#หนีกรุง Day 2: เพชรบุรีดีเหมือนกัน

image

“มาจากไหนกันคะ”
พนักงานเกสต์เฮาส์ถาม เราตอบไปด้วยความเคยชินว่ากรุงเทพฯ พลันนึกขึ้นได้ระหว่างคำถามถัดมา

“เคยมาเพชรบุรีไหมคะพี่”
ผมเลยตอบไปว่าเป็นคนเพชรบุรี แบบเขินๆ หน่อย เพราะเอาเข้าจริงแทบไม่มีความรู้อะไรเลยกับโซนเกสต์เฮาส์ย่านริมแม่น้ำเพชรอันเป็นที่ขึ้นชื่อในหมู่ฝรั่งแบ็กแพ็ก (ที่เป็นคนละกลุ่มกับที่เข้าใจว่าไทยแลนด์คือพัฒน์พงศ์ พัทยา หรืออีกประเภทก็เข้าใจว่าประเทศนี้มีแต่ช้าง วัด และจาพนม)

พูดก็พูดเถอะ นี่ถ้าไม่เห็นฝรั่งแววตาอินดี้หลายๆ คนที่เช่าจักรยานปั่นไปมาในซอยแถวนี้ ก็คงนึกไม่ออกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน สมัยมัธยมต้น ผมก็เคยแว้นมาทำกิจกรรมที่โรงเรียน และนึกสนุกเมื่อเห็นแหม่มสาว (น่ารักแหละ) แบกเป้ขนาดควายท้องแก่ เดินงงๆ อยู่แถวหน้าโรงเรียน เดาว่าคงเพิ่งมาจากท่ารถประจำทาง

ไอ้หนุ่มคนนั้นรวบรวมความกล้า เลียบๆ จอดรถข้างๆ และถามแหม่มสาวด้วยภาษาอังกฤษแบบเกร็งแกรมม่าร์ที่สุดเท่าที่จะคิดออก ว่า จะไปไหนครับ ผมไปส่งให้เอาไหม

แหม่มสาวงง (ก็สมควร) แต่เห็นว่าคู่กรณีช่างดูเนิร์ดและตัวเล็กกว่าขนาดนี้ ถ้ามันจะปล้ำก็คงทุ่มกระเป๋าใส่ น่าจะเกิดการไส้แตกกันบ้าง

เหยื่อตกลง “ฉันจะไปเกสต์เฮาส์ริมแม่น้ำ”

แน่นอน ผมฟังไม่รู้เรื่อง (อีห่า ด่าตัวเอง) เลยขอแผนที่ของแหม่มมาดู ได้ความว่า เธอจะเดินมาแถวนี้แหละ …แถวที่พักของผมในอีกยี่สิบปีถัดมานี่แหละ

นั่นเป็นการคุยกับฝรั่งครั้งแรกในชีวิต แล้วก็ลืมไปแล้วว่าแถวนี้มีที่พักราคาหลักร้อยบาทที่มีไว้สำหรับคนสนใจมาเสพวัฒนธรรมแบบง่ายๆ ไม่มีภูเขาทะเลผับบาร์ร้านเหล้าหรืออะไรที่เอ็กโซติกๆ สักอย่าง มีแค่ซอยเล็กๆ ที่มีแต่รั้ววัด อีกฝั่งของแม่น้ำก็เป็นตลาดสด ก็เท่านั้นเอง

เผอิญว่ามันเป็นสถานที่ที่วัฒนธรรมรากเหง้าพื้นถิ่นแข็งปั๋ง แบบที่ไม่ได้ทำมาอวดนักท่องเที่ยวจนเสียความเป็นตัวเอง แต่กลับเป็นแนวที่ชาวบ้านในย่านนี้ต่างก็รู้ว่าตัวเองมีของ มีกลุ่มคนที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นระดับสูงปรี๊ดมาช่วยกันบิ๊วผู้คนให้ตื่นรู้ (นึกภาพว่า อ.ล้อม เพ็งแก้ว แกก็ป้วนเปี้ยนแถวนี้) นั่นทำให้บรรยากาศแห่งวัฒนธรรมที่นี่มันไม่ฉาบฉวยแบบหลอกฟันนักท่องเที่ยว และไม่เสื่อมสลายเพราะไม่มีคนรักษาเป็น

