สรุปสถานการณ์การเมืองในรอบ 2-3 วันมานี้

สรุปสถานการณ์การเมืองในรอบ 2-3 วันมานี้ครับ

ป.ล.
ทำไมบล็อกสองตอนล่าสุดถึงกลายเป็นถังเก็บภาพวาดที่เอาไปทวีตไว้ได้วะเนี่ย
เอาน่ะ อ้างว่าไม่มีเวลา + กลัวหาย เซฟขึ้นบล็อกไว้ก่อนละกัน
ส่วนต้นฉบับที่ทวีตไว้และโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กอีกทีก็ตามลิงก์

ลาดปลาเค้าถึงราชดำเนิน: ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

เมื่อวานปั่นไปดูม็อบมาครับ (อย่าเพิ่งอี๋ อ่านบล็อกที่แล้ว: ทัศนคติด้านการเมืองของข้าพเจ้าก่อน)

คืองี้ ตั้งใจว่าจะลองไปดูบรรยากาศการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสักวัน และตั้งใจว่าจะลองปั่นจักรยานไป เลยเลือกเอาวันที่ท่าทางอากาศจะไม่ร้อนมาก ก็คือมีเมฆเต็มฟ้าเนื่องจากพายุดีเปรสชันลูกก่อนหน้า แถมยังเป็นวันศุกร์ด้วย คิดว่าบรรยากาศช่วงหัวค่ำน่าจะคึกคักดี เพราะสถานการณ์ที่นักการเมืองกำลังยื้อกันไปยื้อกันมา และบิ๊วอารมณ์ผู้ติดตามข่าวนี้อยู่ให้รู้สึกว่ากูต้องไปดูของจริงหน่อยละ ทำให้วันศุกร์ที่คาดไว้ว่าคนน่าจะมากันเยอะ ก็เยอะจริงๆ รวมพนักงานออฟฟิศที่วันเสาร์ไม่ต้องทำงาน ก็สามารถมาร่วมฯ ได้อีก ด็โอเค บ่ายสามปั๊บ จะเริ่มปั่นไปละกัน

แต่ปัญหาคือ แม่งไกล..

เนื่องจากผมเป็นพวกมนุษย์หน้าคอม ที่ร่างกายปวกเปียก คือไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย ดังนั้นกล้ามเนื้ออะไรก็ไม่มี จักรยานที่มีปกติผมก็เอาไว้ปั่นแค่ซื้อก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน หรือปั่นเล่นตอนไปเที่ยว ที่เคยคึกสุดก็ปั่นจากเซ็นทรัลเวิลด์กลับมาบ้าน กับปั่นจากบ้านไปเมืองทองธานี แวะนอนบ้านพี่ติ๊กพี่เจน แล้วเช้ามาก็ปั่นต่อไปปทุม เรื่อยๆ ก็งวดละไม่ถึง 20 กิโล เท่านี้ก็เมื่อยขาและปวดไข่แล้ว แต่นี่ลองดูระยะทาง มันประมาณ 20 กิโลนิดๆ ไปกลับก็ 40 เศษๆ นี่กูจะตายเอาไหมนะ แถมถ้าขากลับเกิดดึกขึ้นมา จะโดนโจรปาดคอแบบไอ้ปิง (เพื่อนที่โดนจี้ทำร้ายก่อนนักข่าวที่เป็นข่าวดังๆ เมื่อช่วงต้นปีนี้แค่วันเดียว) ไหมนะ แล้วถ้าฝนตกขึ้นมา จะแบกขึ้นแท็กซี่ดีไหมนะ เขาจะรับไหมวะ เปียกแบบนั้น ฯลฯ

ก็เลยช่างแม่ง ให้ได้ปั่นออกมาก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน

เลยถีบรถมาเรื่อยๆ ครับ พบว่าบ่ายสามครึ่งที่ฟ้ากำลังครึ้มๆ นั้นปั่นสบายมาก ไม่ร้อน ตัวไม่เหนียว แม้ไม่ได้พกน้ำติดตัวมาก็ปั่นได้ยาวจนเกือบถึงที่หมายเลย

ที่บอกว่าเกือบ ก็เพราะหลงครับ ไปหลงเอาตั้งกะข้ามทางรถไฟแถวถนนพระรามห้าพระรามหก แล้วก็ขี่มั่วไปเรื่อยๆ จอดดูแผนที่กูเกิลเรื่อยๆ ถนนแมวอะไรไม่รู้จักสักเส้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วมันต้องไปถึงจนได้ล่ะน่า

แล้วก็มาถึงครับ

คือพอคุ้นๆ กะถนนแถวสุโขทัย พิษณุโลก (แค่ชื่อถนนก็งงแล้วเห็นมะ) ปั๊บ หันไปมองทางซ้าย อ้าว แม่งเขมรเฉยเลย

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

คือมันเป็นแนวสกัดม็อบของตำรวจน่ะครับ มีแผงแบริเออร์ สลับกับลวดหนามเป็นทุ่งใหญ่นเรศวรเลย

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

โดยฝั่งที่ผมเอากล้องไปตั้งไว้ข้างบนเนี่ย สูงสัก 180 ซ.ม.ได้ กะว่ากันซอมบี้บุกได้เลยนะ

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

มองฝั่งนู้นก็เห็นตำรวจในชุดปราบจราจลเต็มยศนับร้อยๆ นาย แบบที่เคยเห็นแค่ในภาพข่าว แต่นี่พอเจอจริงๆ ก็หลอนอยู่เหมือนกัน แบบ ถ้าเกิดมีเหตุอะไรขึ้นมา กูอยู่ตรงคงปั่นหนีไม่ทันแน่ๆ

