความง่ายไป เพราะผู้ใช้ต้องคิดเยอะขึ้นมาก เราเลยอ้อมแอ้มอ้างไปว่า มันก็ควรจะมี default ที่ดีพอ นั่นแปลว่า user ระดับทั่วไปไม่ต้องมานั่งนึกเรื่อง Circles นี้หรอกครับ ก็ใช้ตามปกติไปนั่นแหละ คนที่จะนึกน่าจะเป็นทวิตเตอร์ของแบรนด์มากกว่าที่จะเลือกเจาะจงว่าจะให้ข้อความนี้ส่งถึงใคร
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์ที่ไม่ได้ทวีตอีกแต่มันต่อเนื่องจากข้อนี้ เช่น ระบบกึ่งบังคับให้ผู้ใช้ใส่ profile ของตัวเองให้ละเอียดหน่อย เพื่อให้ความสามารถเรื่องการส่งข้อความให้เห็นเฉพาะลิสต์ที่ว่าเนี่ย ส่งไปถึงตัวคนง่ายขึ้น เช่น อาศัยอยู่แถวประเทศไทย (อันนี้ user ไม่ต้องปรับอะไร เพราะเขียน location อยู่แล้ว ยกเว้นพวกเขียนว่า “อยู่กลางใจเทอ” ไรงี้ มึงต้องแก้) หรืออายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ สรุปคือลอกความสามารถนี้มาจากเฟซบุ๊ก


อันนี้พี่เม่น(ในฝัน)กับใครอีกคน น่าจะพี่อาท บอกว่าดูแล้วมันส่งเสริมธุรกิจใต้สะดือนะเนี่ย ซึ่งเราว่าจริง และทวิตเตอร์ก็คงไม่แคร์เพราะเป็นช่องทางหารายได้ของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนจะเริ่มรู้สึกว่าเออ ข้อความที่ทวีตออกไปเนี่ยมันมีลิขสิทธิ์ มีค่าสมองได้เหมือนกัน เผื่อใช้ในกรณีทวีตข่าว Exclusive หรือบทกวี หรือนิยาย (เคยเห็นที่ไหนไม่รู้แต่งนิยายในทวิตเตอร์เลยเก็บมาฝันเนี่ยแหละ)


ข้อนี้ติ่งเกาหลีหรือคนที่ใช้ทวิตเตอร์ไว้เพื่อแช็ตคุยกันหลายๆ คนเป็นหลัก (แบบเรา) จะสบายใจมาก ที่จริงมีอย่างอื่นอีกนะข้อนี้ แต่ในฝันเราเถียงกันว่าแบบไหนถึงจะดี เช่น ตั้งชื่อแบบ @[…] ซึ่งอย่างหลังนี่เสียพื้นที่ตัวอักษรไปอีกสองตัว ซึ่งไม่พอแน่ แต่ก็มีอีกข้อที่เสนอไปว่า ระบบใหม่ของทวิตเตอร์จะจำ username เป็นเพียง 1 ตัวอักษร (ข้อจำกัด 140 ตัวอักษรนั้นมาจาก SMS ซึ่งเลิกใช้ไปนานมากแล้ว) ดังนั้นถ้าใช้ร่วมกับข้อนี้ก็คงโอเค

ที่จริงมีอีกเยอะมากเลย ไม่รู้ไอเดียมันผุดขึ้นมาตอนหลับได้ไง แล้วทำไมต้องฝันซ้อนฝันด้วย เดาว่าคงเพราะกังวลว่าวันนี้เรานอนน้อย แล้วต้องขับรถไกลๆ กลับกรุงเทพฯ อีกแหงเลย เลยกังวลนิดๆ จนเก็บไปฝัน

จบครับ ไปขี้ละ