การมานอนกลางเมืองเพชรบุรีในคราวนี้จึงต่างจากทุกครั้งที่เคย

ป.ล.
เคยเขียนเรื่องงานเพชรบุรีดีจัง ซึ่งเป็นงานของคนหัวสมัยใหม่ที่รู้ว่าควรพรีเซนต์อะไรในจังหวัดนี้มาแล้ว (พอดีบล็อกตอนอยู่เขียนในมือถือตอนอุ๊จ เลยทำลิงก์ไปไม่ถนัด) เอาเป็นว่าอวยไส้แตกครับ คนที่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้และทำได้ถึงจริงๆ ผมกราบครับ

คอมเมนต์

#หนีกรุง Day 1: สะพานสระแก้ว

image

เมียบอกว่า รับไม่ได้ ที่การมาเหยียบสะพานสระแก้วคราวนี้จะเป็นระยะเวลา 16 ปีนับตั้งแต่ได้มาทับแก้วครั้งแรก

เอ้า ก็แก่แล้วอะ จะให้เนียนใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งกระโปรงพลีตมาเดินงี้เหรอ แฟนตาซีไปปะ

แต่ดูแววตาแฮปปี้ของเมีย ผมก็โอเค สบายใจละ หายล้าจากการโหมทำงานล่วงหน้าติดต่อกัน 2-3 วัน เพื่อจะได้ใช้เวลาหยุดยาวประจำปีคราวนี้ หมดไปกับการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แบบยาวๆ (เมียฝากบอกโจรไว้ว่าไม่ต้องห่วงนะ ยังมีคนอยู่บ้านที่ลาดปลาเค้าตลอด 24 ชั่วโมง)

ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ประสาคนมีลูกเล็ก และมีเมียสลิ่ม ไอ้อะไรยากๆ ลำบากๆ คงกดข้ามไปก่อน รอลูกโตและรอเมียอยากลองอะไรประหลาดๆ ค่อยว่ากัน

ชีวิตเราเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ไอ้การจะหนีเที่ยวลุยๆ แบบสมัยยังโสดนั้นก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอยู่ (มีไฟอยู่นะแต่ไม่มีโอกาส 5555)

ช่วงที่ผ่านมา นิทานกับเวลาต่างหายป่วย RSV (นิทานติดมาจากโรงเรียน แล้วเอามาเผื่อน้อง สรุปป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ทั้งคู่) ก่อนออกมานี่ แม่มันไปขอสมุดการบ้านจากครูต่าย และขออนุญาตลาหยุดพักฟื้นร่างกายยาวๆ สักสองสัปดาห์ จะได้ไม่ติดเพื่อนด้วย ครูต่ายยินดี  และให้การบ้านระบายสีมาหอบใหญ่

ส่วนผมเอง ดันเป็นตาอักเสบช่วงนี้พอดี (แถมยังโหมงานก่อนพักยาวด้วย เลยยิ่งอักเสบใหญ่) นับเป็นรอบที่สิบกว่าๆ เกือบยี่สิบแล้วมั้ง ประจำปี 2558 ซึ่งก็ไปหาหมอเกือบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งที่อาการมันคุ้นจนรู้ว่าไอ้แบบนี้เดี๋ยวก็หาย คือมันอักเสบหลายแบบ หลากหลายกระบวนท่าจนประวัติคนไข้ที่หมอจดไว้ช่างสวยงาม

สำหรับคราวนี้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย จะปวดทุกครั้งที่จ้องจอนานๆ จนตาล้า