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ถ้าจำไม่ผิด ตรงนี้คือสะพานมัฆวานรังสรรค์ครับ หันกลับมาทางฝั่งเรา ก็มีกลุ่มประชาชนจำนวนมาก นั่งๆ ยืนๆ คุยกันบ้าง ถ่ายรูปบ้าง ส่วนหนึ่งก็เตรียมอุปกรณ์ไว้เขียนและพ่นสีกำแพง เป็นกราฟิตี้หรือจะเขียนด่ารัฐบาลก็แล้วแต่จะสะดวก

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ได้ยินเสียงปราศรัยบนเวที เนื้อหาเกี่ยวกับคดีเขาพระวิหาร ฟังแล้วไม่หยาบคายนะครับ ต่างจากภาพที่คิดไว้พอสมควร (เข้าใจว่าเป็นนักวิชาการมาให้ข้อมูล มากกว่านักรณรงค์ที่เน้นปลุกระดม) พอเดินไปถึงช่วงที่เป็นเวที ก็พบคนจำนวนหนึ่งนั่งฟังอยู่ ไม่เยอะครับดังภาพข้างบน นอกนั้นก็ท่าทางจะทยอยมาสมทบเรื่อยๆ

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

คือเราตามข่าวแค่ในเว็บกับในทีวี (ซึ่งก็ดูผ่านยูทูบอีกที) ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าม็อบแต่ละม็อบมันอะไรยังไงกัน คือผูกพิกัดแผนที่ไม่ถูกน่ะ พอมาเห็นของจริงเลยเข้าใจครับ เวทีนี้น่าจะเป็นของ คปท. โดยอยู่บนถนนราชดำเนิน (กลางใช่ปะ) หันหน้าไปฝั่งทำเนียบรัฐบาล โดยแนวรบของตำรวจก็ปกป้องอยู่ฝั่งทำเนียบฯ นี่เอง

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ฟังสักพักก็ปั่นต่อมา เลยกระทรวงศึกษาธิการ แล้วก็แยกที่เลี้ยวไปขึ้นสะพานพระรามแปดน่ะครับ ตรงนี้การจราจรเปิดปกติดี โดยมีพี่วินตั้งคิวรออยู่ตลอดทาง เชื่อเหลือเกินว่าช่วงนี้คือช่วงโกยเงินเลยแหละ เพราะคนเข้าออกกันเยอะมาก

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

อีกม็อบนึงอยู่ตรงแยกผ่านฟ้าครับ เจ้าภาพคือกองทัพธรรม มีเต็นท์ใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้ตั้งขวางตรงแยกนะ คืออยู่บนถนนเส้นเดียวกะม็อบตะกี้ ดูเป็นสัดเป็นส่วนดี

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

มีคนฟังประมาณนี้ครับ เต็นท์ใหญ่ๆ นี้มีสองหลัง พอดีเลนส์กล้องมันเก็บภาพกว้างไม่ได้ (แบกขี่จักรยานมานะเว้ย)

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

หลักฐานของการปักหลักครับ มีเต็นท์อยู่เต็มไปหมดเลย

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ก่อนหน้านี้ผมจะ “อะไรวะ” เวลาเห็นใครที่แสดงความเห็นด้านการเมืองแบบเข้าข้างรัฐบาล แล้วจะบอกว่าตรงข้ามกับแดงคือเหลือง เฮ้ย คือประชากรไทยมันถูกเหมารวมจนเหลือแค่นี้เหรอวะ แล้วสีเหลืองนี่คือยังไม่สูญพันธุ์เหรอวะ… พอมาได้เจอจริงๆ ก็พบว่าคนเสื้อเหลือง (แล้วเรียกตัวเองว่าเหลืองด้วยนะ) นั้นมีอยู่เยอะมากครับ คือปกติตัวเองจะคลุกคลีแต่กับข่าวสารจากฝั่งเสื้อแดง ฝั่งที่เรียกตัวเองว่าลิเบอรัลงี้ พอมาเจอว่าเออ มีกลุ่มคนที่มีรสนิยมด้านการเมืองแบบที่เห็นจากเว็บผู้จัดการอยู่เยอะจริงๆ นะ นี่ก็ช่วยเปิดกบาลตัวเองให้หายโลกแคบได้ดีเหมือนกัน

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ฟ้าเริ่มมืด ขยับตัวไปหาอนุสาวรีย์ครับ ก็เห็นว่าอยู่ไกลลิบๆ นู้น แต่ที่แน่ๆ คือการจราจรแถวนี้เป็นอัมพฤกษ์ไปแล้ว ราชดำเนินแถบผ่านฟ้ากลายเป็นที่จอดรถไปเลย

20131108 ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย

ถึงชายแดนของม็อบใหญ่แล้วครับ ปลายแถวอยู่แยกที่มีป้อมมหากาฬ โดยมีพี่วินประจำการอยู่ 1 กองร้อย

เนื่องจากบล็อกจะยาวไปละ ขอซอยแบ่งหน้านะครับ กดดูต่อเอาจ้ะ

ประชาธิปไตยและการเมืองไทยในทรรศนะของข้าพเจ้า

democrazy

เมื่อเย็นวานเป็นวันแห่งการเป่านกหวีดสำหรับม็อบใหญ่ เป็นม็อบที่ท่าทางจะจุดติด และน่าสนใจที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา เพราะประเด็นที่ฝ่ายรัฐบาล “เชิญแขก” มานั้นแข็งแรงมากๆ คือมีเหตุผลเข้าท่า หากจะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลได้เลย ..หรือที่จริง การมีม็อบรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ใจนั้นไม่เคยมีครั้งไหนที่สามารถล้มรัฐบาลได้เลย …จนกว่าจะมีคนตาย – เอาจริงๆ แกนนำม็อบเลยยิ้มที่มุมปากเสมอเวลามีคนตายไงล่ะ เป็นตำรายุทธพิชัย :(

