ใจกลางความเจ็บปวดหลัง

image

วันที่ 2:

ตื่นมาพร้อมอาการปวด ปวดหลังแบบสุดๆ ตรงช่วงเอว ระหว่างรอเมียอาบน้ำแปรงฟัน ผมก็พยายามลุกขึ้นนั่ง โอเคนั่งได้ แต่พอจะยืน มันไม่ไหวจริงๆ ทรุดลงมากองกับพื้น พยายามแล้วพยายามอีก ตะเกียกตะกายยังไงก็ลุกขึ้นไม่ได้ อย่าว่าแต่ยืนเลย คราวนี้นั่งก็ยังลำบาก

จนยักแย่ยักยันพาตัวเองลุกขึ้นมาได้ ก็รู้สึกเหมือนกำลังแสดงเป็นซอมบี้ คือไล่ดูดเลือดลูกเมีย ทุ้ยไม่ใช่ คือเดินตัวแข็งทื่อด้วยความเร็วประมาณหนึ่งจุดแปดสลอธ

วันนี้ผมจึงมอบหมายหน้าที่หยิบนั่นนี่ อุ้มเด็ก และหอบข้าวของทั้งหมดให้กับเมีย (มาคิดดูก็สบายดีนะ)

.

ย้อนกลับไปเมื่อวาน วันที่ 1:

เด็กๆ กำลังตื่นเต้นสนุกสนานกับห้องพักผนังสีน้ำเงิน เพดานโค้ง ดีไซน์แปลกตา โดยเฉพาะหนูเวลาตัวเล็ก ที่เดินสำรวจไปทั่วๆ จนกระทั่งเจอรูปลั๊กไฟ

คราวนี้ไวเกินกว่าที่เราจะเอาที่ปิดรูปลั๊กมาอุดรูได้ทัน เสี้ยววินาทีถัดมา เวลาก็เดินเอานิ้วชี้พุ่งเข้าไปหารูอย่างรวดเร็ว / ไวเท่าความคิด อีพ่อที่นั่งอยู่ห่างๆ เห็นภาพนั้นพร้อมกับที่แหกปากและเอี้ยวตัวพุ่งไปคว้าเด็กน้อยไว้ทันก่อนนิ้วจะถึงรูนั้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร

เด็กเซฟ แต่พ่อไม่เซฟ

รู้เลยว่าปวดบั้นเอวอย่างรุนแรง แรงกว่าที่เคยก้มลงแบกลังจากท้ายรถอย่างผิดท่าเมื่อปีก่อน ที่คราวนั้นปวดจนขยับตัวลำบากไปเป็นปี แต่คราวนี้รู้เลยว่าหนักกว่าเดิม

อาการเริ่มแรกคือปวดหลังส่วนล่างแบบสะกดเป็นตัวอักษรได้ ถัดมาคือตึงหลัง (อาการปวดไม่ลดลงตั้งแต่ตอนนั้น แต่มันจะพอมีท่าที่ไม่ปวด) แต่ก็ยังใช้ชีวิต ทำธุระจนผ่านพ้นวันได้อย่างสโลว์ไลฟ์ คือขยับตัวช้า เดินช้า หายใจช้า และอย่าใช้ตูหยิบอะไรที่ตกพื้นเด็ดขาด 囧

กินข้าวเย็นเสร็จ แม่ยายยื่นยาสักอย่างมาให้กิน ด้วยความไม่ไว้ใจเลยกูเกิลดู ก็พอได้ เลยกิน กะว่าเดี๋ยวกลับกรุงเทพฯ จะไปหาหมอให้ได้ เสร็จแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันจะล้มตัวลงนอน

แล้วก็พบว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการล้มตัว ยากจริงๆ พยายามอยู่นานมาก ปวดมาก เหมือนเอวผมหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นจุดหมุนของร่างกาย เราไม่สามารถงอตัวได้อีกเลย เลยหาวิธีก้ม ก้มได้แต่ก้มต่ำไม่ได้ เอนไม่ได้ เอียงไม่ได้ ภาระใดๆ ที่ส่งให้กับบั้นเอวนั้นทำไม่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างเจ็บปวดครวญคราง

แล้วก็กลั้นใจทิ้งตัวลงบนที่นอน โอเคนอนได้ แต่พลิกตัวไม่ได้ ห่ามาก

และแล้วก็ถึงวันที่สอง… อ่านข้างบนนู่นละกัน

ตอนนี้ขับรถ (เมื่อวานขับไม่ปวด วันนี้มีปวดบ้างละ อาการคงเริ่มจริงจังวันนี้) มาทำธุระที่สถานที่ราชการ สิ่งที่ไม่เคยสังเกตก็คือที่นั่งคนพิการ, รถเข็นบริการฟรีอะไรแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลย แต่คราวนี้พบว่ามันถูกจัดวางไว้เด่นมาก

เดี๋ยวจะคิดว่าบล็อกตอนนี้ผมเขียนด้วยความทรมาน จริงๆ แล้วอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่ผมสนุกกับการสังเกตนะครับ รู้สึกเลยว่านี่คือการซ้อมรับมือกับความชรา และความไม่เที่ยงของสังขารที่เรามีแววมากๆ ที่จะเป็นอาการนี้อย่างถาวรเข้าสักวัน แต่ตรงนี้ขอทดลองเป็นดูก่อน ทุกครั้งที่ร่างกายเคลื่อนไหวเราจะได้สังเกต สังเกตกระทั่งทุกการหายใจ

สนุกดี แต่อย่านานเหอะ

คอมเมนต์

Pebble Time : มันคือนาฬิกาก๊องแก๊งที่โอเค

Pebble Time

หลายวันก่อนไปบ้านคุณมะเดี่ยว (ใครเหรอ? – เอ๊า คุณมะเดี่ยวไง) คุณมะเดี่ยวหันไปหยิบนาฬิกาเรือนนึงที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเอาคินเดิลมาสวมข้อมือชัดๆ เท่านั้นยังไม่พอ มันบิ๊วว่า พี่แอน ซื้อเลย โคตรเหมาะกับพี่เลย

“ยังไงวะ?”

