ต่อไปนี่คงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ

เหรอวะ.. :08:

เมื่อตอนบ่ายโมง ชาวสามย่านส่วนหนึ่งกะว่าจะรีบลงไปกินข้าว แล้วก็จะรีบขึ้นมาทำงานต่อ เลยลงจากตึก ฝ่าแดดข้ามถนนไปถึง KFC เพื่อจะกินด่วนๆ แล้วอยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

เราเลยได้สิงอยู่ร้านอาหารแดกด่วนกันอย่างเนิบช้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ฝนถึงเริ่มซา แล้วก็กะว่าค่อยๆ ลุยกันเข้ามาทำงานต่อ และก็เจอแม่น้ำขวางไว้ทุกทางที่จะกลับเข้าสู่ออฟฟิศได้ มองซ้ายมองขวา พนักงานทุกๆ ออฟฟิศไม่ว่าจะนุ่งอะไร ใส่รองเท้าอะไร ถุงน่องลายตาข่ายหรือสีดำสุดเอ็กซ์ ต่างก็เดินลุยน้ำเน่ากันทั้งนั้น เพื่อกลับเข้าสู่ฟันเฟืองอุตสาหกรรม

เราก็เลยลุยบ้าง

C360_2012-09-25-14-42-07

C360_2012-09-25-14-45-42

01
ภาพสุดท้ายนี่อาจดูไม่สุภาพและทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร (นึกภาพว่าวันนึงไปเข้าตลาดหุ้นแล้วผู้ถือหุ้นมารู้ว่าเราล้างตีนในอ่างล้างมือจะทำยังไง) แต่ทำไงได้ ห้องน้ำออฟฟิศไม่มีที่ฉีดตูด เดินมาขอขันตักน้ำจากป้าแม่บ้านเพื่อจะต่อก๊อกตักราดขาไรงี้ ..ซึ่งคุณป้าก็ยิ้มและบอกว่าเอาแบบนี้เลยละกันลูก เดี๋ยวป้าล้างให้เอง ..ป้าแมนมากครับ ขอกราบ

[แก้ไข] โดนเบื้องบนเซ็นเซอร์ครับ.. ตั้งแต่เขียนบล็อกมาสิบกว่าปี เพิ่งเคยโดนนี่แหละ

ป.ล.
ดีที่ผมใส่รองเท้าหมีมา เลยรอด (คู่เดียวกะที่ลุยน้ำท่วมขี่จักรยานรายงานข่าวเมื่อปีก่อน) เลยสบายตีนกว่าใคร

วิธีลดน้ำหนักสำหรับคนขี้เกียจลดน้ำหนัก

เอาอีกที จะเขียนเรื่องยาวๆ ให้สั้นที่สุด ดูซิจะรอดไหม

ผมเคยหนักสูงสุดทะลุ 81 ก.ก.ไปเมื่อประมาณเดือนสองเดือนก่อน รู้สึกว่าชีวิตกูถึงคราวพินาศแล้ว เพราะปล่อยให้เพดานที่ตัวเองยอมรับได้มันขยับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แถมนอนดึก กินแหลก แดกน้ำอัดลม (เคยงดไปครึ่งปี ก็พบว่าตัวเองทำได้ และไม่หันมาเสพติดอีก) และไม่ได้ออกกำลังกายเลย

เห็นพุงและนมตัวเองแล้วอนาถที่สุดครับ เลยคิดจะลดน้ำหนักเป็นครั้งแรกในชีวิต (ลดน้ำหนักกับลดความอ้วนมันคนละเรื่องกันนะ แยกให้ออก) แต่ด้วยความที่ตัวเองแม่งขี้เกียจก็ขี้เกียจ วินัยก็ไม่มี (ถึงจะเป็นชื่อพ่อก็เหอะ)