เดี๋ยวๆ ก่อนที่จะเข้าเรื่องม็อบ มาเข้าเรื่องการเมืองก่อน

ไหนๆ เคยเขียนบล็อกบันทึกเรื่องทรรศนะส่วนตัวด้านพุทธศาสนาแล้ว ก็ขอบันทึกทัศนคติทางการเมืองหน่อย จะได้รู้ว่า ณ วันนี้ เราคิดแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน รวมถึงไม่รู้อีกกี่ปีข้างหน้าพอมาย้อนดู จะจำได้ไหม

ทีแรกกลัวว่าเสนอความเห็นแล้วจะดูโง่ แต่วันหนึ่งก็นึกได้ว่า ที่จริงประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าจะโง่หรือฉลาด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบการถกเถียงและแสงความคิดเห็นก็ตาม เมื่อคิดได้ดังนั้น เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดนึงว่า นอกจากเราแล้วก็ยังมีคนที่โง่ (และโง่กว่าเรา) อยู่เยอะแยะไป ก็ไม่เป็นไรนี่นา ทำไมต้องฉลาดก่อนแล้วค่อยมีสิทธิ์พูดล่ะ?

ประชาธิปไตยนั้นอนุญาตให้คนไม่สนใจการเมืองเลย สามารถอยู่ด้วยได้อย่างแฮปปี้พอๆ กะพวกหายใจเป็นการเมืองมิใช่หรือ

แต่อีกแว้บนึงก็รู้สึกว่า อุณหภูมิการเมืองในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมามันเซนซิทีฟเกินไปนะ คืออยู่ดีๆ ใครก็ตามดันแสดงความคิดเห็นทางการเมืองขึ้นมา คนคนนั้นจะต้องถูกดึงเข้าวังวนดราม่า และถูกแปะป้ายอะไรสักอย่างลงบนตัวไปตลอดกาลทันที ช่างเป็นบรรยากาศที่ผลักไส และไม่เป็นมิตรต่อการแลกเปลี่ยนความเห็นโดยสันติเอาซะเลย

บรรยากาศในอุดมคติคือเรามานั่งพูดคุยเรื่องการเมืองกันเหมือนพอดูหนังจบเราคุยเรื่องหนัง พอออกไปกินข้าวแถวบ้าน เราคุยกันว่ามันอร่อยไหม แพงไปปะ คราวหน้ามากินอีกไหม ไม่ใช่แบบติ่งใต้น้ำหรือสาวกหน้ามืด ที่ทะเลาะกันแบบขาดสติ คือไม่รู้จะไปอินอะไรกันนักกันหนากับค่ายที่ตัวเองเชียร์ โอเค มันเกี่ยวพันกับชีวิตเรา แล้วข้าวร้านที่เราไปกินก็เกี่ยวกับชีวิตเราไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ?

เริ่มยังไงดีหว่า นึกเป็นข้อๆ ไปละกัน

1.
ระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นโอเพนซอร์ส
กติกาใดๆ ที่เลือกคนมาถืออำนาจนั้น “มันมีรูรั่วอยู่เสมอ” ไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลย เพราะนี่เรากำลังเล่นเกมอยู่กับมนุษย์ที่มีขีดความสามารถในการดิ้นได้เสมอ และเพราะอำนาจคือผลประโยชน์ก้อนใหญ่พอที่จะลงทุนกับมัน ดังนั้น “ที่มาของอำนาจ” ที่ยังมีข้อบกพร่อง จึงไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ความขาวสะอาดของผู้ชนะที่มีสกิลศรีธนญชัยได้นะครับ แต่ประชาธิปไตยคือระบอบที่ออกแบบมาให้ค่อยๆ คลำหาข้อบกพร่องนั้น และปรับแก้กันไปจนมันดีขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมแยกกันให้ออกระหว่าง “การได้มาซึ่งอำนาจ” กับ “การใช้อำนาจ” นั่นแปลว่า ถ้าคนจะเหี้ย ก็สามารถใช้ช่องโหว่ของกติกาที่ดีไซน์ไว้ไม่รัดกุมพอ มาตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวได้อยู่ดี กรณีศึกษามีเป็นร้อยเป็นพันให้เห็น (หันไปมองวงการฟุตบอล)
ในทางกลับกัน ถ้าเกิดจะไม่เอาละ ประชาธิปไตย กูอยากได้ระบบอื่นที่มั่นใจว่าได้ “คนดี” ชัวร์ (คนดีเนี่ย เป็นคำที่เขาประชดกัน และประโยคถัดมาก็จะตามมาด้วยพฤติกรรมลับๆ ที่เหี้ยๆ แล้วถามเย้ยๆ ว่า ไงล่ะ คนดีของมึง?) ก็ต้องบอกว่าอย่าเลย ขนาดประชาธิปไตยที่เป็นระบบที่ออกแบบให้มีการยืดหยุ่นและปรับปรุงนั่นนี่ได้เสมอ ยังเจอรูรั่วขนาดนี้ แล้ว “ระบบปิด” อย่างอื่นมันจะไปเหลืออะไร
นี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ว่าอย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยเป็นกติการ่วมกันทางสังคมที่โอเคที่สุด ที่เปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูกไปอีกชั่วลูกชั่วหลานจนกว่าจะได้ระบบที่ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหรอกที่สมบูรณ์ 100%
แต่ก็ใช่ว่าจะไปสรรเสริญไม่ลืมหูลืมตา ถ้าเจอข้อพกพร้อง ก็ต้องช่วยๆ กันแก้ ในหลายเวอร์ชันที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่มีการปรับแก้กติกา ไม่ว่าจะโดยประชาชนเอง หรือโดยกลุ่มผลอำนาจ กลุ่มประโยชน์ไม่กี่คนก็ตาม เราจะเห็นได้ว่ามันแอบยัดดอกจันตัวเล็กๆ ไว้เสมอ เช่น อยู่ดีๆ มาเร่งแก้ประเด็นจำนวน ส.ส.ในแต่ละเขตไรงี้ ซึ่งคนเสนอแก้ก็คือ ส.ส.เองที่กำลังถืออำนาจในการปรับกติกาอยู่ ไรงี้ (ซึ่งกติกาเราออกแบบให้พวกเขานั้นอำนาจเพื่อการนี้เองนี่หว่า) มันเลยเป็นโดมิโน่ไปสู่สิ่งอื่นๆ