ซึ่ง… นั่นแหละ เป็นสัญญาณว่ามึงควรพอได้แล้ว ปิดคอม ชาร์จแบตให้ยาวเลย

โอเค ไปนอนละ บั๊ย

ป.ล.จะลองเขียนบล็อกซีรีส์นี้ในมือถือดูว่าจะรอดไหม หวังว่าคงรอด

คอมเมนต์

ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์

กำลังหาสถานที่ถ่ายแบบเสื้อผ้าของร้านนลินฟ้า) ที่มันดูวินเทจๆ ออกแนวอังกฤษ อิตาลี ยุโรปใดๆ ก็เลยกูเกิลไปเรื่อยๆ (ส่วนมากสู้ราคาไม่ไหว แหะๆ) อยู่ดีๆ ก็เจอที่นี่ เป็นโรงแรม ชื่อ Praya Palazzo เลยกดดูข้อมูล ก็ว่าเอ๊ะคุ้นๆ แฮะ

เจออีกคลิปนึงเป็นรายการนี้ที่ถ่ายทำในปี 2010 ซึ่งเจ้าของโรงแรมบอกว่าเปิดมาได้ปีเดียวเอง

เอ๊ะ ไหนดูอีกคลิปซิ

โอ้ ชัดเลย เลยมาเปิดคอมดูโฟลเดอร์ภาพถ่ายที่เก็บไว้ ก็เจอโฟลเดอร์ชื่อว่า “20030216 – ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์” (มึงตั้งชื่อซะแบบ…)

เนี่ย เคยถ่ายไว้ด้วย

01-DSCF2997

ในยุคที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง และเช่าหอพัก (ไว้เก็บของซะเป็นส่วนใหญ่) อยู่แถวตีนสะพานพระปิ่นเกล้า ข้างๆ ชุมชนวัดดาวดึงษ์… ใช่แล้ว เป็นถิ่นกำเนิดของเนวัดดาวนั่นเอง พอนึกบรรยากาศออกเลยใช่มะ (ไม่)

คือ เมื่อก่อนไม่มีตังค์ครับ เป็นนักศึกษาบ้านจนพ่อแม่เป็นข้าราชการลูกสี่ มีหนี้สิ้นท่วมบ้านอะไรแบบนั้นแหละ แต่ด้วยกิเลสส่วนตัว อยากได้กล้องถ่ายรูปดิจิทัล จึงรับจ้างออกแบบนั่นนี่ระหว่างเรียน จนเก็บตังค์พอจะซื้อกล้องดิจิทัลได้ เป็นกล้องฟูจิ (เล่นฟูจิก่อนที่มันจะเริ่มฮิปอีก!) แต่เป็นแค่กล้องปัญญาอ่อนรุ่น FinePix 6800z นะ กดดูดีไซน์ของมันได้ พอร์ชดีไซน์เชียวนะะะะะ สมัยนี้ไม่มีใครทำกล้องประหลาดๆ แบบนี้กันแล้ว แต่ 12 ปีที่แล้วผมทุบกระปุกซื้อเพราะความสวยของมันนี่แหละ 5555555 (ซึ่งนิสัยนั้นก็ยังติดตัวมาจนทุกวันนี้ ที่ซื้อ E-P5 ที่ใช้ทำมาหากินทุกวันนี้ก็ไม่ได้สเป็กดีเด่ไปกว่ากล้องกิ๊กก๊อกใน พ.ศ.นี้ แต่นั่นแหละ มันสวย. ฟุลสต็อป)

สมัยนั้นพอว่างจากโปรเจ็กต์เรียนอันหฤโหด มีเวลาได้ไปนอนแผ่สลบอยู่ที่หอ พอตื่นมาบ่ายๆ ก็ชอบเดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่ในชุมชนวัดดาวดึงษ์กิน อร่อยบ้างอี๋บ้าง แต่ถ้าเขาขายได้ เราก็ต้องกินได้

พออิ่มท้องก็เดินถือกล้องนี่แหละ ไปถ่ายรูปเรื่อยๆ… (อะไรนะ ซิตี้สเคปเหรอ ไม่มั้ง มันดูยิ่งใหญ่ไป ที่ทำนี่ไม่ได้มีความงามอะไรหรอก แค่ชอบถ่ายบันทึกไว้ดูตอนแก่ งั้นเรียกว่าถ่ายเรื่อยๆ ละกัน)