จาก 80-81 ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดให้ได้ 75

แล้วก็ไปเจอรายการ Good Shape Save Cost ของคุณจอห์น วิญญู เลยเปิดดูสามสี่ตอนแรก จับเคล็ดวิชาและรู้ว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง (ดีนะครับ ดูเหอะ ไม่ต้องอายเพื่อนหรอก คนอื่นก็ดูกันเยอะแยะ) ก็เลยเออ เอาวะ ลองเอามาปรับใช้กับตัวเองดูมั่งดีกว่า .. แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า เราไม่ได้อยากลดแบบหักโหม เพราะเราขี้เกียจมาก แถมเมียเราก็ชวนกินนั่นนี่ตลอดเวลา และประเด็นสำคัญคือ เราไม่เคยคิดจะตั้งใจลดน้ำหนักสักทีเพราะอายที่จะบอกใครว่ากูลดอยู่

แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของผมก็คือ ผมชอบตั้งกติกาให้ตัวเอง และมีความสามารถในการทำตามกติกาอย่างสม่ำเสมอ ก็เลยตั้งใจจะลดน้ำหนัก “แบบสบายๆ” (เน้นมากๆ ว่าต้องสบาย) ดังนี้

  1. ข้าพเจ้าจะควบคุมการกินไม่ให้เกิน 2000 Cal (กิโลแคลอรี่) ต่อวัน
    วันไหนเกินก็ให้มีสติ รู้ตัวเองว่า “มึงเกินละนะ ความฉิบหายมาเยือนละนะ”
    แต่ก็ไม่ได้อดอาหารให้ตัวเองเดือดร้อน (อันนี้สำคัญ ต่างจากไอ้ที่อ่านๆ มา)
    และไม่ทำให้คนรอบข้างที่ชวนไปกินข้าวเที่ยงเกิดความหมั่นไส้รำคาญในความเยอะ (นี่ก็สำคัญ)
    คือเพื่อนชวนกินเนื้อ กินหนม กินติมอะไรก็ไปนะ แต่ไปแล้วบาป เท่านั้นแหละ สำนึกไว้เท่านั้นเอง
  2. ข้าพเจ้าจะตื่นมาขี้ตอนเช้า แล้วชั่งน้ำหนัก และลงบันทึกในตารางไว้ทุกวัน
    (ใครไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบดิจิทัล ไปซื้อมาครับ มันจำเป็นมากสำหรับการนี้ อย่าเชื่อเข็ม) 
  3. แน่นอน มีลงบันทึกการกินด้วย ข้าพเจ้าแม่งกูเกิลหาข้อมูลแคลอรี่และอ่านฉลากขนมตลอดๆ
    จนตอนนี้เริ่มท่องได้ละ กูเริ่มเป็นชาวไซย่าใส่สเคาเตอร์ มองเห็นค่าพลังงานของสิ่งต่างๆ ละ
  4. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามกติกาเช่นนี้ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

เป้าหมายคือลดให้ได้เหลือ 75 ก.ก. ซึ่งตอนนี้พอเริ่มรู้จักค่าแคลอรี่ และตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน นิสัยที่เป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนักก็เริ่มมาเอง

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหักโหมอะไร ใช้ชีวิตปกติมาก ไม่เชื่อดูรายการอาหารที่กินในแต่ละวันได้ แค่ดูตัวเลขข้างห่อขนมแล้วไม่กล้ากินเท่านั้นแหละ แต่ไอ้เนื้อย่างเอย หมูสะเต๊ะอะไรเอย ก็กิน แต่กินแบบสำนึกบาป

ซึ่งการสำนึกบาปนี้ได้ผลมาก!

.

บันทึกบัญชีบุญบาปอย่างเคร่งครัด

ก่อนเริ่มลดกะระหว่างลดนี่ ผมก็เคร่งครัดอยู่แค่อย่างเดียวนี่แหละครับ แต่มันทำให้พฤติกรรมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว เริ่มได้รับอิทธิพลไปเอง

ผมทำตารางไว้ใน Google Spreadsheets อยากได้ก็ดาวน์โหลดไปใช้ได้นะครับ ไม่หวง (ทางที่ดีกด “ทำสำเนา” แล้วแยกไปใส่ข้อมูลของตัวเองจะดีกว่า ทำออนไลน์มันใช้ง่ายดี)
แล้วในแท็บที่ 2 กับ 3 ผมทำเป็นกราฟไว้ประจานตัวเอง ก็แชร์ไว้ในบอร์ดฟอนต์เหมือนกัน (มีไอ้ที่คุยกันเรื่องลดความอ้วน เอาผลมารายงานแข่งกันด้วย หนุกดี.. ตรงไหนวะ)