2.
เชื่อในระบบการโวยวายของคนอย่างเราๆ เพื่อถ่วงดุล ตรวจสอบ (และประจาน) การกระทำผิดของผู้มีอำนาจในทุกวงการ ยิ่งเป็นยุคนี้ที่ทุกอย่างไฮเทคและโซเชียลพอ เรื่องอะไรแบบนี้มันทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเห็นด้วยกับการบอกว่าถ้าไม่ชอบรัฐบาลทุจริต ก็ให้นั่งเฉยๆ อดทนสี่ปี แล้วค่อยเลือกพรรคอื่น เพราะกติกาออกแบบไว้ให้ประชาชนมีช่องทางเล่นงาน(ในกติกา) และรัฐบาลก็ต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาด่าเรื่องอะไร
แต่การตรวจสอบที่ว่า พอมาใช้กับระบบราชการ ถ้าผิดจริงกลับถูกทำโทษด้วยการแค่ “ย้าย” ไปที่อื่น…

3.
ย้ำว่าการได้มาซึ่งอำนาจกับความสง่างามบนเก้าอี้มันคนละเรื่องกัน ทีแรกก็ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่นะข้อนี้ แต่พอเห็นตัวอย่างจากหนังสารคดี “ประชาธิปไทย” ของเป็นเอก ก็พบว่าพอใครก็ตาม (เอาตั้งแต่คณะราษฎรเลยเหอะ) ที่ลงทุนกับการเปลี่ยนแปลงมากๆ เมื่อขึ้นไปอยู่บนเก้าอี้ปั๊บ ก็จะยิ่งกอดแน่น เพื่อพยายามรักษาความมั่นใจของตัวเองว่าสิ่งที่กูทำมาตลอดนั้นถูก ถึงกูจะต้องเปลี่ยนคอนเซปต์นิดนึง แต่กูจะล้มลงไปแบบไม่สวยไม่ได้ บทเรียนนี้มีมาตลอด ใครยังไม่ได้ดูสารคดีเรื่องที่ว่า ลองหาดูนะ เขาเปิดฉายเรื่อยๆ

4.
หัวใจของระบอบประชาธิปไตยควรอยู่ที่สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มากกว่าการโฟกัสไปที่ “กระบวนการการเลือกตั้ง” ซึ่งก็แค่ปากทาง คือการได้มาซึ่งผู้ปกครอง (ที่จริงต้องใช้คำว่า “ผู้บริหาร” มากกว่าผู้ปกครอง เห็นมะ ย้อนแย้งมะ) ดังนั้นนิยามของประชาธิปไตยมันจึงไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง (พูดแบบนี้นี่สลิ่มเลยนะ) แต่ต้องกลืนเป็นธรรมชาติกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น การใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานอยู่ในออฟฟิศ การใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักศึกษา เรามีสิทธิอะไรอย่างที่สมควรหรือเปล่า การขึ้นรถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้าล่ะ สิทธิของเราถูกเบียดเบียน หรือไปเบียดเบียนใครหรือเปล่า เราได้ทำอะไรที่อยากทำมากแค่ไหน อะไรที่เขาห้ามทำแล้วแต่เรารู้สึกว่ามันละเมิด เราลุกขึ้นพูด หรือแสดงออกอะไรบางอย่างเพื่อหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ไหม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้กระทั่งในหน่วยย่อยๆ อย่างครอบครัว ท้องถนน โรงเรียน ออฟฟิศ เว็บบอร์ด กรุ๊ปเฟซบุ๊ก ฯลฯ เลยนะครับ ไม่เห็นต้องไปเปิดช่องการเมืองแต่อย่างใด อยู่ที่เราจะสนใจมันหรือเปล่า แค่ไหนเท่านั้นเอง
จะเห็นว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้มันใหญ่กว่าแค่เรื่องการเลือกนักการเมืองเยอะเลย

5.
ดราม่ากองเชียร์กีฬาสีในรอบหลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอยากได้การเมืองใสสะอาด ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชัน อีกฝ่ายบอกว่าอยากได้สิทธิ หลักประชาธิปไตย แล้วสองฝ่ายก็ตีกัน บาดเจ็บล้มตาย คำถามคือ อีสองอย่างมันก็ไปด้วยกันได้ไม่ใช่เรอะ ทำไมฝ่ายหลังถึงไม่พูดเรื่องทุจริต และฝ่ายแรกมองข้ามเรื่องสิทธิหว่า หรือที่จริงก็มี แต่มันดึงอารมณ์ร่วมของมวลชนที่เป็นมุษย์คนละประเภทกันให้คล้อยตามได้ยาก ก็เลยเล่นผลิตวาทกรรมซ้ำๆ มันซะประเด็นเดียว ซึ่งก็ทำให้สงสัยว่าที่มวลชนเป็นแบบนี้เพราะการวางคอนเซปต์เพื่อแยกเขาแยกเราที่ว่านี่รึเปล่า เช่นฝั่งนึงก็จะตะโกนแต่ว่า เราต้องการคนดี คนเลวออกไป (อ้าวแล้วกติกาล่ะ) กับอีกฝั่ง แกนนำก็สะกดจิตมวลชน จนรู้สึกว่าเรามีพลังแค่การกากบาทเลือกตั้งเท่านั้น พลังการตรวจสอบหายไปจากพจนานุกรมเลย

