ถ้าคุณเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาว จะทำยังไงกันครับ

บล็อกนี้ถือว่าเขียนเพื่อไถ่โทษ ที่ตัวเองดันไม่มีปฏิภาณไหวพริบพอที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้นแบบปุบปับ มันไม่มีเวลาไตร่ตรองเพื่อแก้ปัญหาได้ คุณจึงควรเข้าใจธรรมชาติของการแสดงความเห็นตามเว็บบอร์ด ที่มักมีคนบอกว่า “ถ้าเป็นเรานะ เราจะ—–” ยังงั้นยังงี้ อยากบอกว่าตอนเกิดเหตุการณ์จริงนั้นมันไม่เหมือนกับการแสดงความเห็นหลังเหตุการณ์ครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้ผมเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวออฟฟิศคนนึงที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ

ผมเลิกงาน และเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าตามปกติ ซึ่งโดยปกติก็เป็นคนชอบชมวิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิวอะไรขาวๆ น่ะ :51: พอเจอก็เหลือบๆ พอน่ารัก ไม่ได้จะจ้องค้าง หรือตามกลับบ้าน หรือแม้แต่พุ่งเข้าไปถูกเนื้อต้องตัวอะไร

พอดีว่าพอขึ้นบันไดเลื่อนออกจากอาคาร Park Ventures มาปั๊บ ก็มีสาวออฟฟิศคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าพอดีครับ (อยากจะอธิบายรูปพรรณสัณฐานแบบให้อ่านแล้วนึกภาพอกแต่ไม่ให้รู้สึกว่ากำลังละลาบละล้วงโลมเลีย ทำไงดีวะ) ..เอาเป็นว่า นึกภาพหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปลายๆ ที่รู้ตัวเองดีว่ามีของดีตรงความขาวจั๊วะ หุ่นดี และขาเรียวสวย ก็เลยแต่งตัวเซ็กซี่จนเป็นความเคยชินที่ไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปสักเกือบคืบ เป็นผ้าย่นๆ แบบเสื้อตุ๊กตาน่ะ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร และสีน้ำเงินสดแปร๊ดๆ ล่อตาสุดๆ เลยนะ แบบ มึงดูกูสิ กูใส่ใส ดูเลยๆ … เมื่อตัวมารมันสั่งแบบนี้ ผมก็เลยเหล่แว้บๆ พอกระชุ่มกระชวยบ้างสิครับ แฮ่..

rokjid-01
(ตัวจริงไม่ได้ล่ำขนาดนี้นะครับ หุ่นดีมาก แต่ผมมีปัญญาวาดแค่นี้แหละ ได้ทีเดียวด้วย ชาตินี้คงวาดไมได้อีกแล้ว)

ทีนี้พอผ่านด่านตื๊ดตั๋ว (อีตั๋วตรากระต่ายนี่โคตรกาก กว่าจะตื๊ดได้แต่ละที สะดุดแล้วสะดุดอีก) เธอคนนี้ก็เดินนำหน้าผมไปในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วพอเดินตามขึ้นบันได เพื่อจะไปรอคิวรถไฟฟ้าเนี่ย มันก็ต้องมองขึ้นไปข้างบนใช่ปะ แต่พอสายไปเจอะอะไรขาวๆ ตรงหน้า มันจะเขิน จ้องนานไม่ได้ น่าเกลียด เลยต้องหลบตาโบ้ยมามองข้างๆ (ที่แท้เกรงว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะครหาตะหาก ไม่งั้นคงมองนานกว่านี้อีกหน่อย ..แฮ่) อ้อๆ คนเดินขึ้นบันไดกันไม่เยอะนะครับ มีประมาณ 5-6 คนได้มั้งถ้าจำไม่ผิด

และแล้วก็มีหมอนี่เดินมาครับ นึกหน้าและท่าทางคล้ายๆ คุณป๋อมแป๋มในเทยเที่ยวไทยน่ะครับ แต่อันนี้ใส่ชุดพนักงานบริษัทธรรมดาทั่วไป (ไม่ได้ใส่สูทนะ) ก็แซงผมขึ้นไปอยู่ข้างหน้า

ผมเบี่ยงตัวไปด้านขวา จะได้เดินเฉลี่ยๆ ไม่ชิดกันมาก ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เซ็งๆ ที่ไอ้บ้านี่มาบังกู ก็คิดว่ามันจะรีบ และเดินแซงไปข้างบนซะอีก ..ที่ไหนได้ มันหยุดเร่งความเร็วลงตรงบันไดขั้นถัดจากสาวตึงกระโปรงสั้นคนนั้น แล้วเริ่มลงมือ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ครับ

rokjid-02

จังหวะนั้นมันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่เห็นเลยว่ามันเนียนมาก แต่เนียนยังไงก็คงไม่ได้กะว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบมาทางขวาเพื่อจะได้ดูถนัดๆ มันเลยกระทำการอย่างใจเย็น แต่มืออาชีพมาก

เสี้ยววินาทีถัดมา ตัวละครทั้งสามคน (ผม เธอ มัน) ก็ไปถึงชานชาลา และรอรถไฟ จังหวะนั้นมันยังใหม่มาก นึกไม่ทันว่าต้องลำดับเหตุการณ์ยังไง อะไรสำคัญควรทำก่อนดี

ผมเลยหันไปมอง มันเดินไปหลบ (หลบจริงๆ นะ) ตรงหลังเสา พิงราวของสถานีด้านหลังนู่น แล้วควักโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายตะกี้ออกมาชื่นชมผลงาน ส่วนแม่นางคนนั้น.. ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ต่อไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร และผมเอง ยืนต่อแถวเข้าคิวขึ้นรถอยู่ (คนละแถวกะแม่นาง พอดีแถวมันไม่ยาว เลยกระจายๆ กันยืน) จังหวะนี้ผมเงอะงะมาก

และเหตุการณ์ก็ไม่ได้จบแบบในหนัง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

.. จบ ..
อ้ะเดี๋ยวๆ ขอต่ออีกนิด

ผมคับแค้นมาก คือแค้นตัวเองว่าทำไมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดอะไรขึ้นสักหน่อย แต่มานึกดู การที่มาใคร่ครวญทีหลังมันมีเวลาให้คิดนานไง ผิดกับสถานการณ์ตรงนั้น ที่ฉุกละหุกมาก จนไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่พอจะทำได้คือทวีตเล่าเหตุการณ์และเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อาจจะเจอ หรืออาจจะโดนแบบนี้ หรืออาจจะเป็นคนแอบถ่าย ว่าต่อไปมึงต้องเนียนกว่านี้

 

 

ปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้อ่านทางบ้าน มีหลายความเห็นน่าสนใจครับ ทีแรกคิดว่าจะเจอแต่แบบ “ควรเตือนนะ เป็นเราจะขอบคุณ” (บางคนไม่ได้อ่านทวีตก่อนหน้าก็จะคิดแค่ว่าถ้าเจอจะทำยังไง ไม่ได้นึกภาพว่าเหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนไง) แต่กลับมีคำตอบที่ว่า “อย่าเตือนเลย” จากผู้หญิงกลับมาด้วยครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จบครับ แล้วคุณล่ะ?

