ผมชอบเขียนการ์ตูน ผมชอบอ่านการ์ตูน ผมเป็นแฟนคลับสะอาด

ผมชอบการ์ตูน

ชอบทั้งอ่าน และชอบทั้งเขียน แม้อย่างหลังจะทำได้ไม่ดีเพราะดันไม่ได้ทุ่มเทให้มัน แต่ชอบก็คือชอบ มีความสุขเวลาได้อ่าน ได้เล่น ได้ขยับปากกาเขียนนั่นนี่เป็นงานอดิเรก
ก็เพิ่งมาฝีแตกโพละเอาตอนงานหนังสือที่ผ่านมา ผมซื้อหนังสือของ ทปก ชื่อ Draw Something และพบความสุขที่อยู่ระหว่างหน้ากระดาษนั่น

คือเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตอนเด็กๆ แชมป์ก็เป็นพวกชอบเอากระดาษมาพับทบๆ ให้เหลือเล็กๆ แล้ววาดการ์ตูนอวดเพื่อนเหมือนกัน ต่างกันที่ตอนนี้แชมป์ยังคงทำอะไรคล้ายๆ แบบนั้นอยู่ แต่เราทิ้งมันไปแล้ว ซึ่งเสียดาย ผิดมาก) เลยรู้สึกว่าต่อแต่นี้เป็นต้นไป เราควรจะกลับมาสนุกกับการวาดมากขึ้น ก็ไปเปิดบล็อกวาดการ์ตูนเล็กๆ ที่ Tumblr ไว้ (ขออนุญาตไม่แชร์ให้รู้ละกัน จะได้อิสระหน่อย)

ส่วนการวาดเพื่อ “อวด” คนอื่นทั่วไปนั้นก็ยังคงทำอยู่ (เช่นใน Instagram / Pinterest:Pinstagram ที่หลังๆ ไม่ได้เล่นทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะพอรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่แล้วจะไม่สนุก) แล้วก็วาดการ์ตูนตีนปาดเรื่อยๆ (อย่างเรื่องนี้ที่กำลังทยอยวาดอยู่) แต่ไม่ได้พัฒนาฝีมือตัวเองอะไร วาดไปงั้นๆ

คือมีบางทีที่อยากพัฒนาบ้าง แต่สันดานเรารักสบายกว่านั้น ก็เลยไม่ได้หัดอะไร ซึ่งไม่ดี เราเริ่มเป็นไม้แก่ขึ้นไปทุกที ก็จะพยายามหัดตัวเองต่อไปเรื่อยๆ นะ

ทีนี้เข้าเรื่อง
Continue reading ผมชอบเขียนการ์ตูน ผมชอบอ่านการ์ตูน ผมเป็นแฟนคลับสะอาด

เมื่อคืนนั้น ฉันฝันเนิร์ด

(NERD ALERT)

ตอนนี้อยู่สระแก้วครับ มาชาร์จแบตชีวิต ปรากฏว่าเมื่อคืนดันนั่งเฝ้าจอดูแอปเปิลเขาขายของซะงั้น เลยนอนดึกมาก ..นอนดึกไม่พอ ดันฝันสนุกอีก (สนุกแบบเนิร์ดๆ นะ เตือนไว้ก่อน) พอตื่นมาเลยต้องรีบทวีตไว้ก่อน เดี๋ยวลืม แล้วก็ตามฟอร์ม บันทึกไว้เพราะเดี๋ยวทวีตแม่งก็จม (ยากจริงชีวิตกู)


(เผื่อใครไม่เก็ต ลองค้นหาวิดีโอเกี่ยวกะอนุบาลฝันในฝัน อะไรสักอย่าง สตีฟจ็อบส์ร่างยักษ์ก็อยู่ในนั้น)