กราฟบันทึกน้ำหนัก (ภาพนี้มันอัปเดตทุกครั้งที่ใส่ข้อมูลเพิ่มล่ะ เกร๋ไหมๆ)


กราฟปริมาณพลังงานที่ยัดลงร่างกายในแต่ละวัน
ดูจากกราฟจะเห็นว่ามีเกิน 2000 KCal อยู่เยอะเลย ซึ่งก็อย่าซีเรียสมากนะเดี๋ยวหลุดคอนเซปต์

ย้ำอีกทีนะ ดาวน์โหลดไปแก้ไขเป็นของตัวเองได้เลย ได้ผลไงมาเล่าให้อ่านมั่ง

น้ำหนักผมค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ แบบที่ตัวเองพอใจมากๆ (ลดลงมาในแวบเรกเลยทันที 2-3 โล และตอนนี้แกว่งๆ อยู่ในช่วง 76 เศษๆ) ซึ่งบางวันก็ขึ้นนะ แต่ไม่ได้ซีเรียส เพราะเกิดจากการกินเยอะเมื่อวาน หรือไม่ก็เมื่อเช้าขี้ไม่ออก เพราะไม่ได้คุมประเภทของอาหารที่กินไปด้วยในวันก่อน ดังนั้นถ้าคุณเป็นพวกขี้เกียจและตามใจปากเหมือนกัน เกิดอยากลดน้ำหนักขึ้นมา ลองทำดูก็ได้นะครับ

แต่มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง กินอะไรก็ลงบันทึกไป อย่าโกหก ..นี่เป็นกฎขั้นเด็ดขาด

.

โบนัส

  • ถ้าคุณดันมีโอกาสออกกำลังกายด้วยแล้ว จะยิ่งโคตรลดครับ สาบานได้
  • ถ้าคุณดันกินอาหารที่ได้ปริมาณ อิ่มท้อง แถมมีไอ้ค่าแคลอรี่อะไรนี่น้อยกว่าชาวบ้านอีก (เช่นพวกแอปเปิลหรืออะไรงี้เยอะแยะ ไปกูเกิลเอาเอง ค้นชื่ออาหาร + แคลอรี่ก็เจอละ ขยันหน่อย) ยิ่งถือว่าประโยชน์ในการลดน้ำหนักโคตรๆ โดยเฉพาะช่วงท้องว่าง ชอบกินจุกจิก ก็กินไอ้แบบที่ว่านี่แทนขนมกรุบกรอบ ช่วยประทังได้ครับ
  • ถ้าคุณกินเช้าเยอะๆ กินเที่ยงธรรมดาๆ และกินเย็นน้อยๆ (แดกไปเหอะแอปเปิลน่ะ) รับรองพรุ่งนี้ ขี้ออกมาสวยงาม และน้ำหนักลดฮวบๆ

ขอให้สมหวังครับ มีอะไรมาถามตอบและแบ่งปันกันได้ แต่อย่าเสือกมาโพสต์โฆษณายาลดความอ้วน กูจะแช่งบรรพบุรุษให้

ไอเดียแก้ปัญหาการทำผิดกฎจราจรและการทุจริตของเจ้าหน้าที่

death-app

วันนี้คิดเรื่องนี้ไว้ แล้วมันวนเวียนในหัวรุนแรงมากขึ้นทุกที รู้สึกเลยว่าถ้าไม่ระบายออกมาในบล็อกคงอกแตกตาย พอกลับมาถึงบ้านเลยเปิดคอมเขียนเลย ไม่สนใจลูกเต้าที่กำลังแหกปากร้องละครับ

คือผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พลังกลุ่มไร้สังกัด” (แปลจาก Here Comes Everybody) ฝีมือแปลและเสริมวงเล็บของพี่ยุ้ย @Fringer ที่เคารพ ถึงมันจะเป็นหนังสือที่ขายมาสองปีแล้ว แต่เนื้อหาข้างในที่พูดเรื่องระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์โดยการมาถึงของเครือข่ายสังคม และพฤติกรรมการรวมกลุ่มทำอะไรสักอย่างของคน โดยไม่ต้องไปเจอระบบระเบียบความยุ่งเหยิงขององค์กร แต่กลับง่ายแบบที่คนที่เกิดไม่ทันยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่มีทางเก็ต อย่างเช่น

  • การที่อยู่ดีๆ ก็มีคนไปสร้างอีเวนต์อะไรในเฟซบุ๊ก แป๊บเดียวก็รวมตัวกันได้มหาศาลแล้วโดยไม่ต้องพึ่งบริษัทออแกไนเซอร์เลย แค่คอมหรือมือถือต่อเน็ตได้ก็จบแล้ว
  • การประกาศล่าตัวคนร้าย ที่หนังสือเล่มดังกล่าวหยิบยกกรณีศึกษาของฝรั่งในปี 2006 ขึ้นมา ดังนี้: เจ๊คนนึงมือถือหาย / ซื้อเครื่องใหม่มาล็อกอิน ก็เจอในระบบ ว่านางโจรกำลังเล่นมือถือตัวเอง / แต่ติดต่อโจรไปทางอีเมลแล้วแม่งไม่คืน แถมท้าทายด้วย / โมโห เลยทำเว็บประกาศหา / แชร์ต่อเพื่อนๆ / แชร์ต่อกันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีคนเป็นล้านๆ ติดตามจนเป็นปรากฏการณ์ / มีออกสื่อสารพัด ใครถนัดด้านไหนก็ช่วยกัน ทนายมาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นักสืบไล่ตามหาบ้านให้ มีคนไปขุด MySpace ของอีนังนั่นจนเจอแล้วเอามาแชร์ ฯลฯ / ถ้าเป็นแบบไทยๆ ก็อาจจะเรียกว่าล่าแม่มดก็ว่าได้ / ตำรวจเลยต้องลงมาเล่นคดีนี้ / จับได้ ประจานแม่มดกันสมใจ / ปิดคดี
  • รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ ในหนังสือ ทั้งแบบเล่นๆ ง่ายๆ เช่นการแท็กภาพใน FLickr (แต่เบื้องหลังของมันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ) ที่ทำให้ยุคนี้การหาภาพจากงานอะไรสักอย่างแม่งโคตรง่ายเลย เช่นโอลิมปิกก็ได้เอ้า มีตากล้องทั้งมือสมัครเล่นยันมืออาชีพไม่รู้เท่าไหร่ที่แชร์มาให้ดูโดยที่เมื่อก่อนกว่าจะได้ภาพเจ๋งๆ มาสักทีนี่หากันแทบตาย
  • หรือจริงจังอย่างที่พวกนักบริหารสนใจ เช่นกล่าวถึงปัญหาของระบบที่เกิดจากการบริหารองค์กรหรือโปรเจกต์ใดๆ “จากบนลงล่าง” นั้น ดันแก้ปัญหาหลายๆ อย่างไม่ได้ (เป็นปัญหาอมตะในรอบร้อยปีที่ผ่านมา) สำเร็จลุล่วงด้วยพลังมวลชน และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกต่อมวลชนนั้น โดยที่ค้าใช้จ่ายลดลงอย่างน่าตกใจ จนแทบจะเรียกว่าฟรี!

จนพอขี่แว้นกลับบ้าน ก็เลยนึกว่าเออ ถ้าจะเอาไอ้พวกนี้มาประยุกต์ใช้กับการจราจรบ้านเราได้ก็คงดี..