ข้อเสนอ: วิธีใช้ทวิตเตอร์แบบปกติในสถานการณ์ไม่ปกติ

บอกไว้ก่อนว่าข้อเสนอนี้ง่ายฉิบหาย ง่ายจนไม่น่าเชื่อว่ามึงจะเสนอทำไม
แต่เชื่อเถอะว่ามันทำไม่ได้จริง 100% ครับ เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้ทวิตเตอร์ ที่คิดว่า “ก็กูถนัดแบบนี้”

.

ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาเกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ข้อมูลข่าวสาร”
แต่ปัญหาก็คือข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน วิกฤตที่ผ่านมาอย่างจลาจลปี 53 ก็เป็นตัวอย่างมาแล้ว
ว่าพอเราเข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารเมื่อไหร่ การบอกต่อกันมาโดยใส่เครื่องปรุงคนละนิดละหน่อย
กว่าข่าวจะมาถึงผู้รับ ก็โดนดัดแปลงแต่งเติมจนผิดเพี้ยน จึงเป็นชนวนดราม่าอย่างดีต่อไป

โยนเข้าสู่เรื่องทวิตเตอร์

จุดเด่นของทวิตเตอร์ คือมันเป็นช่องทางกระจายข่าวที่เร็วมากๆ
และมีจุดแข็งที่พวก FWD Mail ต่างๆ หรือแม้แต่ BBM, WhatsApp ไม่มี
คือ มันสามารถสืบย้อนไปถึงต้นตอข้อความแรกสุดได้เสมอ

twitter-rt

ดูจากแผนภาพด้านบนนี้ เห็นเลยว่าเพียงแค่มีต้นตอแหล่งข่าวที่ทวีตอะไรขึ้นมา แล้วมีคน RT
ทุกๆ ข่าวก็จะมีการส่งต่อเพียงระดับชั้นเดียวเท่านั้น ไม่มีการ FWD จนสืบหาต้นตอไม่ได้เหมือนเจ้าอื่นๆ
ในกรณีน้ำท่วม ถ้าเจ้าของทวีตแรกเป็น ศปภ เองก็จะน่าเชื่อถือที่สุด (อันนี้ผมประชดครับ)

ทีนี้ปัญหาก็คือ ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเรียนรู้การใช้งานทวิตเตอร์ที่ถูกต้อง เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
คุณครับ ในยามปกติคุณจะใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะ จะตอบทวีตด้วยการ RT แล้วเติมข้อความให้รกๆ ก็ทำไป
แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ และการข่าวมีความสำคัญนาทีต่อนาที และส่งผลต่อการตัดสินใจของคนขนาดนี้
ผมขอความร่วมมือช่วยกันเผยแพร่ “วิธีใช้ทวิตเตอร์แบบปกติ” ให้ช่วยกันหน่อยเถอะครับ
(หลายคนเห็นหัวข้อบล็อกก็อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมีคำว่า “แบบปกติ” ด้วย เดี๋ยวจะอธิบายให้อ่านนะ)

01 ใช้ #Hashtag แบบปกติ

ใครที่รู้แล้วอ่านข้ามไปเลยครับ ส่วนใครรู้แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ลองแวะอ่านดูหน่อย
คือทวิตเตอร์ (และ Google+) เนี่ย พอเราใส่ข้อความภาษาอังกฤษใดๆ ที่นำด้วย # มันจะคลิกได้
เท่านั้นยังไม่พอ ระบบมันจะกรองไอ้ที่คลิกๆ ไปมาแสดงเฉพาะได้ มีประโยชน์มากในสถานการณ์แบบนี้
ทีนี้ในสถานการณ์แบบนี้เราตกลงกันหลวมๆ ว่า “เรามาใช้ #thaiflood กันเถอะ”
โอเคครับ แท็กนี้มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเว็บ thaiflood ที่กดไปแต่ละข่าวก็ยิงเข้าเว็บ kapook กันทั้งนั้น
ทั้งที่จริงแยกระบบให้ขาดจากกันมันไม่ยากอะไร.. แต่เอาไงดีล่ะ สถานการณ์แบบนี้ จะยอมไหม?
ผมยอมครับ สิ่งที่ thaiflood ทำนั้นมีประโยชน์มาก ถือเป็นเว็บจิตอาสาที่เห็นผลชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่งเลยล่ะ
แต่ติดแค่นิดเดียวตรงที่พอโยนเข้า kapook แล้วมันดูไม่สง่างามเท่านั้นเอง อันนี้ก็วิจารณ์กันตรงๆ ชัดเจน
(เพิ่งแสดงความเห็นวิจารณ์กับ @suppakij และ @yokekung ไปเมื่อกี้นี้เอง ใครจะแตกหน่อก็ได้นะครับ)

ทีนี้เรายังเห็นการใช้แท็กที่กระจัดกระจายประมาณว่าเราจะสร้างแท็กใหม่ที่มันอินดี้กว่า
เช่น #rangsitflood หรือ #pathumflood หรือ #floodthailand อะไรแบบนี้ขึ้นมา
อยากบอกว่าถ้าใช้คู่กันกับแท็กหลักผมว่าโอเคนะ แต่ถ้าต้องการฉีกออกไปเพราะอินดี้อันนี้ไม่เห็นด้วย
เพราะผู้สนใจและบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างก็ใช้ #thaiflood กันจนเรียกว่าเป็นทางการไปแล้ว ตามๆ เขาเหอะ
(ธรรมชาติของมนุษย์โลกออนไลน์คือไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง หรือตั้งเป็นกฎครับ แต่นั่นมันยามปกติ)