นั่นเป็นคำถามที่… ถ้านี่เป็นการขายตรง การถามชงแบบนี้คือเหยื่องับเบ็ด 100% ครับ

ย้อนไปสมัยตอนอยู่ ม.ต้น ผมเคยใส่นาฬิกาข้อมือเพราะแม่ได้มาฟรีจากบริษัทขายตรง (อ้าว ขายตรงอีกแล้ว) แต่ใส่ได้ไม่นานก็พังไง ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่คิดจะใส่อะไรให้หนักร่างกายอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นสร้อยแหวนเงินทอง (เพราะเกะกะ? – เปล่า กูไม่มีตังค์ซื้อ) หลังๆ เป็นหนักขนาดที่เวลาออกนอกบ้านก็ไม่ค่อยใส่กางเกงใน นี่เพิ่งมาเลิกในระยะหลังๆ ที่ลูกสาวชอบวิ่งมาเกาะขาแล้วดึงกางเกงโดยไม่ได้ตั้งใจ…

กลับมาๆ

ถึงจะบอกว่าไม่ชอบเกะกะ แต่เอาเข้าจริง เวลาออกจากบ้านทีไรก็ต้องหยิบภาระติดมือไปด้วยเสมอ ได้แก่ พวงกุญแจ, แว่นตา, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าตังค์ นั่นจึงทำให้พูดได้ไม่เต็มปากแล้วแหละว่าเป็นคนไม่เยอะ

และความที่เป็นพวกชอบเสพข่าวเทคโนโลยี และตามข่าวพวกของเล่นไฟฟ้าที่ออกมาใหม่ๆ ไม่เว้นวัน (นี่อย่างวันที่เขียนก็มีงานเปิดตัวสินค้าไฮเทคโฉ่งฉ่างที่สเปน รูดไทม์ไลน์ก็เจอแต่นั่นนี่มากมาย กรี๊ดๆๆ) เลยกะว่ายังไงเดี๋ยววันหนึ่งคงได้กลับมาซื้อนาฬิกาใส่สนองกิเลสกับเขาอีกครั้งแน่ๆ คือรู้ตัวเองดีพอๆ กับที่ปิดไว้ไม่ยอมบอกเมียนั่นแล

ด้วยความที่เป็นติ่งกูเกิล ตอนนั้นเลยเล็งพวก Android Wear สักเจ้า คือเกือบมาลงที่ Moto 360 แล้วครับ เพราะดูอะไรๆ มันลงตัวเกือบทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่อีแถบดำปื้ดๆ ด้านล่างสุดของมัน ในสายตาของคนชอบงานออกแบบแล้วรับไม่ได้จริงๆ แม่งทำมาแบบปล่อยปัญหาไว้ต่อหน้าต่อตา เกลียด เหมือนจอเสียอะ เสียใจ

แล้วที่รับไม่ได้จริงๆ ของนาฬิกาไฮเทคยุคนี้ (ที่น่าจะเป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตแบบสวมใส่ ที่ต่อไปมันจะกระโดดไปได้ไกลกว่านี้มากๆ) นั่นคือแบตเตอรี่ การที่ต้องใส่ๆ ถอดๆ ชาร์จๆ แม่งทุกวันนี่ถือว่าอุบาทว์มากอะ โลกเราพัฒนาอะไรๆ ไปได้ไกลมากแล้ว แต่เรื่องการกักเก็บพลังงานนี่ยังแบเบาะจริงๆ สมมติสามสิบปีผ่านไป มีลูกหลานผ่านมาอ่านบล็อกนี้ก็ช่วยเห็นใจคนรุ่นปู่ด้วยนะ

ทั้งหมดที่ว่ามา ก็เลยไม่ได้ปักใจฟันธงไปซื้อนาฬิกาฉลาดของเจ้าไหนสักที

นี่เราไม่พูดถึงนาฬิกาแอปเปิลที่เขาว่าเดิมพันกันสุดขั้วจะให้เป็นอนาคตของบริษัทนั่นนั่นละกันนะ ไม่มีความเจ๋งเลยสักนิดอะ ถึงขนาดได้มาฟรีก็เอา (เอามาขายต่อ ได้ตังค์ เย้)

อ้อ อันที่ไม่ใช่ Android Wear แต่พอเข้าเค้าก็คือ Samsung Gear Fit ชอบที่มันราคาไม่แพงและเล็กดี แถมเรายังใช้มือถือยี่ห้อนี้ด้วย มันน่าจะทำอะไรๆ ร่วมกันได้พอสมควร แต่ก็ไม่เห็นคนรอบกายใช้ เลยไม่กล้าแทงข้างนี้

กลับมาที่คุณมะเดี่ยว

อีเดี่ยวใช้ Pebble รุ่นคลาสสิกเลยมั้ง ผมสนใจตั้งแต่สมัยเขาเปิดระดมทุนแล้ว เลยถามเรื่องสรรพคุณดู ก็ได้คำตอบเรื่องสเป็กนั่นนี่อย่างที่เคยอ่านมาตามเว็บข่าว-รีวิวสินค้าไอทีนั่นแหละ แต่เคยเห็นของจริงแค่ผ่านๆ ไม่ได้ลองจับลองกดบี้ขยี้ขยำเหมือนอันนี้ ซึ่ง เฮ้ย ของจริงมันดูโอเคกว่าที่อ่านๆ มาแฮะ

เอาเป็นฟีเจอร์คร่าวๆ ละกันนะครับ ใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะไปหาอ่านสรรพคุณที่อื่นที่เขาตั้งใจเขียนดีๆ ได้เนอะ

