ไม่ใช่ไทม์แมชชีน แต่มันคือเฟซบุ๊ก

แอนสมัยประถม
(ขอบคุณภาพประกอบจากเตย เมธาวี)

เมื่อคืนตื่นเต้นมากจนทวีตออกมาอย่างรวบรัดว่าอย่างนี้ครับ

เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคืออยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งเข้ามาว่ามีคนตอบเราในเฟซบุ๊ก (ต้องอธิบายหน่อยว่าผมไม่ได้ “เล่น” เฟซบุ๊ก ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ใช้งาน แต่แปลว่าไม่ได้จมปลักอยู่กับมัน ซึ่งการจมปลักนี้ใช้กับทวิตเตอร์ แม่งเรียกได้ว่าตลอดเวลา ติดต่อง่ายกว่าโทรหากันสักล้านเท่า) เลยกดไปดู

ก็พบว่ามีเพื่อนชื่อจูนทักเข้ามา แล้วลงท้ายด้วยว่ามาจากกรุ๊ปชื่อ อ.ป. ซึ่งเป็นชื่อย่อของโรงเรียนอรุณประดิษฐ เพชรยุรี ที่ผมเคยเรียนอยู่สมัย ป.3 ถึง ป.6

ด้วยความฉงนแกมตะลึง (คือพอจะสปอยล์ตัวเองได้แล้วว่าวินาทีต่อจากนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้น) ก็เลยกดลิงก์นั้นเข้าไป และพบกับโลกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

เพื่อนสมัยประถมหลายคนกำลังูดคุยสนทนากันในกรุ๊ปแบบปิด บางคนแนะนำตัว บางคนโพสต์รูปถ่ายเมื่อสมัย 20 ปีก่อน (เด็กประถมที่ถือกล้องถ่ายรูปเมื่อ 20 ปีก่อนนี่รวยส์จังเลย 5555) เอามาอวดกัน แล้วเริ่มไล่เรียงทายชื่อเพื่อนแต่ละคนที่วิญญาณสถิตอยู่ในภาพถ่ายนั่น

ผมตื่นเต้น ไล่นิ้วปาดดูไปเรื่อยๆ (เปิดในมือถือ) ก็พบว่าไม่สาแก่ใจ เลยวิ่งลงมาหยิบคอม เอาไปวางบนเตียงแล้วนอนคว่ำหน้าเสพภาพมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันคือภาพของเด็กประถมจำนวนมากที่กำลังจัดกิจกรรมอะไรบางอย่าง บางภาพเป็นภาพหมู่ บ้างก็ภาพเดี่ยวๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีและราคาของมันในสมัยนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมต่างตั้งใจฉีกยิ้ม และเก็กท่าใส่กล้องอย่างเต็มที่

ซึ่งสารภาพว่าผมจำใครแทบไม่ได้เลย แม้เพื่อนหลายคนจะรายงานตัวว่าตัวเองชื่อ นามสกุลอะไร ก็ยังคงจำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา

มัธยมกับประถมมันต่างกัน

วัยมัธยมเรามีเพื่อนเป็นศูนย์กลางของชีวิต การมีกรุ๊ปเพื่อนมัธยมมันคือเรื่องสามัญของยุคนี้ไปแล้ว (ยิ่งเพื่อนมหาลัยนี่ไม่ต้องพูดถึง) ดังนั้นการเข้าไปพูดคุยอัปเดตสถานะปัจุบัน และทำท่าทีสนิทสนมกันแบบที่ใครดันลืมชื่อเพื่อนก็ถือเป็นบาป นั่นคือเรื่องปกติ แต่สำหรับเพื่อนประถมนั้นต่างออกไป

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือเพื่อนแต่ละคนก็จำกันไม่ได้ จะจำได้ก็ต่อเมื่อลากเพื่อนที่สนิทๆ กัน หรือยังต่อติดจนปัจจุบันเข้ามาในกรุ๊ป แล้วเริ่มแนะนำตัวกันอีกทีว่าตัวเองเป็นใคร ผูกโยงกับเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนว่ามีบุคลิกยังไงตอนประถม หรือพยายามแสดงท่าทางว่าถ้าเพื่อนๆ จำเด็กคนนั้นไม่ได้ ให้นึกถึงเหตุการณ์นี้สิ

ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องอาย เมื่อบอกกันตรงๆ ว่า “เราจำเธอไม่ได้นะ” และเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง — ด้วยชื่อจริง (สมัยนั้นไม่มีใครเรียกกันด้วยชื่อเล่นหรอก โดยเฉพาะผมที่แม่ตั้งชื่อว่าแอน โคตรน่าอายเลย เลยชื่อปรัชญามาตลอด)

มิตรภาพที่เกิดขึ้นมันคล้ายกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันหมาดๆ แต่มีสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกกันบางๆ บ้างก็ขาดไปแล้วเนิ่นนาน แต่วันนี้มันกลับย้อนคืนมาอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่เรื่องของเพื่อน แต่หมายถึงเรื่องของเราเอง

สำหรับผม เด็กชายปรัชญาสมัยประถม ไม่มีเรื่องอะไรให้เพื่อนจำไปมากมายไปกว่าการเป็นเด็กเนิร์ด(มากๆ)คนนึง ที่เรียนเก่งที่สุดในห้องของฝั่งชาย (ของฝั่งหญิงจะเป็น “จูน จินตนา” ที่เราเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้เธอมีครอบครัวแล้วและเปิดร้านขายยาอยู่สมุย) นอกนั้นก็เป็นเด็กที่ชอบนั่งเงียบๆ วาดรูป (หลอดสัส) .. และความทรงจำอื่นๆ ที่พอจะแกะออกมาได้คือเราบ้าหมากรุกมาก เอาหมากรุกไปเผยแพร่ในโรงเรียนจนดังระเบิดตอน ป.6 แล้วมั่นใจมากว่ากูนี่เก่งนักหนา ล้มเพื่อนทุกคนในโรงเรียนได้ จนไปแพ้ อ.สอนคณิตศาสตร์เสียหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ฯลฯ

ฯลฯ

ฯลฯ

เมื่อคืนนี้นอนยิ้มและหลับด้วยอารมณ์ดีมากๆ เหมือนตัวเองได้กระโดดกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความทรงจำต่างๆ มันเป็นเพียงสิ่งเสพติดให้เราหลงเคลิ้มไปชั่วคราว แต่พอตื่นมาก็เจอโลกปัจจุบัน ที่มีเมียนั่งสกรีนเสื้อขายอยู่ เคล้ากับเสียงเด็กทารกที่รักการแหกปากร้องและขี้แตกทั้งวัน

แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ใช่แค่การหลงอดีต แต่คือการขุดมิตรภาพในอดีตที่ตัวเองไม่เคยนึกถึงว่าจะได้เจอ ให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน และความสัมพันธ์แบบปัจจุบัน

ผมเขียนบล็อกตอนนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิด เข้าใจว่าผู้อ่านบางคนคงเคยพบช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว ก็ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของพวกโหยหาอดีตที่กำลังจะเป็นปัจจุบันด้วยคนละกันนะครับ

ขอบคุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์กจริงๆ ครับ (อีมาร์กคงงงว่าเกี่ยวอะไรกะกู)

ป.ล.
จูน จินตนาที่พูดถึงนี่เป็นคนแรกในชีวิตผมที่พูดคำว่า “คอมพิวเตอร์” ให้ได้ยินนะครับ ตอน ป.6 เธอบอกว่ากำลังเรียน “โลตัส” อยู่ ผมไม่เคยได้ยินคำว่าโลตัสมาก่อน (ตอนนั้นห้างโลตัสบิ๊กซีเซเว่นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ) เอาจริงๆ คำว่าคอมพิวเตอร์ก็ไม่เคยได้ยิน แต่รู้สึกว่าแม่งเท่ฉิบหาย .. ปีต่อมาพ่อผมก็เก็บเงินซื้อคอมมาให้ลูกได้เรียนได้หัดบ้าง ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่สุดยอดจริงๆ

ป.อ.
ที่จริงผมแอบขุดบล็อกเก่าไว้ที่ Exteen และจะทยอยโพสต์ของรักของหวงสมัยเด็กๆ ไปแปะไว้ที่นั่น ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกรุ๊ปนี้พอดี เออ บ้าอดีตกันเข้าไป (ก็สนุกดีนะ แล้วจะทำไม)