ความเนิร์ดมาละครับ


อันนี้เจ๋ง พี่เม่นมายืนครีติกหน้าชั้นเลย ว่าถ้าจะมีความสามารถนี้จริง ทวิตเตอร์น่าจะเสียเอกลักษณ์เรื่องความง่ายไป เพราะผู้ใช้ต้องคิดเยอะขึ้นมาก เราเลยอ้อมแอ้มอ้างไปว่า มันก็ควรจะมี default ที่ดีพอ นั่นแปลว่า user ระดับทั่วไปไม่ต้องมานั่งนึกเรื่อง Circles นี้หรอกครับ ก็ใช้ตามปกติไปนั่นแหละ คนที่จะนึกน่าจะเป็นทวิตเตอร์ของแบรนด์มากกว่าที่จะเลือกเจาะจงว่าจะให้ข้อความนี้ส่งถึงใคร
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์ที่ไม่ได้ทวีตอีกแต่มันต่อเนื่องจากข้อนี้ เช่น ระบบกึ่งบังคับให้ผู้ใช้ใส่ profile ของตัวเองให้ละเอียดหน่อย เพื่อให้ความสามารถเรื่องการส่งข้อความให้เห็นเฉพาะลิสต์ที่ว่าเนี่ย ส่งไปถึงตัวคนง่ายขึ้น เช่น อาศัยอยู่แถวประเทศไทย (อันนี้ user ไม่ต้องปรับอะไร เพราะเขียน location อยู่แล้ว ยกเว้นพวกเขียนว่า “อยู่กลางใจเทอ” ไรงี้ มึงต้องแก้) หรืออายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ สรุปคือลอกความสามารถนี้มาจากเฟซบุ๊ก


อันนี้พี่เม่น(ในฝัน)กับใครอีกคน น่าจะพี่อาท บอกว่าดูแล้วมันส่งเสริมธุรกิจใต้สะดือนะเนี่ย ซึ่งเราว่าจริง และทวิตเตอร์ก็คงไม่แคร์เพราะเป็นช่องทางหารายได้ของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนจะเริ่มรู้สึกว่าเออ ข้อความที่ทวีตออกไปเนี่ยมันมีลิขสิทธิ์ มีค่าสมองได้เหมือนกัน เผื่อใช้ในกรณีทวีตข่าว Exclusive หรือบทกวี หรือนิยาย (เคยเห็นที่ไหนไม่รู้แต่งนิยายในทวิตเตอร์เลยเก็บมาฝันเนี่ยแหละ)


ข้อนี้ติ่งเกาหลีหรือคนที่ใช้ทวิตเตอร์ไว้เพื่อแช็ตคุยกันหลายๆ คนเป็นหลัก (แบบเรา) จะสบายใจมาก ที่จริงมีอย่างอื่นอีกนะข้อนี้ แต่ในฝันเราเถียงกันว่าแบบไหนถึงจะดี เช่น ตั้งชื่อแบบ @[…] ซึ่งอย่างหลังนี่เสียพื้นที่ตัวอักษรไปอีกสองตัว ซึ่งไม่พอแน่ แต่ก็มีอีกข้อที่เสนอไปว่า ระบบใหม่ของทวิตเตอร์จะจำ username เป็นเพียง 1 ตัวอักษร (ข้อจำกัด 140 ตัวอักษรนั้นมาจาก SMS ซึ่งเลิกใช้ไปนานมากแล้ว) ดังนั้นถ้าใช้ร่วมกับข้อนี้ก็คงโอเค

ที่จริงมีอีกเยอะมากเลย ไม่รู้ไอเดียมันผุดขึ้นมาตอนหลับได้ไง แล้วทำไมต้องฝันซ้อนฝันด้วย เดาว่าคงเพราะกังวลว่าวันนี้เรานอนน้อย แล้วต้องขับรถไกลๆ กลับกรุงเทพฯ อีกแหงเลย เลยกังวลนิดๆ จนเก็บไปฝัน

จบครับ ไปขี้ละ

ไม่ใช่ไทม์แมชชีน แต่มันคือเฟซบุ๊ก

แอนสมัยประถม
(ขอบคุณภาพประกอบจากเตย เมธาวี)

เมื่อคืนตื่นเต้นมากจนทวีตออกมาอย่างรวบรัดว่าอย่างนี้ครับ

เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคืออยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งเข้ามาว่ามีคนตอบเราในเฟซบุ๊ก (ต้องอธิบายหน่อยว่าผมไม่ได้ “เล่น” เฟซบุ๊ก ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ใช้งาน แต่แปลว่าไม่ได้จมปลักอยู่กับมัน ซึ่งการจมปลักนี้ใช้กับทวิตเตอร์ แม่งเรียกได้ว่าตลอดเวลา ติดต่อง่ายกว่าโทรหากันสักล้านเท่า) เลยกดไปดู

ก็พบว่ามีเพื่อนชื่อจูนทักเข้ามา แล้วลงท้ายด้วยว่ามาจากกรุ๊ปชื่อ อ.ป. ซึ่งเป็นชื่อย่อของโรงเรียนอรุณประดิษฐ เพชรยุรี ที่ผมเคยเรียนอยู่สมัย ป.3 ถึง ป.6