  • บอกเวลาได้ (…)
  • ทำงานร่วมกับแอปในมือถือได้ ตั้งค่า และซิงก์นั่นนี่ข้ามกัน
  • ลงแอปได้ เป็นแอปสำหรับ Pebble โดยเฉพาะ ไม่ค่อยเยอะแต่ก็สนองเจตนารมณ์พื้นฐานได้ คือไม่ได้พยายามจะเป็นมือถือในรูปของนาฬิกา แต่มันคือนาฬิกาสำหรับคนมีมือถืออยู่แล้วไง ดังนั้นอยากเวอร์ไปเวอร์ในมือถือนู่น อันนี้ลงมากเดี๋ยวแบตหมดไว
  • เปลี่ยนดีไซน์หน้าปัดได้ มีแบบเยอะแยะให้เลือกโหลด หรือถ้าพลังเยอะก็ออกแบบเองได้
  • เออ ตัวหน้าปัดนี่ไม่ได้อะไรมากหรอก ก็เป็นจุดๆ ขาวดำ รุ่นใหม่ขึ้นมานิดนึงก็มีสีด้วย แต่เป็นจอแบบ E-ink ซึ่งแสดงหน้าปัดค้างไว้ได้ตลอดโดยไม่ได้ใช้ไฟฟ้า จะใช้ก็แค่ตอนเปลี่ยนจอหรือขยับดุ๊กดิ๊ก ให้ความรู้สึกเหมือนพก Kindle ไว้บนข้อมือ
  • หน้าจอมันเห็นชัดแม้ไม่มีแสงไฟ แต่ถ้าอยากเห็นชัดกว่านั้นก็สะบัดข้อมือ แสงจะแวบออกมา (ค่าดีฟอลต์คือ 3 วินาที แล้วจะดับไปเองเพื่อเซฟแบต) อันนี้ยิ่งเห็นชัด ชัดขนาดเป็นไฟฉายตอนอุ้มลูกไปฉี่กลางดึกได้เลย
  • กันน้ำ แต่เวลาอาบน้ำผมก็ถอดอยู่ดี ไม่ชอบเวลามันเปียกเหนอะหนะง่ะ
  • มีฟีเจอร์นับก้าวได้ ตั้งใจไว้แม่นมั่นว่าถ้าได้ใส่แล้วจะเดินให้ไดวันละหมื่นก้าว แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ถึง เป็นกรรมของคนทำงานเลี้ยงลูกเล็กอยู่บ้าน #ข้ออ้าง
  • ทดลองมาหลายวันพบว่าแบตมันอึดใช้ได้ นี่ใช้มาจะครึ่งเดือนแล้วมั้ง ชาร์จไป 2 ครั้ง (รวมครั้งแรกที่ลองชาร์จเล่นๆ)

คุณมะเดี่ยวบอกว่าข้อดีที่สุดของมันคือการสั่นปลุก ถึงจะฟังดูธรรมดา แต่เฮ้ย มันโอเคว่ะ คือเราตั้งค่าให้มันทำงานร่วมกับแอป Sleep as Android ให้มันปลุกตอนเราใกล้ตื่น อยู่ในระยะหลับตื้น ก็ตื่นมาสดใสปิ๊งปั๊ง อันนี้ลองแล้วบุ๋มว่าดีค่ะ

นอกนั้นก็คือการสั่นเตือนธรรมดาอย่างที่นาฬิกาไฮเทคทั่วไปพึงมี เช่นมีคนโทรเข้ามา แสดงบนหน้าจอว่าใครโทรมา จะกดตัดสายเลยก็เชิญ หรือกดปุ่มลัดให้มันส่งข้อความกลับไปว่างั้นงี้ได้ (โปรมือถือที่ใช้ดัน SMS ไม่ฟรี เลยไม่ใช้อันนี้)

แล้วก็ อะไรอีกวะ อ้อ มันแสดงโนติจากแอปต่างๆ เวลามือถือเด้งแอปไหนมันก็จะสั่นหงึกๆ เรียกให้ไปมองจอ เหมาะกับคนติดโซเชียล แต่ไม่เหมาะกับเรา เลยปิดให้หมด (เลือกปิดได้)

ทั้งนี้ ผมซื้อรุ่น Pebble Time สีดำธรรมดาๆ มาตอนมันจัดโปรลดราคา ส่งเข้าไทยแบบลงทะเบียนธณรมดา กะว่าเดี๋ยวศุลกากรคงเรียกภาษีเพิ่ม (เห็นใครไม่รู้บอกว่า 9 ใน 10 คนจะโดน ก็โอเคตามกติกานี้) ปรากฏว่าไม่โดนเพิ่มแฮะ เลยสรุปได้มาในราคาสุทธิประมาณ 5,000 บาทหน่อยๆ

ก็บอกเมียไปว่าจะเริ่มออกกำลังกายง่ายๆ แล้วนะ (เอาเรื่องนี้บังหน้าก่อนพูดเรื่องนาฬิกา) เมียเลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวเมียจะซื้อกระเป๋ากับ SK-II (อะไรสักอย่างนี่แหละ) บ้างเพื่อความสมดุล

อั้ก

คอมเมนต์

ลองเรียก lalamove มาขนตู้เย็น

lalamove

พอดีซื้อตู้เย็นใหม่มาครับ เลยจะส่งตู้เดิมไปบ้านแม่ยายที่ปทุม สอบถามราคาเปรียบเทียบจากรถขนส่งดูแล้วก็พบว่า มันตั้ง 1500 บาทแน่ะ เลยไม่สู้

พลันนึกขึ้นได้ว่ามีบริการเจ้านึงที่อยากลองใช้มานาน คือ lalamove เพราะชื่อมันน่ารักดี แต่คนรอบกายที่รู้จักยังไม่เคยมีใครใช้เลย จึงไม่มีรีวิวออกมาว่ามันดีหรือไม่อย่างไร รู้แต่ว่ามันน่าจะคล้ายๆ Grab (Taxi) เวอร์ชันขนของ

เลยลองโหลดแอปมา เออ แอปใช้ง่ายดี นี่เป็นตัวตัดสินของเราเลยนะ บางเจ้าดูดี๊ดูดี แต่แอปห่วยมาก (อย่าง All Thai Taxi งี้) ก็เลยไม่เคยได้ใช้ เป็นความโรคจิตอย่างนึง
พอกดเข้าไป เลือกประเภทรถ (เขามีแว้นไว้ส่งคนหรือเอกสาร, รถห้าประตูไว้ขนของเล็ก, รถกระบะไว้ขนของใหญ่) เสร็จแล้วก็ระบุปลายทาง ไม่ต่างจากพวก Uber หรือ Grab เลย กดเสร็จก็มีคำนวณมาให้ว่าค่าส่งกี่บาท ของผม 912 บาท เห็นออปชันเสริมเป็น ขอคนแบกของด้วยคนนึง (เพิ่ม +100 บาท) ก็โอเค ดีลเลย

พอเฟ้นหาคนขับนี่แหละครับเจ๋ง อย่างแอปเรียกแท็กซี่ทั่วๆ ไป มันจะหมุนๆๆ ไปวิ้งๆ ที่คนขับใกล้ๆ แล้วกดตอบรับสู้กันใช่มะ ใครได้ก็จะเด้งชื่อเบอร์โทรมาที่เรา แต่อันนี้พอได้คนขับแล้ว จะมีเสียงดนตรีดังขึ้นเป็น แท้มแท้มแท้มแถ่มมมมม

โอ้โห แกรนด์สัสๆ

ผมไม่ได้รอให้คนขับโทรมาก่อน พอดีอยากรู้เลยกดโทรไปเอง ก็คุยกันปกติ รอครึ่งชั่วโมงรถก็มาถึง มีคนขับท่าทางสุภาพแต่ทะมัดทะแมง พร้อมภรรยาหนึ่งหน่วย (ราคา 100 บาท ซึ่งดูหน่วยก้านแล้วภรรยาน่าจะยกตู้เย็นทั้งตู้ได้ด้วยมือเปล่าเลยแหละ)

ต่อไปเป็นบทสนทนา

ผม: ปกติพี่ขับรถส่งของอยู่แล้วใช่ไหมครับ
พี่: ใช่ครับ
ผม: แล้วนี่เขาโทรหาหรือแอปมันดังอะพี่ (ผมคิดเอาเองว่าคงไม่ค่อยมีคนใช้แอป)
พี่: แอปดังครับ
ผม: ปกติมีคนเรียกผ่านแอปบ่อยไหมครับ
พี่: เยอะครับ ส่วนมากจะเป็นพวกออแกไนซ์
ผม: อ๋ออออออออ

ดีครับ ชอบบริการอะไรแบบนี้ ช่วยพาผู้บริการ (หรือผู้ผลิต) มาพบผู้บริโภคได้ ลดขั้นตอนการเจรจาและระวังระแวงเรื่องคุณภาพสินค้าและงานบริการ ยังไงก็ช่วยมีอีกเยอะๆ นะครับ

คอมเมนต์

พี่แอ๋วผู้ใช้ดีแทค

p-aew-dtac

แม้บ้านผมจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เรื่องน่าแปลกใจก็คือ พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน สัญญาณดีแทคจะหายไปเลย

เหมือนเป็นคำสาป แต่ก็เป็นมาตลอดเกือบสิบปีที่อยู่บ้านนี้มา ที่จริงก็ควรจะสร้างความลำบากให้กับญาติมิตรแขกเหรื่อที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆอยู่หรอกนะ

แต่พอมานึกดู เหล่าญาติมิตรแขกเหรื่อที่มาหาบ่อยๆ ก็แทบไม่มีใครใช้ดีแทคเลย

มีแต่พี่แอ๋ว (คนเดียวกับที่โดนผีเด็กหลอกคราวก่อน) ที่พอมาช่วยเลี้ยงเด็กทีไร ก็ต้องเอาโทรศัพท์โนเกียเครื่องนั้นวางไว้หน้าบ้านเสมอ พอมีคนโทรเข้ามา แกก็จะวิ่งๆๆๆ ออกมารับสายแล้วไปยืนเว้าอยู่หน้าบ้าน อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นกันชินตา

ที่ผ่านมาเวลาพี่แอ๋วโทรหาใคร แกมักจะใช้วิธียิงให้โทรกลับเสมอ

ก็เข้าใจแหละว่างบน้อย ต้องใช้สอยอย่างฉลาด แต่ผมก็สงสัยเข้าจนได้ว่าเอ๊ะ คนที่ใช้ชีวิตในระบบ 2G เท่านั้นเนี่ย เขามีวิถีการดำรงชีวิตอย่างไร แล้วเคยคิดจะย้ายค่ายไหม เลยไปถามแกมา และได้คำตอบดังนี้

  • ใช้มาหลายปีแล้ว เป็นสิบปีแล้วมั้ง
  • แบบเติมเงินสิ โปรอะไรไม่ได้จำหรอก
  • เติมเดือนละ 2-300 บาท (ผม: โอ้โห) ไม่ๆๆ แล้วแต่ บางเดือนก็ไม่ถึง
  • (ไม่คิดจะย้ายค่ายเหรอ ช่วงนี้มีโปรย้ายค่ายเพียบเลย ราคาที่พี่จ่ายนี่ได้โปรดีๆ เยอะเลยนะ เผลอๆ ได้เครื่องมาเล่นไลน์ฟรีด้วย) … ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปย้าย
  • คลื่นก็ไม่ค่อยจะมีหรอก ที่สกลน่ะต้องใช้เอไอเอส ดีแทคหมดสิทธิ์ แต่ไม่เป็นไรเพราะพอกลับบ้านก็ไม่ได้จะโทรหาใครหนิ
  • บางเดือนเติมร้อยเดียว บางเดือนไม่ต้องเติมก็อยู่ได้ เพราะ “วัน” มันเหลือ นี่เหลือเป็นปีเลยนะ
  • เวลาเติมเงินก็เติมตู้ (ตู้บุญเติมหน้าเซเว่น / โลตัสเอ็กซ์เพรส) น้อยๆ ก็เติมได้
  • เมื่อก่อนพี่โทรกลับบ้านก็หยอดเหรียญเอาใช่มะ แต่เดี๋ยวนี้ตู้หยอดเหรียญมันหายากมากแล้ว (เออจริง ผมแทบไม่ได้สังเกตเลย) ตอนนี้ก็ใช้วิธีไปเติมที่ตู้เติมเงินมือถือนี่แหละ หยอดสิบบาทก็โทรไปเลยให้หมด เหมือนกับสมัยที่ใช้โทรตู้หยอดเหรียญเอา รู้สึกจะถูกกว่าด้วย
  • ประมูลคลื่น 900 MHz ที่ผ่านมาเนี่ยเหรอ ที่จริงพี่เก็งไว้ว่าเอไอเอสกับดีแทคจะได้นะ คือเอไอเอสนี่เงินเขาเหลือเฟือ ส่วนดีแทคน่าจะต้องสู้ให้ได้มาแหละเพราะสัมปทานในมือกำลังจะหมดแล้ว ทีนี้เกมกลายเป็นว่าการประมูลดันออกมาประหลาด แล้วนี่ล่าสุดตามข่าวโทรคมนาคมก็ยังเสียวว่าแจ๊สจะเบี้ยวไหม ส่วนทรูพี่ว่าเขาก็ดิ้นหาวิธีระดมทุนจนได้แหละ จะขาดทุนหรือยังไงอย่างน้อยเขาเทมาทางนี้แล้ว ก็ต้องเร่งสร้างอีโคซิสเทมส์ให้ครบอยู่ดี ไม่งั้นไปต่อไม่ได้
  • ข้อสุดท้ายพี่แอ๋วไม่ได้พูด
คอมเมนต์