ป.ฮ.
ขออภัยที่ไม่ได้เรียบเรียง พอดีเมียเร่งให้เขียนเร็วๆ จะไปกินข้าว

เติมพลังเต็มถังเลยน้อง

ดึกแล้ว
แต่รู้สึกว่าต้องระบายอะไรออกมาหน่อย

เคยรู้สึกทำนองนี้กันไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังเป็นอยู่เลย คืออยู่ดีๆ พลังงานชีวิตมันก็มา มาแล้วก็อยากริเริ่มอะไรจริงจังให้สมกับที่ “ว่าจะ” ทำนั่นนี่ตลอดมา แต่ก็ติดข้ออ้างเรื่องเวลามาตลอดเช่นกัน

ตอนนี้เรื่องลดน้ำหนักเราทำได้เป็นที่น่าพอใจ
ก็เป็นประกายไฟแวบแรกให้รู้สึกว่าไอ้ที่เราอ้างอยู่เสมอว่าช่างไม่มีเวลาว่างแบบคุณภาพๆ เอาซะเลยนั้นมันปัญญาอ่อนมาก

โปรเจกต์ล้านแปดในสมอง ถ้าไม่ได้เริ่มลงมือทำ มึงก็แค่ไอ้ขี้โม้

โอเค พรุ่งนี้จะเริ่มละ!!
บริหารเวลาด้วยการใส่อุปสรรคลงไปในเวลาที่ไม่ค่อยจะมีนั่นแหละ ดูซิว่าพอมีเป้าหมายแล้วมันจะช่วยทำให้เวลาฟุ้งๆ ที่ว่า มันตกตะกอนลงได้ไหม

ถึงพวกเขาจะไม่รู้ตัว แต่ก็ขอขอบคุณจักรี ขอบคุณพี่หนุ่ม ขอบคุณแชมป์ เอม หนุงหนิง และอี บ.ก.แบงค์มากๆ เลยครับ

ป.ล. เขียนบล็อกตอนนี้ในมือถือ แอปเวิร์ดเพรสก็เข้าท่านะ

ครัวบ้านน้าเมฆ

วันนี้เราจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านเล็กๆ แต่อบอุ่นของครอบครัว “คุณเหนือเมฆ น้ำเงินใจงาม” (หรือน้าเมฆ น้าชายของภรรยาของผู้เขียนเอง) ผู้เป็นเจ้าของบ้านยกพื้นหลังเล็กๆ ติดสวนร่มรื่น ที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานีกันครับ

ครัวบ้านน้าเมฆ

ความอบอุ่นของครอบครัวขยาย ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกครอบครัวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น ถูกถ่ายทอดอย่างละเมียดละไม ผ่านการจัดวางของห้องครัวที่เป็นสเปซเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องนอนได้อย่างเหมาะเจาะ
ด้วยช่องแสงจากหลังคาที่สาดส่องลงมา ทาบทับกับภาชนะเก๋ๆ ชิกๆ จากตลาดปทุมธานี ที่แขวนเป็นระนาบเพื่อประโยชน์ในเชิงฟังก์ชันการใช้สอย ที่สะดวกรวดเร็ว แถมยังเป็นการโชว์มิติและพื้นผิวของวัสดุ จนเกิดเส้นสายของแสงและเงารูปร่างแปลกตา แต่มีจังหวะจะโคนดูเพลิดเพลินและน่าสนใจไม่เบื่อ ขับให้เกิดบรรยากาศแห่งความสุขยามรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของสมาชิกทุกคนเป็นอย่างดี

นอกหน้าต่าง

เมื่อมองจากโต๊ะรับประทานอาหาร จะเห็นบรรยากาศของสวนหลังบ้าน ถึงแม้จะเป็นที่ดินและทางเดินเข้าบ้านของคนอื่น ได้อาศัยความได้เปรียบด้านความสูงของตัวบ้านที่สามารถมองเห็นวิวจากมุมสูงลงไปพบความเขียวชอุ่มเบื้องล่าง โดยเฉพาะหน้าฝนอย่างตอนนี้ เราจะได้เห็นหยดน้ำฝนที่เกาะพร่างพราวตรงขอบหน้าต่างบานผลัก ทำให้ฤดูฝนที่เป็นสิ่งน่าเบื่อของคนเมือง กลับกลายเป็นความรื่นรมย์ของครอบครัวค้าขายอย่างบ้านคุณเหนือเมฆได้เป็นอย่างดี

