#หนีกรุง Day 4: ดินสอน

ภารกิจหลังกินข้าวเช้า (ไส้กรอก ไข่ดาว แฮม น้ำส้มน้ำสับปะรด นม ชากาแฟ ขนมปัง เนยแจม สลัดผักผลไม้และข้าวต้มอีกนิดหน่อย ทั้งหมดนี้ในวงการเรียกอเมริกันเบรกฟาสต์ได้อย่างไรล่ะหือ) ลูกคนเล็กอายุสิบเอ็ดเดือนก็ง่วงพอดี แม่ของลูกจึงนำไปชาร์จพลังงาน

ส่วนตัวพี่ซึ่งอายุสามขวบสี่เดือนกว่าๆ กลับพลังงานล้นปรี่ ถ้าให้มันอยู่ด้วยกันพี่น้อง รับรองว่าจะไม่เกิดการนอนในเช้าวันนี้ชัวร์ ผมจึงรับหน้าที่พานิทานไปเดินเล่นฆ่าเวลา (ไม่ได้แปลว่าฆ่าเวลา แต่หมายถึงฆ่าเวลาน่ะเข้าใจไหม) โดยมีย่า (เย้ ผมพาแม่มาด้วยน่ะครับ) เดินตามไปคอยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องต้นไม้ใบหญ้า โชคดีที่ทางรีสอร์ตเขาปลูกต้นไม้เก่ง เก่งจริงๆ เนี่ยเมื่อคืนวานเขียนเรื่องต้นไม้ได้เป็นคุ้งเป็นแควก็เพราะรู้สึกขอบคุณในความร่มรื่นนี้แหละ
image

ความรู้ใหม่สำหรับเด็กสามชวบในหนึ่งชั่วโมงช่วงเช้าวันนี้ก็คือ อุโมงค์มด / นางพญามดหัวโต / วิธีกระโดดข้ามมด ไม่ต้องกลัว / รู้จักต้นมะเฟือง / ต้นส้มโอ / ต้นกระท้อน / ต้นตีนเป็ด / ลูกตีนเป็ดเอามาทำงานหัตถกรรมได้ / ต้นมะเดื่อ (เคยสอนให้รู้จักทีนึงแล้วแต่ลืม) / หูกระจงยักษ์ / มอสชอบขึ้นที่ชื้น / กิ้งกือขดตัว / ผีเสื้อไม่ยอมให้คนจับ / ใบบัวเนี่ยเขาเอามาห่อข้าวกินได้ หอมอร่อยด้วย / ไม้ไผ่แข็งแรง ลื่น เคาะดังโป๊กๆ / ต้นไผ่เอามาทำเป็นกระบอกน้ำได้ / ต้นไม้บางต้นขรุขระ / การล่าของแมลงช้าง (เดินไปนั่งดูการเชือดมดสดๆ ทีแรกผมว่าจะหยอดมดลงไปในหลุมอเวจีเอง แต่เผอิญมีมดตะนอยชะตาขาดเดินลงไปพอดี โอเคเลย เอ็งซวยเองนะ ข้าไม่บาป) / สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก / น้ำเชี่ยว น้ำนิ่ง น้ำไหล / ผักตบ / จิงโจ้น้ำ / แมลงปริศนาสีแดงที่พ่อก็ไม่รู้จักชื่อ / ลำธารแห้งกับลำธารเปียก / ทดลองวิชาฟิสิกส์ด้วยการการปาลูกอะไรสักอย่างคล้ายๆ มะเดื่อลงน้ำรัวๆ กว่า 20 ลูก / หมาขึ้นสะพานอย่างไร / ต้นกระถินไม่ใช่ไมยราพ / กระรอกไม่ชอบให้คนเข้าใกล้ / ศาลาหน้าตาเป็นแบบนี้ / ธรรมชาติคืออะไร (อธิบายศัพท์คำนี้ด้วยการยกตัวอย่างนานมาก) / ไม้สำรวจ (กิ่งไม้ยาวประมาณเมตรครึ่ง ทรงสวยมากๆ เอาให้นิทานถือจนผูกพันมาก จะเอากลับบ้านด้วย) / การหยั่งความลึกของแม่น้ำด้วยกิ่งไม้ / วิธีการเดินบนสะพานไม้ / ความเสื่อมของโครงสร้างไม้ / การทรงตัวในที่แคบ / อากาศดีๆ พอดมแล้วสบายจมูก / อุโมงค์ต้นไม้ / ถ้าจับมือพ่อไว้แล้วจะไม่ตกน้ำ / ฯลฯ