เตรียมตัวตาย

2016

2558 ที่ผ่านมาไม่นานมานี้

เป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่หลวงอีกครั้ง แม้ภายนอกจะแทบไม่ต่างจากเดิม (นอกจากจะอ้วนขึ้น ตีนกาเริ่มชัด และผมหงอกเพิ่มขึ้นอีกหน่อย) แต่ภายในนั้นเรียกได้ว่าแทบคุยกับตัวเองในปีที่แล้วไม่รู้เรื่อง

ขนาดคุยกับตัวเองยังไม่รู้เรื่อง ก็เลยยิ่งไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดออกมาใส่บล็อกยังไงดี เอาเป็นว่านึกอะไรออกก็จะเขียนนะครับ

1. งาน

ลาออกจากงานประจำมาพักใหญ่ เผอิญว่าตอนออกดันลืมจำวันที่ หรือแม้กระทั่ง พ.ศ.ก็ไม่ได้จำ (จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันปีที่แล้วหรือสองปี หรือสามปีมาแล้ววะ) เพราะเหตุนี้เลยไม่มีหมุดไมล์อะไรให้นึกถึง รู้แต่ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่ผ่านมา และล่วงเลยไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรเหลือติดค้างคาใจ หลังจากลาออกมาก็ค่อยๆ เฟดตัวเอง วางทุกอย่างเกี่ยวกับโลกไอทีลงเรื่อยๆ จากที่เคยรับฟีด ข่าวสาร และพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้าและเชี่ยวชาญขึ้นในวงการที่ไม่อนุญาตให้เราหยุดนิ่ง …ก็ถึงเวลาปล่อยวางทุกอย่างลง แล้วก็พบว่าอากาศข้างนอกก็สบายดี

ตอนนี้ปล่อยวางงานสายออกแบบและพัฒนาอะไรๆ ที่แสดงผลบนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ได้ 100% แล้ว ถึงขนาดที่ว่าจะเปิดโค้ดแก้ CSS ยังต้องเปิดกูเกิลดูอภิธานศัพท์ละกัน

แล้วงานอื่นๆ ล่ะ?

จริงๆ เคยตั้งสเตตัสให้ตัวเองว่าเป็นคนที่เกษียณแล้ว แต่พอดูสภาพจริงๆ ผมก็ยังคงทำงานอยู่ แต่ดูเหมือนว่าง ใครถามก็พูดติดตลกว่าเกาะเมียกิน (จริงๆ ก็ใช่) แต่ก็นะ ลูกเต้าก็มี และเวลาว่างที่เหลือจากการเลี้ยงลูกก็ยังเอามาใช้หาเงินเลี้ยงชีพอยู่ดีจนได้ แต่ก็ยังคงคอนเซปต์ที่จะทำงานให้ไม่เกินวันละ 3-5 ชั่วโมงให้ได้ ซึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำได้ อันนี้ถือว่าน่าพอใจ

งานเขียนหนังสือ?
ที่จริงไม่อยากนับว่าเป็นงานเลย คือพูดไปแล้วก็อายคนที่เขาทำอย่างจริงจังและตั้งใจง่ะ อย่างงานเขียนเป็นเล่มที่เคยออกกับแซลมอน 3-4 เล่ม ตอนนี้ก็ขอหยุดพักชั่วคราว (โดยมีคนที่ทวงว่าเมื่อไหร่จะเขียนอีกที อยากอ่านมากอยู่ 2 คน คือเมีย และ บ.ก.) แต่ที่ยังทำอยู่ก๊อกๆ แก๊กๆ คือเขียนและวาดการ์ตูนลงคอลัมน์เล็กๆ ลงในนิตยสารฟรีก๊อปปี้แนวครอบครัวแค่ฉบับเดียว จะว่าไปมันก็เป็นงานที่โอเคนะ ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่เยอะดี ถึงงานจะไม่ได้ดังหรือขายดีซื้อบ้านซื้อรถได้ แต่ระหว่างที่ไปยืนเกาะขอบๆ รั้ว ก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ว่าอ๋อ ชีวิตคนเขียนหนังสือมันเป็นแบบนี้เอง มีอะไรเอาไว้เล่าให้ลูกสาวฟังได้หน่อยนึงล่ะ แต่ตอนนี้ขอพักไว้ก่อน เหตุผลที่หยุดคงได้กล่าวในย่อหน้าต่อๆ ไป

งานสกรีนเสื้อ?
ตอนนี้อาชีพหลักคือรับจ้างสกรีนเสื้อยืด (ร้านโมนามาเฟียนะครับ อุดหนุนกันได้ครับ บริการดีมากพอๆ กับหน้าตา พ่อค้าน่ารัก ถึงแม้จะลูกสองแล้วก็ตาม) งานนี้ทำมาได้สิบกว่าปีแล้ว ผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านยุคที่เครียดกับคุณภาพงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และความด้อยปัญญาของตัวเองในการรับมือกับปัญหา จนค่อยๆ หาทางแก้ไข ปรับปรุงจนตอนนี้ทุกอย่างดี วางระบบงานลงตัว สำรวจฟีดแบ็กในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าพอใจกว่าปีก่อนหน้ามากๆ ถึงรายได้จากงานนี้หักลบกลบหนี้แล้วเหลือไม่เยอะ (เรียกว่าไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวละกัน) แต่ทำแล้วยังมีความสุข มีลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำเยอะขึ้น ดี สรุปว่าดี ไม่ดีอย่างเดียวคือไม่ค่อยพอกิน

งานบริษัท?
อาชีพหลักแบบที่เลี้ยงครอบครัวได้จริงๆ ก็คือการเป็นกุนซือเบื้องหลัง, ตากล้อง, อาร์ตไดเร็กเตอร์ของร้านนลินฟ้านี่แหละ ปีที่ผ่านมาถึงใครๆ จะบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ลูกค้าหด รายได้หาย แต่ที่ร้านกลับมีความมั่นใจอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเราไปรอด คือถ้าเลือกเดินสายนี้ คุมการผลิต การตลาด จรรยาบรรณ และความสุขของทีมงานให้ได้คุณภาพสูงปรี๊ดระดับนี้ เราน่าจะล้มยาก หรือถ้าวันไหนเกิดเจอจังหวะที่ไม่คาดฝันแล้วต้องล้ม เราว่ารากฐานและการวางหมากของเราแน่นพอที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ สิ่งนี้เลยทำให้ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่นลินฟ้าแข็งแรงจนไม่ต้องเสียเวลามาด่ารัฐบาลว่าทำให้เศรษฐกิจพัง เอาเวลาด่ามาปรับปรุงตัวเองดีกว่า

ทางสว่างในการทำมาหากินยังมีอยู่เยอะ เยอะจนเสียดายเลยว่าตัวเองมีแค่ร่างเดียว และเป็นร่างที่ขี้เกียจมากๆ ด้วย

งานอื่นๆ
งานออกแบบต่างๆ ตอนนี้ปฏิเสธไปหมดแล้ว งานเว็บ งานแอปที่มีมาก็โยนออกซ้ายออกขวา ส่วนลูกค้าที่เคยดูแลอยู่กันมาเป็นสิบปีตั้งแต่สมัยทำฟรีแลนซ์ ก็ยังรักกันต่อไป แต่ไม่ทำอะไรเพิ่มให้แล้วนะ ลืมหมดแล้ว 55555

2. สังคม

เราคงไม่ต้องมานั่งแยกสังคมว่ามันมีหมวดออนไลน์-ออฟไลน์อะไรกันอีกแล้วเนอะ

พ.ศ.ที่ผ่านมา ผมเลือกคบคนน้อยลงเรื่อยๆ คงเป็นไปตามธรรมชาติของวัยนี้ แถมยังเป็นคนที่มีครอบครัว มีลูกสองด้วยอีก มันก็แน่

ที่แน่ๆ เนื่องจากตัวเองไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก ถึงพยายามจนเขียนบล็อกเล่าความพยายามมาแล้วหลายครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ จริตมันไม่ตรงจริงๆ (ยกเว้นเข้าไปตอบลูกค้า-เช็กโนติแล้วมันมีคนเมนชันมา เลยกดเข้าไปตอบ ซึ่งเอาจริงถ้าดูจากเม็ดเขียวๆ ก็ถือว่าผมแม่งออนทั้งวันอยู่นะ 5555) พอไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม ก็เรียกได้ว่าเราแทบไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกเลย ซึ่งผมโอเคกับสถานะแบบนี้

ส่วนทวิตเตอร์ที่คุณ @iannnnn ซึ่ง… กดดูล่าสุดมีผู้ติดตาม 369.9K …เหี้ย มึงมาจากไหนและมาทำไมกัน? คิดว่าเป็นบอตหรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้น่าศรัทธากับตัวเลขนี้ (เชื่อว่าเดี๋ยวทวิตเตอร์มันก็ปรับและฆ่าบอตทิ้งแบบที่ทำบ่อยๆ)

การเล่นทวิตเตอร์ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเปลี่ยนไปพอสมควร คือเดี๋ยวนี้เฉยๆ กับพวกพยายามกดสูตรโกงยังไงก็ได้ให้ได้ยอดรีทวีตเยอะๆ ก็เลยไม่ได้ตั้งป้อมด่าพฤติกรรมเหล่านั้นเหมือนที่ผ่านมา แต่ทวิตเตอร์ก็ยังเป็นที่พูดคุยทำความรู้จักแบบรักษาระยะห่างของคนได้ดี ต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง พฤติกรรมของใครที่ตรงจริตกันก็กดตาม ไม่โอเคก็กดเลิกตาม เป็นแบบนี้เสมอมา (ซึ่งต่างจากเฟซบุ๊ก ที่การ unfriend หมายถึงการจบความสัมพันธ์แบบไม่เผาผี) ซึ่งไอ้การที่แต่ละคนสามารถควบคุมระยะห่างของความสัมพันธ์นี้ได้โดยไม่ต้องให้คอมพิวเตอร์มันบงการเราจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้นั้น มันคือสิ่งที่เราโอเค และสังคมของคนที่เราตามเขา หรือเขาตามเรา และพูดคุยทักทายกันอยู่ ก็โอเค โอเคมากๆ

สำหรับสังคมเพื่อนๆ ยุคก่อนเฟซบุ๊ก ก็ล้มหายตายจากกันไป (แน่ล่ะ เพราะผมไม่ได้ไปเฟซบุ๊กตามเขา) บางคนเคยสนิทกันมากๆ มีตติ้งแม่งเกือบทุกอาทิตย์ ไปเที่ยวไหนกินอะไรก็นัดรวมตัว เจอกันตลอด หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานที่เคยคุยกันสนิทสนม พอจากกันด้วยระยะทาง ก็พบว่าเรากลายเป็นแค่คนที่เคยโคจรมาใกล้กัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องจากกันไปมีชีวิตของตัวเอง

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ เอาจริงๆ ก็เหงาเหมือนกันนะ แต่ก็เข้าใจ และหวังว่าสักวันเราจะมาเจอกันใหม่ ถึงจะเขินๆ อยู่หน่อยก็ตาม

ส่วนเพื่อนใหม่ๆ ที่เพิ่งมารู้จักในปีที่ผ่านมานี้ นึกแล้วแทบไม่มีเลยแฮะ ในขณะที่มิตรสหายบางคนที่ก่อนหน้านี้แค่รู้จักกันผ่านๆ แต่ปีที่ผ่านมาก็สนิทกันในระดับที่พูดจาหยาบคายใส่กันได้ แบบนี้ดีจังเลย ก็คงเป็นกฎของการคัดเลือกตามธรรมชาตินั่นแหละ

3. ครอบครัว

ปี 2558 ที่ผ่านมานี้ผมอยู่ในโหมดจำศีล อยู่แต่กับครอบครัวโดยสมบูรณ์ โอกาสจะออกไปเผชิญโลกนั้นอยู่ในระดับที่ “เอาไว้ก่อนละกัน”

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ปีที่ผ่านมานั้นตัวเองแทบไม่ได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ไมไ่ด้พ่วงลูกเมียไปด้วยเลย

บอกกันตรงๆ เลยก็ได้ว่าเหนื่อยเหมือนกัน พอลูกโตมาอ่านเจอบรรทัดนี้ก็ให้รู้ไว้นะลูกว่าพ่อแม่เอ็งก็เหนื่อย

ถึงจะเหนื่อย แต่ถ้าถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะยังเลือกมีลูกไหม จะยัง ยสตน กันอยู่ไหม ขอตอบเลยครับว่า อีบ้า ที่บอกว่าเหนื่อยน่ะ มันแค่ช่วงสั้นๆ มาเป็นเฮือกๆ เท่านั้นเอง พอมีลูกคนโตแล้วทำให้รู้ว่าช่วงเวลาที่วายป่วงที่สุดก็คือช่วงนี้ ที่กำลังฉายซ้ำและเกิดขึ้นกับลูกคนเล็กนี่แหละ เดี๋ยวลูกโตถึงระดับอนุบาลปั๊บ โอ้แม่เจ้า มันช่างแฮปปี้อะไรแบบนี้

ดังนั้นพ่อกับแม่จะหยุดดูคอนเสิร์ต หยุดเที่ยวโหด หยุดไปไหนก็ตามที่ไม่ได้พกลูกไปด้วย และยอมเหนื่อยแบบนี้ไปอีกจนกว่าทั้งตัวพี่และตัวน้องจะโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นตอนนี้ระหว่างที่ลุงตู่ยังเป็นนายกอยู่ พ่อกับแม่ก็จะทำหน้าที่นี้ให้เต็มที่ รอให้เวลาอายุ 3 ขวบเมื่อไหร่ เดี๋ยวเอ็งเจอ

4. สุขภาพ

ปีที่แล้วแย่ เคยอ้วนมากจนน้ำหนักไปแตะ 80 แล้วตกใจ ออกกำลังได้แป๊บนึงให้มันลดลงมาเหลือ 70 ปลายๆ จนตอนนี้อยู่ตัว แต่ก็นับว่าสุขภาพไม่ดี สาเหตุที่ไม่ดีก็งงๆ คือตาบวมบ่อยมาก ถามหมอตา หมอตาก็บอกว่าเป็นภูมิแพ้ รับเชื้อโรคจากภายนอก แล้วบวมสลับซ้ายขวาจนหมดค่าหมอไปหลายตังค์ ก็ยังไม่หาย จนเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันแทน
แต่ที่แน่ๆ คือร่างกายมันเตือนเราแล้วว่า มึงต้องพักมากกว่านี้แล้วนะยุ่น

5. งานอดิเรก

จนกระทั่งวินาทีที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ก็ยังแปลกใจตัวเองไม่หาย ที่เลิกสนใจงานออกแบบอะไรๆ ในหน้าจอมือถือ หรือหน้าจอคอม แทบจะไม่เหลือเยื่อใยเลยก็ว่าได้ (แต่ก็ยังทำงานกราฟิกแบบพื้นๆ อยู่) คือหยุดเรียนรู้แล้ว แต่นอกจากงานอดิเรกอย่างการ “หัด” (หัดจริงๆ ไม่ได้ถ่อมตัว) วาดรูปสเก็ตช์และระบายด้วยสีน้ำแล้ว

ความสนใจที่เพิ่งก่อตัวขึ้นไม่นานในปีที่ผ่านมานี้เอง แต่พอมันมาปั๊บ ก็รู้เลยว่าไม่ได้มาเล่นๆ เพราะพี่มาอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ … นั่นคือความชอบในงานออกแบบบ้านช่องว่ะ

บัดซบ…

ที่บัดซบคือผมจบถาปัดมาแบบไม่เก่ง พูดให้ถูกกว่านั้นคือโง่เลย เอาดีด้านนี้ไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่คำถ่อมตัว แต่ถ้าเอาใบเกรดออกมากางให้ดู ทุกท่านจะเปลี่ยนความเคลือบแคลงเป็นความสมเพชทันที

แต่ เหมือนสวรรค์แกล้ง ต่อมความสนใจในงานออกแบบด้านนี้ของผมมันเพิ่งมาเจริญงอกงามเอาเมื่อชีวิตก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังแล้วเฉยเลยว่ะ

ไม่ต้องอะไรมาก ทุกวันนี้มีเวลาเหลือนิดหน่อยก็นั่งเปิดดูแบบบ้าน หาแรงบันดาลใจที่จะเอามาใช้ทำนั่นนี่ด้วยตัวเอง (หลักฐานที่ Pinterest น่าจะซื่อสัตย์พอ) ที่ตอนนี้เสร็จไป 1 โปรเจ็กต์แล้ว ในปี 2559 นี้ก็จะได้ดำเนินการอีก 2 โปรเจ็กต์ (หนึ่งในนั้นมีคุณเต้ย สถาปนิกมืออาชีพมาเป็นผู้ขัดเกลาให้ นี่มันเพิ่งกินกุ้งเสร็จแล้วกลับไปเมื่อตอนบ่าย) และมีโครงการศึกษาและพัฒนาในระยะ 5-10 ปีอีก 1 โปรเจ็กต์ ซึ่งอีอันสุดท้ายนี่ท้าทายที่สุด เพราะนอกจากจะแปลกที่สุดแล้ว โจทย์มัน “สนุก” และยังอยู่เหนือการควบคุมเอามากๆ ซึ่งไอ้การอยู่เหนือการควบคุมแบบนี้ แหละที่คนทำงานออกแบบเขาเรียกว่าสนุก

ที่สำคัญมันคือการเตรียมการในอนาคต อนาคตที่ผมจะไปแก่ตายที่นั่น

6. ทัศนคติ

เคยทวีตไว้ประมาณว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ความฝันของเราจะเล็กลง แต่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อะไรงี้มั้ง

ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ตอนนี้ความฝันของผมเล็กลงจริง สายลมและกาลเวลาได้ค่อยๆ เกลาเสี้ยนหนามรุงรังที่ติดมาจากสมัยวัยรุ่น ให้มินิมัลลงเรื่อยๆ จริงๆ

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ อย่างที่บอกว่าการเปลี่ยนแปลงภายในมันเกิดขึ้นเยอะมาก จนทำให้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร เกิดมาแล้วยังไง มีปัญญาและไม่มีปัญญาทำอะไรได้แค่ไหน ทำเพื่อใคร ชีวิตคืออะไร ความรักคืออะไร (ซึ่งก็ต้องย้ำว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องปัจเจกนะ)

คำตอบกว่าครึ่งค่อนของหลายๆ คำถามนั้น มีลูกเป็นตัวแปรอยู่ทั้งสิ้น

ในวงการคำคมเขาอาจมองปรากฏการณ์นี้ว่ามึงเป็นพวกน้ำเต็มแก้วแล้วหรือเปล่า เอ๊ะอีกวงการเขาจะมองว่านี่เป็นกับดักชนชั้นกลางหรือเปล่า อีกวงการอาจจะเรียกว่านี่เป็นความยะโสมืดบอดหลงเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า

ตอบว่าใช่ทั้งหมดเลยครับ และช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา หลังจากสับสนในตัวเองมาพักนึงจนทุกอย่างตกตะกอน ผมก็พบว่าตัวเองสบายดีกับสภาวะนี้

#ก็ไม่รู้สินะ เหมือนพอเราผ่านไอ้พวกความรู้สึกแสวงหามาแล้ว เราก็จะไม่เสียเวลาเดินทางตุปัดตุเป๋อีก ทีนี้คือพุ่งตรงอย่างเดียว พุ่งไปสู่ความตายแบบเท่ๆ เลย

ส่วนทัศนคติต่อบ้านเมือง ต่อสังคม ต่อประเทศชาติหรือโลกนั้น ตอนนี้ไม่ได้หมกมุ่นอะไรเลยสักอย่างครับ แค่จะเขียนการ์ตูนหรือทวีตแซวนายก ยังนึกไม่ค่อยออกเลย

7. 2559

ปี 2559 ที่เราทุกคนกำลังเหยียบอยู่นี้ ผมไม่รู้จะคาดเดายังไงว่าตัวเองจะเจออะไรอีก เพราะปีที่ผ่านมามันมีเซอร์ไพรส์เข้ามาเยอะเหลือเกิน แล้วเซอร์ไพรส์แต่ละก้อนนี่มึงก็ช่างสร้างจุดเลี้ยว (เจี๊ยวหลุด!) (ถูกแล้ว!) ให้ชีวิตข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน

การเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงในปีที่ผ่านมานั้น ผมดูเป็นพวกเนิร์ดที่สนุกอยู่คนเดียวในโลกส่วนตัว เพราะมันอยู่ในช่วงวางแผน และก่อร่างนั่นนี่ไง เลยไม่รู้จะเล่าให้คนอื่นฟังยังไง แล้วพอนึกได้ว่าเออ ที่จริงกูไม่เห็นต้องเล่าก็หมดเรื่อง เรื่องอะไรต้องไปรายงานให้โซเชียลรู้ไปซะทุกอย่างด้วยวะ? เท่านั้นเองก็เลยแฮปปี้กับการหมกมุ่นด้วยตัวเอง จนตอนนี้ มันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาละ …ดังนั้น สิ่งที่พอจะคาดหวังให้เกิดขึ้นในปีนี้ก็คือ

ครึ่งปีแรก: ทำงานทดลองชิ้นใหม่ที่ได้ตังค์

เดี๋ยวพอเสร็จแล้วจะมาเขียนอีกที ว่ามันได้ตังค์ไหม หรือขาดทุนย่อยยับ 55555 T-T แต่ที่แน่ๆ พอทำงานนี้แล้วแฮปปี้มาก ค่า GDH559 พุ่งทะยานทุกครั้งที่นั่งเตรียมการให้มัน ดังนั้นพอเสร็จดีแล้วค่อยว่ากันอีกที

ครึ่งปีหลัง: เริ่มดำเนินการ ลาออกจากกรุงเทพฯ (เวอร์ชันเบต้า)

เป็นความฝันก้อนใหญ่ที่วางแผนไว้ 1-2 ปีแล้ว ตอนนั้นยังคิดว่าอนาคตเราจะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด แต่คงอีกนาน แต่ทำไปทำมา ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แม่งไม่นานอย่างที่คิดว่ะ หรือที่นาฬิกาหมุนเร็วขึ้นเพราะเราเริ่มเข้าครึ่งหลังของชีวิตมาแล้ววะ เชี่ยบัดซบ

โครงการลาออกจากกรุงเทพฯ นี้จึงเป็นการวางแผนชีวิตได้หมดเลยทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ตราบที่ยังไม่เผลอตายไปก่อนจะแก่น่ะนะ

ตลอดปี: เลี้ยงลูกให้สนุกกว่าเดิม

ปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งผมหงุดหงิดความดื้อของลูก แล้วแสดงออกมาในแบบที่ไม่ทำให้เด็กแฮปปี้เลย ซึ่งเฮ้ย ตอนเด็กๆ กูก็ดื้อนี่หว่า (แต่สมัยนั้นคือพ่อแม่ผมฟาดหมอบทุกครั้งเลยนะ) ขอโทษนะลูกเอ๊ย จากนี้ไปกะว่าจะเลี้ยงลูกให้ฉลาดขึ้น ไม่ได้หมายถึงลูกฉลาดนะ แต่ตัวเองนี่แหละที่ฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น พ่อสัญญา

สวัสดี

คอมเมนต์