02 ใช้ Reply แบบปกติ

อันนี้สำคัญมาก! โดยเฉพาะพวกดาราทีวีที่นอกจากตัวเองจะใช้ผิดแล้วยังชักพาให้แฟนๆ ใช้ผิดไปด้วย
(ผมไม่ดูทีวีรายการบันเทิง ดังนั้นดาราทีวีก็คือมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็นอำมาตย์เหนือใคร ..ยกเว้นน้องเต้ย)
เวลาคุยกัน การกดปุ่ม Reply แปลว่าตอบ ..ครับ ง่ายๆ แค่นี้เอง
ทวิตเตอร์มันใช้ง่ายเพราะเขาออกแบบมาแบบนี้ อย่าไปกระแดะอยากให้ข้อความเดิมแสดงในทวีตเราด้วย
แล้วกลายเป็นการ “RT ตอบ” (ใครกันนะแปล RT ว่า Reply To .. โธ่ อีกรวยไต)

แล้วมันเกี่ยวอะไรกะเวลาวิกฤต?

  • การตอบทวิตเตอร์แบบธรรมดา ถ้าใครไม่ได้ follow ทั้งคู่ มันจะไม่ไปแสดงเกะกะใน Timeline
    (สารภาพว่าผมเพิ่งรู้ข้อนี้แหละ ถึงว่าสิพอกดไปดูใน Profile แต่ละคนทำไมมันมีไอ้ที่เราไม่เห็นเยอะจัง)
    การ “RT ตอบ” นั้น ทำให้เกิดขยะที่ผู้อ่านไม่ได้ต้องการจะรู้มากมายงอกขึ้นมา
    เวลากวาดสายตาอ่านจะเอาสาระ ความเข้มข้นของข้อมูลก็จะลดลง มีแต่ผักบุ้งครับ
  • ไม่ว่าจะใช้โปรแกรมอะไรเล่นทวิตเตอร์ เราสามารถกดที่ข้อความเพื่ออ่านบทสนทนาย้อนหลังได้ครับ
    ซึ่งดีกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง >> RT a:เป็นไง // RT b: a: เป็นไง/ยังไม่ท่วม แกล่ะ // RT a: แต่ชั้น.. (ที่ไม่พอ)
    ที่สำคัญและผมเน้นมากๆ คือเรื่องการ Track ดูบทสนทนาย้อนหลัง..
  • การ Track บทสนทนาย้อนหลังมีประโยชน์มาก!
    เช่นถ้าเป็นข้อความเชิงแจ้งเหตุหรือขอร้องใดๆ เราสามารถสืบย้อนดูได้ “ตามเวลาจริง”
    โดยต้นฉบับของข้อความไม่ถูกตัดขั้วบิดเบือน ลองนึกภาพน้ำกำลังมา.. เวลาจริงนี้จะสำคัญมากครับ
    หรือในกรณีที่มีการโต้เถียงวิพากษ์วิจารณ์อะไร เราสามารถอ่านย้อนเป็นลำดับขั้นได้ เวิร์กเช่นกัน

03 ใช้ RT แบบปกติ

เหตุผลหนึ่งที่คุณ @Physics_Lek บอกไว้ ทำให้ผมต้องมาเขียนบล็อกนี้ให้จบหลังจากดองมาเป็นอาทิตย์
(ตอนนั้นที่เขียน น้ำเพิ่งจะโจมตีอยุธยาเอง แล้วข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน แต่ป่วยซะก่อนเลยเพิ่งหายมาเขียนต่อ)
นั่นเพราะข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน แล้วใครเป็นต้นตอก็ยากเสียด้วย เพราะเราทำลายหลักฐานกันหมดแล้ว
ด้วยการ “RT แบบไม่ปกติ” นี่แหละครับ แต่จะเป็นไปด้วยความหวังดีหรือประสงค์ร้ายก็ไม่รู้สินะ..

พูดปากเปียกปากแฉะซ้ำซากและกระแนะกระแหนเซเล็บ (=ความหมายในเชิงประชดประชัน) ไม่รู้กี่รอบแล้ว
แต่เราก็ยังเห็นหลักสูตรนักการตลาดชอบเอาไปเปิดอบรมสอนสั่งกันว่า “การทวีตที่ดี ต้องเว้นที่เผื่อให้คน RT ต่อ”
เฮ้ย จะเว้นทำไมครับ ในเมื่อทุกโปรแกรมที่ใช้เล่นทวิตเตอร์นั้น พอกด RT ปั๊บ มันก็บอกต่อข้อความต้นฉบับได้เลย
ลองเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูข้างบนครับ จะเห็นแผนภาพอุดมคติที่ทวิตเตอร์ควรเป็น
คือข้อความลำดับชั้นที่ 1 โดยผู้ส่งสาร ส่งถึงผู้รับในวงกว้างได้เลยโดยไม่ถูกดัดแปลงข้อความและ “เวลา”

แต่การไปกด RT ตามด้วยการกด Edit  ข้อความ ตามด้วย.. (เหนื่อยนะ) เนี่ย มันคือการ “ตัดขั้ว” ข้อมูลนะครับ
ข้อมูลด้านเวลาที่ฝังไปกับข้อความจะหายฉัวะไปทันที ดังนั้นเราไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าต้นฉบับมันมาตอนไหน
ที่สำคัญคือไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้นตอเขาทวีตจริงหรือมีการแอบอ้างให้เกิดการเสียหาย
(ไม่ตลกนะครับ เคยมีคนดังที่เถียงกับคนไม่ดัง แล้วใช้การ RT ปลอมๆ ทำร้ายรคู่แข่งมาแล้วจริงๆ ในไทยนี่แหละ)

