ไม่ได้เขียนมาเดือนนึง!

นอกจากนี้แล้ว
– อย่าว่าแต่หนังสือกองพะเนินเลย การ์ตูนก็ไม่ค่อยได้อ่าน
– หนังก็ไม่ค่อยได้ดู (เมียตกลงเข้าโครงการ “ต่อไปนี้จะดูหนังทุกวัน”)
– เที่ยวเหรอ เออเที่ยวว่ะ เที่ยวบ่อยมาก

สรุปง่ายๆ ได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแบ่งเวลาชีวิตเกือบทั้งหมดไปกับลูก 2 คน (ที่ต้องการให้ชีวิตของพ่อและแม่กลายเป็นของเขาแบบคนละ 100% ทั้งคู่) ที่เหลือคือประคับประคองหน้าที่การงานของตัวเอง จนไม่มีเวลามาทำสิ่งอดิเรกใดๆ เลย

ก็ถือเป็นอีกครั้งที่พอรู้สึกว่าบาลานซ์เสีย ธรรมชาติของความเฉื่อยในตัวมันจะสะกิดแรงๆ แล้วบอกว่าต้องปรับอะไรสักอย่างแล้ว

ซึ่งก็ไม่สามารถหักดิบได้เพราะติดเงื่อนไขด้านบน ตอนนี้รอเวลาอย่างเดียว ให้ลูกโตกว่านี้อีกนิด (ไม่ใช่หลักปี แต่เป็นหลักไม่กี่เดือนต่อจากนี้) เราก็น่าจะว่างมานั่งเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยๆ ได้เหมือนเดิม

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนขู่ให้รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่มีลูกแล้วมาอ่านเข้า คงกลัว และตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยเพราะกลัวจะสูญเสียเวลาอันมีค่าของตัวเองไป ก็อยากจะบอกว่าเชิญเถอะครับ วิถีใครวิถีมัน ไม่โน้มน้าวละกัน

แต่ถ้าถามว่าถ้าให้ย้อนกลับไปได้จะมีไหม เฮ้ย ไอ้บ้า มีสิ

มันไม่ใช่แค่คุ้มแบบได้อย่างเสียอย่างนะ แต่นี่เสียแค่อย่าง แต่ได้มาสามร้อยล้านอย่าง โคตรคุ้มเลย

แต่อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก

คอมเมนต์

ขี้แตกจนเก็บไปฝัน

คำเตือน: ใครกินแกงกะหรี่อยู่ขอให้ปิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ครับ

คือผมเพิ่งไปกินเอ็มเคโกลด์มา พอกลับถึงบ้านดึกดื่น ตื่นนอนมาตอนเช้าก็สงสัยว่าทำไมมึนๆ เหมือนจะอ้วก และอ่อนระโหยโรยแรงผิดปกติ พอขี้ตอนเช้าก็ไหลพรวดๆๆ เป็นน้ำ อลังการมาก รอบเดียวไม่พอ นี่เบิ้ลเป็น 2-3 รอบ

ทีแรกก็คิดว่า “ร่างกาย เป็นอะไรของมึง แค่กูนอนดึกตื่นเช้านี่เล่นกูงี้เลยเหรอ” (ทำเสียงเหมือนยุ่น) คือคิดว่าเป็นเพราะนอนน้อย

แล้วก็ปั่นจักรยานไป ม.เกษตรเพื่อไปทำธุระที่ธนาคาร เสร็จแล้วก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก นั่งงงอยู่ตรงอาคารจอดรถ

อยู่ดีๆ ข้าศึกก็ประกาศสงคราม บุกเข้าตีเมืองอย่างจัง! เลยไปฝากรอยรักเอาไว้ใน ม.เกษตรก่อนกลับบ้าน แล้วพอนึกสงสัยก็เลยค้นในมือถือดู

ก็นั่นแหละครับ สรุปว่าอาการทุกอย่างชี้เป้ามาที่ “อาหารเป็นพิษ” และต้องปั่นจักรยานกลับบ้านอีก 7 กิโล (เป็นรถพับคันเล็กๆ เลยเหนื่อยกว่าคันใหญ่ไซส์มาตรฐานที่นักปั่นเขาปั่นกันประมาณ 3 เท่า) ปั่นไปก็มึนไป คือเพิ่งสำเหนียกว่ามันคืออาการเพลียจากการเสียน้ำมากเกินไป จะเป็นลม นึกอะไรไม่ออกเห็นรถเข็นขายสับปะรดเลยแวะซื้อ ช่วยได้นิดนึง แล้วปั่นเซๆ ถึงบ้าน นอนมันทั้งเหงื่อท่วมนั่นแหละ

