มิวสิกวิดีโอลับของเพลง “นักเลงคีย์บอร์ด”

เจอเรื่องสนุกมาครับ

พอดีฟังและดู MV ของเพลงนักเลงคีย์บอร์ดของแสตมป์แล้วมันให้อารมณ์ว่าเอ๊ะ บรรยากาศมันคุ้นมาก เหมือนมีอีกเพลงนึงคือ “ขอ” (Lomosonic) ที่ตอนนั้นพอปล่อย MV ออกมาก็ดังถล่มทลาย แต่เพลงกลับไม่ค่อยมีใครร้องตามได้) เอาภาพมาสวมกันให้เข้ากับเพลงได้เลยนี่หว่า .. อ๊ะๆ ไม่ได้บอกว่าลอกกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลอกไม่ลอกเลย แต่คือแค่รู้สึกว่าเฮ้ย มันน่าจะเอามาแทนกันได้ และคงสนุกถ้าจะเอามายำเล่นดู

ขอ – Lomosonic

นักเลงคีย์บอร์ด – แสตมป์

เลยลองทำแบบนี้ดูครับ ใครจะลองดูบ้างก็เอาเลย

  1. เปิดยูทูบของทั้งสองเพลงแล้ว pause ไว้ ใครเน็ตเต่ารอให้มันโหลดตุนไปไกลๆ ก่อน
  2. ในคลิปเพลงขอ ให้กดปุ่มปิดเสียง แล้วเลื่อนไปข้างหน้าสัก 5 วินาที แล้วกดเล่น (ภาพก็จะเริ่มขยับ)
  3. รีบหันมากด Play ที่คลิปนักเลงคีย์บอร์ด แล้วฟังแต่เสียง ไม่ต้องสนใจภาพนะ ไปดูคลิปแรกแทน

จะเห็นว่ามีหลายช็อตที่พอเนื้อร้องมาปั๊บ ภาพแม่งมาเลยครับ สวมกันได้พอดีเหมือนนัดแนะกันมาก่อน!

– – – – –

เขียนเพิ่ม 1 ส.ค.57

– – – – –

พอเขียนบล็อกตอนนี้ไป มีเสียงตอบรับสนุกกว่าที่คิด และที่อยากจะกรี๊ดคือ คุณผู้กำกับแกตอบรับด้วยล่ะ ไปทำการบ้านมาส่งอีก ลองดูสิครับ โคตรเป๊ะ 55555

เผยแพร่เมื่อ 1 ส.ค. 2014
ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด , แสตมป์
ปะทะ เพลง ขอ , lomosonic
: วันก่อนที่พี่ไอ้แอนนนนน เคยลองเอาภาพเอ็มวี ขอ ของ lomosonic มาแปะกับเพลง นักเลงคีย์บอร์ดของพี่แสตมป์ แล้วมันพอดีเป๊ะ / วันนี้ข้าพเจ้าเลยลองเอา ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด มาแปะกับเพลง ขอ ดู ปรากฎว่าเป๊ะมากเช่นกัน 5555 มู้ดเปลี่ยนเรียบ

ฮิคารุ เซียนโกะ

ผมเป็นคนที่อ่านการ์ตูนช้ามาก

ที่จริงก็ไม่ได้แปลว่าทำอะไรอย่างอื่นเร็วหรอกนะ ส่วนมากจะโดนเมียด่าเรื่องช้านี่แหละ เรียกทีกว่าจะขยับตัวก็ต้องสักพัก แต่กับการ์ตูนนี่ไม่เหมือนกัน เป็นความช้าที่ตัวเองพอใจจะละเลียดไปกับมัน

การ์ตูนเล่มไหนที่ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพยายามอ่านให้ช้าลงเรื่อยๆ และยิ่งดื่มด่ำกับทั้งภาพทั้งเนื้อหาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพนี่ ถึงจะการ์ตูนวาดห่วยขนาดไหน แต่ถ้าภาพมันน่าสนใจก็จะยิ่งตั้งใจดูทีละช่องๆ ว่าเขาวาดยังไง (ไม่รู้คนอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่ผมเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มากๆ)