งานนี้ต้องขอยกเครดิตให้สถาปนิกผู้ออกแบบ อันได้แก่ เตี่ย คุณเหนือเมฆ (น้าเมฆ) และเจ็กชุน ที่ช่วยกันออกแบบ หาวัสดุ แผ่นไม้ แผ่นประตูจากเพื่อนบ้านและญาติมิตร และลงมือลงแรงต่อเติมบ้านด้วยตนเองเป็นแบบ DIY แท้ๆ

หมายเหตุ:
ปลายปี 2554 น้ำท่วมปทุมธานีฝั่งตะวันตก บ้านน้าเมฆพังไปครึ่งหลัง จากการอยู่ใต้น้ำสูงถึงสองเมตร และถูกต้นก้ามปูใหญ่หลังบ้านที่ล้มลงมาทับเนื่องจากดินชุ่มน้ำไม่สามารถรับน้ำหนักรากของต้นไม้ใหญ่ไว้ได้ หลังจากฟื้นฟูสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวน้ำเงินใจงามจึงได้รีโนเวตบ้านใหม่ให้ด้านหลังมีพื้นที่เลี้ยงนกกรงหัวจุกและชมวิวสีเขียวร่มรื่นด้านหลังบ้าน พร้อมกับการจิบกาแฟและอ่านนิตยสารทีวีพูลได้อย่างสบายอารมณ์

ปรัชญา สิงห์โต : ถ่ายภาพ (Galaxy Note / Camera360 / Fห่าอะไรไม่รู้ / ISO 9002)

เพิ่มเติม: ผู้เขียนเพิ่งไปเปิดเจอสภาพบ้านน้าเมฆตอนน้ำท่วมครับ แนะนำให้คลิกดูแล้วจะร้องเหยดเป้ด :05:

ต่อไปนี่คงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ

เหรอวะ.. :08:

เมื่อตอนบ่ายโมง ชาวสามย่านส่วนหนึ่งกะว่าจะรีบลงไปกินข้าว แล้วก็จะรีบขึ้นมาทำงานต่อ เลยลงจากตึก ฝ่าแดดข้ามถนนไปถึง KFC เพื่อจะกินด่วนๆ แล้วอยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

เราเลยได้สิงอยู่ร้านอาหารแดกด่วนกันอย่างเนิบช้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ฝนถึงเริ่มซา แล้วก็กะว่าค่อยๆ ลุยกันเข้ามาทำงานต่อ และก็เจอแม่น้ำขวางไว้ทุกทางที่จะกลับเข้าสู่ออฟฟิศได้ มองซ้ายมองขวา พนักงานทุกๆ ออฟฟิศไม่ว่าจะนุ่งอะไร ใส่รองเท้าอะไร ถุงน่องลายตาข่ายหรือสีดำสุดเอ็กซ์ ต่างก็เดินลุยน้ำเน่ากันทั้งนั้น เพื่อกลับเข้าสู่ฟันเฟืองอุตสาหกรรม

เราก็เลยลุยบ้าง

C360_2012-09-25-14-42-07

C360_2012-09-25-14-45-42

01
ภาพสุดท้ายนี่อาจดูไม่สุภาพและทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร (นึกภาพว่าวันนึงไปเข้าตลาดหุ้นแล้วผู้ถือหุ้นมารู้ว่าเราล้างตีนในอ่างล้างมือจะทำยังไง) แต่ทำไงได้ ห้องน้ำออฟฟิศไม่มีที่ฉีดตูด เดินมาขอขันตักน้ำจากป้าแม่บ้านเพื่อจะต่อก๊อกตักราดขาไรงี้ ..ซึ่งคุณป้าก็ยิ้มและบอกว่าเอาแบบนี้เลยละกันลูก เดี๋ยวป้าล้างให้เอง ..ป้าแมนมากครับ ขอกราบ

[แก้ไข] โดนเบื้องบนเซ็นเซอร์ครับ.. ตั้งแต่เขียนบล็อกมาสิบกว่าปี เพิ่งเคยโดนนี่แหละ

ป.ล.
ดีที่ผมใส่รองเท้าหมีมา เลยรอด (คู่เดียวกะที่ลุยน้ำท่วมขี่จักรยานรายงานข่าวเมื่อปีก่อน) เลยสบายตีนกว่าใคร