แล้วก็ตื่นมาขี้ๆๆๆๆๆๆ ขี้ๆๆๆๆ เป็นน้ำ ไม่ต้องเบ่งอะไรเลย ทุกอย่างราบรื่นเกินไป เหมือนร่างกายตัวเองเป็นลูกโป่งที่เติมน้ำจากก๊อกจนเต็มแน่นบวมเป่ง พอเปิดรูนิดนึง น้ำก็พุ่งทะลักออกมา ต้องเอานิ้วคีบไว้ พอคลายนิ้วก็พุ่งออกมาอีก พรวดดดดดดดดดด

พอปรึกษาอาการกับเพื่อนหมอมันก็หัวเราะเยาะ (เกลียดดดด) แล้วสั่งจ่ายยามาแก้ขี้แตก สรุปว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันเลยไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ขับรถมาบ้านแม่ยายก็ให้เมียขับให้ (สบาย) แถมพอนอนก็เป็นไข้สูงปรี๊ด

ทีนี้มันสนุกตรงที่เก็บไปฝันว่าผมได้ไปงานสัมมนาสักแห่งแถวๆ นครปฐมกับคนไม่รู้จักทั้งขบวน (เหมือนงานเสวนาที่เอาคนมาจากหลายๆ แห่ง) แล้วปวดขี้ไง เลยไปขี้

ปรากฏว่าพอเบ่งออกมา มันดันก้อนใหญ่มาก สีเหลืองอมน้ำตาลกำลังพอดี กลมๆ แบบแอปเปิลเลย (ไม่รู้ออกมาได้ไง แข็งเป๊กเลยนะ) แล้วมันใหญ่จนยังไงก็ไม่มีทางกดให้ผ่านรูคอห่านชักโครกลงไปได้

ooj

กดไปกดมาก็ค้างอยู่ในรู ค้างคอขวดอยู่ครึ่งก้อนนั่นแหละ ทีนี้พอกดอีกที น้ำก็เริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ จนจะท่วมออกมานอกโถ ซึ่งจังหวะนี้อันตรายมาก ผมก็เหงื่อแตกอยู่ในส้วมแล้วนึกวิธีแก้ปัญหาอยู่นาน

รอให้น้ำลด แล้วเดินออกมานอกส้วม เผอิญเห็นไม้ที่เป็นตัวปั๊มท่อน่ะ ก็เอามาปั๊มๆๆ กดปล่อยๆ อีก้อนนั้นจึงหลุด บั๊วะ! ออกมาจากคอห่าน ในสภาพสมบูรณ์สวยงา่ม กลมดิ๊กๆ เหมือนเดิม

เอาไงดี เลยเดินออกมามองซ้ายมองขวา …เห็นช้อนตกอยู่ เลยเอาช้อนไปค่อยๆ บิออก หั่นแบ่งอุ๊จให้ขนาดของชิ้นเนื้อเล็กลงมาหน่อย (ในฝันได้ความรู้สึกว่านุ้มนุ่ม) ค่อยๆ ออกแรงกดตัดเป็นส่วนๆ ให้พอดีคำ แล้วก็กดให้มันลงไปอีกครั้ง ทุกอย่างจึงแฮปปี้

หลังจากตื่นมาจากฝันสู่โลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าก็ขี้แตกพุ่งเป็นน้ำเหมือนเดิม…

คอมเมนต์

“พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร”