6.
โตพอจะเข้าใจเรื่องการรัฐประหารก็เมื่อครั้งล่าสุดตอนปี 2549 ที่ผ่านมานี้เอง และเห็นข้อดีข้อเดียวของรัฐประหารครั้งนั้น คือทำแล้วคนเดือดร้อน ด่ากันฉิบหายวายวอดตั้งแต่ระดับชาวบ้านยันระดับนานาชาติ จนยากที่จะมีใครคิดลงทุนกับมันอีก เพราะพอถึงวินาทีนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคม “ไม่เอา” รัฐประหาร ดังนั้นใครคิดจะ รปห ก็ลำบากหน่อย เดิมพันสูงกว่าเดิมมากๆ เผลอๆ จะมากจนผมชักจะกลัวว่า ถ้าเกิดมีขึ้นจริงมันจะยิ่งน่ากลัว และพาสู่สังคมโกลาหลได้อีกหลายปี แต่ไม่เคยเห็นคนรอบข้างทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มาเชียร์ให้ทหารออกมารัฐประหารเลยนะ เห็นแต่บทความของฝ่ายเชียร์รัฐบาลนี่แหละที่พูดแต่ “กลิ่นรัฐประหาร” กันบ่อย และพูดมาตลอด เข้าใจว่าน่าจะมีไอ้บ้าสักตัวที่จะใช้กำลังแบบนี้จริงๆ

7.
สมเพชคนทะเลาะกันแล้วด่า “กด” ฝ่ายตรงข้ามว่าโง่ โดยใช้คำว่า “สลิ่ม” หรือ “ชนชั้นกลาง” หรือ “คนดี” เป็นนัยแฝง ในขณะที่อีกฝ่ายด่ากันตรงๆ ว่า “ควายแดง” เอาเป็นว่าไม่ว่าจะด่ากันด้วยอะไรถ้ามันคิดเผื่อไว้ว่าฝ่ายตรงข้ามอ่านแล้วจะรู้สึกถูกเหยียดหยาม แม่งก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ … เขาเรียกรวมๆ กันว่า Hate speech ใช่มะ

8.
เวทนาคนเสียเพื่อนเพราะกีฬาสี

9.
เชื่อว่าทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องต้องห้ามอย่างเรื่องเจ้าเรื่องวัง ควรพูดคุยกันได้ ในเจตนาแห่งความสุภาพ มีเหตุผล (แน่นอนว่าต้องออกแบบกติกาให้รองรับการพูดคุยนี้ได้) คือ ตอนดูหนังประชาธิปไทยรอบสุดท้าย (ตอนนั้นคนดูแน่นโรงที่เอสพละนาดเลยนะ) จุดที่ฮาที่สุดคือตอนที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ในหนังพูดถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วโดนดูดเสียง (ใช่ หนังโดนกองเซ็นเซอร์สั่ง) คือปากขยับนะ แต่ไม่มีเสียง ปล่อยเงียบๆ แบบนั้น ยิ่งเงียบนาน เสียงคนดูหัวเราะยิ่งดัง เป็นตลกร้ายสุดๆ เลยครับ

10.
เห็นด้วยกับการเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะปริมาณโทษ และกระบวนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด หรือผู้ต้องสงสัย คนที่ฟ้องไม่ควรเป็นใครก็ได้ (ที่มันมั่วๆ มาจนทุกวันนี้ก็เพราะการเป็นใครก็ได้นี่แหละ) แต่ควรมีหน่วยงานที่เหมือนอัยการสำหรับคดีแบบนี้ อาจเป็นหน่วยงานในสำนักพระราชวังก็ได้ — แต่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายมาตรานี้

11.
ที่จริงข้อนี้เขียนไว้นานมากแล้ว แต่เพิ่งมารวมกันลงในบล็อกเดียว — ผมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง (ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าสุดซอย) ผมเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการเคลียร์ความจริงให้เสร็จก่อนดัน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม คือความจริงทั้งหลายมันยังไม่ปรากฏ ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้ จะอ้างเหตุผลว่าอยากให้อุณหภูมิการเมืองสงบลงด้วยความปรองดอง แต่การจะได้มาซึ่งคำว่าปรองดอง (ที่ถูกนำมาใช้จนช้ำเละเนี่ย) มันต้องเคลียร์ปัญหาที่อยู่บนพรมและใต้พรมก่อน ไม่ใช่โบกปูนทับไปเลย
ส่วนเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา จนดัน พ.ร.บ.อย่างเรื่องที่จะขอกด undo การตัดสินของศาล ลามไปถึงปี 2547 นั้น อันนี้เหี้ยครับ ผมไม่ยอมรับครับ โอเค มันเป็นการผลิตซ้ำ และตอกย้ำข้อมูลที่ดิสเครดิตทักษิณจากฝั่งตรงข้าม ที่ทุกวันนี้ชิงชังกันจนถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ในฐานะผู้ฟังข้อมูล เราเห็นด้วยกับเรื่องที่เขาประท้วงขึ้นมา มันเสียงดังพอที่คนเสื้อแดงจำนวนมากจะรู้สึกว่า เหี้ยแล้วไหมล่ะ