ส่วนความรู้ใหม่สำหรับผมผู้เป็นพ่อ ก็คือ “เด็กควรโดนดินบ่อยๆ” ยิ่งบ่อยยิ่งดี เหมือนเป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่คนกรุงเทพฯ (อย่างลูก) แทบไม่เคยได้กิน อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันแล้วเนอะว่าทำไม :D

คือไอ้พ่อน่ะเล่นดิน อยู่กับดินมาตั้งแต่เกิด เลยรู้สึกอยากครอบงำความคิดนี้ให้ลูกเสียบ้าง ถึงแม่เราจะเจออะไรมาต่างกัน แต่อยากให้ได้สัมผัสความมันส์แบบที่พ่อเคยเจอตอนอายุเท่าเจ้าเสียหน่อย และยินดียิ่งนักเมื่อได้รู้ว่าเจ้าก็โคตรแฮปปี้เลย

ส่วนแม่… ช่างแม่ แม่ชอบกระเป๋ารองเท้าและเงินทองต่อไปนั่นแหละดีแล้ว จะได้ถ่วงดุล

คอมเมนต์

#หนีกรุง Day 3: ถ้ายาง

image

บล็อกตอนนี้ขอแหกธรรมเนียมของสองวันที่ผ่านมาหน่อย พอดีที่พักวันนี้มันมีห้องสลัวๆ ให้พอใช้มือถือได้ ไม่ต้องแอบเขียนในห้องน้ำอย่างเคย

ด้วยความงูปลา ผมเริ่มสนใจต้นไม้ใหญ่ๆ บ่อยขึ้น เริ่มขับรถและชื่นชมความเจ๋งของต้นไม้ข้างทางให้เมียฟังถี่ขึ้นในระยะหลังๆ

มันคงเริ่มมาจากการอยากครอบครองต้นไม้ทรงสวยๆ เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งต้นหูกระจงนั้นตอบโจทย์ ขออนุญาตเอ่ยชื่อ-ผมทวีตคุยกระหนุงกระหนิงกะพี่หนุ่ยอำพลในฐานะที่เป็นคนชอบไม้ยืนต้นเหมือนกัน (สมัยนั้นยังฟอลโลวกัน ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่แล้วก็ไม่รู้ 555)

แน่นอน พอรากหูกระจงหน้าบ้านที่สูงเท่าตึกสามชั้นเริ่มออกอาการระรานโครงสร้าง นั่นก็ทำให้ความรักที่มีต่อมันน้อยลงไปหน่อย คือรู้ว่ามันเป็นต้นไม้ใหม่ ที่คนไทยรู้จักมาแค่ไม่กี่ปี ดังนั้นการที่สถาปนิกเลือกระบุชื่อมันให้เป็นไม้ประดับหน้าบ้านที่เป็นตึกแถว นี่ถ้าพูดว่าคงเป็นความผิดพลาดก็ไม่เกินไปนัก

โอเค ประสบการณ์สอนให้เรารู้แล้วว่าปลูกชิดโครงสร้างแล้วไม่ดี จะให้ดีควรเผื่อที่ให้มันแผ่บารมีเยอะๆ

ดังนั้นในโปรเจกต์หนองแฟบของผม (ทำลิงก์ย้อนไปบอกตอนนู้นไม่ถนัด) เลยปลูกมันลงไปเป็นหูกระจงคู่ ให้ห่างกัน 4 เมตร …ระยะผูกเปลน่ะ ไม่ได้มีภูมิความรู้อะไรหรอก เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าพอโตมาแล้วจะยังไงต่อกับมัน แต่ที่แน่ๆ คงไม่ปลูกบ้านไว้ใกล้นัก

นี่ล่าสุดสองต้นนั้นก็สูงเกือบสามเมตรเรียบร้อย ไชโย!