สำหรับกรณีนี้เราจะพบเวลามีข้อมูลสำคัญมากๆ แล้วเกิดการบอกต่อเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง
เช่นการประกาศอย่างเป็นทางการ หรือข้อมูลฉุกเฉิน ซีเรียส เข้มงวด หรือมาคุ หรือแม้แต่ฮาโคตรๆ
มันจะมีบางคนที่เก๋าๆ หน่อยที่ชอบ “ตัดขั้วทวีต” โดยกด Edit (และหรือตัดแต่งข้อความให้มันไม่ล้น 140 ตัวอักษร)
ทำให้ส่งข้อความปั๊บ จะโชว์หน้าอวตารตัวเองติดไปด้วยเสมอ ทำให้มีคนที่เห็นกด follow เพิ่มขึ้นพรวดพราด
และโกยแต้มตามเว็บวัดค่าอิทธิพลออนไลน์ต่างๆ (เฮ้ย! ดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่มีคนเป็นแบบนี้จริงๆ นะครับ)
แต่นั่นไม่ค่อยเป็นประเด็นที่จะพูดถึงในยามวิกฤตเท่าไหร่ เพราะยามนี้เราจะเห็นหลายๆ สำนัก
ต่างรณรงค์ให้ใส่ “เวลา” ลงไปด้วยเพื่อความไม่สับสน ที่จริง “เวลา” มันฝังอยู่บนข้อความแล้วครับ
ขอแค่คนที่เอาไปบอกต่อนั้น ใช้วิธี RT แบบปกติ ไม่ต้องพิสดารตัดขั้วให้มันเสียความบริสุทธิ์ไป ก็เท่านั้นเอง
และคนที่เขาจะเอาไปเขียนโปรแกรมแจ้งเตือนอะไรต่อ ก็ใช้ข้อมูลตรงนี้แหละได้เลย ไม่ต้องไปกรองเพิ่ม
ที่สำคัญคือ ในยามวิกฤตและต้องการขอความช่วยเหลีอเนี่ย พื้นที่ 140 ตัวอักษรมันมีค่ามากๆ ครับ 

แล้วคนที่อยากให้มันไปโผล่ใน Facebook ล่ะ?
เห็นหลายคนติดตั้งตัวเชื่อมอะไรๆ ให้ไปโผล่ในเฟซบุ๊ก แต่ถ้า RT ปกติจะไม่โผล่
อันนี้ก็ต้องอนุโลมแหละครับ แต่ทางที่ดี อยากให้เขียนแก้ไขเป็นสำนวนตัวเองไปเลย
(แล้วใส่ที่มาเป็นเครดิตผู้ทวีตต้นฉบับก็เป็นที่เข้าใจได้ อย่างน้อยก็ให้เกียรติกันนี่เนอะ)
ดีกว่าไปตัดทอนข้อความของต้นฉบับซึ่งเจอมาหลายทีละว่าความหมายมันเพี้ยนไปเลยครับ

แนะนำทวิตเตอร์ที่ RT แบบปกติได้เป็นปกติอย่างมืออาชีพครับ: @paipibat, @SpringNews_TV

.

ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่เสพติดและคลุกคลีกับทวิตเตอร์มากๆ คนนึง เลยอยากให้มันดีขึ้นๆ
ก็อยากให้เข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงต้องจ้ำจี้จำไชว่าเฮ้ย มึงอย่า RT ตอบสิ มันรำคาญตา ฯลฯ
ซึ่งที่จริง แค่เราใช้มันให้ “เป็นปกติ” ไม่ต้องไปคิดวิธีพิสดารสวมลงไป เท่านี้ก็เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วครับ

ป.ล.
ปกติผมใช้คำว่า วิกฤติ มากกว่า วิกฤต (เขียนได้สองแบบ) คราวนี้ลองเขียนอีกแบบดู
เออ ดีเหมือนกัน ประหยัดตัวอักษรไปหนึ่ง สมเป็นเรื่องเกี่ยวกะทวิตเตอร์เสียจริง

ป.อ.
ผมเขียนด้วยสำนวนที่ไม่น่าอ่านเท่าไหร่ อัดความเห็นของตัวเองด้วยอคติเต็มที่ แถมพาดพิงคนนั้นคนนี้
แต่ทั้งหมดนี้เพราะหวังจะให้ทวิตเตอร์เป็นเครื่องมือที่สร้างประโยชน์สูงสุดในยามคับขันครับ
ยังไงก็ฝากพิจารณาก่อนบอกต่อนะครับ เดี๋ยวดราม่าอีก แค่นี้ไทม์ไลน์ก็รกพออยู่แล้ว  :30:
หรือถ้าอยากเสนอไอเดียอะไรก็เชิญที่ด้านล่างได้เลย ถือว่านี่เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ต้องช่วยกันครับ

วิถีข่าวสั้น

สัญญาว่าจะเขียนบล็อกสั้นๆ .. ออกจะน่าอายด้วยที่ไปเอาไมโครบล็อกที่มันสั้นอยู่แล้วมาขยายตีกินแบบนี้

news-on-twitter

วันก่อนทวีตไว้แบบข้างบน แล้วรู้สึกว่าเออ มันอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ได้อยู่นะ

คือตั้งแต่ข่าวทวิตเตอร์ของนายกโดนแฮ็ก ไม่สิ คนอื่นปลอมเข้าไปเกรียนจนเป็นข่าวเอิกเกริกละ
พอดีตอนนั้นผมอยู่ด้วยและเห็นข้อความตั้งแต่ทวีตแรก ยังทักอยู่เลยว่าเฮ้ย ทีมงานแกจะหักมุมอะไรไหม
ที่ไหนได้ ก็เป็นข่าวแบบที่เราทุกคนคงรู้กันหมดแล้วนี่แหละครับ
ทีนี้ไอ้เฮ้ยแรกนั่นน่ะคือระยะที่ 1: ตกกะใจกับข่าวครับ ไทม์ไลน์ช่วงนี้จะไหลบ่ามาก ด้วยเรื่องเดียวกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นแค่ไม่นาน ก็เริ่มมีนักวิเคราะห์วิจารณ์ฟันธง ดาหน้ากันออกมาชม-เชียร์กันไปต่างๆ นานา
สำหรับเหตุการณ์นี้ก็น่าสนใจตรงที่คนที่ชังหรือเชียร์นายก ไม่จำเป็นต้องรุมด่าหรือชมแฮ็กเกอร์เหมือนกันหมดนิ
ซึ่งอันนี้คือระยะที่ 2: วิเคราะห์ครับ (บางคนเพิ่งรู้ข่าว ก็ยังมีโผล่มาตกกะใจอยู่บ้าง เจ๋งดี)
แล้วไม่นานหลังจากนั้น ..ไม่นานเลยนะ ข่าวทวิตเตอร์นายกโดนแฮ็กก็เข้าสู่ระยะที่ 3: ระยะตลก อย่างรวดเร็ว
ทีนี้ล่ะมึงเอ๊ย สารพัดมุกที่ไม่รู้จะแข่งกันฮาไปไหนก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามาอย่างฟ้าฝนกระหน่ำ
มีตั้งแต่ปล่อยมุกเปิด มุกชง มุกแก้ มุกตัด มุกคำผวน ยันมุกขยี้ (ขออภัยที่ทำลิงก์วนไปวนมาแค่นี้ จริงๆ มีอีกเยอะมาก)

ไหนจะข่าวเปิดตัวไอโฟนโฟร์เอสสร้างสรรค์อีกละ.. ไม่พูดไม่ได้ เอาสั้นๆ นะ
พอดีคืนนั้นผมขี้เกียจรอฟังเขาเปิดตัว เลยเข้านอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาอ่านตอนเช้า
ซึ่งคนที่ฟังทั้งสาวก แอนตี้สาวก และแอนตี้แอนตี้สาวก ก็ได้ชมและด่ากันไปเรียบร้อยตั้งแต่กลางดึกคืนนั้นกันหมดแล้ว
แต่ผมเพิ่งตื่นมาอ่านไง สาบานได้ว่าสนใจข่าวน้ำท่วมมากกว่า (ไม่ได้ซึนหรือกระแดะ แต่เพราะมันใกล้ตัวครอบครัวผม)
พอเปิดทวิตเตอร์ดูปั๊บก็เพิ่งเข้าสู่ระยะเฮ้ย ว่าอ้าว ตกลงปากกาเซียนนักเดาแม่งหักหมดโลกเลยเรอะ
พออ่านไอ้ที่วิเคราะห์หรือดราม่ากันจบปั๊บ ก็เริ่มเล่นมุกเลย ..ก็ตามสูตรเลยครับ เรามาระยะนี้ช้าไป แม่งจะไม่ซ้ำได้ยังไงวะ

โฟร์เอสสร้างสรรค์
ภาพนี้ก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานไปละ เพราะมันถูกส่งต่อมหาศาลกว่าความพยายามของนักการตลาดใดๆ ซะอีก
(ใครเป็นต้นตอของภาพนี้ทราบไหมครับ เขาเจ๋งมากเลยนะที่คิดแล้วทำทันทีได้เนี่ย อยากสืบให้เจอและให้เครดิตครับ)
// 16:05 น. แก้ไขเพิ่ม เจอเจ้าของภาพตัวจริงแล้วครับ ฝีมือคุณ Kenshin BHX จ้ะ (เจ้าตัวมาบอกเอง)

ฉะนั้นบทเรียนที่ได้มาจากการวิจัยครั้งนี้คือ จะเล่นมุกก็หัดดูตาม้าตาเรือหน่อย หรือไม่ก็ต้องเร็วส์หน่อย
..เว้นแต่อีพวกที่ลอกมุกขี้ปากชาวบ้านมาทวีตเป็นของตัวเองแล้วไม่ให้เครดิตต้นตอนี่ก็ขอยกเว้นในกรณีนี้
(ในบอร์ดฟอนต์จะมีศัพท์สแลงคำนึงคือ “ละโว้” ที่แปลว่า เฮ้ย เขาเล่นหรือเขาเจอไอ้นี่กันตั้งนานแล้ว เพิ่งเห็นเรอะ)

และล่าสุด ..ข่าวเช้านี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่จริงๆ คือการจากไปของศาสดาจ็อบส์ แห่งอาณาจักรผลไม้ศักดิ์สิทธิ์
อันนี้มีการตายของบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกเกิดขึ้น ไม่ใช่ข่าวการเมือง ไม่ใช่ข่าวขายของ (ที่แม่งกาก)
ดังนั้นเราจึงเห็นระยะแรกและสองนานหน่อย นานจนสามารถแยกได้ว่านี่ไม่ใช่ “แค่” ปรากฏการณ์ของโลกออนไลน์
แต่มันคือข่าวระดับโลก (ก็แหงสิครับ) ถ้าให้เปรียบเทียบระดับความใหญ่ก็คงพอๆ กะไมเคิลแจ็กสันได้ไหมอ้ะ?

แต่ก็นะ พอมีระยะแรกกันท่วมไทม์ไลน์ปั๊บ เราก็ได้เห็นดราม่าตามมาในเวลาไม่นาน
ตั้งแต่มีคนเอาเรื่องน้ำท่วมและเหตุการณ์ 6 ตุลาที่เราควรเศร้ามากกว่าฝรั่งตายเหรอ? มาเปรียบเทียบ
ยันคน ที่ไปด่าคนกลุ่มแรกอีกที แล้วก็คนกลุ่มแรกบวกด้วยกลุ่มใหม่ ที่ไปด่ากลุ่มที่สองอีกที เอ้า ดราม่ากันให้เพลิน
อ้อ ข่าวนี้ยังไม่ค่อยเห็นใครตลกนะครับ คนที่จะตลกกับข่าวคนตายได้นี่.. มึงต้องล้ำและหากาลเทศะจริงๆ

ฉิบหายละ เขียนยาวอีกจนได้.. งั้นตัดสรุปจบเลยนะ

news-life

คือผมสนใจปรากฏการณ์ออนไลน์ที่เรียกกันว่า “meme” คืออะไรก็ได้ที่ดังเปรี้ยงขึ้นมาในเน็ตซะเฉยๆ น่ะครับ
เพราะมันมีอิทธิพลต่อโลกที่ผมอยู่* แถมยังให้สาระต่อสังคมมากบ้างน้อยบ้าง หรือไม่ให้เลย (ก็แล้วไง?)
ยิ่งเดี๋ยวนี้เส้นแบ่งคำว่า “โลกออนไลน์”  กับ “โลกจริง” มันบางลงทุกวัน คนที่พูดแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันก็เริ่มเชยละ
(แหงสิ โลกออนไลน์มันไม่จริงตรงไหนวะ เหมือนกะที่มึงดูทีวี คุยมือถือ ฟังวิทยุนั่นแหละ มันก็เป็นสื่อเหมือนกันนะ)
เราจึงเริ่มเห็นว่าข่าวในทีวีบ้านเราหลังๆ นี้ เริ่มพูดเรื่องเดียวกันกับที่เราคุยกันใน “โลกออนไลน์” บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะพาดหัว Breaking News ช้ากว่าระยะตลกของอีพวกในเน็ตก็ยังดีวะ..

.

ป.ล. (ขยายดอกจัน*ข้างบน)
คุยกะพี่เม่นวันก่อน วันเดียวกะที่นายกโดนแฮ็กนั่นแหละ ได้ย้ำแนวคิดเรื่องโลกออนไลน์อีกครั้ง
ว่ามันเป็นสังคมแบบใหม่ที่เลือกมาให้แล้วว่าเราจะมีโลกแบบไหน จะปัจเจกแค่ไหนก็เชิญเลยครับ เป็น “ชีวิตในแบบคุณ”
ใครสนใจแค่เรื่องอะไร แม่งก็จะกรองมาให้เราเห็นแค่นั้น โดยปัดเรื่องที่มันควรจะต้องมีสักหน่อยเพื่อการถ่วงดุลออกไปฉิบ
(เช่นผมก็จะชอบแต่อีพวกตลกๆ ทวิตเตอร์ก็ตามแค่พวกตลกปัญญาอ่อนทั้งนั้น ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ)
ไอ้สิ่งแสนสะดวกนี่แหละ ที่ต้องคอยเฝ้าจับตาดูดีๆ นะครับ ว่ามันจะพาต่อมความคิดของมนุษยชาติไปทางไหน
เอาแค่ปรากฏการณ์ที่เห็นในระยะสองสามปีให้หลังมานี้ เราได้เห็นว่าต่อมดราม่าของพวกเราตื้นลงเรื่อยๆ
อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ที่คิดๆ กันไว้มันจะจริงไหม

ขอกล่าวสดุดี Facebook Timeline

หลายปีที่ผ่านมาผมด่าเฟซบุ๊กมาโดยตลอด
คือมันดันเป็น Hi5 ที่ใช้โคตรยากและไม่สนุก ทุกคนต้องทำตามกติกาที่มันกำหนดไว้
จะดิ้นไม่ได้ สร้างสรรค์อะไรสนุกๆ ไม่ได้ ติดกรอบแม่งตลอด และเป็นแบบนั้นเสมอมา
เรื่องน่าปวดกบาลก็คือมันดันเป็นเว็บที่คนติดกันมากๆ .. มากที่สุดในโลก
แต่ระหว่างนั้นก็ต่อเติมอะไรไม่รู้เข้ามายังกะตึกนิวเวิลด์ที่บางลำภู จะถล่มแหล่มิถล่มแหล่
จนกระทั่งพักหลังๆ ที่มี Google+ มาแข่งด้วยเนี่ย ยิ่งลอกกันเละเทะรายวัน

ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่า ที่ผ่านมาการอวยพรวันเกิดเนี่ยแม่งหมดขลังสิ้นดีเพราะอีซักกะเบิกแท้ๆ
หรือการบันทึกความประทับใจอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น แล้ววันเวลาก็จะพาให้มันพร่าเลือนไปเนี่ย
มันเป็นสุดยอดเสน่ห์ของโลกอะนาล็อก ที่คนยุคก่อน MP3 ไม่มีทางเข้าใจเลยนะ

แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องคนแก่เอาไว้คุยกัน วันนี้เด็กๆ ยังไม่เข้าใจหรอกว่าเราจะมารำลึกอดีตกันทำไม
เพราะข้อความที่ทวีตออกไป หรือโพสต์อะไรออกไป มันคือ “ปัจจุบัน” เท่านั้น
ทุกคนทุกค่ายแย่งกันเป็นปัจจุบัน ไม่มีใครชอบบ้าสะสมเหมือนคนยุคซื้อเทปสะสมซีดีกันอีกแล้ว

สำหรับโลกออนไลน์ ผมใช้ทวิตเตอร์เป็นหลัก กูเกิลพลัสเป็นรอง ในการแบ่งหรือบ่นในชีวิตประจำวัน
แต่ก็ได้ประกาศอยู่บ่อยๆ ว่าอยากติดเฟซบุ๊กบ้าง แต่ทำยังไงก็ไม่ติดซะที แม่งไม่ใช่ทางของเราเลยอะ
จนหลังๆ ต้องตั้งเป็นหน้า Home จะได้ติดกะเขาบ้าง (อาจดูกระแดะ แต่สาบานได้ว่าพยายามจริงๆ)
ทีนี้ทุกเครือข่ายมันมีปัญหาคือเราดันไม่มีที่ไว้ “เก็บอดีต” เลยว่ะ อดีตมันจมหายไปหมดเลย

และแล้ว การเปลี่ยนแปลงล่าสุดเมื่อคืน เฟซบุ๊กก็ทำได้ และชนะแบบที่คิดว่ามึงเอาโลกไปเลย
นั่นเพราะพี่แกเปิดตัวหน้า Profile แบบใหม่ที่ชื่อ Timeline (อ่านเอาจาก faceblog นะ)
นั่นทำให้เราสามารถคลิกลากไถดูประวัติของตัวเอง หรือของเพื่อนได้ จะย้อนไปศักราชไหนก็ได้
จะสำคัญหรือไม่สำคัญก็เอาเหอะ คนออกแบบเขาทำให้เราไถย้อนกันไปได้อย่างเร็ว
เร็วจนไปขุดเอาเรื่องที่เคยหัวเราะร้องไห้กันมาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาให้เป็นบทสนทนากันอีกครั้ง

เฮ้ย สำหรับมนุษย์วัยนี้ ที่คาบเกี่ยวระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์นี่มันสุดยอดเลยนะ!

ความซวยไปตกอยู่ที่ทวิตเตอร์ ที่ดันจำกัดการย้อนดูไว้แค่ 3200 ทวีตล่าสุด
ที่ผ่านมาผมหาที่เอาไว้เก็บทวีตเก่าๆ แต่มีคุณค่าอยู่พักนึง แต่ก็ไม่ได้อันที่ถูกใจ (และฟรี) สักที
ที่ผ่านมาผมเลยสั่งให้ทวิตเตอร์มันโยนทุกข้อความที่เราทวีต ไปโผล่กองๆ เกะกะในเฟซบุ๊กไว้ซะ
ไม่คิดว่าวันนึงอยู่ดีๆ อีไทม์ไลน์แบบนี้จะโผล่มาเป็นเครื่องมือที่อยากได้เลยครับ (วิธีเปิดใช้งาน)
คือมึงตอบโจทย์กูทุกอย่างเลย ก็เล่นเก็บข้อความย้อนหลังได้ตั้งแต่ปีมะโว้ที่สิบหกเลยนะ
ที่สำคัญดันพรีเซนต์ออกมาหน้าตาดูดีโคตรๆ ซะด้วย

iannnnn's facebook timeline

ที่สำคัญอย่างยิ่งยงยอดบัวงาม ก็คือมันแต่งหน้ากากได้ (แต่พอสมควร ไม่ได้เปรอะเหมือนฮิห้า)
เป็นความสามารถที่น่ารักที่สุดเท่าที่จะคิดได้ของเว็บนี้แล้วครับ!
คือก่อนหน้านี้มันแห้งแล้งสุดๆ แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้
และต่อไปเทรนด์ใหม่ที่จะทยอยโผล่ตามมาก็คือทำหน้า Profile จ๊าบๆ มาอวดกัน
ทำให้ Facebook Profie นี้มีศักดิ์ศรีพอที่จะเอาไว้เป็น “บัตรประชาชนออนไลน์” จริงๆ ละ

ว่าแล้วก็หัดเล่นเฟซบุ๊กจริงๆ จังๆ ให้ติดแบบที่ชาวบ้านเขาคิดกันมาเป็นชาติแล้วมั่งดีกว่า
เพราะเริ่มเห็นอนาคตแล้วว่าถ้ามึงคิดได้ขนาดนี้ เว็บนี้ก็น่าจะมีอนาคตไปอีกชั่วฟ้าดินสลายแน่นอน

อ้าว แล้วกูเกิลพลัสที่รักของฉันล่ะ

ฮือฮา! “พักตร์ปกรณ์” ศัพท์คอมพิวเตอร์​ใหม่!

ผมทนไม่ได้ครับ ในฐานะที่โดนเรียกอยู่ในฐานะว่าเป็นพวกต้นฉบับฟอร์เวิดเมลกะเขาเหมือนกัน
เวลาเห็นการแอบอ้างสิทธิ์แบบนี้แล้วคันครับ เลยอยากจะช่วยคืนสิทธิ์ให้ต้นฉบับซะหน่อย

เรื่องของเรื่องก็คือ เห็นช่วงนี้ในไทม์ไลน์ทวิตเตอร์และเว็บบอร์ดต่างๆ
มีแต่คนออกมาด่าราชบัณฑิตยสถานกันยกใหญ่ ด้วยใจความว่าดันไปประดิษฐ์คำไทยใหม่
แล้วไปสวมเข้ากับศัพท์ที่เป็นชื่อทางการค้าภาษาอังกฤษเข้า ซึ่งฟังดูปัญญาอ่อนมากๆ
อย่าง “เฟซบุ๊ก” ก็เรียกเป็น “พักตร์ปกรณ์”
หรือ “ไฮไฟว์” ก็ดันเป็น “เบญจสวัสดี”
กระทั่ง “ทวิตเตอร์” ก็เป็น “สำเนียงสกุณา” ฯลฯ ไปซะยังงั้น
คือผมเห็นแล้วหนังตากระตุกครับ เบื่อพวกข่าวลวงพวกนี้ เลยไล่เสาะหาที่มาอย่างบ้าคลั่ง
เพราะคุ้นๆ ว่าตัวเองก็เคยเห็นคำเหล่านี้อยู่ฮาๆ เมื่อนานมาแล้ว ไม่ใช่ศัพท์บัญญัติใหม่แน่นอน

10

แต่พอค้นดูก็ไม่ต้องไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลครับ
เพราะต้นตอมาจาก คุณ @macroart แฟนของคุณ @pinnynoy นี่เอง.. ปัดโธ่!
ทีนี้ที่มันไปฮิตถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คงมาจากการ์ตูนคุณ “ชัย ราชวัตร” แห่งไทยรัฐ

thairath-from-macroart
ภาพถ่ายโดยคุณ @macroart (ผู้เสียหาย เอ๊ะ เรียกเสียหายได้ใช่มะ) ครับ

และมาดังเป็นพลุแตกในเน็ต ก็เพราะคุณหยุ่นของเรานี่เอง (ให้เครดิตชัย ราชวัตรเอาไว้ด้วย)

yoon

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว บล็อกตอนนี้ขอแนบหลักฐานไว้เยอะๆ นะครับ เผื่อจะได้ส่งกันดูง่ายๆ

facebook-twitter-in-thai

facebook-twitter-in-thai

โอว มีคน RT เยอะมากๆ แต่ยังไงก็มากไม่พอกับที่มีคนเขียนด่าราชบัณฑิตยสถานนะครับ
ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของอะไรที่เป็นข่าวลวง (hoax) ในเน็ต ที่กว่าจะแก้ข่าวได้หมดก็ล่อไปเป็นชาติ
ไม่รู้ว่าจะด่าดีหรือไม่ด่าดี เอ้าด่าละกัน ไหนๆ ก็เป็นบล็อกกูเองแล้ว
ควายเอ๊ย.. เชื่อกันไปได้ยังไงโดยไม่มีการไตร่ตรองวะพวกข่าวอะไรทีมันดูตุ่นๆ ตุ่ยๆ เนี่ย
ก็เพราะยังงี้สิเขาเลยด่ากันว่าพวกใช้เน็ตมันกลวงยังงั้น เป็นชนชั้นกลวงยังงี้
นี่มีข่าวประกอบจากเว็บกระปุกด้วยนะครับ แนะนำให้อ่าน: เข้าใจผิด!!! ศัพท์บัญญัติคอมพิวเตอร์แปลกๆ แค่มุกตลก
(เคสนี้เกิดขึ้นกับพวกละมุนภัณฑ์กระด้างภัณฑ์ ฯลฯ นั่น บัดนี้ก็ยังมีคนด่าราชบัณฑิตฯ อยู่)

04

.

ส่วนต้นตำรับชื่อที่แกคิดมาเล่นๆ แบบนี้อยู่ใน Google+ โพสต์นี้

03

.