สำหรับฮิคารุ เซียนโกะ ผมอ่านในบูม (นิตยสารผู้ล่วงลับ) ในสมัยที่มันเป็นรายสัปดาห์ มันตีพิมพ์ในยุคที่ผมอยู่มหาลัยพอดี จำได้ว่าช่วงนั้นกระแสโกะบูมขึ้นเต็มประเทศจริงๆ ดั่งชื่อนิตยสาร หันไปทางไหนก็มีแต่คนตอบรับกระแส การ์ตูนฉบับรวมเล่มก็มีคนรอบกายซื้อหากันเฉกเช่นการ์ตูนฮิตที่ควรสะสมทั่วไป (ยุคนั้นไม่มีสปอยล์ตามเน็ต–เอาเป็นว่ายุคนี้ผมก็ไม่อ่านสปอยล์ มันไม่ใช่น่ะเข้าใจมะ) ขนาดระดับผู้ใหญ่เองก็ยังมีหนังสือและตำราโกะวางอยู่บนแผงหนังสือขายดีตามร้านอยู่ไม่น้อย แถมยังมีการจัดแข่งขันอะไรต่อมิอะไรเป็นที่คึกคักในบ้านเรา นั่นแปลว่ากระแสมันจุดติด

เป็นความบัดซบของตัวเองในยุคนั้น ที่อยู่ในช่วงอายุที่ไม่ชอบทำตามกระแส (สมัยนั้นคงรู้สึกว่าเท่ แต่พอมองย้อนกลับไปในสายตาลุงอายุ 30 กว่าๆ มึงนี่ปัญญาอ่อนมาก) ผมเลยเลิกติดตามการ์ตูนเรื่องนี้และสารพัดเรื่องเกี่ยวกับโกะอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่รู้ว่ามันน่าสนุกมาก และตั้งใจไว้ว่า วันหนึ่งมันเลิกฮิตเมื่อไหร่จะกลับมาอ่าน

จ้ะ เท่มาก

แล้ววันหนึ่งมันก็เลิกฮิตจริงๆ แบบเดียวกับสายลมแห่งกระแสอื่นๆ ที่พัดมาแล้วก็ผ่านไป เป็นอนิจจัง

จนกระทั่งที่ญี่ปุ่นเขามีโครงการเอาการ์ตูนดังๆ มาพิมพ์ซ้ำด้วยขนาดใหม่ ปกสวยขึ้น เก็บงานเนี้ยบขึ้น เล่มใหญ่ขึ้น ..และราคาแพงขึ้น แล้วเรียกมันว่า Ultimate Edition เพื่อหลอกขายผู้ใหญ่ที่ยังมีหัวใจเป็นเด็ก ไล่จากเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตีเมืองกระหนาบเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงคิวของฮิคารุ

hikaru

ผมนั้นลืมความรู้สึกของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนไปแล้วครับว่าเคยไปกร้าวเกรียนอะไรเอาไว้ แต่พอมาเห็นรวมเล่มใหญ่รู้สึกแค่ว่า เออ เรื่องนี้จัดอยู่ในลิสต์ “ไว้ว่างๆ จะอ่าน” ต่อตูดนิตยสารและหนังสือเล่มอื่นๆ ที่กองหนาเป็นเมตรๆ สมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการซื้อมาดองไว้แล้วไม่อ่านแห่งลาดปลาเค้า

แต่เรื่องฮิคารุนี่ยังไม่ซื้อนะ เพราะการลงทุนซื้อความสุขเล่มละ 130 บาท คูณ 20 เล่มจบก็ปาเข้าไป 2,600 บาทเข้าไปแล้ว (แต่เอาจริงๆ ไปซื้อตามงานหนังสือที่รวมห่อขายก็ได้ลดกว่านี้อีกหลายบาท) ดังนั้นอารมณ์ที่ว่าไว้เดี๋ยวจะอ่าน ก็จืดจางลงไปทุกที

โชคดีที่มีเพื่อนอย่างไอ้ปิง

ปิงเป็นมนุษย์การ์ตูน นิตยสารบูมที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนก็ไม่ได้ซื้อเอง ยืมมันทั้งนั้นแหละ ไหนจะเรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่าสนุกสมควรซื้อเก็บไว้เองไหม ผมก็อาศัยยืมมันอ่าน เพราะบ้านมันรวยไง (เพื่อนแบบนี้ควรคบไว้นะครับ ดี) จนกระทั่งฮิคารุเล่มใหญ่ตีพิมพ์ออกมา ไอ้ปิงก็ซื้อมาอ่านและเก็บไว้บนหิ้งเรียบร้อย … อันที่จริงต้องบอกว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ และพอครบ 20 เล่มปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่บนชั้นรกๆ ของมันอยู่แบบนั้น