1.
ประโยคที่เอามาเป็นชื่อบล็อกคราวนี้ ผมจำไม่ได้ว่าที่จริงเป๊ะๆ พี่แกพูดว่าอะไร เป็นประโยคจากบทสัมภาษณ์คุณแหม่ม เจ้าของ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” นวนิยายซีไรต์ปีล่าสุด (2558) ซึ่งเพิ่งประกาศผลไม่กี่วันมานี้เอง แต่บทสัมภาษณ์นี้น่าจะหลายวันแล้ว พี่แกมาในฐานะตัวเก็งของปีนี้
ชื่อรายการที่สัมภาษณ์ชื่อ Radio Read เป็นรายการวิทยุออนไลน์ผ่าน SoundCloud เพิ่งมีตอนนี้เป็นตอนแรก (ไม่รวมตอนแนะนำรายการซึ่งก็สนุกเหมือนกัน) ถ้าสนใจจงสละเวลาอันมีค่าของท่านไปฟัง

2.
พอก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว (แน่ล่ะ นี่ผมก็อายุ 30 กว่าๆ จนชินกับการมีเลข 3 เป็นของตัวเองแล้ว) พบว่าแทบทุกคนจะมีเหตุผล หรือสิ่งยึดเหนี่ยว หรืออีโก้ หรืออัตตา หรืออะไรอีกล่ะ ที่มันอารมณ์ประมาณนี้ แต่สรุปได้ว่าเป็นสิ่งรองรับการกระทำของตัวเองว่า “กูคิดแบบนี้ มีอะไรไหม และนี่คือคำอธิบายชุดความคิดของกู”
ซึ่งสิ่งนี้แม้จะฟังดูงี่เงาแค่ไหนก็ตาม มันน่าสนใจว่ะ

3.
หนังสือที่ผมอ่านตอนขี้ในช่วงนี้คือ The Writer’s Secret เป็นบทสัมภาษณ์นักเขียน หรือนักอะไรต่างๆ ที่มีอาวุธคืองานเขียน (ยกตัวอย่างเช่นพี่เจ้ย และเจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) แน่นอนต้องรวมถึงนักเขียนรุ่นเก๋าแบบที่เอ่ยชื่อแล้วคนไม่อ่านหนังสือยังรู้จักอีกหลายท่าน
ความสนุกมันอยู่ที่เราพบอัตตา-เหตุผลดังที่ว่ามาอัดแน่นอยู่เต็มเล่ม บางทีอ่านไปก็เฮ้ย อะไรของลุงวะ แต่ก็นั่นแหละ มันน่าสนใจมาก

4.
คำว่า “น่าสนใจ” นั้นอาจเป็นคำของคนแก่ก็ได้นะ คือเราไม่จำเป็นว่าต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม และเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องแสดงความรู้สึกขัดแย้ง แม้โคตรจะอยากแย้ง แต่มันคือความเคารพความคิด (หรือความคิดต่าง) ที่ก่อตัวขึ้นมาในช่วงที่สติเย็น ผมชอบความรู้สึกนี้ ผมเคารพความรู้สึกน่าสนใจนี้ เวลาเจอใครที่แม่ง ทำไมเหี้ยได้ขนาดนี้ หรือทำไมดีได้ขนาดนี้ หรือทำไมประหลาดขนาดนี้ แล้วมัน convert ออกมาเป็นคำว่า “น่าสนใจ” โดยอัตโนมัติ นั่นแหละจะเป็นตอนที่รู้สึกว่าเขาเป็นครูเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเคารพเขา เราอยากเรียนรู้ความดีเหี้ยประหลาดนี้ของเขา ซึ่งดี

5.
ตอนนี้รอบตัวผมมีคนรู้จักต่างทยอยเดินก้าวข้ามแกรนด์ไลน์แห่งชีวิตกันมาทีละคนสองคน หันไปวงการไหนก็ต่างเดินก้าวตามๆ กันมา สำหรับผู้หญิงเราจะได้เห็นการบ่นแบบหนึ่ง (เหี้ย กูสามสิบแล้วยังไม่มีผัวเลย) กับผู้ชายก็มักได้ยินอีกแบบ (เฮ้ยกูสามสิบแล้วทำไมชีวิตยังไม่มีอะไรเลยวะ)

6.
แต่เสียงบ่นที่น่าสนใจนั้นลอยมาอีกฝั่ง จากกลุ่มคนที่ถูกแปะป้ายว่า “ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี” ซึ่ง นับนิ้วมือดูแล้วเกินว่ะ รอบตัวผมมีคนประเภทนี้เยอะอะ ที่น่าสนใจ (ใช้คำนี้่บ่อยเกินไปแล้ว แต่มันน่าสนใจจริงๆ ถ้าผมสื่อสารถึงความน่าสนใจออกมาไม่เคลียร์ อนุญาตให้ด่าได้นะครับ) ก็คือ แต่ละคนต่างโอดโอยกันเรื่อง “Mid-life Crisis” กันทั้งนั้น ผมหูผึ่งและตั้งใจฟังทุกครั้งที่ได้เห็นคนเหล่านี้บ่น