เนื่องจากมันยังใหม่ในไทย ดังนั้นเราจึงไม่เคยเห็นหูกระจงที่โตเต็มที่ แบบที่จงโตไปให้เท่าที่พระเจ้าจะอนุญาต ดังนั้นความสุขเล็กๆ ของผมคือการตามล่า ไม่สิๆ ตามเก็บสถิติส่วนตัวว่าที่ไหนหนอ ที่ปลูกหูกระจงได้ยิ่งใหญ่ที่สุด

ในกรุงเทพฯ เคยเห็นที่โชคชัยสี่ ซอยห้าสิบ ต่อมาก็โดนล้มสถิติโดยอีกต้นที่ใหญ่กว่า และแผ่กิ่งก้านอลังระดับก้ามปูที่ร้านส้มตำลาดปลาเค้าซอย 72 (คุณลุงเจ้าของบอกว่าปลูกมา 15 ปี ไม่เคยตัดเลย โอเคครับ ผมก๊อปสูตรนี้นะ)

แต่สถิติก็มีไว้ทำลาย เมื่อไปเที่ยวจันท์แล้วเจอต้นที่อยู่ริมถนนแถวท่าใหม่ โอ้โห สูงอลังการจนต้องเหลียวหลังตอนขับรถ

และล่าสุด ตอนนี้ผมก็นั่งเขียนบล็อกใต้ร่มสถิติโลก(ส่วนตัว)ล่าสุด อยู่ที่เพชรวารินทร์รีสอร์ต แก่งกระจานนี่เอง พี่เป็นหูกระจงที่เกิดริมแม่น้ำเพชร เลยโตแบบไม้ป่า คือกูต้องชะลูดแข่งกับต้นอื่นๆ ที่สูงสุดแหงนมาก่อน ดังนั้นพี่จึงไม่เน้นแผ่บารมีออกข้าง แต่นี่ออกแนวสูงอย่างเดียว แข่งกับตีนเป็ดที่กลายเป็นไม้ชะลูดได้ไงไม่รู้ เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะขนาดกล้องโกโปรยังเก็บไม่หมด!

image

แถมแถวนี้ยังมีแบบที่เน้นแผ่ฯ ตามคอนเซปต์อีก คือต้นที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ นี่ถ่ายมาให้ดูด้วย เสียดายในรูปไม่เห็นคนยืน จะได้เทียบสเกลให้รู้ว่ามันใหญ่มาก

หลังจากรู้จักหูกระจง ก็เริ่มสนใจไม้ยืนต้นอื่นๆ เริ่มตั้งแต่มะขามหวาน ที่เป็นต้นไม้ต้นแรกที่ตัวเองปลูกในวัยเด็ก เอ้อ จะพูดว่าปลูกก็คงไม่ใช่ แค่พ่อแม่ซื้อมาแล้วเรากินเสร็จ ถุยเม็ดมันลงดินในตำแหน่งที่ตั้งใจจะให้มันงอกเงย แล้วสิบกว่าปีต่อมามันจึงเป็นต้นไม้ใหญ่ประจำบ้าน ระบบนิเวศสวยงามร่มรื่น เสียดายที่มีดราม่าบางประการ มะขามหวานที่รักต้องมีอันโดนโค่นทิ้งไป …เล่าย้อนให้รู้ว่ามันเป็นพืชที่ปลูกง่ายและสนิทสนมคุ้นเคยกันดีมาแล้ว นี่จึงยังเป็นต้นไม้ที่เป็นตัวเลือกแรกๆ เสมอเวลาอยากผูกเปล

มะม่วงล่ะ ไม่เอา ไม่ปลูกเพิ่มแล้ว โตมากับมัน มีเยอะไปหมด มดแดงเอย กิ่งเอย ยางเอย งูเอย!

ก้ามปู ชอบมาก แต่ไม่ชอบความเปราะของมัน ถ้าวันไหนมีตังค์พอจะเลือกซื้อที่ดินใหญ่ๆ ได้ คงพิจารณาจากการมีก้ามปูเก๋ๆ สักต้นนี่แหละ 5555

แล้วก็มาถึงยางนา (เข้าเรื่องซะที)

ใครมาจากกรุงเทพฯ ก่อนถึงตัวอำเภอท่ายาง จะเห็นว่าอยู่ดีๆ สองข้างทางก็กลายเป็นป่า มีไม้ยืนต้นต้นสูงลิบเท่าตึกสิบยี่สิบชั้นยืนเรียงกันเต็มไปหมด เป็นต้นที่เน้นสูง ลำต้นตั้งตรง กิ่งก้านไม่เยอะ เห็นแล้วน่าหั่นแนวยาวมาทำโต๊ะยักษ์ตามงานเฟอร์นิเจอร์แฟร์

นั่นแหละครับ ต้นยางนา

มีตำนาน (ที่เป็นเรื่องจริง) อยู่ว่า สมัยก่อนในหลวงเคยเสด็จผ่านแล้วเห็นว่ามันเจ๋งมาก ทรงโปรด อนุรักษ์ไว้นะ ไม่ใช่แค่โปรดเปล่าๆ ทรงเอาไปเพาะในแล็บเกษตรส่วนพระองค์อีกด้วย นั่นคงเป็นเหตุให้ป่ายางแถวนี้ยังไม่โดนตัด และอำเภอท่ายางที่มีต้นยางอยู่เต็มไปหมดโดยเฉพาะริมน้ำหรือตามวัดวา ก็เลยยังแฮปปี้กันดี

พออยากได้อยากมี ก็เลยหาอ่านข้อมูลจนรู้ว่าต้นไม้ชนิดนี้มีชะตากรรมแสนอาภัพ คือมี พ.ร.บ. สมัยปี 2484 ระบุไว้ว่ามันเป็นพืชที่ต้องอนุรักษ์ ใครจะปลูก ปลูกได้ แต่ถ้าจะโค่นจะตัดมาแปรรูป ต้องขออนุญาตป่าไม้ก่อนแม้จะอยู่ในที่ดินตัวเองก็ตาม เช่นเดียวกับสักและพะยูง ไม่งั้นโดนโทษหนักไม่รู้ตัว (เป็นแสนนะครับ) และในทางปฏิบัติ เห็นมีแต่เกษตรกรบ่นกันว่าการขออนุญาตกับทางการนั้นยุ่งยากเชื่องช้า จนบางทีโค่นลงมา 2-3 ปีแล้วยังทำเรื่องไม่เสร็จ จะเอามาสร้างบ้านก็ไม่ได้ พร้อมแนบภาพประกอบ

นั่นจึงทำให้ครั้งหนึ่งที่คันนาของเกษตรกรไทยที่เคยปลูกยางนากันเขียวไสวสวยงาม ต้องโดนแอบตัดทิ้งก่อนที่มันจะโต ก็เพราะกลัวซวยนี่เอง หลายคนเรียกว่าเป็นต้นอัปรีย์เลยด้วยซ้ำ เศร้าเนอะ น้ำตากามเทพเลย

แต่เท่าที่อ่านความเห็นของคนรักต้นไม้เขาคุยกัน ทางออกที่ดีก็คือพอจะปลูกก็ไปขึ้นทะเบียนกับป่าไม้จังหวัดไว้ก่อน หรือทำเป็นสวนป่า ต่อไปเวลาจะตัดจะอะไรจะได้ง่าย อันนี้เลยจดเอาไว้เพื่อเตรียมทำเรื่องขอเมีย (เมียอยากได้ลั่นทมมากกว่า)

เออ แล้วเลยได้ข้อคิดจากคุณลุงที่เป็นติ่งยางนา (จำชื่อลุงไม่ได้ครับ ขออภัย) แกบอกว่ามันคือพืชมหัศจรรย์ ปลูกทิ้งขว้างไว้เถอะ หนึ่งต้นช่วยลดอุณหภูมิรอบๆ ได้ถึง 1-2 องศา

โอ้โห เท่านี้ก็พอแล้วครับเหตุผล นึกภาพออกเลยว่าแค่ปลูกทิ้งไว้โดยลงทุนค่ากล้ายางแค่ 10 บาท สิบปีต่อมามันก็กลายเป็นเสมือนแอร์ขนาดใหญ่ (การนอนอยู่บ้านทั้งวันโดยไม่ต้องเปิดแอร์นั้นยังเป็นจริงในโลกนอกกรุงเทพฯ นะครับ)

นอกนั้นเขายังมีสูตรเพาะเห็ดไม่อั้นตรงรากต้นยาง, การนำน้ำยางมาทำเชื้อเพลิงหรือพลังงานทดแทน (อันนี้ล้ำมาก) และถ้าวันนึงจะหั่นมาทำบ้านอะไรก็ทำได้เลย เออดี คุ้มดี แต่ขอเวลาสัก 20 ปีนะ

ต้นไม้ใหญ่ในความคิดของผมคือมันเลยเรื่องเท่ เรื่องความหล่อถ้าพูดถึงอะไรอนุรักษ์ๆ รักษ์โลกๆ ไปไกลแล้ว แต่นี่เราพูดถึงฟังก์ชันล้วนๆ – ครับ ต้นไม้นี่แหละคือสุดยอดฟังก์ชันที่บรรพบุรุษเรารู้กันมาเป็นหมื่นปีแล้ว

เห็นไหมว่าตอนนี้เริ่มพูดเรื่องอะไร 10 ปี 20 ปีบ่อยขึ้นเรื่อยๆ นั่นคงเป็นนิสัยของคนที่สนใจต้นไม้ใหญ่ล่ะมั้ง คือไม่รีบ เรื่อยๆ นะ จะรอดู ตอนเราแก่ๆ คงได้นั่งเก้าอี้โยกดูความร่มรื่นจากพวกแก ถ้าแกไม่โตแบบเท่ๆ ก่อน เราก็ตายก่อน

ก็เท่านี้เอง

ป.ล.
ภาพประกอบบล็อกบนสุด ถ่ายแถวๆ คอชะออม ริมน้ำเพชรอีกแล้ว มีนายแบบตัวน้อยเป็นลูกชายคนรู้จักของแม่ กำลังช่วยผู้ปกครองเข็นรถเข็น เอาใบไม้แห้งไปกองรอเผา และต้นไม้ยักษ์ลิบๆ ข้างหลังนั่นแหละครับ ยางนา

คอมเมนต์

#หนีกรุง Day 2: เพชรบุรีดีเหมือนกัน

image

“มาจากไหนกันคะ”
พนักงานเกสต์เฮาส์ถาม เราตอบไปด้วยความเคยชินว่ากรุงเทพฯ พลันนึกขึ้นได้ระหว่างคำถามถัดมา

“เคยมาเพชรบุรีไหมคะพี่”
ผมเลยตอบไปว่าเป็นคนเพชรบุรี แบบเขินๆ หน่อย เพราะเอาเข้าจริงแทบไม่มีความรู้อะไรเลยกับโซนเกสต์เฮาส์ย่านริมแม่น้ำเพชรอันเป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่ฝรั่งแบ็กแพ็ก (ที่เป็นคนละกลุ่มกับที่เข้าใจว่าไทยแลนด์คือพัฒน์พงศ์ พัทยา หรืออีกประเภทก็เข้าใจว่าประเทศนี้มีแต่ช้าง วัด และจาพนม)

พูดก็พูดเถอะ นี่ถ้าไม่เห็นฝรั่งแววตาอินดี้หลายๆ คนที่เช่าจักรยานปั่นไปมาในซอยแถวนี้ ก็คงนึกไม่ออกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน สมัยมัธยมต้น ผมก็เคยแว้นมาทำกิจกรรมที่โรงเรียน และนึกสนุกเมื่อเห็นแหม่มสาว (น่ารักแหละ) แบกเป้ขนาดควายท้องแก่ เดินงงๆ อยู่แถวหน้าโรงเรียน เดาว่าคงเพิ่งมาจากท่ารถประจำทาง

ไอ้หนุ่มคนนั้นรวบรวมความกล้า เลียบๆ จอดรถข้างๆ และถามแหม่มสาวด้วยภาษาอังกฤษแบบเกร็งแกรมม่าร์ที่สุดเท่าที่จะคิดออก ว่า จะไปไหนครับ ผมไปส่งให้เอาไหม

แหม่มสาวงง (ก็สมควร) แต่เห็นว่าคู่กรณีช่างดูเนิร์ดและตัวเล็กกว่าขนาดนี้ ถ้ามันจะปล้ำก็คงทุ่มกระเป๋าใส่ น่าจะเกิดการไส้แตกกันบ้าง

เหยื่อตกลง “ฉันจะไปเกสต์เฮาส์ริมแม่น้ำ”

แน่นอน ผมฟังไม่รู้เรื่อง (อีห่า ด่าตัวเอง) เลยขอแผนที่ของแหม่มมาดู ได้ความว่า เธอจะเดินมาแถวนี้แหละ …แถวที่พักของผมในอีกยี่สิบปีถัดมานี่แหละ

นั่นเป็นการคุยกับฝรั่งครั้งแรกในชีวิต แล้วก็ลืมไปแล้วว่าแถวนี้มีที่พักราคาหลักร้อยบาทที่มีไว้สำหรับคนสนใจมาเสพวัฒนธรรมแบบง่ายๆ ไม่มีภูเขาทะเลผับบาร์ร้านเหล้าหรืออะไรที่เอ็กโซติกๆ สักอย่าง มีแค่ซอยเล็กๆ ที่มีแต่รั้ววัด อีกฝั่งของแม่น้ำก็เป็นตลาดสด ก็เท่านั้นเอง

เผอิญว่ามันเป็นสถานที่ที่วัฒนธรรมรากเหง้าพื้นถิ่นแข็งปั๋ง แบบที่ไม่ได้ทำมาอวดนักท่องเที่ยวจนเสียความเป็นตัวเอง แต่กลับเป็นแนวที่ชาวบ้านในย่านนี้ต่างก็รู้ว่าตัวเองมีของ มีกลุ่มคนที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นระดับสูงปรี๊ดมาช่วยกันบิ๊วผู้คนให้ตื่นรู้ (นึกภาพว่า อ.ล้อม เพ็งแก้ว แกก็ป้วนเปี้ยนแถวนี้) นั่นทำให้บรรยากาศแห่งวัฒนธรรมที่นี่มันไม่ฉาบฉวยแบบหลอกฟันนักท่องเที่ยว และไม่เสื่อมสลายเพราะไม่มีคนรักษาเป็น

การมานอนกลางเมืองเพชรบุรีในคราวนี้จึงต่างจากทุกครั้งที่เคย

ป.ล.
เคยเขียนเรื่องงานเพชรบุรีดีจัง ซึ่งเป็นงานของคนหัวสมัยใหม่ที่รู้ว่าควรพรีเซนต์อะไรในจังหวัดนี้มาแล้ว (พอดีบล็อกตอนอยู่เขียนในมือถือตอนอุ๊จ เลยทำลิงก์ไปไม่ถนัด) เอาเป็นว่าอวยไส้แตกครับ คนที่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้และทำได้ถึงจริงๆ ผมกราบครับ

คอมเมนต์

#หนีกรุง Day 1: สะพานสระแก้ว

image

เมียบอกว่า รับไม่ได้ ที่การมาเหยียบสะพานสระแก้วคราวนี้จะเป็นระยะเวลา 16 ปีนับตั้งแต่ได้มาทับแก้วครั้งแรก

เอ้า ก็แก่แล้วอะ จะให้เนียนใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งกระโปรงพลีตมาเดินงี้เหรอ แฟนตาซีไปปะ

แต่ดูแววตาแฮปปี้ของเมีย ผมก็โอเค สบายใจละ หายล้าจากการโหมทำงานล่วงหน้าติดต่อกัน 2-3 วัน เพื่อจะได้ใช้เวลาหยุดยาวประจำปีคราวนี้ หมดไปกับการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แบบยาวๆ (เมียฝากบอกโจรไว้ว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังมีคนอยู่บ้านที่ลาดปลาเค้าตลอด 24 ชั่วโมง)

ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ประสาคนมีลูกเล็ก และมีเมียสลิ่ม ไอ้อะไรยากๆ ลำบากๆ คงกดข้ามไปก่อน รอลูกโตและรอเมียอยากลองอะไรประหลาดๆ ค่อยว่ากัน

ชีวิตเราเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ไอ้การจะหนีเที่ยวลุยๆ แบบสมัยยังโสดนั้นก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่ (มีไฟอยู่นะแต่ไม่มีโอกาส 5555)

ช่วงที่ผ่านมา นิทานกับเวลาต่างหายป่วย RSV (นิทานติดมาจากโรงเรียน แล้วเอามาเผื่อน้อง สรุปป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ทั้งคู่) ก่อนออกมานี่ แม่มันไปขอสมุดการบ้านจากครูต่าย และขออนุญาตลาหยุดพักฟื้นร่างกายยาวๆ สักสองสัปดาห์ จะได้ไม่ติดเพื่อนด้วย ครูต่ายยินดี  และให้การบ้านระบายสีมาหอบใหญ่

ส่วนผมเอง ดันเป็นตาอักเสบช่วงนี้พอดี (แถมยังโหมงานก่อนพักยาวด้วย เลยยิ่งอักเสบใหญ่) นับเป็นรอบที่สิบกว่าๆ เกือบยี่สิบแล้วมั้ง ประจำปี 2558 ซึ่งก็ไปหาหมอเกือบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งที่อาการมันคุ้นจนรู้ว่าไอ้แบบนี้เดี๋ยวก็หาย คือมันอักเสบหลายแบบ หลากหลายกระบวนท่าจนประวัติคนไข้ที่หมอจดไว้ช่างสวยงาม

สำหรับคราวนี้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย จะปวดทุกครั้งที่จ้องจอนานๆ จนตาล้า

ซึ่ง… นั่นแหละ เป็นสัญญาณว่ามึงควรพอได้แล้ว ปิดคอม ชาร์จแบตให้ยาวเลย

โอเค ไปนอนละ บั๊ย

ป.ล.จะลองเขียนบล็อกซีรีส์นี้ในมือถือดูว่าจะรอดไหม หวังว่าคงรอด

คอมเมนต์

ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์

กำลังหาสถานที่ถ่ายแบบเสื้อผ้าของร้านนลินฟ้า) ที่มันดูวินเทจๆ ออกแนวอังกฤษ อิตาลี ยุโรปใดๆ ก็เลยกูเกิลไปเรื่อยๆ (ส่วนมากสู้ราคาไม่ไหว แหะๆ) อยู่ดีๆ ก็เจอที่นี่ เป็นโรงแรม ชื่อ Praya Palazzo เลยกดดูข้อมูล ก็ว่าเอ๊ะคุ้นๆ แฮะ

เจออีกคลิปนึงเป็นรายการนี้ที่ถ่ายทำในปี 2010 ซึ่งเจ้าของโรงแรมบอกว่าเปิดมาได้ปีเดียวเอง

เอ๊ะ ไหนดูอีกคลิปซิ

โอ้ ชัดเลย เลยมาเปิดคอมดูโฟลเดอร์ภาพถ่ายที่เก็บไว้ ก็เจอโฟลเดอร์ชื่อว่า “20030216 – ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์” (มึงตั้งชื่อซะแบบ…)

เนี่ย เคยถ่ายไว้ด้วย

01-DSCF2997

ในยุคที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง และเช่าหอพัก (ไว้เก็บของซะเป็นส่วนใหญ่) อยู่แถวตีนสะพานพระปิ่นเกล้า ข้างๆ ชุมชนวัดดาวดึงษ์… ใช่แล้ว เป็นถิ่นกำเนิดของเนวัดดาวนั่นเอง พอนึกบรรยากาศออกเลยใช่มะ (ไม่)

คือ เมื่อก่อนไม่มีตังค์ครับ เป็นนักศึกษาบ้านจนพ่อแม่เป็นข้าราชการลูกสี่ มีหนี้สิ้นท่วมบ้านอะไรแบบนั้นแหละ แต่ด้วยกิเลสส่วนตัว อยากได้กล้องถ่ายรูปดิจิทัล จึงรับจ้างออกแบบนั่นนี่ระหว่างเรียน จนเก็บตังค์พอจะซื้อกล้องดิจิทัลได้ เป็นกล้องฟูจิ (เล่นฟูจิก่อนที่มันจะเริ่มฮิปอีก!) แต่เป็นแค่กล้องปัญญาอ่อนรุ่น FinePix 6800z นะ กดดูดีไซน์ของมันได้ พอร์ชดีไซน์เชียวนะะะะะ สมัยนี้ไม่มีใครทำกล้องประหลาดๆ แบบนี้กันแล้ว แต่ 12 ปีที่แล้วผมทุบกระปุกซื้อเพราะความสวยของมันนี่แหละ 5555555 (ซึ่งนิสัยนั้นก็ยังติดตัวมาจนทุกวันนี้ ที่ซื้อ E-P5 ที่ใช้ทำมาหากินทุกวันนี้ก็ไม่ได้สเป็กดีเด่ไปกว่ากล้องกิ๊กก๊อกใน พ.ศ.นี้ แต่นั่นแหละ มันสวย. ฟุลสต็อป)