ดีที่มีเพื่อนอย่างเราที่เห็นค่าของการ์ตูน ไม่อยากให้การ์ตูนมันเสื่อมสภาพเพราะถูกทิ้งไว้ ก็เลยไปขโมยมันมา (ถ้ามันอ่านบล็อกนี้คงรู้แล้วแหละว่าการ์ตูนหาย)

ของร้อนนั้นเร้าใจเสมอ ผมเลยเลือกลัดคิวอ่านฮิคารุก่อนหนังสือดองเล่มอืนๆ ที่งอนอยู่บนชั้น

ฮิคารุเป็นการ์ตูนสะอาดครับ คือเด็กๆ อ่านได้ (เรต ท. คือไม่มีพิษภัย ไม่มีฉากที่ยั่วยุให้อ่านแล้ววาบหวิวหิวกระหายเพศสัมพันธ์) พอจะสปอยล์แบบไม่เสียอรรถรสคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ มันเป็นเรื่องของเด็กประถมคนนึงที่เป็นมนุษย์ปกตินี่แหละ แต่วันดีคืนดีก็ไปซนเจอกระดานโกะ (หมากล้อม) ที่วางไว้ในห้องเก็บของ แล้วเผอิญว่าข้างในมีวิญญาณที่เป็นเทพแห่งโกะสิงสถิตอยู่

วิญญาณนั้นชื่อซาอิ สมัยที่ยังไม่ตายนั้นเขาเป็นครูสอนโกะให้กับเจ้าในสมัยพันปีก่อน ดังนั้นในเรื่องก็จะใส่เครื่องแบบเหมือนผีญี่ปุ่นชั้นสูงตลอดเวลา แล้วมาวันหนึ่ง นักเล่นโกะที่น่าจะเก่งที่สุด หรือไม่ก็เก่งอันดับต้นๆ ของโลกคนนี้ก็ตายลงด้วยความช้ำใจ ความผูกพันกับสิ่งที่ยังไม่ได้สะสางก็เหมือนกับผีญี่ปุ่นทั่วไป ประมาณว่า กูอยากเล่น อยากเล่นให้มากกว่านี้อีก … สิงอีเด็กห่านี่ซะเลย

ถ้าเป็นพล็อตการ์ตูนเรื่องอื่นๆ อาจจะนำพาให้เด็กฮิคารุนี่โดนสิงแล้วไปทำนั่นนี่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แห่งวงการไปแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่อย่างนั้นครับ ผู้แต่ง (Yumi Hotta) วางโครงเรื่องไว้ให้ฮิคารุเลือกที่จะเป็นเด็กที่เป็นเด็กน่ะ คือยังเป็นตัวของตัวเอง จากที่ไม่เคยสนใจโกะเลย และเฉยๆ จนเริ่มใจอ่อน เอาวะ กูสานฝันให้ผีซะหน่อย ยอมเล่นตามใจมันหน่อย จนจับพลัดจับผลูเข้าไปสู่วงการหมากล้อมจนได้ เพราะผีผลักนี่แหละ

พวกการ์ตูนในวงการอะไรแปลกๆ สักอย่างนี่ดีนะครับ ก่อนเริ่มลงมืออ่าน เราจะไม่รู้เลยว่าวงการนี้มันคืออะไร โกะมันเล่นยังไง แต่พออ่านๆ ไป มันจะค่อยๆ สอนเราทีละหน่อยอย่างแนบเนียนครับ ไม่ใช่แบบการ์ตูนฟุตบอลที่ลงลึกในเทคนิคของการแข่งขันแต่ละครั้ง (ไม่งั้นแปลงเป็นหมากล้อมนี่คงน่าเบื่อตายชัก) แต่เขาจะมีวิธีนำเสนอให้เรารู้สึกสนุกไปกับมันด้วย โดยที่ไม่ต้องเล่นเป็นก็ได้ หรือถ้าเกิดเล่นเป็นขึ้นมาก็ยิ่งสนุกใหญ่ แบบเดียวกะอีเด็กพระเอกของเรื่องที่แต่เดิมก็โง่ๆ นี่แหละ จับหมากแบบเท่ๆ ยังไม่เป็นเลย แต่พอสนองนี้ดผีในการสิงร่างให้ไปนั่งเล่นกับชาวบ้านจนเขาแตกตื่นกันปั๊บ ฮิคารุเองก็เริ่มค่อยๆ ซึมซับความสามารถในการเล่นโกะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ที่เจ๋งก็คือ อิทธิพลของผีไม่ได้มีส่วนในการเอาชนะใครเท่าไหร่ ความเจ๋งมันอยู่ที่พรสวรรค์และทัศนคติของตัวเด็กเองต่างหาก ว่าเขาค่อยๆ เติบโต ก้าวผ่านความเป็นเด็กธรรมดาๆ ใส่ชุดนักเรียนปะปนกับเพื่อนๆ ที่วันหนึ่งก็ต้องเรียนต่อ จบไปหางานทำ แต่เขากลับเลือกทางเดินอีกแบบด้วยวิธีของตัวเอง ที่มีวิญญาณคอยเป็นผู้สนับสนุน โดยที่พ่อกับแม่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เป็นตัวน่าสงสารที่มองตามลูกที่โตขึ้นพรวดพราด รู้ตัวอีกทีก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้วน่ะครับ

มันมีคำศัพท์ที่เรียกว่า Coming of age ที่เอาไว้อธิบายปรากฏการณ์ของเด็กวัยรุ่นเห่อหมอยธรรมดาๆ ที่ไปเจอจุดเปลี่ยนของชีวิตสักอย่างที่ส่งผลอย่างรุนแรงกับเส้นทางที่จะต้องเลือกเดินต่อจากนี้ไปทั้งชีวิต และตัวเอกก็ต้องมุ่งไปสักทาง เพื่อข้ามกำแพงนี้ให้ได้ อารมณ์แบบนี้แหละครับที่สร้างความประทับใจมากๆ (ยกตัวอย่างเป็นหนังก็เรื่องเด็กหอ หรือ Stand by Me หรือการ์ตูนก็ BECK ได้ไหมหว่า?)

และเนื้อเรื่องของฮิคารุก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ผู้เขียนก็เขียนไปหาข้อมูลไป ได้เห็นภาพในมุมกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผู้วาด (Takeshi Obata) ก็วาดสวยขึ้นเรื่อยๆ (ผมชอบลายเส้นและขนาดช่องการ์ตูนในช่วงท้ายๆ ของเรื่องฮิคารุนี่มากกว่าความอัดแน่นเกินไปในช่วงหลังๆ อย่างเรื่อง Death Note หรือแม่แต่ BAKUMAN อีกนะ มันอ่านสบายตากว่า แถมวาดผู้หญิงดูสวยน่ารัก ถูกจริตกว่า)

จาก 20 เล่ม ผมอดหลับอดนอนละเลียดอ่าน (งงไหม คืออ่านช้าไง แต่ติดหนึบ) จนตอนนี้อ่านไปได้ 15 เล่มแล้ว เนื้อเรื่องแข็งแรงมาก ทุกอย่างบิ๊วมาให้เป็นหนึ่งในการ์ตูนระดับตำนานอย่างสวยงาม คือตอนนี้อ่านไปขี้ไปอย่างสมองโล่งเลยครับ ชอบโมเมนต์เวลาอ่านการ์ตูนที่ประทับใจจนต้องรีบเอามาเขียนอะไรแบบนี้

แต่ก็ต้องมาหยุดชะงักเมื่อพบว่าเล่ม 16 ไม่มี ไอ้ปิงมันเอาไปเก็บไว้ไหนวะ แย่จริงๆ ต้องรีบไปขโมยมาซะแล้ว

จึงตัดจบด้วยประการฉะนี้

นักษัตร

วันนี้เอากระท้อนไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ท่านนึง แกทักผมกะเมีย
ญ: โบว์ท้องโตมากแล้วนะ นี่จะคลอดเมื่อไหร่
อ: ประมาณกลางๆ กันยาครับ
ญ: ปีนี้ปีอะไร… มะเมีย ปีม้านี่ แล้วคนแรกล่ะเกิดปีอะไร
อ: (นึกพักนึง)… มังกรครับ
ญ: โอ้โห ใหญ่ๆ ทั้งนั้น
อ: ตอนทำก็ไม่ได้คิดหรอกครับ ว่าจะใหญ่

มือถือเดี๋ยวนี้มันต้องกี่บาท

บล็อกทุนนิยมอีกแล้ว จดไว้หน่อย เดี๋ยวอีกสองสามปีก็ลืม จะได้กลับมาดู

มือถือตอนนี้ก็คงเหมือนคอมในยุคนึงที่แข่งกันทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาอย่างดุเดือด จนตอนนี้คอมพันจุดอิ่มตัวและเข้าสู่ยุคหดตัว กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง ที่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านต้องมีเหมือนสมัยก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์พกพาที่เราแทบทุกคนมีกันในมือตอนนี้ก็เบียดเข้ามาทำหน้าที่นั้นแทน (อันนี้ย้อนไปสิบปีก่อนใครมันจะไปนึกวะ ตี๊บจ็อบเองจะนึกหรือเปล่า)