วิธีลดน้ำหนักสำหรับคนขี้เกียจลดน้ำหนัก

เอาอีกที จะเขียนเรื่องยาวๆ ให้สั้นที่สุด ดูซิจะรอดไหม

ผมเคยหนักสูงสุดทะลุ 81 ก.ก.ไปเมื่อประมาณเดือนสองเดือนก่อน รู้สึกว่าชีวิตกูถึงคราวพินาศแล้ว เพราะปล่อยให้เพดานที่ตัวเองยอมรับได้มันขยับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แถมนอนดึก กินแหลก แดกน้ำอัดลม (เคยงดไปครึ่งปี ก็พบว่าตัวเองทำได้ และไม่หันมาเสพติดอีก) และไม่ได้ออกกำลังกายเลย

เห็นพุงและนมตัวเองแล้วอนาถที่สุดครับ เลยคิดจะลดน้ำหนักเป็นครั้งแรกในชีวิต (ลดน้ำหนักกับลดความอ้วนมันคนละเรื่องกันนะ แยกให้ออก) แต่ด้วยความที่ตัวเองแม่งขี้เกียจก็ขี้เกียจ วินัยก็ไม่มี (ถึงจะเป็นชื่อพ่อก็เหอะ)

จาก 80-81 ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดให้ได้ 75

แล้วก็ไปเจอรายการ Good Shape Save Cost ของคุณจอห์น วิญญู เลยเปิดดูสามสี่ตอนแรก จับเคล็ดวิชาและรู้ว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง (ดีนะครับ ดูเหอะ ไม่ต้องอายเพื่อนหรอก คนอื่นก็ดูกันเยอะแยะ) ก็เลยเออ เอาวะ ลองเอามาปรับใช้กับตัวเองดูมั่งดีกว่า .. แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า เราไม่ได้อยากลดแบบหักโหม เพราะเราขี้เกียจมาก แถมเมียเราก็ชวนกินนั่นนี่ตลอดเวลา และประเด็นสำคัญคือ เราไม่เคยคิดจะตั้งใจลดน้ำหนักสักทีเพราะอายที่จะบอกใครว่ากูลดอยู่

แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของผมก็คือ ผมชอบตั้งกติกาให้ตัวเอง และมีความสามารถในการทำตามกติกาอย่างสม่ำเสมอ ก็เลยตั้งใจจะลดน้ำหนัก “แบบสบายๆ” (เน้นมากๆ ว่าต้องสบาย) ดังนี้

  1. ข้าพเจ้าจะควบคุมการกินไม่ให้เกิน 2000 Cal (กิโลแคลอรี่) ต่อวัน
    วันไหนเกินก็ให้มีสติ รู้ตัวเองว่า “มึงเกินละนะ ความฉิบหายมาเยือนละนะ”
    แต่ก็ไม่ได้อดอาหารให้ตัวเองเดือดร้อน (อันนี้สำคัญ ต่างจากไอ้ที่อ่านๆ มา)
    และไม่ทำให้คนรอบข้างที่ชวนไปกินข้าวเที่ยงเกิดความหมั่นไส้รำคาญในความเยอะ (นี่ก็สำคัญ)
    คือเพื่อนชวนกินเนื้อ กินหนม กินติมอะไรก็ไปนะ แต่ไปแล้วบาป เท่านั้นแหละ สำนึกไว้เท่านั้นเอง
  2. ข้าพเจ้าจะตื่นมาขี้ตอนเช้า แล้วชั่งน้ำหนัก และลงบันทึกในตารางไว้ทุกวัน
    (ใครไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนักแบบดิจิทัล ไปซื้อมาครับ มันจำเป็นมากสำหรับการนี้ อย่าเชื่อเข็ม) 
  3. แน่นอน มีลงบันทึกการกินด้วย ข้าพเจ้าแม่งกูเกิลหาข้อมูลแคลอรี่และอ่านฉลากขนมตลอดๆ
    จนตอนนี้เริ่มท่องได้ละ กูเริ่มเป็นชาวไซย่าใส่สเคาเตอร์ มองเห็นค่าพลังงานของสิ่งต่างๆ ละ
  4. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามกติกาเช่นนี้ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

เป้าหมายคือลดให้ได้เหลือ 75 ก.ก. ซึ่งตอนนี้พอเริ่มรู้จักค่าแคลอรี่ และตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน นิสัยที่เป็นประโยชน์ต่อการลดน้ำหนักก็เริ่มมาเอง

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหักโหมอะไร ใช้ชีวิตปกติมาก ไม่เชื่อดูรายการอาหารที่กินในแต่ละวันได้ แค่ดูตัวเลขข้างห่อขนมแล้วไม่กล้ากินเท่านั้นแหละ แต่ไอ้เนื้อย่างเอย หมูสะเต๊ะอะไรเอย ก็กิน แต่กินแบบสำนึกบาป

ซึ่งการสำนึกบาปนี้ได้ผลมาก!