12.
ผมรังเกียจพรรคประชาธิปัตย์ แต่อาจจะน้อยกว่าเพื่อไทยที่มีข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส เช่น ตัวเลขขาดทุนของการจำนำข้าว, เหตุผลในการสร้างเขื่อนแม่วงก์, ที่มาของพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้าน รวมถึงเรื่องใหม่ที่เรียกแขกมาร่วมม็อบฝ่ายตรงข้ามได้เยอะมากจนน่าจะจุดติดแล้วแหละ อย่างเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม… พอทั้งสองพรรคมันมีอะไรแปลกๆ ผมเองเลยคงเป็นพวกแกว่งๆ มากกว่าจะจม หรืออินอยู่กับพรรคใด (พี่ @malimali พูดไว้น่าสนใจว่าการเมืองเนี่ย ใครอินก่อนแพ้) คือถ้ามีอะไรน่าสนใจก็พร้อมฟัง
และขณะเดียวกัน เรากลับเห็นว่าการด่าว่านายกโง่ พากันไปขย่มที่จุดด้อย นอกจากความสะใจที่ได้พ่นความเกลียดชังแล้ว มันไม่ส่งผลดีอะไรกับฝ่ายตัวเองเลย คือถ้าแน่จริงมึงลองสู้แล้วเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่ฉลาดให้ได้สิ

13.
พอพูดถึงประชาธิปัตย์แล้ว ก็นึกขึ้นได้อีกข้อนึงว่า ในบรรดา ส.ส.ทั้งหมดนี่ ผมเชียร์แค่คุณอลงกรณ์นะครับ

ทักษิณและประชาธิปัตย์

ผมรับฟีดเพจของคุณโตมร ศุขปรีชา เลยได้อ่านบทความนี้ แล้วรู้สึกชอบมาก ชอบจนทั้งแชร์ ทั้งทวีต ทั้งโพสต์ลงบอร์ดไปหมดแล้ว เหลือแค่แปะในบล็อกนี่แหละครับ เลยขออนุญาตคัดสำเนามาลงอีกรอบ ไว้เผื่อเตือนใจตัวเองและเหล่าสาวกเดนตาย (ที่จริงไม่มีใครควรตายเพือคนอื่นเลย) ทั้งหลาย

ต้นฉบับอยู่ที่นี่ และต้นตอมาจากนี่อีกที

อยากให้อานความเห็นของคุณ ‘ประภากร’ ที่อยู่ในกระทู้นี้ ดังต่อไปนี้ครับ :

ดิฉันมีความเห็นว่า ความกังวลของอจ.สุลักษณ์ ที่มีต่อพรรคของทักษิณหรือความที่อจ.เห็นว่าพรรคของทักษิณนั้นน่ากลัวกว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ “ความอ่อนแอของพรรคประชาธิปัตย์” นั่นเองค่ะ เหตุผลที่การเมืองไทยยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้ ก็เพราะ เรายังไม่มีพรรคการเมืองที่เข้มแข็งพอที่จะเป็นคู่แข่งของพรรคทักษิณ

การที่ประชาธิปัตย์ยังหลงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตของการปลุกปั่นอารมณ์ผู้คนให้เกลียดชังทักษิณ ด้วยข้อหาเผาบ้านเผาเมือง หรือล้มเจ้า จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพัฒนาตนเองเพื่อค้นหาสูตรนำทางสู่ความสำเร็จที่จะพิชิตอำนาจของทักษิณ ได้โดยมิต้องอิงแอบวิธีการสกปรกเหล่านั้น นั่นแหละคือความน่ากลัวของทักษิณ

วันนี้เสื้อแดงส่วนใหญ่เลือกสนับสนุนทักษิณ ก็เพราะ”รังเกียจ” พฤติกรรมที่ว่ามาของพรรคประชาธิปัตย์ โดยอาจเลือกที่จะมองข้าม ความเป็นนักธุรกิจ นักกลยุทธ์การตลาด ในคราบนักการเมืองของทักษิณที่ถือโอกาสช่วงชิงอำนาจทางการเมืองโดยวิธีการทางการตลาดที่ทันสมัย การใช้จิตวิทยามวลชนการตลาดเพื่อสร้างความนิยมจากประชาชนที่รักความชอบธรรม รักมนุษยธรรม รักประชาธิปไตย และที่ขาดไม่ได้คือทักษิณได้ความนิยมจากกลุ่มคนไม่เอาเจ้า

ทักษิณใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมดังกล่าวของประชาธิปัตย์เองในการสร้างความนิยมจากมวลชน ทักษิณอิงแอบผลของการรัฐประหาร ผลของการอิงแอบเจ้าของประชาธิปัตย์ เพื่อปลุกปั่นมวลชน ไม่ต่างกับประชาธิปัตย์ อาจเลวร้ายกว่าอย่างที่อจ.สุลักษณ์ว่า อันนี้คนเสื้อแดงที่แอบไม่เอาเจ้าคงจะรู้ดี ว่าในเวทีเสื้อแดงต่างๆ นั้น รักเจ้าหรือเกลียดเจ้ากันแน่ และอะไรเป็นปัจจัยหลักทีทำให้คนเสื้อแดงเกลียดเจ้า ถ้าทักษิณรักเจ้าจริง ทำไมทักษิณไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะขจัดปัจจัยนั้น ทั้งๆ ที่มีอำนาจเต็มอยู่ในมือ

