เกือบแล้ว เห็นปกแว้บๆ แล้ว ใกล้แล้ววววว
(เออ อัปบล็อกแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขียนเร็วดี)
สัปดาห์หนังสือฯ ปีนี้ เตรียมพบกับ…
- ที่จริงปกยังไม่เสร็จน่ะ เลยทำทีเซอร์มาให้ดูก่อน ไว้เสร็จเมื่อไหร่จะมาแปะอีกทีครับ
- เมื่อค่ำ ไปสิงอยู่ที่สำนักพิมพ์ เป็นบรรยากาศการทำงานที่สนุกมากๆ รู้สึกคุ้นเคยยังกะเคยทำแบบนี้ตอนอยู่มหาลัย
- โอ๊ย มีเรื่องอยากจะเล่าอีกสามแสนบรรทัด เดี๋ยวเอาไว้ก่อนนะๆๆ ตื่นเต้นมากๆ
โอ๊ยๆๆๆๆๆ
พฤติกรรมการใช้งานเฟซบุ๊กที่ผิดเพี้ยน
เปลี่ยนโหมดมาคุยเรื่องการออกแบบเว็บกันนิดนึงครับ
ทุกวันนี้ผมเสพติดโลกออนไลน์ จมปลักอยู่หลายบริการ แต่ที่รับไม่ได้จริงๆ คือเฟซบุ๊ก ที่ถึงแม้บ่อยครั้งจำเป็นต้องเข้าไปอ่านเพราะคนไทย (ปกติจะเกลียดการเหมารวม “คนไทย” แต่นี่เราเป็นกันจริงๆ เลยเหมาได้) แม่งเอะอะอะไรก็เอาทุกอย่างไปฝากไว้ในนั้นหมด ขี้หมูขี้หมาก็โยนลงไปจนทุกวันนี้เฟซบุ๊ก = อินเทอร์เน็ตไปแล้ว
ซึ่งมันดันเป็นอินเทอร์เน็ตที่ไม่เสรีเลยนะ แต่ถูกควบคุมด้วยเอกชนเพียงรายเดียว
นั่นเลยส่งผลให้ทุกครั้งไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ว่าจะเป็น Policy ใหม่ หรือประสบการณ์การใช้งานแบบใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ ถึงจะแค่นิดหน่อย แต่ถ้ามีผู้ใช้จำนวนมหาศาลโคตรพ่อโคตรแม่อันดับหนึ่งของโลกแบบนี้ เฟซบุ๊กจึงโดนด่าอยู่ร่ำไป ก็ดูอย่าง UI แบบไทม์ไลน์ที่ผมเคยชมนั่นสิ ชาวบ้านด่าจนต้องเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ล่าสุดของล่าสุดของล่าสุด (อีกไม่กี่วันก็จะเปิดตัวละ)
ซึ่งก็เป็นสัญญาณอันดีที่จะค่อยๆ เปลี่ยนเว็บที่เปลี่ยนยากที่สุดในโลก (เพราะมันออกแบบมาห่วยตั้งแต่ต้น) ให้ใช้ง่ายขึ้นบ้าง
ที่จริงคำว่า “ใช้ง่าย” เนี่ยไม่เคยเกิดกับเฟซบุ๊กเลยนะครับ มันเลยเป็นเรื่องน่าสนใจมากว่า ที่จริงแล้ว user ทั่วโลกไม่ได้โง่รึเปล่า คนที่เป็นนักออกแบบ UI นั้นถูกปลูกฝังมาตลอดว่าเวลาออกแบบอะไร ให้คิดถึง user ที่โง่ที่สุด แต่เฟซบุ๊กซึ่งเป็นเว็บใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ดันเป็นเว็บที่ใช้งานยาก ปุ่มนู่นนิด ต่อมนี่หน่อย ไหนจะตัวอักษรเล็กจนมดยังต้องเพ่ง หรือระบบนำทางที่ชวนงง กูกดภาพแล้วจะ back ไปอะไรยังไงต่อ เมนูหลักอยู่ไหน ฯลฯ
ที่ผ่านมาเฟซบุ๊กเองก็คงพยายามไม่น้อยแหละครับ ในเรื่องที่จะค่อยๆ เปลี่ยนเว็บให้มันใช้ง่ายขึ้น และตอบโจทย์เรื่องพื้นที่ทุกพิกเซลสามารถสร้างรายได้ได้ ตอนนี้เลยลุ้นอยู่กับการออกแบบไทม์ไลน์แบบใหม่ล่าสุด ว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้แค่ไหน