สมัยนั้นพอว่างจากโปรเจ็กต์เรียนอันหฤโหด มีเวลาได้ไปนอนแผ่สลบอยู่ที่หอ พอตื่นมาบ่ายๆ ก็ชอบเดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่ในชุมชนวัดดาวดึงษ์กิน อร่อยบ้างอี๋บ้าง แต่ถ้าเขาขายได้ เราก็ต้องกินได้

พออิ่มท้องก็เดินถือกล้องนี่แหละ ไปถ่ายรูปเรื่อยๆ… (อะไรนะ ซิตี้สเคปเหรอ ไม่มั้ง มันดูยิ่งใหญ่ไป ที่ทำนี่ไม่ได้มีความงามอะไรหรอก แค่ชอบถ่ายบันทึกไว้ดูตอนแก่ งั้นเรียกว่าถ่ายเรื่อยๆ ละกัน)

เผอิญวันนั้นเดินไปส่งๆ จนทะลุริมฝั่งเจ้าพระยา เป็นท่าเรือเล็กๆ ของวัดดาวดึงษ์ ก็เลี้ยวซ้ายและเดินเละตลิ่งริมน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะเจออะไรสนุกๆ แล้วก็เจอเข้าจริงๆ

02-DSCF2998

ตอนนั้นตะลึงมากเลยครับ ต้องลองช่วยกันหลับตานึกภาพว่าไอ้นี่เดินๆ อยู่ในชุมชน มีขี้หมา มีเด็กวิ่งไล่กัน มีแม่ค้า มีรถเข็น มอไซค์ คุณยาย ร้านของชำอยู่ดีๆ แล้วเลี้ยวซ้าย ฟึ่บ ทะลุเจ้าพระยา มองไปด้านซ้าย และคุณจะต้องอึ้งเมื่อได้เห็นอะไรอลังการขนาดนี้มาหมกตัวอยู่ในจุดที่ไม่น่าจะมี …ในภาษาของวงการนึงเขาเรียกว่าเป็นช็อกสเปซ

03-DSCF3012

มันเป็นตึกร้างเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล อายุอานามน่าจะสมัย ร.5 (เดาเอาเอง) ที่อยู่ติดกับแม่น้ำพอดี คือถ้ามองในมุมของคนชอบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนี่มันเท่มากอะ ส่วนถ้ามองในมุมของพี่ป๋อง …นี่มันน่ามาเดินสายทัวร์ดูผีชะมัด

04-DSCF3013

ทั้งหมดนี้นี่คือปีนกำแพงถ่ายมานะ

05-DSCF3015

06-DSCF3016

เนี่ย แค่เห็นเสาก่ออิฐที่สีมันร่อนออกมาจนเห็นอิฐมอญข้างในก็ว่าโคตรสวยแล้ว ชอบ

07-DSCF3017

สีทาผนังเหลืองๆ ด่างๆ นี่ก็ชอบ บานประตูสีเขียวก็ชอบ (แล้วอะไรคือป้ายที่เขียนว่า “ฝึกฝีมือ”)

08-DSCF3018

เดี๋ยวนะ อันนี้เพิ่งเห็นตอนอัปภาพเขียนบล็อกนี่แหละ ว่ามันมีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องมืดด้านซ้ายชั้นบน (น่าจะเป็นกระจกสี) ที่พอมาซูมขยายดูแล้วเหมือนหน้าคน ไม่คนสิ เรียกว่าเจไดใส่หน้ากากจะเท่กว่า (ผีบอกกูเซ็งเลย)

10-DSCF3025

ภาพสุดท้ายนี่คือไปนั่งกับแก๊งเด็กในชุมชน ดูเขาชักว่าวกัน

สรุปว่าบล็อกนี้ไม่มีอไร จะอวดว่าเคยถ่ายตอนมันยังเป็นตึกร้างอยู่เท่านั้นเอง

อ้อ แล้วก็เลยนึกได้ว่าชอบอาคารสไตล์โคโลเนียลแบบนี้มานานแล้ว (ทำไมจบแบบดูจะมีความรู้วะ)

คอมเมนต์