.

บันทึกบัญชีบุญบาปอย่างเคร่งครัด

ก่อนเริ่มลดกะระหว่างลดนี่ ผมก็เคร่งครัดอยู่แค่อย่างเดียวนี่แหละครับ แต่มันทำให้พฤติกรรมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว เริ่มได้รับอิทธิพลไปเอง

ผมทำตารางไว้ใน Google Spreadsheets อยากได้ก็ดาวน์โหลดไปใช้ได้นะครับ ไม่หวง (ทางที่ดีกด “ทำสำเนา” แล้วแยกไปใส่ข้อมูลของตัวเองจะดีกว่า ทำออนไลน์มันใช้ง่ายดี)
แล้วในแท็บที่ 2 กับ 3 ผมทำเป็นกราฟไว้ประจานตัวเอง ก็แชร์ไว้ในบอร์ดฟอนต์เหมือนกัน (มีไอ้ที่คุยกันเรื่องลดความอ้วน เอาผลมารายงานแข่งกันด้วย หนุกดี.. ตรงไหนวะ)


กราฟบันทึกน้ำหนัก (ภาพนี้มันอัปเดตทุกครั้งที่ใส่ข้อมูลเพิ่มล่ะ เกร๋ไหมๆ)


กราฟปริมาณพลังงานที่ยัดลงร่างกายในแต่ละวัน
ดูจากกราฟจะเห็นว่ามีเกิน 2000 KCal อยู่เยอะเลย ซึ่งก็อย่าซีเรียสมากนะเดี๋ยวหลุดคอนเซปต์

ย้ำอีกทีนะ ดาวน์โหลดไปแก้ไขเป็นของตัวเองได้เลย ได้ผลไงมาเล่าให้อ่านมั่ง

น้ำหนักผมค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ แบบที่ตัวเองพอใจมากๆ (ลดลงมาในแวบเรกเลยทันที 2-3 โล และตอนนี้แกว่งๆ อยู่ในช่วง 76 เศษๆ) ซึ่งบางวันก็ขึ้นนะ แต่ไม่ได้ซีเรียส เพราะเกิดจากการกินเยอะเมื่อวาน หรือไม่ก็เมื่อเช้าขี้ไม่ออก เพราะไม่ได้คุมประเภทของอาหารที่กินไปด้วยในวันก่อน ดังนั้นถ้าคุณเป็นพวกขี้เกียจและตามใจปากเหมือนกัน เกิดอยากลดน้ำหนักขึ้นมา ลองทำดูก็ได้นะครับ

แต่มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง กินอะไรก็ลงบันทึกไป อย่าโกหก ..นี่เป็นกฎขั้นเด็ดขาด

.

โบนัส

  • ถ้าคุณดันมีโอกาสออกกำลังกายด้วยแล้ว จะยิ่งโคตรลดครับ สาบานได้
  • ถ้าคุณดันกินอาหารที่ได้ปริมาณ อิ่มท้อง แถมมีไอ้ค่าแคลอรี่อะไรนี่น้อยกว่าชาวบ้านอีก (เช่นพวกแอปเปิลหรืออะไรงี้เยอะแยะ ไปกูเกิลเอาเอง ค้นชื่ออาหาร + แคลอรี่ก็เจอละ ขยันหน่อย) ยิ่งถือว่าประโยชน์ในการลดน้ำหนักโคตรๆ โดยเฉพาะช่วงท้องว่าง ชอบกินจุกจิก ก็กินไอ้แบบที่ว่านี่แทนขนมกรุบกรอบ ช่วยประทังได้ครับ
  • ถ้าคุณกินเช้าเยอะๆ กินเที่ยงธรรมดาๆ และกินเย็นน้อยๆ (แดกไปเหอะแอปเปิลน่ะ) รับรองพรุ่งนี้ ขี้ออกมาสวยงาม และน้ำหนักลดฮวบๆ

ขอให้สมหวังครับ มีอะไรมาถามตอบและแบ่งปันกันได้ แต่อย่าเสือกมาโพสต์โฆษณายาลดความอ้วน กูจะแช่งบรรพบุรุษให้