ด้วยความฉงนแกมตะลึง (คือพอจะสปอยล์ตัวเองได้แล้วว่าวินาทีต่อจากนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้น) ก็เลยกดลิงก์นั้นเข้าไป และพบกับโลกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

เพื่อนสมัยประถมหลายคนกำลังูดคุยสนทนากันในกรุ๊ปแบบปิด บางคนแนะนำตัว บางคนโพสต์รูปถ่ายเมื่อสมัย 20 ปีก่อน (เด็กประถมที่ถือกล้องถ่ายรูปเมื่อ 20 ปีก่อนนี่รวยส์จังเลย 5555) เอามาอวดกัน แล้วเริ่มไล่เรียงทายชื่อเพื่อนแต่ละคนที่วิญญาณสถิตอยู่ในภาพถ่ายนั่น

ผมตื่นเต้น ไล่นิ้วปาดดูไปเรื่อยๆ (เปิดในมือถือ) ก็พบว่าไม่สาแก่ใจ เลยวิ่งลงมาหยิบคอม เอาไปวางบนเตียงแล้วนอนคว่ำหน้าเสพภาพมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันคือภาพของเด็กประถมจำนวนมากที่กำลังจัดกิจกรรมอะไรบางอย่าง บางภาพเป็นภาพหมู่ บ้างก็ภาพเดี่ยวๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีและราคาของมันในสมัยนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมต่างตั้งใจฉีกยิ้ม และเก็กท่าใส่กล้องอย่างเต็มที่

ซึ่งสารภาพว่าผมจำใครแทบไม่ได้เลย แม้เพื่อนหลายคนจะรายงานตัวว่าตัวเองชื่อ นามสกุลอะไร ก็ยังคงจำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา

มัธยมกับประถมมันต่างกัน

วัยมัธยมเรามีเพื่อนเป็นศูนย์กลางของชีวิต การมีกรุ๊ปเพื่อนมัธยมมันคือเรื่องสามัญของยุคนี้ไปแล้ว (ยิ่งเพื่อนมหาลัยนี่ไม่ต้องพูดถึง) ดังนั้นการเข้าไปพูดคุยอัปเดตสถานะปัจุบัน และทำท่าทีสนิทสนมกันแบบที่ใครดันลืมชื่อเพื่อนก็ถือเป็นบาป นั่นคือเรื่องปกติ แต่สำหรับเพื่อนประถมนั้นต่างออกไป

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือเพื่อนแต่ละคนก็จำกันไม่ได้ จะจำได้ก็ต่อเมื่อลากเพื่อนที่สนิทๆ กัน หรือยังต่อติดจนปัจจุบันเข้ามาในกรุ๊ป แล้วเริ่มแนะนำตัวกันอีกทีว่าตัวเองเป็นใคร ผูกโยงกับเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนว่ามีบุคลิกยังไงตอนประถม หรือพยายามแสดงท่าทางว่าถ้าเพื่อนๆ จำเด็กคนนั้นไม่ได้ ให้นึกถึงเหตุการณ์นี้สิ

ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องอาย เมื่อบอกกันตรงๆ ว่า “เราจำเธอไม่ได้นะ” และเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง — ด้วยชื่อจริง (สมัยนั้นไม่มีใครเรียกกันด้วยชื่อเล่นหรอก โดยเฉพาะผมที่แม่ตั้งชื่อว่าแอน โคตรน่าอายเลย เลยชื่อปรัชญามาตลอด)

มิตรภาพที่เกิดขึ้นมันคล้ายกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันหมาดๆ แต่มีสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกกันบางๆ บ้างก็ขาดไปแล้วเนิ่นนาน แต่วันนี้มันกลับย้อนคืนมาอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่เรื่องของเพื่อน แต่หมายถึงเรื่องของเราเอง

สำหรับผม เด็กชายปรัชญาสมัยประถม ไม่มีเรื่องอะไรให้เพื่อนจำไปมากมายไปกว่าการเป็นเด็กเนิร์ด(มากๆ)คนนึง ที่เรียนเก่งที่สุดในห้องของฝั่งชาย (ของฝั่งหญิงจะเป็น “จูน จินตนา” ที่เราเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้เธอมีครอบครัวแล้วและเปิดร้านขายยาอยู่สมุย) นอกนั้นก็เป็นเด็กที่ชอบนั่งเงียบๆ วาดรูป (หลอดสัส) .. และความทรงจำอื่นๆ ที่พอจะแกะออกมาได้คือเราบ้าหมากรุกมาก เอาหมากรุกไปเผยแพร่ในโรงเรียนจนดังระเบิดตอน ป.6 แล้วมั่นใจมากว่ากูนี่เก่งนักหนา ล้มเพื่อนทุกคนในโรงเรียนได้ จนไปแพ้ อ.สอนคณิตศาสตร์เสียหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ฯลฯ

ฯลฯ

ฯลฯ

เมื่อคืนนี้นอนยิ้มและหลับด้วยอารมณ์ดีมากๆ เหมือนตัวเองได้กระโดดกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความทรงจำต่างๆ มันเป็นเพียงสิ่งเสพติดให้เราหลงเคลิ้มไปชั่วคราว แต่พอตื่นมาก็เจอโลกปัจจุบัน ที่มีเมียนั่งสกรีนเสื้อขายอยู่ เคล้ากับเสียงเด็กทารกที่รักการแหกปากร้องและขี้แตกทั้งวัน

แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ใช่แค่การหลงอดีต แต่คือการขุดมิตรภาพในอดีตที่ตัวเองไม่เคยนึกถึงว่าจะได้เจอ ให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน และความสัมพันธ์แบบปัจจุบัน

ผมเขียนบล็อกตอนนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิด เข้าใจว่าผู้อ่านบางคนคงเคยพบช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว ก็ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของพวกโหยหาอดีตที่กำลังจะเป็นปัจจุบันด้วยคนละกันนะครับ

ขอบคุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์กจริงๆ ครับ (อีมาร์กคงงงว่าเกี่ยวอะไรกะกู)

ป.ล.
จูน จินตนาที่พูดถึงนี่เป็นคนแรกในชีวิตผมที่พูดคำว่า “คอมพิวเตอร์” ให้ได้ยินนะครับ ตอน ป.6 เธอบอกว่ากำลังเรียน “โลตัส” อยู่ ผมไม่เคยได้ยินคำว่าโลตัสมาก่อน (ตอนนั้นห้างโลตัสบิ๊กซีเซเว่นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ) เอาจริงๆ คำว่าคอมพิวเตอร์ก็ไม่เคยได้ยิน แต่รู้สึกว่าแม่งเท่ฉิบหาย .. ปีต่อมาพ่อผมก็เก็บเงินซื้อคอมมาให้ลูกได้เรียนได้หัดบ้าง ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่สุดยอดจริงๆ

ป.อ.
ที่จริงผมแอบขุดบล็อกเก่าไว้ที่ Exteen และจะทยอยโพสต์ของรักของหวงสมัยเด็กๆ ไปแปะไว้ที่นั่น ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกรุ๊ปนี้พอดี เออ บ้าอดีตกันเข้าไป (ก็สนุกดีนะ แล้วจะทำไม)

ป.ฮ.
ขออภัยที่ไม่ได้เรียบเรียง พอดีเมียเร่งให้เขียนเร็วๆ จะไปกินข้าว

เติมพลังเต็มถังเลยน้อง

ดึกแล้ว
แต่รู้สึกว่าต้องระบายอะไรออกมาหน่อย

เคยรู้สึกทำนองนี้กันไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังเป็นอยู่เลย คืออยู่ดีๆ พลังงานชีวิตมันก็มา มาแล้วก็อยากริเริ่มอะไรจริงจังให้สมกับที่ “ว่าจะ” ทำนั่นนี่ตลอดมา แต่ก็ติดข้ออ้างเรื่องเวลามาตลอดเช่นกัน

ตอนนี้เรื่องลดน้ำหนักเราทำได้เป็นที่น่าพอใจ
ก็เป็นประกายไฟแวบแรกให้รู้สึกว่าไอ้ที่เราอ้างอยู่เสมอว่าช่างไม่มีเวลาว่างแบบคุณภาพๆ เอาซะเลยนั้นมันปัญญาอ่อนมาก

โปรเจกต์ล้านแปดในสมอง ถ้าไม่ได้เริ่มลงมือทำ มึงก็แค่ไอ้ขี้โม้

โอเค พรุ่งนี้จะเริ่มละ!!
บริหารเวลาด้วยการใส่อุปสรรคลงไปในเวลาที่ไม่ค่อยจะมีนั่นแหละ ดูซิว่าพอมีเป้าหมายแล้วมันจะช่วยทำให้เวลาฟุ้งๆ ที่ว่า มันตกตะกอนลงได้ไหม