ผมไม่ได้ติดตามชีวิตเขาเหล่านั้นตลอดเวลา (เป็นคนผิดของตัวเองที่เสือกไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก เป็นความผิดต่อโลก ต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ที่สิงอยู่ในนั้นเป็นหลัก) ดังนั้นการที่พอเข้าไปคุยกับลูกค้าแล้วเห็นเพื่อนที่ว่าโผล่มาบ่นเรื่องนี้ในไทม์ไลน์ให้เห็นกับตาบ่อยครั้ง จึงทึกทักตั้งข้อสังเกต เหมาเอาเองว่า กลุ่มคนที่ ปสคสรตตอยยมถ30ป. นี้ มันเคว้งว่ะ อาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองได้ขึ้นมาโดนสปอตไลต์ฉาบทับร่างกาย หรือโดนแปะฉลากว่าเป็นคนเจ๋ง หรือรู้สึกได้เอง หรืออะไรก็ตาม ตั้งแต่ยังอายุ 20 กว่าๆ และยิ่งอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เราแปะฉลากคนกันง่ายๆ ไม่แพ้การที่ผมกำลังทำอยู่ในย่อหน้านี้นั้น

มันกดดัน

7.
ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องนี้แล้วคุยกับเมียว่าเออ รอบตัวเรามีคนแบบนี้เยอะนะ เมียหันมาบอกว่า เตงก็เป็น ผมหันมามองตัวเอง (ก้มลงเอาคางติดร่องนม …ลองทำตูสิ #มองตัวเอง) …ยอมรับก็ได้ว่าผมก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น คือในช่วงวัย 20 กว่าปี ได้เคยทำอะไรๆ ที่มีคนพูดถึง มีผลงานออกสู่โลก ได้รับการยอมรับ ได้รับการคาดหวัง ฯลฯ หลายๆ อย่างจนตัวเองจำไม่ไหว* ถึงแม้จะเป็นแค่วงแคบๆ เท่าที่กะลาของผมจะกระดึบไปถึง แต่แคบๆ แบบนี้ก็เรียกได้แบบนั้นแล้ว

8.
แต่ทุกวันนี้ผมเรียกว่าแทบจะสลัดเชื้อแห่งนิวเจนฯ ทุกอย่างทิ้งไปทั้งหมด เป็นปริศนาที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม มานึกย้อนทีไรก็งง ยิ่งช่วงนี้ที่อยู่บ้านเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกและทำงานรับใช้เมียเพียงอย่างเดียว บางทีมันก็แว้บๆ ขึ้นมาเหมือนกันว่าเอ๊ะ เมื่อก่อนเราเป็นใคร เดี๋ยวนี้เราเป็นใคร — เราเป็นใครของใคร
คือรู้แหละว่าตอนนี้ชีวิตดีมาก แต่หาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมจึงดี เป็นความโอเคแบบงงๆ ประมาณว่าถ้ามีคนถามก็จะอธิบายออกไปแบบโง่มาก ทั้งที่ตอนตัดสินใจทิ้งอะไรไปแต่ละอย่าง มันต้องอาศัยความหนักแน่นทั้งนั้น เพราะนั่นคือการเลือกแบบที่เลือกแล้วไม่อยู่ในเขตเซฟโซนสักอย่าง …ตกลงมึงทำอะไร ทำเพื่ออะไร

9.
(สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ เราแนะนำให้อ่านข้อ 9 นี่ก็พอ อ้าว บอกช้าไปไหม) จนกระทั่งได้ฟังรายการวิทยุข้างบนนู้น และได้ยินประโยคที่เอามาทำหัวเรื่องบนนู้นนนแหละครับ ถึงได้เข้าใจ
รู้สึกว่าพิธีกรจะถามคุณแหม่มเรื่องการประสบความสำเร็จ เมื่อมีคนรู้จัก มีคนติดต่อชื่นชมและติดตาม เป็นสาวก และคาดหวังถึงผลงานที่จะทำต่อไป ว่ากดดันไหม คำตอบ (ถ้าจำไม่ผิดคือตอบทันทีด้วยซ้ำ) คือ “ไม่ พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร” ซึ่งแม่ง เหี้ย โคตรใช่เลย ทุกอย่างที่ขมุกขมัวมาในร่างกายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี มันแตกเปรื่องในประโยคเดียว ยิ่งคุณแหม่มอธิบายว่า ปัจจัยภายนอกไม่ได้มีผลกับพี่ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับจากผู้คน ความคาดหวัง หรืออะไรต่อมิอะไรที่ว่ามาในข้อ 7. ทั้งหมดแม่งคือปัจจัยภายนอก สิ่งที่กำหนดตัวตนของพี่ได้คือลูกผัว และต้นกระบองเพชรที่ปลูกไว้เท่านั้นเอง

10.
มีอีกคำถามคืออยากได้ซีไรต์ไหม คำตอบคืออยาก อยากได้ตังค์!

11.
ถึงผมจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตอะไร อาจจะเป็นคนขี้แพ้ด้วยซ้ำ แต่คำตอบของชีวิตที่ได้มาในวัย 30+ จากรายการวิทยุที่มีผู้ฟังถึงร้อยกว่าคน! (คลิปเสียงตอนที่ 2 นี่ 51 คน) นั้นมันช่างเคลียร์หมดจดสดใส บัดนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร และยิ่งตอกย้ำความมั่นใจที่ได้วางสิ่งนั้น ลาออกจากงานโน้น ปล่อยมือสิ่งนี้ ถอดหมวกใบนั้น ถอดหัวโขนนี้ออกหมด เปลือยจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินแกว่งไข่อยู่บ้านเงียบๆ แม่งตอนนี้เคลียร์แล้ว ใสยังกะตาตั๊กแตน

12.
บางทีคนเราก็แปลก เราไขว่คว้าหาคนที่พูดอะไรออกมาสักอย่างแล้วได้ความรู้สึกว่า “เฮ้ย นี่มันกูชัดๆ” คงเพราะแบบนี้มั้งที่เดี่ยวไมโครโฟนของโน้ตอุดมถึงขายดิบขายดี

13.
และยิ่ง พ.ศ.นี้ เสียงชื่นชม คำตำหนิ การกดไลก์ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรขึ้นมา มันยิ่งกลายเป็นเปลือกหนาหนัก

14.
นั่นแหละมั้งที่เป็นสาเหตุให้ผมไม่สามารถทำอะไรสม่ำเสมอได้ เช่นเพจเฟซบุ๊ก ที่อัลกอริทึมของเว็บมันบังคับให้เราต้อง “ทำอะไรออกมาอย่างสม่ำเสมอ” ไม่งั้นมึงก็จมหายไป ไม่มีวันโผล่ในไทม์ไลน์ของใครอีกเลยแม้ว่าจะตั้งใจขนาดไหน (จ่ายค่าโปรโมตโพสต์มาสิ!) ดังนั้นเพจที่ทำอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง ทำเองบ้าง แต่หือกับกฎดังกล่าว (คือโพสต์เดือนละครั้งซะเป็นส่วนใหญ่ และเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ) จึงร้างสนิท 55555 จนบางทีก็สงสัยพวกเพจคอนเซปต์ อะตัวอย่างก็เช่นพ่อบ้านใจกล้า หรือรบกวนตัดต่อภาพฯ เนี่ย แกเหนื่อยไหมวะ ที่ต้องสวมหัวโขนนี้อยู่ทุกวัน เอาน่ะถึงจะมีสปอนเซอร์เข้ามาเติมเงินให้เล่นมุกบ่อยๆ แต่การรักษาความสนุกของสิ่งที่สร้างมาจนถึงเฟสที่ต้องทำเป็นอาจิณ เพราะถ้าไม่ทำก็จะจมหายไปเนี่ย …มันยังสนุกอยู่จริงๆ ใช่ไหม

15.
สืบเนื่องจากดอกจันในข้อ 7 นั่นเป็นเหตุให้ผมเขียนบล็อกนี้ พอดีวันนี้ตื่นมาเห็นอีเมลเข้าฉบับนึง ซึ่งก็ควรจะเป็นเมลจากลูกค้าเสื้อธรรมดาๆ ที่มาสั่งสกรีนเสื้อ (โฆษณาร้านสกรีนเสื้อพร้อมแปะลิงก์) แล้วก็จากไป แต่ไม่ใช่
มันเป็นเมลอีกฉบับที่แยกออกมา และมีข้อความข้างในยาวเหยียด ผมว่าพิมพ์ใส่กระดาษ A4 คงได้สัก 3-4 หน้า และทุกบรรทัดทำให้ผมขนลุกเกรียว เจ้าของจดหมายบอกว่าผมติดตามพี่มานาน (จบครับ ผู้ชาย จบ) ขอบคุณมากๆ ที่พี่เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องเหล่านี้ที่พี่ทำ และเริ่มไล่เรียง “สิ่งที่พี่ทำ” ย้อนไปสมัยที่ผมทำอะไรสนุกๆ เนิร์ดๆ เห่อหมอยหน่อยๆ แต่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกประโยค ร้อยเรียงกันบรรยายถึงสิ่งที่ผมเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เราไม่เคยเจอกัน แต่เขารู้จักและติดตามผมผ่านตัวอักษรล้วนๆ (โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้) จนเขาโตเป็นผู้เป็นคนถึงวันนี้ ซึ่ง… สารภาพเลยจริงๆ ว่า 98% ของจดหมายฉบับดังกล่าว ผมลืมไปแล้วว่ากูเคยทำไอ้ที่ว่ามาด้วยเหรอวะ (คือมันนานมาแล้วจริงๆ ตั้งแต่สมัยเว็บฟอนต์แรกๆ แหละ) ที่แน่ๆ เขาเขียนมาอย่างละเอียด ด้วยไมตรีจิต ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณ และแจ้งโอนเงินค่าสกรีนเสื้อ…

16.
บางทีอะไรเซอร์ไพรส์แบบนี้ก็เจ๋งดีนะ ถึงจะเป็นเรื่องของอดีตก็เถอะ คนที่ไม่ชอบพูดเรื่องอดีตได้ฟังคงเซ็งๆ แต่กับผมที่เป็นพวกลืมอดีตไปหมดแล้ว 555555 ได้อ่านอะไรแบบนี้มันก็เมกมายเดย์อย่างอลังการเลยครับ ส่งให้เมียอ่านเมียก็ขนลุก

คอมเมนต์

กามาผาโด้

เพิ่งเคยได้ยินใช่ไหมครับชื่อนี้ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินเมื่อ 10 นาทีที่แล้วนี่เองเหมือนกัน

พอดีตอนเช้ามีอีเมลมาจากฝ่ายสมาชิกของอมรินทร์บุ๊กส์ที่ผมเป็นสมาชิกนิตยสารอยู่ เนื้อหาข้างในพูดถึงโครงการรับบริจาค ซื้อหนังสือ (จากอมรินทร์นั่นแหละ) ส่งไปให้กับห้องสมุดโรงเรียน




เรียน ท่านสมาชิก
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อณัญญา
โทร. 02- 423 9999 ต่อ 6141 , 02-4239889 ต่อ 4
E-mail : ananya-r@amarin.co.th

มีเอกสารแนบเป็นไฟล์เวิร์ดด้วย

พอดีผมไม่มีเวิร์ดเลยเปิดไม่ได้ พรีวิวจับภาพในอีเมลได้อย่างเดียว เลยเมลไปบอกเขาว่าโอเค ผมเอาด้วย เหมาหมดเลยครับ แต่ไม่สะดวกกรอกเอกสาร ต้องทำยังไงบ้าง

สักพักฝ่ายสมาชิกเขาโทรมา น้ำเสียงหลั่นล้ามาก เดาว่าคงไม่ค่อยมีคนติดต่อกลับไปแบบนี้

คุยกันกับคุณอมรินทร์ ก็เลยให้เลือกว่าจะระบุโรงเรียนไหนไหม หรือจะรับเป็นหนังสือไปบริจาคเอง หรือว่าจะให้ทางสำนักพิมพ์เป็นธุระจัดส่งให้ เราก็หยอดเงินไปอย่างเดียวก็พอ

พอดีไม่มีโรงเรียนไหนเป็นพิเศษ เลยเลือกอย่างหลังไป ปลายสายหันไปปรึกษาทีมงานสักครู่ก็บอกว่า ในอมรินทร์มีคนที่จบจากโรงเรียนนี้ / หรือคนที่เคยไปบริจาคของโรงเรียนนี้อยู่คนนึง แต่เป็นโรงเรียนที่ไม่สะดวกออกเอกสารอนุโมทนาบัตรใดๆ กลับมานะคะเพราะเขาอยู่ไกล (ผมบอกไม่เป็นไร ไม่เอา)

โรงเรียนนี้ชื่อ โรงเรียน ตชด.บ้านกามาผาโด้ ลองกูเกิลดูนะคะ… ได้ครับ

มีสตอรี่ประกอบหน่อยนึงว่า โรงเรียนนี้อยู่ไกล กันดารอย่างที่เห็นในคลิปนี้ครับ ที่เคยมีไปบริจาคของน้องๆ มาก็พบว่า แค่ขนมถุงเดียวน้องมาเห็นก็ตาลุกวาว แบ่งกันกินได้ทั้งโรงเรียนแล้ว

ก้มลงมองขนมตัวเองข้างจอคอม…

เลยฝากมาบอกข้อมูลต่อว่าถ้าจะบริจาคอะไรอย่างอื่น เช่นเสื้อผ้า ขนม ฯลฯ ก็ฝากไปได้เช่นกันครับ ยังไงติดต่อตามข้อมูลข้างบนนะครับ หรือถ้าจะซื้อหนังสือบริจาคโรงเรียนที่คุณรู้จักก็ได้ครับ

ผมอินกับสิ่งนี้มากกว่าการทำบุญที่วัดประมาณ 80 ล้านเท่า

คอมเมนต์

ถ้าไม่ใช่ Note 5 ยังไงก็ไม่ใช่ Note 5 (รีวิวจากการใช้จริงรัวๆ)

คำถาม: โห ช้าจัง โน้ตห้าออกมาตั้งเป็นเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาเขียน?
คำตอบ: โธ่พี่ จะไปเขียนเร็วแข่งกับชาวบ้านทำไมล่ะ ขอใช้งานจริงๆ ก่อนสิครับ

ก่อนหน้านี้ผมไปร่วมแคมเปญ “ถามให้หมด Note ตอบได้” กับเว็บ Droidsans.com โดยมีกติกาคือ ในช่วง 7 วันของแคมเปญนี้ ทางทีมงานจะระดมตอบคำถามที่มีคนสงสัยเกี่ยวกับโน้ตห้า แล้วโพสต์ลงในโซเชียลต่างๆ แล้วก็เข้าไปตอบ แต่ตอบเป็นคลิปสั้นๆ นะ นอกจากทีมพิธีกรจาก Droidsans แล้ว ผมเองก็ไปติดร่างแหแจมกะเขาด้วย เลยได้ลองจับ ลองคลำ พร้อมหาคำตอบให้กับผู้สงสัยมาทั้ง 7 วัน 7 คืน

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผมพอได้รู้ตื้นลึกหนาบางของมือถือรุ่นนี้ พอได้มาใช้งานจริงๆ ทำเครื่องตกพื้นจริงๆ (ตั้งแต่วันแรกเลย บัดซบ T-T) ผมจึงได้ล้วงแคะแกะเกา ปรับนั่นจูนนี่ และใช้ประโยชน์มันทุกส่วนทุกฟีเจอร์จนหนำใจ (เรียกว่าใช้จนปรุก็ว่าได้) แล้วจึงค่อยมาเล่าให้อ่านกัน ใครที่ยังลังเลหรือรอเปรียบเทียบกับมือถืออื่นๆ ก็ลองดูนะครับ แต่บล็อกนี้มีเนื้อหายาวมาก ถ้าขี้เกียจอ่านก็แนะนำให้เลื่อนๆ กวาดๆ ดูภาพ ดูหัวข้อที่สนใจก็ได้ครับ Continue reading ถ้าไม่ใช่ Note 5 ยังไงก็ไม่ใช่ Note 5 (รีวิวจากการใช้จริงรัวๆ)

คอมเมนต์