เผอิญวันนั้นเดินไปส่งๆ จนทะลุริมฝั่งเจ้าพระยา เป็นท่าเรือเล็กๆ ของวัดดาวดึงษ์ ก็เลี้ยวซ้ายและเดินเละตลิ่งริมน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะเจออะไรสนุกๆ แล้วก็เจอเข้าจริงๆ

02-DSCF2998

ตอนนั้นตะลึงมากเลยครับ ต้องลองช่วยกันหลับตานึกภาพว่าไอ้นี่เดินๆ อยู่ในชุมชน มีขี้หมา มีเด็กวิ่งไล่กัน มีแม่ค้า มีรถเข็น มอไซค์ คุณยาย ร้านของชำอยู่ดีๆ แล้วเลี้ยวซ้าย ฟึ่บ ทะลุเจ้าพระยา มองไปด้านซ้าย และคุณจะต้องอึ้งเมื่อได้เห็นอะไรอลังการขนาดนี้มาหมกตัวอยู่ในจุดที่ไม่น่าจะมี …ในภาษาของวงการนึงเขาเรียกว่าเป็นช็อกสเปซ

03-DSCF3012

มันเป็นตึกร้างเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล อายุอานามน่าจะสมัย ร.5 (เดาเอาเอง) ที่อยู่ติดกับแม่น้ำพอดี คือถ้ามองในมุมของคนชอบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนี่มันเท่มากอะ ส่วนถ้ามองในมุมของพี่ป๋อง …นี่มันน่ามาเดินสายทัวร์ดูผีชะมัด

04-DSCF3013

ทั้งหมดนี้นี่คือปีนกำแพงถ่ายมานะ

05-DSCF3015

06-DSCF3016

เนี่ย แค่เห็นเสาก่ออิฐที่สีมันร่อนออกมาจนเห็นอิฐมอญข้างในก็ว่าโคตรสวยแล้ว ชอบ

07-DSCF3017

สีทาผนังเหลืองๆ ด่างๆ นี่ก็ชอบ บานประตูสีเขียวก็ชอบ (แล้วอะไรคือป้ายที่เขียนว่า “ฝึกฝีมือ”)

08-DSCF3018

เดี๋ยวนะ อันนี้เพิ่งเห็นตอนอัปภาพเขียนบล็อกนี่แหละ ว่ามันมีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องมืดด้านซ้ายชั้นบน (น่าจะเป็นกระจกสี) ที่พอมาซูมขยายดูแล้วเหมือนหน้าคน ไม่คนสิ เรียกว่าเจไดใส่หน้ากากจะเท่กว่า (ผีบอกกูเซ็งเลย)

10-DSCF3025

ภาพสุดท้ายนี่คือไปนั่งกับแก๊งเด็กในชุมชน ดูเขาชักว่าวกัน

สรุปว่าบล็อกนี้ไม่มีอไร จะอวดว่าเคยถ่ายตอนมันยังเป็นตึกร้างอยู่เท่านั้นเอง

อ้อ แล้วก็เลยนึกได้ว่าชอบอาคารสไตล์โคโลเนียลแบบนี้มานานแล้ว (ทำไมจบแบบดูจะมีความรู้วะ)

คอมเมนต์

แค่แกะเปลือกอารมณ์ก็เปลี่ยน

นี่มันฤดูอะไรของเราวะ นอกจากจะดองบล็อกผิดปกติแล้ว เหล่าโซเชียลต่างๆ ก็โดนเล่นน้อยลงอย่างมาก

นั่นคงเพราะการเอาตัวเองออกไปข้างนอก ในโลกออฟไลน์ซะเยอะ เลยไม่ได้มาเล่าในนี้

แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนที่จะไม่สนิทกับการเขียนบล็อกอย่างที่สมัยก่อนเคยเป็นมาแล้วครั้งนึง หนนั้นเพราะชีวิตเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้จะเริ่มยังไง เลยไม่เขียนแม่งซะเลย

หนนี้ก็ไม่แพ้กัน ระยะเวลาแค่ไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก แม้วันๆ จะทำได้แค่ขยับตัวนิดๆ หน่อยๆ และเลี้ยงลูก แต่มวลเมฆที่ก่อตัวขึ้นภายในมันเปลี่ยนวิถีการเดินของชีวิตไปเยอะจนไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี

เคยทวีตไว้ว่า

พอผ่านมาหนึ่งอาทิตย์นิดๆ ฝันหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนจากแค่นั่งฝันแล้วยิ้ม กลายเป็นการเริ่มลงมือลงแรง ดังนั้นไอ้ที่ฟุ้งๆ มันเลยควบแน่นมาเป็นการต่อสู้เพื่อให้ฝันนั้นเป็นความจริง ตอนนี้ก็เลยกำลังสนุกอยู่กับอะไรไม่รู้ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ลงมือคลุกคลีกับมันจริงๆ

ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัว 555555555555 ไม่ได้ให้อะไรกับประเทศชาติและสังคมเลย อันนี้รู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ก็ไม่มาก มันเป็นช่วงวัยหรือโอกาสกันแน่นะที่ทำให้เราหละหลวมจากอุดมการณ์นั้น ไม่ได้หันเปลี่ยนทิศหรือไปเจอชุดความคิดใหม่ที่ทำให้สิ่งที่ยึดถือมันล่มสลายไป แต่ความเห็นแก่ตัวมันก็ก่อตะกอนตะกรันเป็นเปลือกที่ค่อยๆ ห่อเราหนาขึ้น แน่นขึ้น และเคลือบผิวนอกสุดด้วยภาพลักษณ์ที่พยายามจะบอกคนอื่นว่าสิ่งนี้คือกูเป็น

แต่สุดท้ายมันก็ตกตะกอนออกมาข้นๆ หยดออกมา นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ และจบลงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้ให้อะไรกับโลกหรอก แต่กับเราแล้วมันมากพอที่จะทุ่มเทและใส่ใจกับมัน

…สาบานว่าตอนพิมพ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้เมากาว

ก่อนจากกันในวันนี้ ขอลงบันทึกไว้หน่อย

  • โครงการหนองแฟบเดอะโปรเจ็กต์เลื่อนไปอีกหลายปี (ตามดำริของเมีย ซึ่งเราก็โอเคนะ)
  • ส่วนโครงการใหญ่ที่สุดในชีวิตหลังจากข้อก่อนหน้า ก็ต้องพักไว้ก่อน เพื่อให้สอดรับกับโครงการใหม่ที่กำลังปั้นอยู่
  • ตั้งแต่พ้นงานหนังสือเป็นต้นมา ตอนนี้พูดเลยว่าเราแม่งขลุกอยู่กับงานออกแบบสถาปัตย์มาก มากๆๆๆ มากกว่าตอนเรียนห้าปีรวมกันซะอีก ถึงจะเป็นโครงการกระจอกๆ ส่วนตัว ไม่ได้ให้อะไรกับใครหรือกับโลกทั้งสิ้น แถมยังตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงอีกก็ตาม 55555
  • และช่วงเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เราได้เห็นพลังงานจากคนที่กำลังมุ่งหน้าทุ่มเท ทำในสิ่งที่เราเคยทำสมัยที่ยังเป็นไอ้บ้าพลังดีดไม่หยุด เห็นเลยว่าเขาดีดกว่าเราเยอะ แถมยังมาสะกิดเราให้ดีดด้วย พอโดนแตะไหล่เท่านั้นแหละ พลังงานมันไหลเข้ามาจนหัวใจเต้นไม่ทัน ขอบคุณที่มาดึงสติ ขอบคุณ

ขอบคุณ

คอมเมนต์

บทเพลงที่หายไป

ตั้งหัวเรื่องได้โคตรจืดเลย 55555555

คือ เดี๋ยวนี้ผมแทบเลิกฟังเพลงไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ

ที่ผ่านมา ผมและเมียเป็นคนฟังเพลงด้วยวิธีโบราณ คือซื้อซีดีมา เสียบแผ่นไปกับเครื่องเล่นในรถยนต์ ตอนที่ขับรถไปไหนต่อไหนก็ฟังแล้วร้องงึมงำตาม หรือเอามือข้างที่ว่างจากการจับพวงมาลัย ไปเคาะกระจกบ้าง ประตูรถด้านขวาบ้าง เป็นพฤติกรรมปกติที่ทำมาตลอด

หรือสมัยที่ทำงานในออฟฟิศ ก็จะรู้จักเพลงใหม่ๆ จากน้องๆ ที่ทำงาน ที่สลับกันเป็นดีเจ พาทุกคนไปสู่พรมแดนใหม่ๆ ตามรสนิยมของตัวเองอยู่เสมอ

แต่พอมาถึงทุกวันนี้ ลูกสาวคนโตพ้นวัยแบเบาะมาสู่วัยอนุบาล เริ่มเรียนรู้สิ่งรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง ตามมาด้วยน้องอีกคนที่คลอดตามกันมา ทุกวันนี้ทีวีเครื่องข้างล่างถูกวางไว้ให้ฝุ่นเกาะ นับได้เป็นปีแล้ว ส่วนเครื่องข้างบนบ้าน ถ้าไม่เอาไว้เปิดเพลงเด็กอนุบาลจากยูทูบ ก็คือเมียยึดไปเปิด T25 แล้วเต้นตามฝรั่งในนั้น

อันนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะโดยปกติวิถีชีวิตแทบไม่ได้คลุกคลีกับทีวีอยู่แล้ว จะดูข่าวดูอะไรก็พึ่งอินเทอร์เน็ตตลอด (วันก่อนมีคนมาเปิดประเด็นวิวาทะด้วย เลยทำให้นึกได้ว่าผมดูสรยุทธ์เป็นประจำครั้งสุดท้ายก็สมัยพิธีกรคู่ชื่ออรปรียา)

แต่กับความสุนทรีย์ทางหูนั้น ตอนนี้เรียกว่าเราแยกทางกันเดินไปเลย

อย่างตอนขับรถ ไม่ว่าจะออกไปธุระประเดี๋ยวประด๋าว หรือนั่งกันไปไกลๆ ยันต่างจังหวัด ล่าสุดก็เพิ่งขับไปเที่ยวอีสานแล้วอ้อมไปเกือบๆ เหนือ… เสียงดนตรีที่เกิดขึ้นในรถคือเพลงจากการ์ตูนดอร่า “ชึดชึดๆๆ ชึด ดอร่า ชึดๆๆ ชึดๆ ด๊อรา” หรือเทเลทับบี้ส์ “ทิ้งกี้วิงกี่ ดิ๊บสี่ ล้าหล่า โพ (โพ่!)” และล่าสุดคือโพโรโร่ (อันนี้ยังจำไม่ได้ มันร้องเร็ว กลัวพิมพ์เนื้อผิด) ตลอดการเดินทาง สลับกับเพลงเด็กอนุบาลที่วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับสิงสาราสัตว์

ไม่ใช่แค่ขับรถ แต่ทุกเช้าที่ตื่นนอน ก็มาละ ปลุกลูกด้วย “แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน” (เปิดจากยูทูบ) อาบน้ำก็ “ก้าบก้าบก้าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง” ยิ่งตอนขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนนี่ยิ่งหนักใหญ่เลย ซีดีใหม่ที่ซื้อมามันมี 21 เพลง อลังๆ ทั้งนั้น ก็เปิดวนรอระหว่างรถติด ส่วนตอนบ่าย เวลาไปรับลูกก็จะเปิดการ์ตูน ตามกติกาที่กำหนดกันเอาไว้ว่าตอนเช้าฟังเพลง ตอนกลับจากโรงเรียนให้ดูการ์ตูนได้ ส่วนที่บ้านนี่ วันไหนยุ่งๆ (แต่ไม่บ่อย) ก็จะเปิด Nursery Rhymes ในยูทูบให้ดูแล้วร้องตาม (แนะนำช่อง Mother Goose Club, LittleBabyBum ® และ Super Simple Songs ส่วนถ้าเมื่อก่อนที่ยังขวบกว่าๆ แนะนำช่องนี้ของญี่ปุ่น 東京ハイジ TOKIOHEIDI)

ฉะนั้นเวลาเปิดเพลงเด็กทีนึง คุณลูกก็ร้องตามเสียงใสแน้ว โยกหัวโยกตัวทำท่าทำทาง ส่วนอีพ่อก็แปลเป็นไทยให้แบบงูปลางูปลา ถ้าฟังตอนขับรถก็จะเคาะเป็นจังหวะกันทั้งพ่อทั้งลูก

จนมันติดน่ะครับ ทุกวันนี้เหมือนโดนค่ายเพลงโปรโมตกรอกหูเลย ไม่ว่าจะอาบน้ำสระผม นั่งทำงาน หรือกินข้าวอยู่ดีๆ เพลงพวกนี้ก็จะวนมาหลอนในหัวอยู่ทั้งวัน ทุกวัน

ผลคือนึกไม่ออกแล้วว่าเพลงแบบที่ผู้ใหญ่เขาฟังกันแล้วมันติดหูครั้งล่าสุดของเราคือเพลงอะไร นี่พยายามนึกถึงเพลงหลังๆ ก็มีแต่แสตมป์ / สิงโตนำโชค / โรส / ละอองฟอง / กรูฟไรเดอร์ส / แพรว / ลุลา / 25 Hours / Slot Machine (ตอนนี้นึกออกเท่านี้) หรือแผ่นรวมฮิตเพลงหากินซ้ำซากของค่ายใหญ่ที่พอหาซื้อแผ่นได้ตามร้านเครื่องเขียนและเซเว่น ซึ่งท้งหมดที่ว่ามานี้ถ้าสำหรับคนที่ฟังเพลงและติดตามศิลปินก็จะพบว่ามันเก่ามากละนะ

นอกนั้นที่ออกมาใหม่ๆ คือบอดใบ้ ไม่รู้จักเลย อย่าง POLYCAT หรือ Cocktail หรืออะไรเทือกนี้นี่สารภาพว่าเคยฟังอย่างละครั้งสองครั้ง ชอบ แต่ไม่สนิท คงเพราะยังเปิดกล่อมหูไม่พอ เลยแทบไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันอีกเลยหลังจากนั้น

ส่วนที่น่าสังเกตก็คือ เวลาเจอสาวตึงในยูทูบเขามาร้องคัฟเวอร์กันผ่านหูผ่านตาเวลารูดไทม์ไลน์ ก็จะสงสัยว่านี่มันเพลงในยุคเดียวกะที่เราห่างหายไปเลยนี่หว่า

จึงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอย่างปี 2558 ที่ผ่านมาครึ่งปีแล้วเนี่ย มันมีเพลงที่ดังไปทุกหย่อมหญ้าโดยศิลปินไม่จำเป็นต้องดัง แบบที่ชอบระบาดมาเป็นระยะๆ ในทุกปีบ้างไหม ถ้านึกไม่ออกก็ยกตัวอย่างเพลงสมัยก่อนๆ อย่าง แอบเหงา / แค่บอกว่ารักเธอ / อะไรอีกวะ เก่ามากๆ หน่อยก็ ขอใจเธอคืน / มุม / รักเดียว / แน่นอก (ของ 3-2-1 ที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นของใบเตยมากกว่า) / ขอใจเธอแลกเบอร์โทร / คันหู / กังนัมสไตล์ / กาโว (นับไหม ไม่นับละกัน ถ้าไม่ได้ดูเฟ็ดเฟ่ก็คงไม่รู้จัก 5555)

ก็พบว่า นอกจากเพลงคืนความสุขฯ แล้ว ปีนี้แม่งไม่มีเพลงไหนที่ดังถล่มทลายโดยบังเอิญขนาดที่แม้แต่คนไม่ฟังเพลงก็ต้องฮัมตามได้เลยแฮะ

เลยสงสัยว่ามันเป็นที่ตัวเราเอง ที่กะลาแคบลงเพราะห่างจากการฟังเพลงอยู่คนเดียว หรือว่าวงการเพลงมันแห้งแล้งลงจริงๆ

ภาวนาขอให้เป็นเพราะสาเหตุอย่างแรกทีเถอะ

ช่องทางที่เคยติดตามทุกวันอย่างแฟตเรดิโอก็หายไปแล้ว (มาเป็นแคตก็ไม่ค่อยสะดวก) หมุนไปคลื่นอื่นอย่างชิลล์เอฟเอ็ม หรือคูลอะไรสักอย่างก็โอเค แต่ก็ไม่ค่อยได้ฟังในรถด้วยเหตุผลข้างต้น เพราะเอาเข้าจริงเวลาว่างขับรถไปรับลูกมันเป็นช่วงรายการ อ.วีระ ด่าท่านผู้ฟังพอดี ก็เลยฟัง (เฮ้ยไม่ได้เพิ่งมาเป็น นี่เป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้ามีแฟตกะวีระ ผมเลือกวีระ เพราะฮากว่า) จนล่าสุดเพิ่งเห็นพี่เลย์แชร์เพลงใหม่ล่าสุดของนักร้องชื่ออะตอมโผล่มา เฮ้ย เพราะอ้ะ ดีอะ นี่เราไม่รู้จักเลยนะ แต่พอกดดูเพลงก่อนหน้าที่ไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ก็พบว่ามีคนดูไป 33 ล้านวิวแล้ว!

เออ สบายใจแล้วว่ากะลาเราแคบจริงๆ

การได้บังเอิญเจอเพลงที่ไม่รู้ว่าดังหรือไม่ดัง ที่แน่ๆ คือไม่ได้ถูกโปรโมตมาจากค่ายเพลงหรือคลื่นวิทยุ แต่ฟังแล้วชอบเอง ถูกใจได้ด้วยตัวเองแบบนี้มันดีนะ เมื่อก่อนเป็นบ่อย แต่เดี๋ยวนี้นานๆ จะมีมาที ขนาดเฝ้าหน้าจอโซเชียลวันละหลายๆ ชั่วโมงเลยนะ

จนรู้สึกอยู่หน่อยๆ เหมือนกันว่านี่มันวิกฤตชีวิตช่วงที่พ้นวัยรุ่นมาแล้วรึเปล่าวะ จะเป็นแบบพ่อเราไหมที่หยุดทุกอย่างไว้กับชาตรี อรวี สัจจานนท์ เพลงลูกกรุงสมัย Nick Karaoke และเพลงโฟล์กซองฝรั่งยุคเซเว่นตี้ส์

ถ้าใช่นี่ก็น่ากลัวเลย เพราะเซเว่นตี้ส์ปลายๆ เป็นปีเกิดของพี่ชายคนโต นั่นแปลว่าชีวิตชิลของพ่อก็หมดอายุลงเพียงเท่านั้น

ส่วนผมและเมีย ตอนนี้ทุกๆ วันก็ตกอยู่ในภาวะชุลมุนกับภารกิจจับเด็ก เฮ้ย นี่กูจะซ้ำรอยพ่อรึเปล่าวะเนี่ย แต่เอาเถอะ ตอนนี้สนิทกับแอป MixRadio แล้ว (เจ๋งมาก!) ถึงจะยังวนเวียนอยู่กับเพลงเดิมๆ ที่เคยฟัง ยังไม่ก้าวเข้าสู่พรมแดนใหม่ๆ แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นอีกครั้งในยุคสมัยปัจจุบันได้ดี รอให้ลูกสาวคนเล็กเข้าอนุบาลตามพี่มันไปก่อน จะกลับมาสนุกกับการค้นหา

นะ สัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน… (เพลงนี้ก็เลิกฮิตไปแล้วเพราะโปรโมตบ่อยเกิน)

คอมเมนต์