ความคลั่งไคล้ในความเป็นผู้นำของทักษิณของคนเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งเผื่อแผ่ไปถึงถึงยิ่งลักษณ์ นั้น มิได้มาจากคุณงามความดีหรือความเก่งฉกาจในตัวของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ล้วนๆ แต่มันเกิดขึ้นมาจากการตลาดการเมืองเชิงจิตวิทยา ที่บังเอิญเหลือเกินที่คู่แข่งแบบประชาธิปัตย์และกองทัพ ได้เล่นเกมพลาดติดต่อกันอย่างต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว

วันนี้คุณทักษิณ หยิบยืมกลยุทธ์ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเคยใช้คุณอภิสิทธิ์ มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยมให้กับพรรคของตัวเองหลายอย่าง ดราม่าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของคุณยิ่งลักษณ์กับผู้นำต่างประเทศ-ความสวยประหนึ่งดารา นางแบบ-สิ่งที่ประชาชนทั่วไปมองเห็นและชื่นชมคุณยิ่งลักษณ์ ก็คือภาพผู้นำที่คล้ายกับเป็นตัวแสดงนำที่ตีบทแตกในละครเรื่องต่างๆ ยิ่งสลิ่มทุบตีคุณยิ่งลักษณ์ เสื้อแดงก็ยิ่งรักยิ่งสงสารนางเอกแบบยิ่งลักษณ์ รวมไปถึง ภาพของคุณพงศพัศ ที่ถอดแบบของคุณอภิสิทธิ์ ในแบบที่ผู้ดีมีการศึกษานิยมชมชอบกัน นี่ยังไม่นับเรื่องประชาธิปัตย์คอยหาเรื่องจะเอาทักษิณมาลงโทษเพียงเพราะเซ็นชื่อรับรองว่าคุณหญิงพจมานเป็นเมีย ในกรณีที่ดินรัชดาอีก ยิ่งทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ คนเสื้อแดงที่รักความเป็นธรรม เค้ายิ่งสนับสนุนทักษิณ

ถ้าลองสังเกต คำวิจารณ์ที่ฝ่ายเสื้อแดงติติงคุณสุขุมพันธ์ก็จะเห็นว่า คำวิจารณ์เหล่านั้นแทบไม่แตกต่างกับคำวิจารณ์ที่ฝ่ายสลิ่มติติงคุณยิ่งลักษณฺ์ และฝ่ายประชาธิปัตย์เองที่เคยเรียกร้องภาวะผู้นำจากคุณยิ่งลักษณ์ ในเรื่องของความสามารถในการพูดในที่สาธารณะ หรือความมีประสบการณ์ทางการเมือง วันนี้คุณพงศพัศ มีคุณสมบัติเกือบทุกอย่างที่คล้ายคลึงกับคุณอภิสิทธิ์

นี่แหละคือ “ความน่ากลัว” ที่พรรคของทักษิณมีมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีจำนวนคนที่คลั่งทักษิณมากกว่าคลั่งอภิสิทธิ์ ที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้ ไม่รู้ตัวว่ากำลังคลั่งในสิ่งที่ทักษิณใช้เป็นเครื่องมือ แต่กลับเชื่อว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่

ประชาชนที่ตัดสินใจเลือกข้างแล้ว ไม่ว่าจะเลือกประชาธิปัตย์หรือเลือกเพื่อไทย มัวแต่ดราม่ากับการเชียร์ข้างตัวเอง และขยายขอบเขตความเกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม จนละเลยที่จะเรียกร้องให้ฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนอยู่ ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเอง หรือร่วมกันตรวจสอบพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและเพื่อนร่วมชาติที่ยากไร้

ทุกวันนี้ พอมีคนออกมาวิจารณ์การทำงานของเพื่อไทย เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งก็จะร่วมกันผลักไส ด่าทอ ให้เขาไปอยู่ฝั่งอำมาตย์ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของคำวิจารณ์ ว่าในความเป็นจริงเพื่อไทย ทำงานบกพร่องแบบที่พวกเขาวิจารณ์หรือไม่ เช่นเดียวกันกับเวลาที่มีคนออกมาสนับสนุนประชาธิปัตย์ เสื้อแดงก็จะประนามกล่าวหาว่าคนพวกนี้สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนเผด็จการ ทั้งๆ ที่เสื้อแดงเองก็อ้างว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่กลับไม่รับฟังเหตุผลของคนที่ไม่อยากเลือกเพื่อไทย

สถานการณ์การเมืองไทยคงก้าวข้ามทักษิณไปไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง หากพรรคทางเลือกแบบประชาธิปัตย์ ยังทำตัวเหลวไหล ยึดอัตตาของตัวเองเป็นหลัก มีผู้นำที่เอาแต่โอ้อวดว่าตัวเองเก่ง เจ๋งกว่าทักษิณ แต่ไร้ความสามารถในการพัฒนากลยุทธ์ที่ที่จะเอาชนะพรรคของทักษิณได้

ถ้าผู้นำประชาธิปัตย์ ยังมองไม่เห็นจุดอ่อนของตัวเอง และเอาแต่โทษทักษิณ โดยไม่ปรับปรุงตัวเอง หรือปรับปรุงทัศนคติทางการเมืองให้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าผู้นำประชาธปัตย์ยังเลือกมองชาวเสื้อแดงเป็นศัตรู แทนที่จะมองว่าพวกเขาเป็นประชาชนชาวไทยที่นักการเมืองมีหน้าที่ต้องรับใช้ ดูแลทุกข์สุข ให้พวกเขามีเสรีภาพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามระบอบประชาธิปไตย ในแบบที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศเค้าทำกันอยู่ ทักษิณก็คงจะอยู่ในใจของชาวเสื้อแดงไปอีกนาน