ถึงพวกเขาจะไม่รู้ตัว แต่ก็ขอขอบคุณจักรี ขอบคุณพี่หนุ่ม ขอบคุณแชมป์ เอม หนุงหนิง และอี บ.ก.แบงค์มากๆ เลยครับ

ป.ล. เขียนบล็อกตอนนี้ในมือถือ แอปเวิร์ดเพรสก็เข้าท่านะ

ครัวบ้านน้าเมฆ

วันนี้เราจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านเล็กๆ แต่อบอุ่นของครอบครัว “คุณเหนือเมฆ น้ำเงินใจงาม” (หรือน้าเมฆ น้าชายของภรรยาของผู้เขียนเอง) ผู้เป็นเจ้าของบ้านยกพื้นหลังเล็กๆ ติดสวนร่มรื่น ที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานีกันครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

ความอบอุ่นของครอบครัวขยาย ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกครอบครัวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น ถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไม ผ่านการจัดวางของห้องครัวที่เป็นสเปซเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องนอนได้อย่างเหมาะเจาะ
ด้วยช่องแสงจากหลังคาที่สาดส่องลงมา ทาบทับกับภาชนะเก๋ๆ ชิกๆ จากตลาดปทุมธานี ที่แขวนเป็นระนาบเพื่อประโยชน์ในเชิงฟังก์ชันการใช้สอย ที่สะดวกรวดเร็ว แถมยังเป็นการโชว์มิติและพื้นผิวของวัสดุ จนเกิดเส้นสายของแสงและเงารูปร่างแปลกตา แต่มีจังหวะจะโคนดูเพลิดเพลินและน่าสนใจไม่เบื่อ ขับให้เกิดบรรยากาศแห่งความสุขยามรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของสมาชิกทุกคนเป็นอย่างดี

นอกหน้าต่าง

เมื่อมองจากโต๊ะรับประทานอาหาร จะเห็นบรรยากาศของสวนหลังบ้าน ถึงแม้จะเป็นที่ดินและทางเดินเข้าบ้านของคนอื่น ได้อาศัยความได้เปรียบด้านความสูงของตัวบ้านที่สามารถมองเห็นวิวจากมุมสูงลงไปพบความเขียวชอุ่มเบื้องล่าง โดยเฉพาะหน้าฝนอย่างตอนนี้ เราจะได้เห็นหยดน้ำฝนที่เกาะพร่างพราวตรงขอบหน้าต่างบานผลัก ทำให้ฤดูฝนที่เป็นสิ่งน่าเบื่อของคนเมือง กลับกลายเป็นความรื่นรมย์ของครอบครัวค้าขายอย่างบ้านคุณเหนือเมฆได้เป็นอย่างดี

งานนี้ต้องขอยกเครดิตให้สถาปนิกผู้ออกแบบ อันได้แก่ เตี่ย คุณเหนือเมฆ (น้าเมฆ) และเจ็กชุน ที่ช่วยกันออกแบบ หาวัสดุ แผ่นไม้ แผ่นประตูจากเพื่อนบ้านและญาติมิตร และลงมือลงแรงต่อเติมบ้านด้วยตนเองเป็นแบบ DIY แท้ๆ

หมายเหตุ:
ปลายปี 2554 น้ำท่วมปทุมธานีฝั่งตะวันตก บ้านน้าเมฆพังไปครึ่งหลัง จากการอยู่ใต้น้ำสูงถึงสองเมตร และถูกต้นก้ามปูใหญ่หลังบ้านที่ล้มลงมาทับเนื่องจากดินชุ่มน้ำไม่สามารถรับน้ำหนักรากของต้นไม้ใหญ่ไว้ได้ หลังจากฟื้นฟูสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวน้ำเงินใจงามจึงได้รีโนเวตบ้านใหม่ให้ด้านหลังมีพื้นที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกและชมวิวสีเขียวร่มรื่นด้านหลังบ้าน พร้อมกับการจิบกาแฟและอ่านนิตยสารทีวีพูลได้อย่างสบายอารมณ์

ปรัชญา สิงห์โต : ถ่ายภาพ (Galaxy Note / Camera360 / Fห่าอะไรไม่รู้ / ISO 9002)

เพิ่มเติม: ผู้เขียนเพิ่งไปเปิดเจอสภาพบ้านน้าเมฆตอนน้ำท่วมครับ แนะนำให้คลิกดูแล้วจะร้องเหยดเป้ด :05: