ลองเรียก lalamove มาขนตู้เย็น

lalamove

พอดีซื้อตู้เย็นใหม่มาครับ เลยจะส่งตู้เดิมไปบ้านแม่ยายที่ปทุม สอบถามราคาเปรียบเทียบจากรถขนส่งดูแล้วก็พบว่า มันตั้ง 1500 บาทแน่ะ เลยไม่สู้

พลันนึกขึ้นได้ว่ามีบริการเจ้านึงที่อยากลองใช้มานาน คือ lalamove เพราะชื่อมันน่ารักดี แต่คนรอบกายที่รู้จักยังไม่เคยมีใครใช้เลย จึงไม่มีรีวิวออกมาว่ามันดีหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่ามันน่าจะคล้ายๆ Grab (Taxi) เวอร์ชันขนของ

เลยลองโหลดแอปมา เออ แอปใช้ง่ายดี นี่เป็นตัวตัดสินของเราเลยนะ บางเจ้าดูดี๊ดูดี แต่แอปห่วยมาก (อย่าง All Thai Taxi งี้) ก็เลยไม่เคยได้ใช้ เป็นความโรคจิตอย่างนึง
พอกดเข้าไป เลือกประเภทรถ (เขามีแว้นไว้ส่งคนหรือเอกสาร, รถห้าประตูไว้ขนของเล็ก, รถกระบะไว้ขนของใหญ่) เสร็จแล้วก็ระบุปลายทาง ไม่ต่างจากพวก Uber หรือ Grab เลย กดเสร็จก็มีคำนวณมาให้ว่าค่าส่งกี่บาท ของผม 912 บาท เห็นออปชันเสริมเป็น ขอคนแบกของด้วยคนนึง (เพิ่ม +100 บาท) ก็โอเค ดีลเลย

พอเฟ้นหาคนขับนี่แหละครับเจ๋ง อย่างแอปเรียกแท็กซี่ทั่วๆ ไป มันจะหมุนๆๆ ไปวิ้งๆ ที่คนขับใกล้ๆ แล้วกดตอบรับสู้กันใช่มะ ใครได้ก็จะเด้งชื่อเบอร์โทรมาที่เรา แต่อันนี้พอได้คนขับแล้ว จะมีเสียงดนตรีดังขึ้นเป็น แท้มแท้มแท้มแถ่มมมมม

โอ้โห แกรนด์สัสๆ

ผมไม่ได้รอให้คนขับโทรมาก่อน พอดีอยากรู้เลยกดโทรไปเอง ก็คุยกันปกติ รอครึ่งชั่วโมงรถก็มาถึง มีคนขับท่าทางสุภาพแต่ทะมัดทะแมง พร้อมภรรยาหนึ่งหน่วย (ราคา 100 บาท ซึ่งดูหน่วยก้านแล้วภรรยาน่าจะยกตู้เย็นทั้งตู้ได้ด้วยมือเปล่าเลยแหละ)

ต่อไปเป็นบทสนทนา

ผม: ปกติพี่ขับรถส่งของอยู่แล้วใช่ไหมครับ
พี่: ใช่ครับ
ผม: แล้วนี่เขาโทรหาหรือแอปมันดังอะพี่ (ผมคิดเอาเองว่าคงไม่ค่อยมีคนใช้แอป)
พี่: แอปดังครับ
ผม: ปกติมีคนเรียกผ่านแอปบ่อยไหมครับ
พี่: เยอะครับ ส่วนมากจะเป็นพวกออแกไนซ์
ผม: อ๋ออออออออ

ดีครับ ชอบบริการอะไรแบบนี้ ช่วยพาผู้บริการ (หรือผู้ผลิต) มาพบผู้บริโภคได้ ลดขั้นตอนการเจรจาและระวังระแวงเรื่องคุณภาพสินค้าและงานบริการ ยังไงก็ช่วยมีอีกเยอะๆ นะครับ

คอมเมนต์

พี่แอ๋วผู้ใช้ดีแทค

p-aew-dtac

แม้บ้านผมจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เรื่องน่าแปลกใจก็คือ พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน สัญญาณดีแทคจะหายไปเลย

เหมือนเป็นคำสาป แต่ก็เป็นมาตลอดเกือบสิบปีที่อยู่บ้านนี้มา ที่จริงก็ควรจะสร้างความลำบากให้กับญาติมิตรแขกเหรื่อที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆอยู่หรอกนะ

แต่พอมานึกดู เหล่าญาติมิตรแขกเหรื่อที่มาหาบ่อยๆ ก็แทบไม่มีใครใช้ดีแทคเลย

มีแต่พี่แอ๋ว (คนเดียวกับที่โดนผีเด็กหลอกคราวก่อน) ที่พอมาช่วยเลี้ยงเด็กทีไร ก็ต้องเอาโทรศัพท์โนเกียเครื่องนั้นวางไว้หน้าบ้านเสมอ พอมีคนโทรเข้ามา แกก็จะวิ่งๆๆๆ ออกมารับสายแล้วไปยืนเว้าอยู่หน้าบ้าน อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นกันชินตา

ที่ผ่านมาเวลาพี่แอ๋วโทรหาใคร แกมักจะใช้วิธียิงให้โทรกลับเสมอ

ก็เข้าใจแหละว่างบน้อย ต้องใช้สอยอย่างฉลาด แต่ผมก็สงสัยเข้าจนได้ว่าเอ๊ะ คนที่ใช้ชีวิตในระบบ 2G เท่านั้นเนี่ย เขามีวิถีการดำรงชีวิตอย่างไร แล้วเคยคิดจะย้ายค่ายไหม เลยไปถามแกมา และได้คำตอบดังนี้

  • ใช้มาหลายปีแล้ว เป็นสิบปีแล้วมั้ง
  • แบบเติมเงินสิ โปรอะไรไม่ได้จำหรอก
  • เติมเดือนละ 2-300 บาท (ผม: โอ้โห) ไม่ๆๆ แล้วแต่ บางเดือนก็ไม่ถึง
  • (ไม่คิดจะย้ายค่ายเหรอ ช่วงนี้มีโปรย้ายค่ายเพียบเลย ราคาที่พี่จ่ายนี่ได้โปรดีๆ เยอะเลยนะ เผลอๆ ได้เครื่องมาเล่นไลน์ฟรีด้วย) … ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปย้าย
  • คลื่นก็ไม่ค่อยจะมีหรอก ที่สกลน่ะต้องใช้เอไอเอส ดีแทคหมดสิทธิ์ แต่ไม่เป็นไรเพราะพอกลับบ้านก็ไม่ได้จะโทรหาใครหนิ
  • บางเดือนเติมร้อยเดียว บางเดือนไม่ต้องเติมก็อยู่ได้ เพราะ “วัน” มันเหลือ นี่เหลือเป็นปีเลยนะ
  • เวลาเติมเงินก็เติมตู้ (ตู้บุญเติมหน้าเซเว่น / โลตัสเอ็กซ์เพรส) น้อยๆ ก็เติมได้
  • เมื่อก่อนพี่โทรกลับบ้านก็หยอดเหรียญเอาใช่มะ แต่เดี๋ยวนี้ตู้หยอดเหรียญมันหายากมากแล้ว (เออจริง ผมแทบไม่ได้สังเกตเลย) ตอนนี้ก็ใช้วิธีไปเติมที่ตู้เติมเงินมือถือนี่แหละ หยอดสิบบาทก็โทรไปเลยให้หมด เหมือนกับสมัยที่ใช้โทรตู้หยอดเหรียญเอา รู้สึกจะถูกกว่าด้วย
  • ประมูลคลื่น 900 MHz ที่ผ่านมาเนี่ยเหรอ ที่จริงพี่เก็งไว้ว่าเอไอเอสกับดีแทคจะได้นะ คือเอไอเอสนี่เงินเขาเหลือเฟือ ส่วนดีแทคน่าจะต้องสู้ให้ได้มาแหละเพราะสัมปทานในมือกำลังจะหมดแล้ว ทีนี้เกมกลายเป็นว่าการประมูลดันออกมาประหลาด แล้วนี่ล่าสุดตามข่าวโทรคมนาคมก็ยังเสียวว่าแจ๊สจะเบี้ยวไหม ส่วนทรูพี่ว่าเขาก็ดิ้นหาวิธีระดมทุนจนได้แหละ จะขาดทุนหรือยังไงอย่างน้อยเขาเทมาทางนี้แล้ว ก็ต้องเร่งสร้างอีโคซิสเทมส์ให้ครบอยู่ดี ไม่งั้นไปต่อไม่ได้
  • ข้อสุดท้ายพี่แอ๋วไม่ได้พูด
คอมเมนต์

เตรียมตัวตาย

2016

2558 ที่ผ่านมาไม่นานมานี้

เป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่หลวงอีกครั้ง แม้ภายนอกจะแทบไม่ต่างจากเดิม (นอกจากจะอ้วนขึ้น ตีนกาเริ่มชัด และผมหงอกเพิ่มขึ้นอีกหน่อย) แต่ภายในนั้นเรียกได้ว่าแทบคุยกับตัวเองในปีที่แล้วไม่รู้เรื่อง

ขนาดคุยกับตัวเองยังไม่รู้เรื่อง ก็เลยยิ่งไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดออกมาใส่บล็อกยังไงดี เอาเป็นว่านึกอะไรออกก็จะเขียนนะครับ

1. งาน

ลาออกจากงานประจำมาพักใหญ่ เผอิญว่าตอนออกดันลืมจำวันที่ หรือแม้กระทั่ง พ.ศ.ก็ไม่ได้จำ (จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันปีที่แล้วหรือสองปี หรือสามปีมาแล้ววะ) เพราะเหตุนี้เลยไม่มีหมุดไมล์อะไรให้นึกถึง รู้แต่ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่ผ่านมา และล่วงเลยไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรเหลือติดค้างคาใจ หลังจากลาออกมาก็ค่อยๆ เฟดตัวเอง วางทุกอย่างเกี่ยวกับโลกไอทีลงเรื่อยๆ จากที่เคยรับฟีด ข่าวสาร และพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้าและเชี่ยวชาญขึ้นในวงการที่ไม่อนุญาตให้เราหยุดนิ่ง …ก็ถึงเวลาปล่อยวางทุกอย่างลง แล้วก็พบว่าอากาศข้างนอกก็สบายดี

ตอนนี้ปล่อยวางงานสายออกแบบและพัฒนาอะไรๆ ที่แสดงผลบนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ได้ 100% แล้ว ถึงขนาดที่ว่าจะเปิดโค้ดแก้ CSS ยังต้องเปิดกูเกิลดูอภิธานศัพท์ละกัน

แล้วงานอื่นๆ ล่ะ?

จริงๆ เคยตั้งสเตตัสให้ตัวเองว่าเป็นคนที่เกษียณแล้ว แต่พอดูสภาพจริงๆ ผมก็ยังคงทำงานอยู่ แต่ดูเหมือนว่าง ใครถามก็พูดติดตลกว่าเกาะเมียกิน (จริงๆ ก็ใช่) แต่ก็นะ ลูกเต้าก็มี และเวลาว่างที่เหลือจากการเลี้ยงลูกก็ยังเอามาใช้หาเงินเลี้ยงชีพอยู่ดีจนได้ แต่ก็ยังคงคอนเซปต์ที่จะทำงานให้ไม่เกินวันละ 3-5 ชั่วโมงให้ได้ ซึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำได้ อันนี้ถือว่าน่าพอใจ

งานเขียนหนังสือ?
ที่จริงไม่อยากนับว่าเป็นงานเลย คือพูดไปแล้วก็อายคนที่เขาทำอย่างจริงจังและตั้งใจง่ะ อย่างงานเขียนเป็นเล่มที่เคยออกกับแซลมอน 3-4 เล่ม ตอนนี้ก็ขอหยุดพักชั่วคราว (โดยมีคนที่ทวงว่าเมื่อไหร่จะเขียนอีกที อยากอ่านมากอยู่ 2 คน คือเมีย และ บ.ก.) แต่ที่ยังทำอยู่ก๊อกๆ แก๊กๆ คือเขียนและวาดการ์ตูนลงคอลัมน์เล็กๆ ลงในนิตยสารฟรีก๊อปปี้แนวครอบครัวแค่ฉบับเดียว จะว่าไปมันก็เป็นงานที่โอเคนะ ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่เยอะดี ถึงงานจะไม่ได้ดังหรือขายดีซื้อบ้านซื้อรถได้ แต่ระหว่างที่ไปยืนเกาะขอบๆ รั้ว ก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ว่าอ๋อ ชีวิตคนเขียนหนังสือมันเป็นแบบนี้เอง มีอะไรเอาไว้เล่าให้ลูกสาวฟังได้หน่อยนึงล่ะ แต่ตอนนี้ขอพักไว้ก่อน เหตุผลที่หยุดคงได้กล่าวในย่อหน้าต่อๆ ไป

งานสกรีนเสื้อ?
ตอนนี้อาชีพหลักคือรับจ้างสกรีนเสื้อยืด (ร้านโมนามาเฟียนะครับ อุดหนุนกันได้ครับ บริการดีมากพอๆ กับหน้าตา พ่อค้าน่ารัก ถึงแม้จะลูกสองแล้วก็ตาม) งานนี้ทำมาได้สิบกว่าปีแล้ว ผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านยุคที่เครียดกับคุณภาพงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และความด้อยปัญญาของตัวเองในการรับมือกับปัญหา จนค่อยๆ หาทางแก้ไข ปรับปรุงจนตอนนี้ทุกอย่างดี วางระบบงานลงตัว สำรวจฟีดแบ็กในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าพอใจกว่าปีก่อนหน้ามากๆ ถึงรายได้จากงานนี้หักลบกลบหนี้แล้วเหลือไม่เยอะ (เรียกว่าไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวละกัน) แต่ทำแล้วยังมีความสุข มีลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำเยอะขึ้น ดี สรุปว่าดี ไม่ดีอย่างเดียวคือไม่ค่อยพอกิน

งานบริษัท?
อาชีพหลักแบบที่เลี้ยงครอบครัวได้จริงๆ ก็คือการเป็นกุนซือเบื้องหลัง, ตากล้อง, อาร์ตไดเร็กเตอร์ของร้านนลินฟ้านี่แหละ ปีที่ผ่านมาถึงใครๆ จะบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ลูกค้าหด รายได้หาย แต่ที่ร้านกลับมีความมั่นใจอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเราไปรอด คือถ้าเลือกเดินสายนี้ คุมการผลิต การตลาด จรรยาบรรณ และความสุขของทีมงานให้ได้คุณภาพสูงปรี๊ดระดับนี้ เราน่าจะล้มยาก หรือถ้าวันไหนเกิดเจอจังหวะที่ไม่คาดฝันแล้วต้องล้ม เราว่ารากฐานและการวางหมากของเราแน่นพอที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ สิ่งนี้เลยทำให้ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่นลินฟ้าแข็งแรงจนไม่ต้องเสียเวลามาด่ารัฐบาลว่าทำให้เศรษฐกิจพัง เอาเวลาด่ามาปรับปรุงตัวเองดีกว่า

ทางสว่างในการทำมาหากินยังมีอยู่เยอะ เยอะจนเสียดายเลยว่าตัวเองมีแค่ร่างเดียว และเป็นร่างที่ขี้เกียจมากๆ ด้วย

งานอื่นๆ
งานออกแบบต่างๆ ตอนนี้ปฏิเสธไปหมดแล้ว งานเว็บ งานแอปที่มีมาก็โยนออกซ้ายออกขวา ส่วนลูกค้าที่เคยดูแลอยู่กันมาเป็นสิบปีตั้งแต่สมัยทำฟรีแลนซ์ ก็ยังรักกันต่อไป แต่ไม่ทำอะไรเพิ่มให้แล้วนะ ลืมหมดแล้ว 55555

2. สังคม

เราคงไม่ต้องมานั่งแยกสังคมว่ามันมีหมวดออนไลน์-ออฟไลน์อะไรกันอีกแล้วเนอะ

พ.ศ.ที่ผ่านมา ผมเลือกคบคนน้อยลงเรื่อยๆ คงเป็นไปตามธรรมชาติของวัยนี้ แถมยังเป็นคนที่มีครอบครัว มีลูกสองด้วยอีก มันก็แน่

ที่แน่ๆ เนื่องจากตัวเองไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก ถึงพยายามจนเขียนบล็อกเล่าความพยายามมาแล้วหลายครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ จริตมันไม่ตรงจริงๆ (ยกเว้นเข้าไปตอบลูกค้า-เช็กโนติแล้วมันมีคนเมนชันมา เลยกดเข้าไปตอบ ซึ่งเอาจริงถ้าดูจากเม็ดเขียวๆ ก็ถือว่าผมแม่งออนทั้งวันอยู่นะ 5555) พอไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม ก็เรียกได้ว่าเราแทบไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกเลย ซึ่งผมโอเคกับสถานะแบบนี้

ส่วนทวิตเตอร์ที่คุณ @iannnnn ซึ่ง… กดดูล่าสุดมีผู้ติดตาม 369.9K …เหี้ย มึงมาจากไหนและมาทำไมกัน? คิดว่าเป็นบอตหรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้น่าศรัทธากับตัวเลขนี้ (เชื่อว่าเดี๋ยวทวิตเตอร์มันก็ปรับและฆ่าบอตทิ้งแบบที่ทำบ่อยๆ)

การเล่นทวิตเตอร์ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเปลี่ยนไปพอสมควร คือเดี๋ยวนี้เฉยๆ กับพวกพยายามกดสูตรโกงยังไงก็ได้ให้ได้ยอดรีทวีตเยอะๆ ก็เลยไม่ได้ตั้งป้อมด่าพฤติกรรมเหล่านั้นเหมือนที่ผ่านมา แต่ทวิตเตอร์ก็ยังเป็นที่พูดคุยทำความรู้จักแบบรักษาระยะห่างของคนได้ดี ต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง พฤติกรรมของใครที่ตรงจริตกันก็กดตาม ไม่โอเคก็กดเลิกตาม เป็นแบบนี้เสมอมา (ซึ่งต่างจากเฟซบุ๊ก ที่การ unfriend หมายถึงการจบความสัมพันธ์แบบไม่เผาผี) ซึ่งไอ้การที่แต่ละคนสามารถควบคุมระยะห่างของความสัมพันธ์นี้ได้โดยไม่ต้องให้คอมพิวเตอร์มันบงการเราจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้นั้น มันคือสิ่งที่เราโอเค และสังคมของคนที่เราตามเขา หรือเขาตามเรา และพูดคุยทักทายกันอยู่ ก็โอเค โอเคมากๆ

สำหรับสังคมเพื่อนๆ ยุคก่อนเฟซบุ๊ก ก็ล้มหายตายจากกันไป (แน่ล่ะ เพราะผมไม่ได้ไปเฟซบุ๊กตามเขา) บางคนเคยสนิทกันมากๆ มีตติ้งแม่งเกือบทุกอาทิตย์ ไปเที่ยวไหนกินอะไรก็นัดรวมตัว เจอกันตลอด หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานที่เคยคุยกันสนิทสนม พอจากกันด้วยระยะทาง ก็พบว่าเรากลายเป็นแค่คนที่เคยโคจรมาใกล้กัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันไปมีชีวิตของตัวเอง

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ เอาจริงๆ ก็เหงาเหมือนกันนะ แต่ก็เข้าใจ และหวังว่าสักวันเราจะมาเจอกันใหม่ ถึงจะเขินๆ อยู่หน่อยก็ตาม

ส่วนเพื่อนใหม่ๆ ที่เพิ่งมารู้จักในปีที่ผ่านมานี้ นึกแล้วแทบไม่มีเลยแฮะ ในขณะที่มิตรสหายบางคนที่ก่อนหน้านี้แค่รู้จักกันผ่านๆ แต่ปีที่ผ่านมาก็สนิทกันในระดับที่พูดจาหยาบคายใส่กันได้ แบบนี้ดีจังเลย ก็คงเป็นกฎของการคัดเลือกตามธรรมชาตินั่นแหละ

3. ครอบครัว

ปี 2558 ที่ผ่านมานี้ผมอยู่ในโหมดจำศีล อยู่แต่กับครอบครัวโดยสมบูรณ์ โอกาสจะออกไปเผชิญโลกนั้นอยู่ในระดับที่ “เอาไว้ก่อนละกัน”

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ปีที่ผ่านมานั้นตัวเองแทบไม่ได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ไมไ่ด้พ่วงลูกเมียไปด้วยเลย

บอกกันตรงๆ เลยก็ได้ว่าเหนื่อยเหมือนกัน พอลูกโตมาอ่านเจอบรรทัดนี้ก็ให้รู้ไว้นะลูกว่าพ่อแม่เอ็งก็เหนื่อย

ถึงจะเหนื่อย แต่ถ้าถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะยังเลือกมีลูกไหม จะยัง ยสตน กันอยู่ไหม ขอตอบเลยครับว่า อีบ้า ที่บอกว่าเหนื่อยน่ะ มันแค่ช่วงสั้นๆ มาเป็นเฮือกๆ เท่านั้นเอง พอมีลูกคนโตแล้วทำให้รู้ว่าช่วงเวลาที่วายป่วงที่สุดก็คือช่วงนี้ ที่กำลังฉายซ้ำและเกิดขึ้นกับลูกคนเล็กนี่แหละ เดี๋ยวลูกโตถึงระดับอนุบาลปั๊บ โอ้แม่เจ้า มันช่างแฮปปี้อะไรแบบนี้

ดังนั้นพ่อกับแม่จะหยุดดูคอนเสิร์ต หยุดเที่ยวโหด หยุดไปไหนก็ตามที่ไม่ได้พกลูกไปด้วย และยอมเหนื่อยแบบนี้ไปอีกจนกว่าทั้งตัวพี่และตัวน้องจะโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นตอนนี้ระหว่างที่ลุงตู่ยังเป็นนายกอยู่ พ่อกับแม่ก็จะทำหน้าที่นี้ให้เต็มที่ รอให้เวลาอายุ 3 ขวบเมื่อไหร่ เดี๋ยวเอ็งเจอ

4. สุขภาพ

ปีที่แล้วแย่ เคยอ้วนมากจนน้ำหนักไปแตะ 80 แล้วตกใจ ออกกำลังได้แป๊บนึงให้มันลดลงมาเหลือ 70 ปลายๆ จนตอนนี้อยู่ตัว แต่ก็นับว่าสุขภาพไม่ดี สาเหตุที่ไม่ดีก็งงๆ คือตาบวมบ่อยมาก ถามหมอตา หมอตาก็บอกว่าเป็นภูมิแพ้ รับเชื้อโรคจากภายนอก แล้วบวมสลับซ้ายขวาจนหมดค่าหมอไปหลายตังค์ ก็ยังไม่หาย จนเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันแทน
แต่ที่แน่ๆ คือร่างกายมันเตือนเราแล้วว่า มึงต้องพักมากกว่านี้แล้วนะยุ่น

5. งานอดิเรก

จนกระทั่งวินาทีที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ก็ยังแปลกใจตัวเองไม่หาย ที่เลิกสนใจงานออกแบบอะไรๆ ในหน้าจอมือถือ หรือหน้าจอคอม แทบจะไม่เหลือเยื่อใยเลยก็ว่าได้ (แต่ก็ยังทำงานกราฟิกแบบพื้นๆ อยู่) คือหยุดเรียนรู้แล้ว แต่นอกจากงานอดิเรกอย่างการ “หัด” (หัดจริงๆ ไม่ได้ถ่อมตัว) วาดรูปสเก็ตช์และระบายด้วยสีน้ำแล้ว

ความสนใจที่เพิ่งก่อตัวขึ้นไม่นานในปีที่ผ่านมานี้เอง แต่พอมันมาปั๊บ ก็รู้เลยว่าไม่ได้มาเล่นๆ เพราะพี่มาอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ … นั่นคือความชอบในงานออกแบบบ้านช่องว่ะ

บัดซบ…

ที่บัดซบคือผมจบถาปัดมาแบบไม่เก่ง พูดให้ถูกกว่านั้นคือโง่เลย เอาดีด้านนี้ไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่คำถ่อมตัว แต่ถ้าเอาใบเกรดออกมากางให้ดู ทุกท่านจะเปลี่ยนความเคลือบแคลงเป็นความสมเพชทันที

แต่ เหมือนสวรรค์แกล้ง ต่อมความสนใจในงานออกแบบด้านนี้ของผมมันเพิ่งมาเจริญงอกงามเอาเมื่อชีวิตก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังแล้วเฉยเลยว่ะ

ไม่ต้องอะไรมาก ทุกวันนี้มีเวลาเหลือนิดหน่อยก็นั่งเปิดดูแบบบ้าน หาแรงบันดาลใจที่จะเอามาใช้ทำนั่นนี่ด้วยตัวเอง (หลักฐานที่ Pinterest น่าจะซื่อสัตย์พอ) ที่ตอนนี้เสร็จไป 1 โปรเจ็กต์แล้ว ในปี 2559 นี้ก็จะได้ดำเนินการอีก 2 โปรเจ็กต์ (หนึ่งในนั้นมีคุณเต้ย สถาปนิกมืออาชีพมาเป็นผู้ขัดเกลาให้ นี่มันเพิ่งกินกุ้งเสร็จแล้วกลับไปเมื่อตอนบ่าย) และมีโครงการศึกษาและพัฒนาในระยะ 5-10 ปีอีก 1 โปรเจ็กต์ ซึ่งอีอันสุดท้ายนี่ท้าทายที่สุด เพราะนอกจากจะแปลกที่สุดแล้ว โจทย์มัน “สนุก” และยังอยู่เหนือการควบคุมเอามากๆ ซึ่งไอ้การอยู่เหนือการควบคุมแบบนี้ แหละที่คนทำงานออกแบบเขาเรียกว่าสนุก

ที่สำคัญมันคือการเตรียมการในอนาคต อนาคตที่ผมจะไปแก่ตายที่นั่น

6. ทัศนคติ

เคยทวีตไว้ประมาณว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ความฝันของเราจะเล็กลง แต่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อะไรงี้มั้ง

ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ตอนนี้ความฝันของผมเล็กลงจริง สายลมและกาลเวลาได้ค่อยๆ เกลาเสี้ยนหนามรุงรังที่ติดมาจากสมัยวัยรุ่น ให้มินิมัลลงเรื่อยๆ จริงๆ

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ อย่างที่บอกว่าการเปลี่ยนแปลงภายในมันเกิดขึ้นเยอะมาก จนทำให้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร เกิดมาแล้วยังไง มีปัญญาและไม่มีปัญญาทำอะไรได้แค่ไหน ทำเพื่อใคร ชีวิตคืออะไร ความรักคืออะไร (ซึ่งก็ต้องย้ำว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องปัจเจกนะ)

คำตอบกว่าครึ่งค่อนของหลายๆ คำถามนั้น มีลูกเป็นตัวแปรอยู่ทั้งสิ้น

ในวงการคำคมเขาอาจมองปรากฏการณ์นี้ว่ามึงเป็นพวกน้ำเต็มแก้วแล้วหรือเปล่า เอ๊ะอีกวงการเขาจะมองว่านี่เป็นกับดักชนชั้นกลางหรือเปล่า อีกวงการอาจจะเรียกว่านี่เป็นความยะโสมืดบอดหลงเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า

ตอบว่าใช่ทั้งหมดเลยครับ และช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา หลังจากสับสนในตัวเองมาพักนึงจนทุกอย่างตกตะกอน ผมก็พบว่าตัวเองสบายดีกับสภาวะนี้

#ก็ไม่รู้สินะ เหมือนพอเราผ่านไอ้พวกความรู้สึกแสวงหามาแล้ว เราก็จะไม่เสียเวลาเดินทางตุปัดตุเป๋อีก ทีนี้คือพุ่งตรงอย่างเดียว พุ่งไปสู่ความตายแบบเท่ๆ เลย

ส่วนทัศนคติต่อบ้านเมือง ต่อสังคม ต่อประเทศชาติหรือโลกนั้น ตอนนี้ไม่ได้หมกมุ่นอะไรเลยสักอย่างครับ แค่จะเขียนการ์ตูนหรือทวีตแซวนายก ยังนึกไม่ค่อยออกเลย

7. 2559

ปี 2559 ที่เราทุกคนกำลังเหยียบอยู่นี้ ผมไม่รู้จะคาดเดายังไงว่าตัวเองจะเจออะไรอีก เพราะปีที่ผ่านมามันมีเซอร์ไพรส์เข้ามาเยอะเหลือเกิน แล้วเซอร์ไพรส์แต่ละก้อนนี่มึงก็ช่างสร้างจุดเลี้ยว (เจี๊ยวหลุด!) (ถูกแล้ว!) ให้ชีวิตข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน

การเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงในปีที่ผ่านมานั้น ผมดูเป็นพวกเนิร์ดที่สนุกอยู่คนเดียวในโลกส่วนตัว เพราะมันอยู่ในช่วงวางแผน และก่อร่างนั่นนี่ไง เลยไม่รู้จะเล่าให้คนอื่นฟังยังไง แล้วพอนึกได้ว่าเออ ที่จริงกูไม่เห็นต้องเล่าก็หมดเรื่อง เรื่องอะไรต้องไปรายงานให้โซเชียลรู้ไปซะทุกอย่างด้วยวะ? เท่านั้นเองก็เลยแฮปปี้กับการหมกมุ่นด้วยตัวเอง จนตอนนี้ มันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาละ …ดังนั้น สิ่งที่พอจะคาดหวังให้เกิดขึ้นในปีนี้ก็คือ

ครึ่งปีแรก: ทำงานทดลองชิ้นใหม่ที่ได้ตังค์

เดี๋ยวพอเสร็จแล้วจะมาเขียนอีกที ว่ามันได้ตังค์ไหม หรือขาดทุนย่อยยับ 55555 T-T แต่ที่แน่ๆ พอทำงานนี้แล้วแฮปปี้มาก ค่า GDH559 พุ่งทะยานทุกครั้งที่นั่งเตรียมการให้มัน ดังนั้นพอเสร็จดีแล้วค่อยว่ากันอีกที

ครึ่งปีหลัง: เริ่มดำเนินการ ลาออกจากกรุงเทพฯ (เวอร์ชันเบต้า)

เป็นความฝันก้อนใหญ่ที่วางแผนไว้ 1-2 ปีแล้ว ตอนนั้นยังคิดว่าอนาคตเราจะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด แต่คงอีกนาน แต่ทำไปทำมา ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แม่งไม่นานอย่างที่คิดว่ะ หรือที่นาฬิกาหมุนเร็วขึ้นเพราะเราเริ่มเข้าครึ่งหลังของชีวิตมาแล้ววะ เชี่ยบัดซบ

โครงการลาออกจากกรุงเทพฯ นี้จึงเป็นการวางแผนชีวิตได้หมดเลยทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ตราบที่ยังไม่เผลอตายไปก่อนจะแก่น่ะนะ

ตลอดปี: เลี้ยงลูกให้สนุกกว่าเดิม

ปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งผมหงุดหงิดความดื้อของลูก แล้วแสดงออกมาในแบบที่ไม่ทำให้เด็กแฮปปี้เลย ซึ่งเฮ้ย ตอนเด็กๆ กูก็ดื้อนี่หว่า (แต่สมัยนั้นคือพ่อแม่ผมฟาดหมอบทุกครั้งเลยนะ) ขอโทษนะลูกเอ๊ย จากนี้ไปกะว่าจะเลี้ยงลูกให้ฉลาดขึ้น ไม่ได้หมายถึงลูกฉลาดนะ แต่ตัวเองนี่แหละที่ฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น พ่อสัญญา

สวัสดี

คอมเมนต์

สตาร์ วอร์ส

starwars

คิดได้ก่อนเที่ยงคืนนิดนึงว่าเดือนธันวาคม (ที่กำลังจะผ่านไป) นั้นเราแทบไม่ได้เขียนบล็อกเลย เลยเขียนก่อนจะหมดปี …เผากระทั่งบล็อกตัวเอง

พูดถึงสตาร์ วอร์ส ละกัน ผมไม่เคยดูหนังภาคต้น (4-5-6) มาก่อน แต่อ่านเรื่องย่อมาก่อนที่จะไปดูภาค 1 ในโรง

ตอนนั้นอยู่ปี 1 และค่อนข้างไม่มีตังค์ การเก็บตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้จึงเป็นความตั้งใจอย่างยิ่ง และก็ได้ผล คือตื่นตาตื่นใจกับงานดีไซน์ในหนังเอามากๆ เจ๋งดี เหมือนรวมคนเก่งๆ ด้านสถาปัตยกรรมมาร่วมกันแสดงงานในหนัง รู้สึกว่าพอหนังจบตอนนั้นก็ไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานออกแบบอีกพอสมควร ให้สมเป็นเด็กเนิร์ด

แต่เนื้อเรื่องนั้นแทบจำไม่ได้ คือมันไม่อิน อินแค่ว่าเจ้าหญิงอามิดาล่าน่ารักฉิบหาย (ต่อมาจึงจำชื่อดาราคนนั้นได้ และทุกวันนี้นาตาลี พอร์ตแมน ก็ยังเป็นดาราหญิงที่ข้าพเจ้าว่าน่ารักที่สุดในโลก)

ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ภาคแรก เนื้อเรื่องเป็นไงไม่รู้ แต่สรุปได้ว่า อีเด็กหัวเห็ดนี่โตขึ้นมันจะเป็นตัวโกงในภาค 4

ต่อมา ไปดูภาค 2 ในโรงกับแฟน จำได้แค่ว่า นาตาลีน่ารักฉิบหายเหมือนเดิม แต่เนื้อเรื่องก็น่าเบื่อขนาดที่ว่าหลับกลางเรื่อง มาตื่นเอาตอนที่เห็นคำว่า จอร์จ ลูคัส ซึ่งเป็นเครดิตท้ายเรื่อง

ภาคสามก็ไปดูกับแฟนเหมือนกัน (เอาจริงๆ ตั้งแต่มีแฟนมาก็ไม่เคยดูหนังคนเดียวอีกเลย จนกระทั่งปีนี้เองที่แฟนเลี้ยงลูก เลยได้ไปดูกับเพื่อนบ้าง กับน้องบ้าง นับได้ 2-3 ครั้งในชีวิต) พบว่าภาคสามนั้นสนุกดี เพราะมันมีสเกลที่ตูมตามกว่าเดิม และพาไปสู่บทสรุปที่เห็นในโปสเตอร์ของภาคแรก ที่เป็นอีเด็กหัวเห็ดยืนตากแดด ฉายเงาเป็นคุณลุงใส่หมวกกันน็อกทรงติ่งหู

สรุปว่า ถึงจะดูมาแล้วสามภาค แต่ถ้าไม่นับเรื่องความประทับใจในงานออกแบบ และนางเอกของเรื่อง ผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องนี้เลย ในขณะที่เพื่อนหลายคนสถาปนาตัวเองเป็นสาวกของหนังเรื่องนี้ และเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโดดมาทำงานวงการไอที (คือเนิร์ดหนังเรื่องนี้เยอะมาก)

ตัดภาพมายุคปัจจุบัน อยู่ดีๆ ทุกคนแม่งก็พูดกันถึงหนังเรื่องนี้ ว่ามันโอเคนะ ผู้กำกับก็เก่งนะ สามารถเย็บเอาความทรงจำในวัยเยาว์ของแฟนๆ มาผูกกับเนื้อเรื่องที่ “เดินไปข้างหน้า” ได้ ผมเลยตั้งใจจะดู

เชี่ย อีก 7 นาทีจะเที่ยงคืน รีบพิมพ์ๆๆ

ก็เลยนัดน้อง (โมนาและมาเฟีย) มาเข้าค่าย เพื่อตะบี้ตะบันดู ทำความรู้จักหนังเรื่องนี้กันใหม่เลย โดยบรีฟกับตัวเอง และน้องๆ ว่า จงดูโดยคิดว่าเราอยู่ในยุคนั้น ดังนั้นพวกสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เป็นงานทำมือ ที่มันไม่เนียน ดูก๊องแก๊งหรืออะไรที่เรากำลังจะเจอ (ในยุคที่วงการมายาเขาสร้างโลกทั้งใบจากคอมพิวเตอร์ได้เนียนกว่าของจริงมานานแล้ว) นั้น คือความเท่ ให้ดูด้วยไม้บรรทัดของคนในยุค 30 ปีก่อน โอเคนะ ตามนี้ เริ่มเลย

แผนการดูคือใช้สูตรเรียงภาคตาที่หลายคนแนะนำมาว่าให้ไล่จาก 4-5-1-2-3-6 แล้วมะรืนนี้เราจะไปดู 7 กันในโรง!

สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้:

  • 4 – เปิดเรื่อง เนื้อเรื่องมีพอประมาณ ไม่ได้ประทับใจอะไร ในขณะที่ทำใจเตรียมไว้แล้วว่าเราจะได้ดูหนังที่ผ่านกาลเวลามานาน แต่ก็ยังสงสัยในความง่ายของบทมัน ว่าทำไมมึงเจอจุดหักเหแล้วตัดสินใจอะไรๆ กันง่ายจังวะ แต่ก็นะ สมัยนั้นหนังมันก็ไม่ได้ต้องเนี้ยบเรื่องความคิดความอ่านเหมือนยุคนี้ พอดูจบก็หันมาเสวนากันว่าทำไมมันง่วงยังงี้ แต่ในไทม์ไลน์เขาว่ากันว่า มึงอย่าตัดสินแค่ภาค 4 ขอให้ดู 5-6 ก่อน ความเจ๋งมันอยู่ตรงนั้น เราเลยโอเค ขอดูต่อ
  • 5 – เนื้อเรื่องเดินทางต่อไป แต่เดินทางแบบไม่มีอะไรเลย (ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ดู 2 ในโรง) ภาคนี้เลยง่วงมากๆ และหลับๆ ตื่นๆ กันทั้งสามคน มาถึงตอนนี้เราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หนังเรื่องนี้มันจะตรงจริตเราจริงไหม คนเขาตื่นเต้นกันเพราะความสดใหม่ในยุคนั้น แต่เรามาดูกันช้าไปอย่างที่เขาว่าหรือไม่
  • 1 – โดดมาภาค 1 ตามสูตร แล้วก็พบว่างานสร้างที่มันสวยขึ้นตามยุคสมัยนั้นทำให้ดูสบายตาขึ้น แต่ก็อย่างว่า ว่ามันก็ยังเฉยๆ
  • 2 – น่าเบื่อ เนื้อเรื่องไม่เดิน เลยหลับกันทุกคน แต่พอโตขึ้นแล้วพบว่านางเอก (นาตาลี) น่ารักกว่าที่เคยดูในสมัยก่อนมากๆ ดูไปหื่นไป
  • 3 – ภาคนี้แหละที่ได้เนื้อได้หนังที่สุด เก็บอรรถรสจากหนังได้เยอะ ยอมรับว่าสนุก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแบบ เหี้ย สนุกสัสๆ กูจะขอสมัครเป็นสาวกของเรื่องนี้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะไรงี้ คือสนุก แต่ก็สนุกแบบ อืม ดีเหมือนกันนะ
  • 6 – ปิดไตรภาคที่สองด้วยความเบื่อ เพราะประเด็นขัดแย้งและเนื้อเรื่องในภาคนี้มันมีอะไรให้เถียงเต็มไปหมด หลักๆ คือ นี่มันหนังอวกาศหรือว่าซิตคอมครอบครัววะเนี่ย งงมาก จะเล่นสเกลเล็กหรือใหญ่เอาให้แน่ก่อนไหม คือดูจนจบแล้วก็ผิดหวังกับคำท้าของประชาชนที่บอกว่าให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน นี่คือดูจบแล้ว และทิ้งความคาดหวังไปแล้ว

มีหนึ่งประเด็นที่มีคนบอกว่าถ้าจะดูให้สนุกต้องดูตอนเด็กๆ เลย คือดูร่วมสมัย ในขณะที่มันนำสมัย นั่นถึงจะอิน โตมาดูตอนนี้มันก็ไม่ใช่แล้ว เพราะหนังมันผ่านกาลเวลาของมันไปแล้ว แต่ผมนึกเปรียบเทียบกับการ์ตูนบางเรื่องที่เสพมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าโคตรโอเคอยู่ อย่างดราก้อนบอล หรือโดราเอมอน หรือคอบร้า (ซึ่งเรื่องนี้แม่งดูก็รู้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสตาร์วอร์สเต็มๆ อ้อ มีเจมส์บอนด์ด้วย เอ๊ะมีอินทรีแดงด้วยไหม) มาอ่านตอนนี้ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่เสมอ

ก็นะ รสนิยมคนมันมีหลายแบบ เราก็เป็นแบบหนึ่ง เผอิญว่าอาจจะไม่ได้ชอบหนังแบบเดียวกับที่แฟนๆ ทั่วโลกชอบกัน (โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่อง “พลัง” หรือปมประเด็นการสืบสายเลือด ฯลฯ) แต่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้แหละมั้ง

และแล้วในที่สุดวันต่อมาก็ไปดูภาค 7 ในโรงกันเลย เพื่อจะได้ปิดคดีว่าสรุปแล้วเราโอเคกับคำอวยที่ไหลหลั่งมาจากทั่วสารทิศไหม

สรุปคือภาค 7 มันสนุกจริงๆ ครับ สนุกระดับเดียวกับภาค 3 เลย

เพราะเนื้อเรื่องมัน “เดินไปข้างหน้า” ในแบบที่ภาค 2 กับ 5 ทำไม่ได้นั่นแหละ พอดูจบก็เลยยังรู้สึกว่ามีอะไรติดหัวให้พูดคุยกันต่อหลังหนังจบอีกหน่อย (หนังเรื่องไหนไม่ว่าจะเหี้ยยังไง ถ้ามันมีอะไรให้พูดหลังออกจากโรง นั่นผมถือว่าเป็นหนังที่มีคุณค่านะ อย่างอะเวนเจอร์สนี่แทบไม่มีเลย ยกเว้นจะมาอ๊อดโชว์ภูมิใส่กันว่ามีลูกเล่นไอ้นั่นแอบอยู่ตรงนี้ตรงนั้น)

คือจนตกเย็น ผ่านไปถึงตอนเช้า ก็พบว่ายังมีกลิ่นของเนื้อเรื่องรวมๆ วนอยู่ในหัว (ก็เล่นดูมา 7 ภาครวดขนาดนี้ 5555555) เลยรู้สึกว่า เออ มันก็โจมตีความทรงจำของเราได้เหมือนกัน เช่นพอไปเดินโรบินสันเห็นโซนของเล่นที่ขายของเกี่ยวกับหนังพวกนี้ เราก็เก็ตแล้วว่าอ๋อ ยานนี้มันมีบทบาทตรงนั้น ตัวละครตัวนี้มันนิสัยยังงี้ เป็นต้น

รวมถึงการนึกย้อนไปในวัยเด็กที่มีเหล่าญาติโยมเคยหยิบหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาฟันกัน บอกว่าเป็นไลต์เซเบอร์ ไอ้เราก็งงๆ เพราะตอนนั้นอินการปล่อยพลังมากกว่างี้

ก็นึกขอบคุณคนที่จินตนาการอะไรๆ ออกมาได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะภาคที่สร้างสรรค์ออกมาล้ำอวกาศในโลกภาพยนตร์สมัยก่อน ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม รวมไปถึงคนทำงานสร้างสรรค์หลายๆ วงการได้นำจินตนาการนั้นๆ มาสานต่อ เป็นโลกอีกหลายใบ ให้คนอีกหลายล้านคนได้ต่อยอดไปอีกครั้ง (อย่างการ์ตูนคอบร้าก็น่าจะนับเป็นหนึ่งในนั้น ที่เอามาจากสตาร์วอร์ส แต่ปรุงรสได้ถูกจริตเรามั้กๆ)

แต่นาตาลีน่ารักสุดยอดเลยล่ะ อันนี้สรุป

สวัสดีปีใหม่ครับ (อ้าว)

คอมเมนต์

กระป๋องโค้กใส่เม็ดถั่วเขียว

mascot

มีจดหมายแนบมากับกระเป๋าเป้ของนิทานว่า วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันกีฬาสีของโรงเรียน

เพื่อความครื้นเครงและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ให้ช่วยนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เชียร์ (อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม เสร็จตูล่ะ งานประดิษฐ์แบบนี้ของถนัดเลย)

แต่เดี๋ยวก่อน… ในจดหมายมีระบุไว้ว่า จงทำแบบนี้

  1. ใช้กระป๋องโค้ก 2 กระป๋อง (ระบุยี่ห้อเรียบร้อย เข้าใจว่าบริษัทโค้กอาจมีเอี่ยวกับธุรกิจกีฬาสีของโรงเรียนอนุบาลที่มีมูลค่านับพันล้านบาทด้วยไม่มากก็น้อย)
  2. ใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป
  3. ปิดทับด้วยกระดาษสีชมพูซึ่งเป็นสีของลูกหลานท่าน

โอเค ฟังดูไม่ยาก ทีนี้ปัญหาคือ

  1. บ้านเราไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม ไอ้ครั้นจะใช้กระป๋องเบียร์แทนก็ยิ่งยากใหญ่เลยเพราะไม่มีใครดื่มเบียร์แน่ ก็เลยต้องไปซื้อในแม็กซ์แวลู่ข้างบ้าน เสียตังค์อีก (ถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้เศษวัสดุเหลือใช้ละ)
  2. บ้านเราไม่มีใครทำอาหาร ไอ้ครั้นจะหาถั่วเขียว… เอาเถอะ ตอนไปแม็กซ์แวลู่เลยแวะดูชั้นวางถั่วเขียวด้วย ก็มีแต่แบบออร์แกนิก อีห่า ถุงละ 74 บาท…
  3. กระดาษสีชมพู (และกาว) อันนี้เดี๋ยวไปซื้อ ต้องซื้ออยู่แล้วแหละเนอะ

แล้วก็นึกได้ว่าที่บ้านเรามีอุปกรณ์ส่งเสียงอยู่เยอะแยะเลยนี่หว่า ทั้งกลองบองโก้ กลองคาฮอง คาซู่ นิ้งหน่อง ระนาดเล็ก 2 ราง ไข่เขย่า ขลุ่ยอีก 3 เลา นี่ยังไม่นับขวดเหลือๆ ที่เอามาทำเสียงก๊องแก๊งๆ ได้สารพัด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เศษผ้ามาพันเป็นสีชมพูได้ (ผมมีผ้าสามสีประจำตัวอยู่ด้วย)

เลยคิดว่าปีนี้ขอดูลาดเลาไปก่อน ปีหน้าพอรู้แนวทางแล้วจะฝืนคำสั่งครู ลองทำอย่างที่เราคิดว่าโอเคกว่าคำสั่ง คสช.ดู

อ้อ พอดีครูประจำชั้นขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่ว่างงานไปเชียร์บุตรหลานของท่านด้วย เมียก็เลยดำริว่าเราจะไปเช่าชุดมาสคอตจากร้านใกล้ๆ บ้าน (เป็นรูปช้างสีชมพู) ไปช่วยเขาถ่ายรูปและเชียร์ลูกด้วย 555555 เออ เอาวะ ลองดู ถึงจะแพงกว่าถั่วและน้ำอัดลมสองกระป๋องรวมกันหลายเท่า แต่ก็บันเทิงแบบเซอร์ไพรส์ดี

ส่วนถั่วเขียวออร์แกนิก เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นเก็บก้อนกรวดข้างบ้านมาใส่แทนคงได้เนอะ

คอมเมนต์