อ้อ ออกตัวไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวคนต่างจังหวัดจะน้อยใจเอา ว่าผมขอจำกัดคำว่า “บ้านเรา” ลงไปแคบๆ เหลือแค่พื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนนะครับ เพราะชั่วแวบนี้มันคิดได้เท่านี้ ต่อไปมันอาจจะงอกเงยเป็นอย่างอื่นก็ได้

ปัญหา

  • มี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่อง “การกระทำผิด” และ “การทุจริต”
  • ประสบด้วยตัวเองหลายครั้งจนมั่นใจที่จะปรักปรำได้ว่า “ด่านตำรวจในกรุงเทพฯ นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถติด” คือเจอหลายครั้งเลย รถติดไม่รู้สาเหตุ พอกระดึ๊บๆ ไปปั๊บก็เจอ อ้าว ด่านสิ้นเดือนนี่เอง ..พอพ้นด่านไปปั๊บแม่งโล่ง (เห็นตอนนี้มีข่าวว่าเขาสั่งยกเลิกด่านในกรุงเทพฯ แล้ว ดีใจ)
  • หลายครั้งพบว่าผู้รักษากฎหมายนั้นลงโทษคนทำ “พลาด” ไม่ใช่คนทำ “ผิด” ดังจะเห็นได้จากหลายๆ กรณี
  • เช่นเด็กแว้น พวกขับเหี้ย พวกฝ่าไฟแดง พวกแต่งรถไฟแยงตา แม่งไม่ผิด แต่ขาจรเลี้ยวผิดเลนเพราะไม่รู้อะไรแบบนี้ล่ะ หวานจ่าเลย
  • นิสัยมักง่ายแบบ “ไทยๆ” เช่น นึกจะจอดก็จอดข้างทาง (เย็นนี้เพิ่งเห็นอีกคัน รถแม่งติดยาวทั้งลาดปลาเค้าเลย พี่แกจอดกระพริบไฟซื้อก๋วยเตี๋ยว) หรือพฤติกรรมอื่นๆ ที่เกิดจากความมักง่ายนั้น
  • จากกรณีข้างบนทำให้มีความมักง่ายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นจอดกินก๋วยเตี๋ยวริมเกษตรนวมินทร์เนี่ย เลนหายไปเลนนึงเลย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเพราะมันเยอะเกินรึเปล่า? แล้วกรณีใกล้เคียงแบบนี้ก็อีกเพียบ
  • ในแง่การทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ: ตำรวจจราจรเลวๆ บางนาย รู้สูตรการตั้งด่านที่จะไถเงิน แบบ รอตรงนี้ แยกนี้ยาก เลี้ยวผิดกันบ่อย เดี๋ยวเหยื่อมาแน่ อะไรแบบนี้
  • ผู้ขับขี่ที่มักง่าย ก็ยัดเงินตำรวจซะเลย วินวินกันทั้งคู่
  • การไปจ่ายค่าปรับที่โรงพักแม่งยุ่งยากมาก เลยส่งเสริมให้ระบบนี้มันอยู่ยงคงกระพันเข้าไปอีก
  • การใช้จ่าเฉย มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล หรือการใช้ระบบกล้องจับภาพรถฝ่าไฟแดง ก็อาจจะได้ผล นะ ตำรวจสบายขึ้น แต่ก็ลงทุนค่าเทคโนโลยีไปไม่น้อย
  • ฯลฯ (ตอนนี้นึกออกเท่านี้)

ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาที่ว่ามาด้านบนเนี่ยแม่งยืดเยื้อรุนแรงและไม่รู้จะแก้ยังไง ประเด็นหนึ่งก็คือการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งมีไม่เยอะ แถมที่มีก็มีทั้งดีและเลว ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าเลวก็เข้าใจว่าระบบเศรษฐศาสตร์มันเอื้อต่อพฤติกรรมทุจริต วิธีแก้ไขคือต้องหาวิธีลดเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกระทำผิด หรือทุจริตนั้น (ไอ้การทุ่มงบเพื่อรณรงค์ต่างๆ หรือขอความร่วมมือที่ทำกันมาตลอดหลายสิบปี มันก็เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ในเมื่อวินัยจราจรของพวกเรามันเฮงซวยขนาดนี้) ซึ่งพอเห็นการกระทำผิดทีนึง อีคนอยากด่าก็มีไม่น้อย แต่ด่าแล้วไม่รู้จะทำไงต่อดี… Continue reading ไอเดียแก้ปัญหาการทำผิดกฎจราจรและการทุจริตของเจ้าหน้าที่

ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้

การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ

โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ

โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ

คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก

ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป Continue reading ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง