เปลี่ยนอ่าน

feeds

หัวข้อคราวนี้ยังคงจมปลักอยู่กับพฤติกรรมการอ่านของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้ก็จะบ่นสลับกับพฤติกรรมการเขียน เพราะกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยเอามาบันทึกไว้ซะหน่อย

คงเพราะผมก็เป็นหนึ่งในมนุษย์อ่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านไอ้แบบที่คนเขาชื่นชมกันนัก (เช่นอ่านวรรณกรรม บทกวี หรือบทวิเคราะห์ลึกซึ้งปรัชญาสิงห์โตอะไรนี่ยิ่งไม่ได้สนใจใหญ่) เพราะนอกจากอ่านการ์ตูนไปวันๆ แล้ว สิ่งที่ชอบมากก็คือการอ่านฟีดจากเว็บที่ subscrie ไว้

การอ่านทุกวันนี้คือการหยิบอะไรที่มีตัวอักษรขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เปิดแอปอ่านฟีด แล้วก็จมอยู่กับมันเป็นห้วงๆ เพื่อเป็นการถมเวลาว่าง (ก็ฆ่าเวลานั่นแหละ) ไม่ว่าจะระหว่างขี้ ระหว่างอาบน้ำ ระหว่างรอนั่นนี่ เพราะพบว่ามันเข้ากับจริตเราอย่างยิ่ง อ่านซิว่าวันนี้มีอะไรใหม่บ้าง ข่าวหนังใหม่จากเว็บหนังที่ตาม ข่าวการเมืองนิดหน่อย ข่าวงานออกแบบ ข่าวไอที บล็อกของเพื่อนฝูง บล็อกของนักเขียนที่ชอบ ดูรูปโป๊ที่สับตะไคร้ไว้ ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ ทำมานานมากจนติดเป็นนิสัย … เป็นนิสัยที่ถูกเปลี่ยนไปเยอะจากยุคก่อนมือถือ ถ้าเป็นตอนนั้นผมจะเป็นคนติดการอ่านอะไรที่แบบ “แป๊บๆ ก็จบ” เช่นหนังสือพิมพ์ตามร้านก๋วยเตี๋ยว หรือนิตยสารที่ซื้อประจำ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ไอ้ความที่เป็นมือถือ มันดันง่าย และทำให้เราเสพติดกับความสนุกเวลากด เวลาลบ เวลาโหลดใหม่ หรือเวลาที่ข่าวใหม่มันงอกไล่ตามเวลามาให้เราเก็บแต้มมันให้ครบ (โดยนานๆ ทีจะกด Mark all as read เพื่อตัดใจจากกองข่าวที่สะสมมานานเวลาที่ทำงานยุ่งๆ)

นี่ยังไม่นับพวกสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่พอเปลี่ยนอาชีพมาทำงานบนเฟซบุ๊กปั๊บ (พยายามหัดใช้ตั้งนานจนเพิ่งใช้เป็น) อีพวกบรรดาโนติรบกวนสมาธิต่างๆ ก็จะมา นี่ขนาดบล็อกสิ่งกวนใจทุกอย่างที่คิดว่าไม่ทำให้หลุดวงโคจรของเพื่อนออกไปหมดแล้วนะ แล้วไหนจะทวิตเตอร์อีก แม้ช่วงไม่กี่วันมานี้ผมเล่นน้อยลงอย่างสังเกตตัวเองได้ชัด ไอ้เสพก็เสพอยู่นะ มีความสุขเวลานั่งอ่านมัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงบำบัดไง โชคดีที่แอปทวิตเตอร์ในมือถือมันห่วยลงทุกวันๆ เลยไม่ค่อยได้อัปเดตเรียลไทม์แบบเมื่อก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่แบบไม่คิดจะเลิกหรอกทวิตเตอร์เนี่ย)

กลับมาเรื่องการอ่าน เนี่ยพอมีมือถือปั๊บ พฤติกรรมการอ่านเดิมๆ ของผมก็ถูกบิดไป วันๆ ก็กวาดสายตาแค่ในหน้าจอที่เอานิ้วรูดได้ ส่วนบรรดาหนังสือที่รักกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะ แม้จะเป็นผลงานของนักเขียน (หรือนักวาด) ที่ชอบมากๆ ที่ซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อสองสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นว่าเฮ้ย เล่มนี้วางกองอยู่ในหมวด “ว่างๆ ค่อยอ่าน” มาตั้งนานแล้วได้ไงวะ

มันจะไป “ว่างๆ” ได้ยังไง ในเมื่อเวลาว่างของเราถูกถมด้วยการก้มหน้าใส่มือถือขนาดนี้

วันก่อนที่ไปซื้อหนังสือกองใหญ่จากงานหนังสือมา เลยเป็นการประกาศสงครามกับพฤติกรรมการอ่าน “ข้อมูลล้นเกิน” ในรูปดิจิทัล ให้ตัวเองได้เปลี่ยนมาจับกระดาษอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อในความพิถีพิถันของสื่อที่ทำจากกระดาษ เนื่องจากเวลาพิมพ์ออกมาขายทีต้นทุนมันแพงกว่าแบบดิจิทัลไง เป็นเราเราก็ต้องตั้งใจ ใส่ใจให้หนังสือมันดีหน่อยใช่มะ อืม โอเค (นี่คิดเองเออเองจนเห็นด้วยไปแล้ว)

แต่การซื้อหนังสือกองใหญ่มาเติมกองเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นจะช่วยอะไร ก็คงช่วยมั้ง เพราะตอนนี้แม้กระทั่งที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็รู้สึกละอายอยู่ในใจตลอดเวลาว่า นิตยสารอายุห้าเดิอนที่เรายังอ่านไม่จบ วางกองอยู่ข้างหน้า ส่วนฝั่งซ้ายมือคือการ์ตูนที่ซื้อมาว่าจะอ่าน และบนชั้นหนังสือซึ่งมีหมวดรออ่านวางเรียงอย่างอลังการอยู่แล้ว ก็ดันมีสมาชิกใหม่มาอีกหลายเล่ม วิธีที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ถ้าไม่นับว่าเอาไปเผา ก็คือต้องอ่านแม่งเท่านั้น

ส่วนเหล่าฟีดข่าวที่ดูดมาจากเว็บ เมื่อก่อนนึ่นับได้หลักพัน! (ยุค Google Reader นี่ตัวเลขข่าวใหม่ขึ้น 1000+ ทุกวัน เสียเวลาฉิบหายเหอะ) จนปลดเว็บหรือบล็อกที่ไม่คอยอัปเดตออกไปครั้งใหญ่เมื่อสักปีก่อนหนนึง ในช่วงที่ Google Reader ปิดตัวลง และเพื่อนๆ ที่ผมนับถือในความคิดผ่านตัวอักษรต่างทยอยเลิกเขียนบล็อกและหันไปโพสต์สเตตัสกันเกือบหมด ก็ถือว่าหลุดวงโคจรจากกันไปเลยหลายคน) จนช่วงสังคายนาเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็เปิด Feedly นั่งไล่ unsubscribe และกรองเว็บที่เข้าข่าย “ไม่ต้องอ่านก็ได้วะ” กับประเภทที่ว่า “แม่งข่าวแปลเหมือนกันเด๊ะ งั้นเลือกเอาเว็บเดียวพอ” คัดจนเหลือแหล่งที่ยังติดตามอยู่จริงๆ แค่หลักร้อยต้นๆ (ในภาพประกอบข้างบน ก็ยังเยอะนะ) ที่ดีขึ้นคือผมเกษียณตัวเองจากวงการดิจิทัลเอเจนซี่แล้ว เลยลดละเลิกการไล่กวาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายๆ หมวดซึ่งมองวันนี้ก็กลายเป็นเพียงข้อมูลล้นสมองออกไป นี่ทำให้รู้สึกเสียเวลากับมันน้อยลงเยอะ

ถึงจะเพิ่งเริ่มต้น แต่หลังจากวัดผลมา 4 วัน ก็พบว่าการ์ตูนและนิตยสารค้างปีที่วางกองไว้ถูกกวาดต้อนไปได้หลายเล่มอยู่ (อ่านจากใหม่ไปเก่า จะได้ไม่รู้สึกตกรุ่นตลอด) และเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ว่าต้องอ่านเพราะรู้สึกผิดที่ซื้อมาดอง กลายเป็น “เฮ้ย ใช่เลยว่ะ นี่แหละความสุข” ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หวังว่านี่จะไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือวอนนาบี

ไปงานหนังสือ ไปซื้อหนังหา

P4028351

เพิ่งกลับจากงานหนังสือ ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยไปมา พูดไปอาจจะดูตลก คือครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะไป “ซื้อให้มากเท่าที่อยากได้”