สำหรับประชาชนชาวเสื้อแดง ก็ลองถามตัวเองดีๆ อีกครั้งหนึ่งนะคะ ว่า พวกคุณชื่นชมยินดีและเชื่อใจฝ่ายบริหารที่พวกคุณเลือกมาแบบพรรคเพื่อไทย ที่แต่งตั้งคนของตัวเองเข้าไปดำรงตำแหน่งโน่นนี่ในรัฐวิสาหกิจกันพรึบพรับ โดยมีข่าวคราวเรื่องคอรัปชั่นของโครงการใหญ่ๆ ที่พวกเขาอ้างกันว่า จะต้องมีเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบสาธารณูปโภค หรือ รายจ่ายอื่นๆ ของภาครัฐฯ พวกคุณรู้สึกกันแบบนี้จริงๆ หรือคะ?? นี่หรือคะ ประชาธิปไตย ที่เพื่อนๆ ของพวกคุณยอมเสียสละเลือดเนื้อชีวิตและอิสรภาพไปประท้วงกันมา?? แค่ขอให้นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองพวกเขายังไม่กระตือรือร้นที่จะทำให้เลย อ้างว่ากลัวเสถียรภาพรัฐบาลจะสั่นคลอน แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังถอนทุนคืนไม่ครบกันหรือเปล่า??

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและชาวเสื้อแดงในวันนี้ คล้ายกับคนลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน ถ้าเสื้อแดงยังไว้ใจให้เพื่อไทยบริหารประเทศแต่ ขาดความรู้ในการตรวจสอบและรู้เท่าทันอย่างเพียงพอ โดยสันดานนักธุรกิจมีฐานันดรเป็นอำมาตย์แบบไทยๆ ทักษิณและเพื่อไทยเค้าก็ต้องกอบโกยประโยชน์ให้กับพรรคพวกของเค้าก่อนที่จะคิดถึงประชาชนที่ซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์อยู่วันยังค่ำ
คนเป็นเพื่อนกันมาทำธุรกิจร่วมกัน ยิ่งต้องตรวจสอบกันให้หนัก เรียกร้องให้เพื่อนทำเพื่อส่วนรวมอย่างตรงไปตรงมาและหนักแน่น จะได้รักษามิตรภาพเอาไว้ให้ยืนยาว

ภาคประชาชนควรจะรวมพลังกันและคอยตรวจสอบนักการเมืองทุกฝ่ายจะดีกว่าที่จะคอยผลักไสคนที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ถูกใจตัวเองให้ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งค่ะ ยิ่งไม่ชอบพฤติกรรมของประชาธิปัตย์ก็ต้องเรียกร้องให้เพื่อไทยทำเพื่อประชาชนให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่โฆษณาไปวันๆ
วันนี้ประชาชนไม่มีทางเลือกมากนัก ตัวเล่นหลักก็มีแค่สองพรรคใหญ่ ประชาชนควรพัฒนาตัวเองให้มีกำลังต่อรองกับนักการเมือง ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายไหน ก็ควรจะทำงานเพื่อประชาชน แต่จะพัฒนาความสามารถในการต่อรองได้ ประชาชนจะต้องศึกษาหาความรู้และเข้าใจในสิทธิของตัวเองโดยมองข้ามความเป็นพวกเค้าพวกเราให้ได้

ถ้ายังอยากจะคงวาทกรรม “ไพร่และอำมาตย์” ไว้ ก็ควรจะรวมนักการเมืองของเพื่อไทยและทักษิณไว้ในกลุ่มอำมาตย์ด้วย แม้ว่าทักษิณจะได้สิทธิ์เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีพฤติกรรมอำมาตย์เพราะเขามีชีวิตแบบอำมาตย์มานานแล้ว นักการเมืองแบบทักษิณหรือแบบประชาธิปัตย์หรือกลุ่มอำมาตย์ในสังคมไทยจะไม่มีทางทำอะไรให้ประชาชนฟรีๆ ถ้าเขาและพวกพ้องไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการทำงานนั้น

ข้อคิดเห็นทั้งหมดที่แชร์มานี้ มาจากคนที่เคยหย่อนบัตรเลือกคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อนค่ะและเคยนิยมชมชอบวิธีการพัฒนาประเทศของคุณทักษิณในสมัยไทยรักไทยด้วย

เอาจริงๆ นะ เวลามีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่ละครั้ง เวลามีคนกัดกันเนี่ยผมชอบดูนะครับ รู้สึกเหมือนดูข่าวเด็กช่างกลตีกันเลยนะ คือไม่รู้ว่าที่จริงแล้วสาระของชีวิตมึงคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร โลกจะดีขึ้นได้ยังไง แต่ก็หน้ามืดตีกันไปแล้ว เหตุผลอย่าเพิ่งถามได้ไหม

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยได้เจอครับ เพราะตัวเองไม่ได้ไปอยู่ตามสังคมที่ทะเลาะกันแรงๆ เท่าไหร่ ที่เจอก็มีแต่เห็นต่างกันสุดขั้ว แต่คุยกันด้วยภาษาปกติ ไม่มีเหน็บแนมหรือถากถางคู่สนทนา จะคุยกันเรื่องล้มจ้งล้มเจ้าอะไรก็ยังมีเหตุผลที่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ถกเถียงและรับฟังกันได้ แต่พอเมื่อเช้าเจอมาคนนึงเลยรู้สึกสนใจ ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เสื้อแดงด่าคนเลือกประชาธิปัตย์ว่า “ควาย” ฉิบแล้ว เฮ้ย โลกแม่งซับซ้อน

หรือแบบนี้วะ ที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ 5555