อุตส่าห์ลอก Google+ มาทั้งที
เรื่องลอกนี่ไม่มีปัญหานะครับ ลอกไปเลย ถึงจะเสียศักดิ์ศรีหน่อย แต่ก็เอาเหอะ เอาให้เนียนๆ ให้ user ที่แอนตี้สุดลิ่มทิ่มประตูอย่างผมรู้สึกว่ามันดีขึ้น ใช้ง่ายขึ้น ใครจะไม่ชอบล่ะ
จบเรื่องบน มาต่อเรื่องล่าง
ทั้งนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เขียนบล็อกนี้ขึ้นมา เพราะผมตื่นมาแหกขี้ตาดูข่าวในมือถือ ก็เจอลิงก์นี้
คำชี้แจงจากรายการตอบโจทย์ฯ https://t.co/uBhmQk5SWc อ่านจบไล่สายตามาที่คอมเมนต์ แล้วก็ อืม -_-
— iannnnn (@iannnnn) March 18, 2013
เลยพบว่าการประกาศอะไรที่เป็นใจความสำคัญเนี่ย เจ้าของเพจ (และผู้ใช้ปกติ) จะถูกสั่งสอนกันมาว่า “อย่าโพสต์เป็นข้อความธรรมดาหรือแชร์มาสิ เดี๋ยวไม่มีภาพ หรือภาพมันเล็ก จะไม่เป็นที่สนใจ ดังนั้นให้โพสต์เป็นภาพไปเลย แล้วถ้ามีต้นฉบับก็ให้ใส่ที่มาเอา”
ทั้งนี้เพื่อล่าไลก์ ที่เหี้ยคือไม่ได้เกิดแค่บ้านเรา แต่เขาสั่งสอนกันมาทุกเพจทั่วโลก
กลายเป็นว่าทุกวันนี้เรามีประเภทของโพสต์ที่เป็น “รูปภาพพร้อมคำบรรยายใต้ภาพ” เต็มไปหมด ในฐานะคนออกแบบระบบ พฤติกรรมสุดฮิตที่คนหันไปใช้การโพสต์ภาพ เพื่อจะบอกเล่าเรื่องราวในฐานะข้อความใต้ภาพกันหมดเลยเนี่ย แบบนี้ถือว่าล้มเหลวนะครับ
แก้ยังไง?
ถ้าในฐานะคนออกแบบระบบและประสบการณ์การใช้งาน ก็แก้ง่ายๆ ครับ ในเมื่อเราเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้ทุกคนในโลกทันทีไม่ได้ ก็หันมาเปลี่ยนสเต็ปการโพสต์ จาก “เลือกประเภทข้อความก่อนที่จะโพสต์” (คือเลือกว่าจะเอา text หรือภาพก่อน) ให้กลายเป็น “โพสต์แล้วค่อยแนบภาพหรือคลิปลงไป” แทน
ดังนั้นผู้ใช้จะจะแนบหรือไม่แนบภาพก็ได้ อย่างน้อยแค่มีข้อความก็ถือเป็น “การ์ดข้อความ” 1 ใบ (เรียกว่าการ์ดเพราะผมอิงกับดีไซน์ใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเปิดตัว (และลอกมาจาก Google+) นะครับ) แต่ถ้ามีภาพก็แสดงภาพประกอบไปด้วย จบเลย สวยงาม การปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานแบบนี้ใช้ได้ดีและเห็นผลมาแล้วกับทั้งทวิตเตอร์และ Tumblr และ แฮ่ม… Google+
แหม พอจะจับภาพประกอบก็พบว่าเฟซบุ๊กเขามีอัปเดต ใส่ไอ้ตัวข้างล่างมาแล้ว สงสัยแวะมาอ่าน 5555 แต่ยังไงผู้ใช้ก็ยังต้องเจอคำสั่งให้เลือกจากด้านบนอยู่ดีว่าจะโพสต์เป็นภาพ หรือเป็นข้อความ ดังนั้นตรงนี้ต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่อีกหน่อย
วิชา UX มันสนุกแบบนี้แหละ ถึงจะนิดๆ หน่อยๆ แต่ถ้าทำให้เว็บใช้ง่ายขึ้นมาอีกหน่อย คนออกแบบก็ยินดีครับ
ป.ล.