แล้วครั้งก่อนๆ ล่ะ? มีทั้งแบบ “ตั้งงบไม่เกินพัน”, “ไปนั่งแจกลายเซ็นอย่างเดียว” (สมัยที่ออกหนังสือกะเขาน่ะนะ), “ซื้อแต่การ์ตูน”, “ซื้อเพราะมารยาท” (อันนี้แย่มาก แต่ในอีกมุมนึงก็คือมันก็คมควรปะวะ ซื้อหนังสือเพราะรู้จักคนเขียนเลยรักษามารยาท แต่ซื้อมาแล้วก็ดันไม่ชอบเลยอ่านไม่จบงี้ แต่ถ้าไม่ซื้อก็ดูจะมองหน้ากันเจื่อนๆ โอ๊ย ใครก็ได้ช่วยที)

ประจวบกับความตั้งใจที่จะเริ่มลดละอาการเสพติดโลกออนไลน์และหน้าจอดิจิทัล ด้วยการ “แบ่งเวลา” ออกจากการถมเวลาจุ๋มจิ๋มหมดไปกับการนั่งอ่านฟีดข่าวที่ผมเสพติดมันมาตลอด เสพติดมากกว่าทวิตเตอร์อีก (เปิดมือถือส่วนใหญ่ของผมคือการนั่งอ่านข่าว ซึ่งแม่ง ไร้มาก โคตรไร้เลย)

และไอ้การซื้อโดยปกติที่เคยทำมา มันส่งผลให้กองหนังสือที่บ้านที่วางไว้ในหมวด “เดี๋ยวว่างจะอ่าน” เพิ่มขนาดขึ้นเป็นภูเขาเลากาสูงขึ้นทุกที และพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนมีบางเล่มซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อ 3 ปีก่อน (หมายถึงเมื่อ 5-6 ครั้งที่ผ่านมา) เราก็ยังไม่ได้อ่าน คือผมกลายเป็นนักสะสมหนังสือ แต่ไม่ใช่นักอ่าน

ในฐานะอดีตหนอนและเนิร์ดสุดขีด ก่อนที่จะมาเสพติดหน้าจอไฟฟ้าแทนนั้น นี่เป็นสิ่งที่เลวมาก

วิธีหักดิบมีอยู่อย่างเดียว คือทุ่มเทชีวิตเพื่ออ่านหนังสือ แบบเดียวกะที่เมื่อก่อนเคยทำตอนสมัยเรียน ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่าหนังสืออ่านวันนึงหนาประมาณ 1 นิ้ว อ่านยังไงก็หมดเหอะ

นี่ต้องขอบคุณบล็อกของพี่ยุ้ย (ตอบคำถาม “เอาเวลาจากไหน(วะ)มาอ่านหนังสือ?”) ที่ตอบคำถามของผมไปได้อย่างหมดจด คือต่อไปนี้เราจะแบ่งเวลาเพื่อหันมาพลิกหน้ากระดาษจริงจัง ส่วนหน้าจอมือถือก็จะขยัน “Mark all as read” แทนที่จะไล่อ่านครบวันละพันเรื่องอย่างทุกวันนี้ (ซึ่งแม่งโคตรไร้)

ครั้งนี้เลยแบกเป้ไป ปล่อยลูกเมียนอนอยู่บ้าน และในที่สุดก็ฟินกลับมา!

นอกจากซื้อมาได้เป็นกองแล้ว ยังสมัครสมาชิก / ต่ออายุสมาชิกนิตยสารรายปีอีก 2 หัว (คือ Way Magazine และ Let’s Comics) ให้มันรู้ไปว่าต่อไปนี้กูจะอ่านแล้วนะ ไอ้กองๆ ที่พะเนินสูงขึ้นทุกๆ ครึ่งปีนี่ ต่อไปจะต้องถูกย้ายไปหมวดอื่นทีละเล่มแล้วนะ ด้วยการแบ่งเวลาอ่านหนังสือก่อนนอนวันละชั่วโมงเป็นอันขาด

ฟังดูโคตรเท่เลย อุดมคติสุดๆ

จบด้วยประโยคเดิม คอยดูซิว่ากูจะทำได้ไหม เนี่ยเมียเรียกแล้ว ไปล่ะ

ป.ล.
ทีแรกจะเขียนรีวิวความประทับใจไล่เรียงรายเล่ม แต่เดี๋ยวเมียก็จะเรียกขึ้นไปกล่อมลูกนอนแล้ว เลยอุดช่องว่างสิบนาทีนี้มาเขียนซะหนึ่งบล็อกเหอะ งั้นไม่รีวิวละ บายนะ

ป.อ.
ไปคราวนี้เรียกได้ว่าไม่เจอใครที่รู้จักเลย (ที่เป็นนักเขียนหรือเกี่ยวข้องกับการขายหนังสือ) ยกเว้นสะอาดแห่ง Let’s Comics ก็เลยขอลายเซ็นพร้อมภาพวาดอย่างบรรจงมาหนึ่งดอก ดีใจ มีลายเซ็นกลับบ้านไว้ประดับเล่มเพื่อความเท่ งานหนังสือมันสลิ่มแบบนี้แหละ!

ป.ฮ.
ซื้อนิวยอร์กครั้งแรกมาตามกระแสนิยมเล่มนึง (พลิกอ่านดูแล้วตลก โอเค เราไม่ได้โดนกระแสหลอก) อีกเล่มเพื่อนฝากซื้อ นั่นก็ตามกระแสเหมือนกัน ถือว่าปีนี้แซลมอนโคตรถูกหวย.. ไม่สิ ถูกหวยมันดวงเกินไป ไม่ได้อาศัยฝีมือ ต้องเรียกว่าแทงม้าถูกแจ็กพ็อตมากกว่า ดีใจด้วย!

=======

ลูกเมียหลับแล้วมาเขียนเพิ่มต่ออีกหน่อย พอดีไอ้ตั๊กโวยวายว่าทำไมไม่ซื้อเล่มที่ฝากไว้ด้วย เลยบอกไปแล้วว่าขืนแบกมากกว่านี้กูหลังหักแน่ๆ เพราะว่าที่จริงก็เล็งไว้อีกหลายเล่มมากๆ แต่คราวนี้คือไม่ไหวจริงๆ แบกจนเหนื่อย (ที่น่าตกใจคือมันเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่มางานหนังสือ! สะสมอะไรกันวะ!)

ลิสต์รอนประสิทธิภาพในการอ่าน

  • เมื่อวานได้คุยกะ @notsosad ผู้เป็น บ.ก.แห่งสำนักพิมพ์บัน (ที่จริงคือคุยเรื่องขี้หมูขี้หมาแล้ววนมาเรื่องนี้) เลยขอจดไว้หน่อย
  • คือบันกับแซลมอนเนี่ยเป็นสำนักพิมพ์ญาติสนิทมิตรสหายกัน แล้วผมเคยมีหนังสือกับแซลอนอยู่สองเล่ม (เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส กับ คือปะป๊าครองพิภพ)
  • ถึงกระนั้นก็มิบังอาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนอย่างยิ่ง เพราะนิสัยและความสามารถในการอ่านและการเขียนของเราช่างหลุดออกมาไกลจากนิยามของอาชีพนักเขียนเหลือเกิน
  • แต่คือปะป๊าฯ ก็น่าจะสนุกมากนะ ใครๆ ก็ว่างี้กัน อันนี้อวยตัวเองเลยเผื่อมีคนซื้อเพิ่มอีกสักสองเล่ม 5555
  • ทีแรกคุยหนุงหนิงกับหนุงหนิง คืออยากรู้ชีวิตในวงการคนทำหนังสือ (แนวนี้ – ของบันจะเป็นแนวกุ๊กกิ๊กวัยหวานกว่าแซลมอน)
  • รวมไปถึงอยากรู้ว่า จากประสบการณ์การทำหนังสือที่ผ่านมาเนี่ย พอจะสรุปได้ไหมว่าคนอ่านเขาชอบตัวหนังสือที่มีนิสัยยังไงกัน 
  • ก็ได้คำตอบว่า เดี๋ยวนี้เขาชอบแบบที่มินิมัลๆ น้อยๆ อ่านง่าย คนเขียน(หน้าใหม่หรือนักอยากเขียนก็ตาม)ก็หันมาเขียนสไตล์นี้กันทั้งนั้น
  • ก็เข้าใจนั่นแหละว่ามาจากนิสัยการอ่านที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วย พูดหยาบๆ ก็คือเราอ่านกันลวกๆ ขึ้น อะไรก็ได้ สั้นๆ เร็วๆ ถามว่าอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์มีผลไหม น่าจะมี? (คงมีคนวิจัยกันมาแล้วบ้างแหละ)
  • ผมบอกไปว่าตัวเองกลับไม่ค่อยชอบไอ้อะไรที่เป็นลิสต์ๆ (นึกภาพว่าแบบ 20 วิธีนั่นนี่ หรือ 100 ขั้นตอนสู่ความนี่นั่น (คุ้นๆ)) คือสรุปกับตัวเองได้ว่าพอได้อ่านไปแล้วมันเป็นหนังสือที่สามารถวางได้ลง อ่านแล้วไม่ติด ไม่ได้ผูกพันกับหนังสือแบบค่อยๆ ก่อความรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จบไปฟินออกัสซั่มเอาช่วงจบเล่ม ต่างจากหนังสือที่เป็นเรื่องๆ เล่าเรื่องเดียวกันยาวไปจนจบเล่ม โอเคอาจจะมีการแบ่งซอยเป็นประเด็นย่อย แต่ว่าพอขึ้นตอนใหม่มันจะมีเรื่องราวของตอนก่อนๆ มีสะสมพอกพูนให้เกิดความประทับใจกับเนื้อหาขึ้นอีกหน่อย
  • ซึ่งบางทีไอ้การเป็นลิสต์ๆ นี่ก็รวมถึงบทความรวมเล่มด้วย เหมือนหยิบมาหนึ่งหัวข้อใหญ่ เล่าไปทีละหัวข้อย่อย จบตอนแล้วจบไป ขึ้นตอนใหม่ก็เป็นอีกหัวข้อนึง ไม่ได้ผูกพันกัน พอ่านแล้วมันเลยรู้สึกว่าเดี๋ยวขี้คราวหน้าค่อยหยิบมาอ่านใหม่ได้ หรือถ้าจะลืมวางไว้ อีกสามเดือนค่อยกลับมาอ่านใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
  • ถ้าเป็นการ์ตูนก็เป็นแนวจบในตอนงี้ ปีนึงออกเล่มเดียวก็ได้ ไม่เหมือนอย่างฮันเตอร์หรือเบอร์เซิร์ก ที่ยิ่งอ่านยิ่งติด แล้วแม่งก็ไม่ออกซะที ห่ามาก คนเขียนแต่ละคนนี่มึงแกล้งคนอ่านชัดๆ
  • คือรสนิยมส่วนตัวรู้สึกว่า ไอ้อะไรที่เป็น 10 ข้อ 20 วิธีเหล่านั้น มันเป็นลักษณะของข้อมูลที่อ่านแค่หัวข้อก็พอ ที่เหลือคือส่วนขยายของหัวข้อ เป็นนิสัยในการอ่านที่ไม่ดี เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการใช้อินเทอร์เน็ต ยิ่งทวิตเตอร์นี่ตัวดีเลย เห็นแค่พาดหัวข่าวตามด้วยลิงก์ก็กดอาร์ทีแล้ว ยังไม่ทันได้กดเข้าไปอ่านส่วนขยาย แต่ปากก็พูดเหมือนได้อ่านมาแล้วอย่างละเอียด ซึ่งไม่ดีเลย
  • หนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือเอย จากที่นั่นที่นี่เอย เลยยังคงมีวางกองไว้ในชั้น “รออ่าน” ที่บ้านตั้งหลายเล่ม นี่หนาเป็นศอกสองศอกแล้วได้มั้ง กะว่าว่างเมื่อไหร่ค่อยหยิบมาอ่าน ซึ่งไม่ดีเลยเช่นกัน
  • ดังนั้นเวลาเขียนบล็อกก็เลยฝึกนิสัยตัวเองว่าจะไม่เขียนเป็นลิสต์
  • แบบนี้
  • แต่จะรักษานิสัยการเขียนแบบ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป อย่างที่เรียนมาตั้งกะประถมมัธยมต่อไป เพราะรู้สึกได้ว่ามันดูพยายามดี ส่วนคนอ่านจะเปลี่ยนไปเพราะชอบแบบรวบรัดมากกว่า หรืออะไร ก็เรื่องของเขาสิ อย่างน้อยขอให้ทักษะนี้ยังติดกบาลไว้อยู่หน่อย ก่อนที่จะสลับโหมดไปเล่นทวิตเตอร์ซึ่งมึงคืออาณาจักรแห่งลิสต์ต่อไป
  • ป.ล.ที่จริงบล็อกตอนนี้เอาเครื่องหมายจุดหน้าข้อออกไป มันก็คือการเขียนแบบธรรมดา แต่จะลองยัดใส่ bullet ดูว่าเนียนไหม สรุปว่าไม่เนียน

ยาวไปไม่อ่าน

ผ่านงานหนังสือมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมเพิ่งหยิบหนังสือเล่มแรกจากงานนั้นมาอ่าน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซื้อหนังสือจากงานมาดองไว้ เหมือนกับว่าพอเห็นปก เห็นชื่อคนเขียนปั๊บ ก็อยากจะครอบครองมันเพื่อความเท่และแสดงตัวตนอะไรบางอย่าง เอาเข้าจริงไม่ได้อินหรือสนใจเนื้อหาข้างใน เท่ากับการได้อวดคนอื่นว่า “อ๋อ เล่มนี้เหรอ เราซื้อแล้ว”

แน่ะ ดูหล่อเลยเห็นไหม มีรสนิยมจริงๆ เมื่อได้บอกใครว่ามีหนังสือเล่มนี้ของนักเขียนคนนี้ (แต่อ่านหรือไม่นั่นอีกเรื่อง — อ่านแล้วเก็บอะไรไปได้แค่ไหนนั่นก็อีกเรื่อง)

เมื่อก่อนก็แปลกใจพฤติกรรมนี้ของตัวเองเหมือนกันนะครับ แต่พอผ่านงานหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็พบว่าตัวเองมีหนังสือประเภทดังกล่าว (ซื้อมาไว้เท่ๆ) เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมาสำรวจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร

ก็สรุปได้ว่า ระยะหลังมานี้ เราเหลือสมาธิในการอ่านหนังสือน้อยลงจริงๆ
Continue reading ยาวไปไม่อ่าน

แนะนำหนังสือ “คือปะป๊าครองพิภพ”

คือปะป๊าครองพิภพ

หลังจากปล่อยทีเซอร์ก็แล้ว ปล่อยอีกรอบก็แล้ว แจกวอลเปเปอร์ก็แล้ว ผมก็ยังไม่กล้าแนะนำหนังสือที่ตัวเองเขียนครับ

นั่นเพราะตลอดระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา “คือปะป๊าครองพิภพ” มันเป็นเพียงจินตนาการร่วมกันของผมและเหล่ากอง บ.ก.สำนักพิมพ์แซลมอน ที่ต่างก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ และกังวลกันว่า มันจะเสร็จรึเปล่าวะ ใครที่เล่นทวิตเตอร์ ติดตามผมช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็จะเจอแต่เหตุการณ์หนีหนี้ ไม่สิ หนีเอาตัวรอดจากการทวงต้นฉบับ ไล่ล่าแม่งทุกโซเชียลเน็ตเวิร์กจากอี @freeclub จนจะโดนมันต่อยหลายครั้ง แต่ในที่สุด วันนี้ (31 มี.ค.56) ชาวบ้านแถบลาดปลาเค้าก็ต้องจารึกเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ว่า หนังสือของผมพิมพ์เสร็จแล้วครับ! จะได้เห็นของจริงละครับ! ตื่นเต้นฉิบหายเลยครับ!

ด้วยความตื่นเต้น วันนี้ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของงานหนังสือประจำปิดเทอมใหญ่ปีนี้ แต่เป็นวันแรกที่จะได้เห็นหนังสือของตัวเอง เพราะได้รับข่าววงในมาว่าหนังสือจะเสร็จจากโรงพิมพ์ร้อนๆ พอดีในตอนเช้า ถึงแม้ไม่มีคิวเซ็นหนังสือตามตาราง แต่ผมก็หอบลูกหิ้วเมียไปยืนหน้าบูธของสำนักพิมพ์ (แผนที่บูธ) แล้วเปิดบูธเถื่อนอยู่ข้างๆ นั่งพูดคุยกับเพื่อนฝูงและน้องนุ่งที่ทยอยกันมาเจอกันทั้งแบบที่นัดและไม่ได้นัดซะเลย ดีใจจริงจริ๊งงงง

เอ้า ทีนี้มาเข้าเรื่อง เริ่มขายของกันซะที

Continue reading แนะนำหนังสือ “คือปะป๊าครองพิภพ”