และต้นตอของข่าวก็ที่มาจากบอร์ดพันทิป (ตอนนี้กระทู้หมดอายุ หายไปแล้ว เซ็งมาก)

pantip-macroart

ทีนี้พอผมเกิดสนุกขึ้นมาก็เลยนั่งล้วงนั่งแคะต่อ ว่ามีใครพูดถึงว่าอะไรอีก
ส่วนมากจะเจอด่าๆ เหมือนเดิมจนแม้กระทั่งวันนี้ (คือมึงไม่รู้ใช่ไหมว่าเขามุกน่ะ :39: )
ก็เลยจับเฉพาะทวีตที่น่าสนใจจาก @macroart มาให้ดูครับ

08

แต่อย่างที่บอกว่าผมตงิดๆ ใจอยู่ว่าตัวเองเคยผ่านตากับคำคุ้นๆ แนวๆ นี้มานานแล้ว
เผลอๆ ตัวเองก็เคยรีทวีตชาวบ้านไปด้วยซ้ำ แต่ลืม :30: ก็เลยไล่อ่านย้อนไปจนเจอตอ

06

บรึ๋ย :55:
ขนาดน้องซีก็เคย RT จากคุณ @tigernutch (ตอนนี้เปลี่ยนชื่อละ มี the นำหน้า) เหรอเนี่ย
แถมวันที่ทวีตก็ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา .. เฮ้ย นานแล้วนี่หว่า!
เสียดายว่าทวีตต้นตอถูกลบไปแล้ว (เนื่องจากทวิตเตอร์มันเก็บแค่ 3200 ทวีตล่าสุด ขี้เหนียวเนอะ)
แต่ก็ยังไม่หยุดค้นครับ เพราะโลกเรามีเครื่องมือบันทึกประวัติศาสตร์การทวีตอยู่
มันคือเว็บ TOPSY.com ออม ออม .. กดเข้าไปแล้วก็ค้นคำที่ต้องการได้เลยครับ
ดังนั้นใครเคยด่าใครไว้หรือทวีตอะไรไว้ เราไม่สามารถลบประวัติตัวเองได้นะครับ น่ากลัวนะ

เมื่อกดเข้าไปหาเพียงเสี้ยววินาที
เราก็ได้พบต้นตอของทวีตแรกที่พูดถึงคำว่า “พักตร์ปกรณ์” และ “เบญจสวัสดิ์” ครับ (ที่มา)

07
อาร์ทีกันทะลุร้อยเลยทีเดียว แถมมีอวตารผมไปปนอยู่ในชั้นอำมาตย์ด้วย 5555 :30:

เอ๊ะ นั่นแสดงว่าที่จริงแล้วต้นฉบับศัพท์เอาฮาเหล่านี้ ไม่ใช่คุณ @macroart น่ะสิครับ :55:
แล้วทงี้ำไมพี่แกไม่ให้เครดิตอ้ะ? ..ปริศนาเริ่มซับซ้อน แล้วกูจะได้นอนไหมเนี่ยคืนนี้ :55:

แต่ก็ต้องระบุไว้หน่อยเดี๋ยวจะคิดว่ามีเรื่องอะไรดราม่ากันรึเปล่า ที่จริงพิมพ์ไปหัวเราะไปนะครับ :30:
บล็อกตอนนี้ที่จริงเกิดจากความสงสัยที่เพิ่งทวีตคุยกะ @pinnynoy และ @macroart เมื่อหัวค่ำ
เลยเอามาต่อยอดและเจออะไรอีกเพียบ (ขออภัยเด้อถ้าเกิดอ่านแล้วคิดว่าจะดราม่า ที่จริงกวนตีนเฉยๆ)
ยังไงคำอื่นๆ ที่เหลือนั้นเฮียแกอาจจะคิดเองก็ได้ แต่ไม่ได้บอกไว้ เห็นมันรวมๆ กันหมดเลย :58:

09

ทีนี้ด้วยความสงสัยยังไม่หาย ก็เลยสอบถามไปยังคุณ @thetigernutch ว่าตกลงทีนี้เจ๊คิดเองป๊ะเนี่ย
คือปกติทวีตของเจ๊ก็ฮาขี้แตกขี้แตนอยู่แล้ว ถ้าคิดเองก็คงไม่แปลก แต่ถ้าจิ๊กใครมาจะได้เคลียร์ไง
ก็ได้รับคำตอบมาครับว่า “ข้อความต้นฉบับเป็นของเพื่อน ชื่อแมค คราวนี้คิดเองชัวร์ และชอบดราม่าด้วย”

เอาละสิครับ เห็นตูเป็นจ่าพิชิตรึไง

เลยเจ๊นัชญ์ก็ไปค้นในเฟซบุ๊กจนเจอภาพออริจินัลของแท้แต่ดั้งเดิมมาให้ อยู่ที่นี่ครับ

05

//แก้ไขแทรกนิดนึง พอดี @macroart มาคอมเมนต์ไว้ข้างล่างครับ เลยเอามาแปะให้เห็นข้างบนด้วย

macroart

.

ก็เป็นอันปิดคดี.

.

ป.ล.
อ่านๆ แล้วอาจจะคิดว่าเอ๊ะนี่ผมกำลังทำอะไร เอาเวลามาสนุกกับเรื่องไร้สาระเกินไปไหม?
แต่อยากบอกแค่ว่าประเด็นเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ ที่มันมีผลสืบเนื่องไปถึงเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่านี้มากมายครับ
ถ้าใครรู้จักผมก็จะเข้าใจดีว่าเป็นพวกที่จริงจังกับการให้เครดิตผลงานมากๆ
เกลียดมากกกก ไอ้พวกขโมยงานชาวบ้านหรือขโมยเครดิตอะไรพวกนี้เนี่ย
เกลียดถึงกับเคยบุกไปเว็บใหญ่เว็บนึง และก่อคดี(ชวนถูกตีหัว)ก็หลายหนมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นคงเพราะหลายครั้งก็พบว่าคนรู้จักบ้าง เพื่อนบ้างอะไรบ้าง แม่งโดนเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ
เลยเอามาบันทึกไว้ในบล็อก(ส่วนตัว)เผื่อพวกนั้นจะอยากขุดเคสนี้มาดู จะได้หาง่ายๆ จ้ะ

ป.อ.
โรคเดิมกำเริบอีกละ อยากเขียนบล็อกมันซะสามวันครั้ง แต่ก็ดันทิ้งช่วงนานมากๆๆๆๆ
เรื่องงาน Hackathon ยังไม่ได้เขียนเลย ดองมาครึ่งเดือนแล้วเนี่ย
แต่งานรุมเร้าไม่มีเวลาเป็นก้อนๆ มานั่งละเมียดเลย :05:

ป.ฮ.
ขอบคุณเครื่องมือช่วยค้นอดีต อันได้แก่ topsy.com (คงรู้จักกันเยอะแล้ว ชอบดูว่าทวีตไหนคน RT เยอะๆ)
twimemachine.com, research.ly และ snapbird.org ก็เอาไว้ขุดค้นทวีตโบราณเหมือนกัน
และขอบคุณ @buumoon สำหรับการช่วยสืบและแนะนำเครื่องมือจ้ะ