ทวีตเรื่องนี้ไปเมื่อกี้ นึกได้ว่าน่าขยายเลยเอามาต่อในบล็อก จบ
บ่องตง
ทักษิณและประชาธิปัตย์
ผมรับฟีดเพจของคุณโตมร ศุขปรีชา เลยได้อ่านบทความนี้ แล้วรู้สึกชอบมาก ชอบจนทั้งแชร์ ทั้งทวีต ทั้งโพสต์ลงบอร์ดไปหมดแล้ว เหลือแค่แปะในบล็อกนี่แหละครับ เลยขออนุญาตคัดสำเนามาลงอีกรอบ ไว้เผื่อเตือนใจตัวเองและเหล่าสาวกเดนตาย (ที่จริงไม่มีใครควรตายเพือคนอื่นเลย) ทั้งหลาย
ต้นฉบับอยู่ที่นี่ และต้นตอมาจากนี่อีกที
อยากให้อานความเห็นของคุณ ‘ประภากร’ ที่อยู่ในกระทู้นี้ ดังต่อไปนี้ครับ :
ดิฉันมีความเห็นว่า ความกังวลของอจ.สุลักษณ์ ที่มีต่อพรรคของทักษิณหรือความที่อจ.เห็นว่าพรรคของทักษิณนั้นน่ากลัวกว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ “ความอ่อนแอของพรรคประชาธิปัตย์” นั่นเองค่ะ เหตุผลที่การเมืองไทยยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้ ก็เพราะ เรายังไม่มีพรรคการเมืองที่เข้มแข็งพอที่จะเป็นคู่แข่งของพรรคทักษิณ
การที่ประชาธิปัตย์ยังหลงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตของการปลุกปั่นอารมณ์ผู้คนให้เกลียดชังทักษิณ ด้วยข้อหาเผาบ้านเผาเมือง หรือล้มเจ้า จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพัฒนาตนเองเพื่อค้นหาสูตรนำทางสู่ความสำเร็จที่จะพิชิตอำนาจของทักษิณ ได้โดยมิต้องอิงแอบวิธีการสกปรกเหล่านั้น นั่นแหละคือความน่ากลัวของทักษิณ
วันนี้เสื้อแดงส่วนใหญ่เลือกสนับสนุนทักษิณ ก็เพราะ”รังเกียจ” พฤติกรรมที่ว่ามาของพรรคประชาธิปัตย์ โดยอาจเลือกที่จะมองข้าม ความเป็นนักธุรกิจ นักกลยุทธ์การตลาด ในคราบนักการเมืองของทักษิณที่ถือโอกาสช่วงชิงอำนาจทางการเมืองโดยวิธีการทางการตลาดที่ทันสมัย การใช้จิตวิทยามวลชนการตลาดเพื่อสร้างความนิยมจากประชาชนที่รักความชอบธรรม รักมนุษยธรรม รักประชาธิปไตย และที่ขาดไม่ได้คือทักษิณได้ความนิยมจากกลุ่มคนไม่เอาเจ้า
ทักษิณใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมดังกล่าวของประชาธิปัตย์เองในการสร้างความนิยมจากมวลชน ทักษิณอิงแอบผลของการรัฐประหาร ผลของการอิงแอบเจ้าของประชาธิปัตย์ เพื่อปลุกปั่นมวลชน ไม่ต่างกับประชาธิปัตย์ อาจเลวร้ายกว่าอย่างที่อจ.สุลักษณ์ว่า อันนี้คนเสื้อแดงที่แอบไม่เอาเจ้าคงจะรู้ดี ว่าในเวทีเสื้อแดงต่างๆ นั้น รักเจ้าหรือเกลียดเจ้ากันแน่ และอะไรเป็นปัจจัยหลักทีทำให้คนเสื้อแดงเกลียดเจ้า ถ้าทักษิณรักเจ้าจริง ทำไมทักษิณไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะขจัดปัจจัยนั้น ทั้งๆ ที่มีอำนาจเต็มอยู่ในมือ
ความคลั่งไคล้ในความเป็นผู้นำของทักษิณของคนเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งเผื่อแผ่ไปถึงถึงยิ่งลักษณ์ นั้น มิได้มาจากคุณงามความดีหรือความเก่งฉกาจในตัวของคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ล้วนๆ แต่มันเกิดขึ้นมาจากการตลาดการเมืองเชิงจิตวิทยา ที่บังเอิญเหลือเกินที่คู่แข่งแบบประชาธิปัตย์และกองทัพ ได้เล่นเกมพลาดติดต่อกันอย่างต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว
วันนี้คุณทักษิณ หยิบยืมกลยุทธ์ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเคยใช้คุณอภิสิทธิ์ มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยมให้กับพรรคของตัวเองหลายอย่าง ดราม่าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของคุณยิ่งลักษณ์กับผู้นำต่างประเทศ-ความสวยประหนึ่งดารา นางแบบ-สิ่งที่ประชาชนทั่วไปมองเห็นและชื่นชมคุณยิ่งลักษณ์ ก็คือภาพผู้นำที่คล้ายกับเป็นตัวแสดงนำที่ตีบทแตกในละครเรื่องต่างๆ ยิ่งสลิ่มทุบตีคุณยิ่งลักษณ์ เสื้อแดงก็ยิ่งรักยิ่งสงสารนางเอกแบบยิ่งลักษณ์ รวมไปถึง ภาพของคุณพงศพัศ ที่ถอดแบบของคุณอภิสิทธิ์ ในแบบที่ผู้ดีมีการศึกษานิยมชมชอบกัน นี่ยังไม่นับเรื่องประชาธิปัตย์คอยหาเรื่องจะเอาทักษิณมาลงโทษเพียงเพราะเซ็นชื่อรับรองว่าคุณหญิงพจมานเป็นเมีย ในกรณีที่ดินรัชดาอีก ยิ่งทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ คนเสื้อแดงที่รักความเป็นธรรม เค้ายิ่งสนับสนุนทักษิณ
ถ้าลองสังเกต คำวิจารณ์ที่ฝ่ายเสื้อแดงติติงคุณสุขุมพันธ์ก็จะเห็นว่า คำวิจารณ์เหล่านั้นแทบไม่แตกต่างกับคำวิจารณ์ที่ฝ่ายสลิ่มติติงคุณยิ่งลักษณฺ์ และฝ่ายประชาธิปัตย์เองที่เคยเรียกร้องภาวะผู้นำจากคุณยิ่งลักษณ์ ในเรื่องของความสามารถในการพูดในที่สาธารณะ หรือความมีประสบการณ์ทางการเมือง วันนี้คุณพงศพัศ มีคุณสมบัติเกือบทุกอย่างที่คล้ายคลึงกับคุณอภิสิทธิ์
นี่แหละคือ “ความน่ากลัว” ที่พรรคของทักษิณมีมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีจำนวนคนที่คลั่งทักษิณมากกว่าคลั่งอภิสิทธิ์ ที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้ ไม่รู้ตัวว่ากำลังคลั่งในสิ่งที่ทักษิณใช้เป็นเครื่องมือ แต่กลับเชื่อว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่
ประชาชนที่ตัดสินใจเลือกข้างแล้ว ไม่ว่าจะเลือกประชาธิปัตย์หรือเลือกเพื่อไทย มัวแต่ดราม่ากับการเชียร์ข้างตัวเอง และขยายขอบเขตความเกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม จนละเลยที่จะเรียกร้องให้ฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนอยู่ ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเอง หรือร่วมกันตรวจสอบพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและเพื่อนร่วมชาติที่ยากไร้
ทุกวันนี้ พอมีคนออกมาวิจารณ์การทำงานของเพื่อไทย เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งก็จะร่วมกันผลักไส ด่าทอ ให้เขาไปอยู่ฝั่งอำมาตย์ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของคำวิจารณ์ ว่าในความเป็นจริงเพื่อไทย ทำงานบกพร่องแบบที่พวกเขาวิจารณ์หรือไม่ เช่นเดียวกันกับเวลาที่มีคนออกมาสนับสนุนประชาธิปัตย์ เสื้อแดงก็จะประนามกล่าวหาว่าคนพวกนี้สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนเผด็จการ ทั้งๆ ที่เสื้อแดงเองก็อ้างว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่กลับไม่รับฟังเหตุผลของคนที่ไม่อยากเลือกเพื่อไทย
สถานการณ์การเมืองไทยคงก้าวข้ามทักษิณไปไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง หากพรรคทางเลือกแบบประชาธิปัตย์ ยังทำตัวเหลวไหล ยึดอัตตาของตัวเองเป็นหลัก มีผู้นำที่เอาแต่โอ้อวดว่าตัวเองเก่ง เจ๋งกว่าทักษิณ แต่ไร้ความสามารถในการพัฒนากลยุทธ์ที่ที่จะเอาชนะพรรคของทักษิณได้
ถ้าผู้นำประชาธิปัตย์ ยังมองไม่เห็นจุดอ่อนของตัวเอง และเอาแต่โทษทักษิณ โดยไม่ปรับปรุงตัวเอง หรือปรับปรุงทัศนคติทางการเมืองให้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าผู้นำประชาธปัตย์ยังเลือกมองชาวเสื้อแดงเป็นศัตรู แทนที่จะมองว่าพวกเขาเป็นประชาชนชาวไทยที่นักการเมืองมีหน้าที่ต้องรับใช้ ดูแลทุกข์สุข ให้พวกเขามีเสรีภาพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามระบอบประชาธิปไตย ในแบบที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศเค้าทำกันอยู่ ทักษิณก็คงจะอยู่ในใจของชาวเสื้อแดงไปอีกนาน
สำหรับประชาชนชาวเสื้อแดง ก็ลองถามตัวเองดีๆ อีกครั้งหนึ่งนะคะ ว่า พวกคุณชื่นชมยินดีและเชื่อใจฝ่ายบริหารที่พวกคุณเลือกมาแบบพรรคเพื่อไทย ที่แต่งตั้งคนของตัวเองเข้าไปดำรงตำแหน่งโน่นนี่ในรัฐวิสาหกิจกันพรึบพรับ โดยมีข่าวคราวเรื่องคอรัปชั่นของโครงการใหญ่ๆ ที่พวกเขาอ้างกันว่า จะต้องมีเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบสาธารณูปโภค หรือ รายจ่ายอื่นๆ ของภาครัฐฯ พวกคุณรู้สึกกันแบบนี้จริงๆ หรือคะ?? นี่หรือคะ ประชาธิปไตย ที่เพื่อนๆ ของพวกคุณยอมเสียสละเลือดเนื้อชีวิตและอิสรภาพไปประท้วงกันมา?? แค่ขอให้นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองพวกเขายังไม่กระตือรือร้นที่จะทำให้เลย อ้างว่ากลัวเสถียรภาพรัฐบาลจะสั่นคลอน แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังถอนทุนคืนไม่ครบกันหรือเปล่า??
ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและชาวเสื้อแดงในวันนี้ คล้ายกับคนลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน ถ้าเสื้อแดงยังไว้ใจให้เพื่อไทยบริหารประเทศแต่ ขาดความรู้ในการตรวจสอบและรู้เท่าทันอย่างเพียงพอ โดยสันดานนักธุรกิจมีฐานันดรเป็นอำมาตย์แบบไทยๆ ทักษิณและเพื่อไทยเค้าก็ต้องกอบโกยประโยชน์ให้กับพรรคพวกของเค้าก่อนที่จะคิดถึงประชาชนที่ซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์อยู่วันยังค่ำ
คนเป็นเพื่อนกันมาทำธุรกิจร่วมกัน ยิ่งต้องตรวจสอบกันให้หนัก เรียกร้องให้เพื่อนทำเพื่อส่วนรวมอย่างตรงไปตรงมาและหนักแน่น จะได้รักษามิตรภาพเอาไว้ให้ยืนยาวภาคประชาชนควรจะรวมพลังกันและคอยตรวจสอบนักการเมืองทุกฝ่ายจะดีกว่าที่จะคอยผลักไสคนที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ถูกใจตัวเองให้ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งค่ะ ยิ่งไม่ชอบพฤติกรรมของประชาธิปัตย์ก็ต้องเรียกร้องให้เพื่อไทยทำเพื่อประชาชนให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่โฆษณาไปวันๆ
วันนี้ประชาชนไม่มีทางเลือกมากนัก ตัวเล่นหลักก็มีแค่สองพรรคใหญ่ ประชาชนควรพัฒนาตัวเองให้มีกำลังต่อรองกับนักการเมือง ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายไหน ก็ควรจะทำงานเพื่อประชาชน แต่จะพัฒนาความสามารถในการต่อรองได้ ประชาชนจะต้องศึกษาหาความรู้และเข้าใจในสิทธิของตัวเองโดยมองข้ามความเป็นพวกเค้าพวกเราให้ได้ถ้ายังอยากจะคงวาทกรรม “ไพร่และอำมาตย์” ไว้ ก็ควรจะรวมนักการเมืองของเพื่อไทยและทักษิณไว้ในกลุ่มอำมาตย์ด้วย แม้ว่าทักษิณจะได้สิทธิ์เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีพฤติกรรมอำมาตย์เพราะเขามีชีวิตแบบอำมาตย์มานานแล้ว นักการเมืองแบบทักษิณหรือแบบประชาธิปัตย์หรือกลุ่มอำมาตย์ในสังคมไทยจะไม่มีทางทำอะไรให้ประชาชนฟรีๆ ถ้าเขาและพวกพ้องไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการทำงานนั้น
ข้อคิดเห็นทั้งหมดที่แชร์มานี้ มาจากคนที่เคยหย่อนบัตรเลือกคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อนค่ะและเคยนิยมชมชอบวิธีการพัฒนาประเทศของคุณทักษิณในสมัยไทยรักไทยด้วย
เอาจริงๆ นะ เวลามีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่ละครั้ง เวลามีคนกัดกันเนี่ยผมชอบดูนะครับ รู้สึกเหมือนดูข่าวเด็กช่างกลตีกันเลยนะ คือไม่รู้ว่าที่จริงแล้วสาระของชีวิตมึงคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร โลกจะดีขึ้นได้ยังไง แต่ก็หน้ามืดตีกันไปแล้ว เหตุผลอย่าเพิ่งถามได้ไหม
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยได้เจอครับ เพราะตัวเองไม่ได้ไปอยู่ตามสังคมที่ทะเลาะกันแรงๆ เท่าไหร่ ที่เจอก็มีแต่เห็นต่างกันสุดขั้ว แต่คุยกันด้วยภาษาปกติ ไม่มีเหน็บแนมหรือถากถางคู่สนทนา จะคุยกันเรื่องล้มจ้งล้มเจ้าอะไรก็ยังมีเหตุผลที่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ถกเถียงและรับฟังกันได้ แต่พอเมื่อเช้าเจอมาคนนึงเลยรู้สึกสนใจ ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เสื้อแดงด่าคนเลือกประชาธิปัตย์ว่า “ควาย” ฉิบแล้ว เฮ้ย โลกแม่งซับซ้อน
หรือแบบนี้วะ ที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ 5555