ผมเกิดทันในยุคที่ออเร้นจ์เปิดตัวในไทย พอดีได้โควตาญาติพนักงานเทเลคอมเอเชีย รับส่วนลดโปรโมชันสักอย่างที่ทำให้สามารถซื้อมือถือเครื่องแรกในชีวิตมาได้ นั่นคือโนเกีย 3310 ในตำนาน

ราคาท้องตลาดตอนนั้นประมาณ 8-9,000 บาท แต่ญาติพนักงานคนนี้ทุบกระปุกซื้อมา 5,000 บาท! สเป็กตอนนั้นถือว่าเจ๋งสุดๆ ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็คงเหมือนวีออสเพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ และหลังจากนั้นมันก็ขายดีระเบิดระเบ้อ กลายเป็นรุ่นยอดนิยม มีหน้ากากขายสารพัด มีนวัตกรรมเสียงริงโทน หรือสายโมดิฟายมากมายที่เอามาต่อกับคอมแล้วแต่งนั่นนี่ได้ แม้จะหน้าจอสีเดียว และเป็นเม็ดพิกเซลเหลี่ยมๆ ก็เถอะ แต่ความมันส์มันอยู่ที่ใครจะแต่งมือถือตัวเองได้แซบกว่ากัน (ตูก็บ้าซื้อมาเล่นนะ ตอนนั้นอดข้าวซื้อไอ้สายที่ว่านี่เส้นละสองสามร้อยมั้ง มานึกดูแล้วน่าต่อยมาก) และที่สำคัญคือมือถือในตำนานเครื่องนี้ดันทนทานดุจชัชชาติผลิตให้ ใช้มาหลายปีกว่าจะพินาศไป ทำให้เครื่องต่อๆ มาที่ใช้ก็เป็นฟีเจอร์โฟนเครื่องละสองสามพันแนวๆ ไอโมบาย ฯลฯ ที่ใช้งานได้แค่ปีเดียวก็เจ๊ง

จนมาถึงยุคสมาร์ทโฟน ที่จริงพวกโนเกีย ซัมซุง แอลจี อะไรนี่ ก็มีความสมาร์ทอยู่พอสมควรนะครับ ดูหนังฟังเพลงได้แบบขลุกขลักหน่อยในราคาเฉียดหมื่น (ซึ่งตอนนั้นก็ดูสมเหตุสมผลกับราคานี้ แต่ผมยังมีความสุขกับมือถือธรรมดาอยู่) แต่พอแอปเปิลเปิดตัวไอโฟน โลกสมาร์ทโฟนก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ตอนนั้นก็นั่งดูและกรี๊ดแบบที่ใครๆ ก็เป็นกันนี่แหละ ชอบดีไซน์ ชอบนวัตกรรม ถึงจะงงๆ อยู่หน่อยว่า มือถือมันจะแข่งกันมีกล้องทำไม? (สมัยนั้นโลกยังไม่มีคำว่าเซลฟี่ไง) สรุปว่าชอบเกือบทุกอย่าง แต่ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวคือราคา..

อีห่า มือถือเครื่องนึงซื้อเครื่องสูบน้ำได้ตั้ง 4 เครื่อง

(ผมชอบเทียบราคาของเล่นไฮเทคพวกนี้กับเครื่องสูบน้ำครับ พอดีเมื่อก่อนที่บ้านน้ำประปายังไม่เข้า ต้องสูบน้ำใต้ดินใช้ เลยพอรู้ราคาว่าเออ จ่ายเท่านี้ได้ฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพขนาดนี้ ต่อมาเวลาเห็นอะไรแพงๆ ก็จะเทียบกับเครื่องสูบน้ำไว้ก่อน // พี่ในฟอนต์คนนึงแกเลี้ยงควาย แกเลยเทียบกับควายบ้าง ว่าต้องขายควายกี่ตัวถึงจะซื้อได้งี้ น่ารักดี)

ด้วยจำนวนเงินในบัญชี และค่าครองชีพตอนนั้นที่ไอโฟนออก เงินสองหมื่นกว่าบาทกับมือถือหนึ่งเครื่องมันเป็นสิ่งไกลตัวมาก จนอีกค่ายคือแอนดรอยด์เปิดตัวมือถือของตัวเองบ้าง (รู้สึกว่ามันก๊ากกาก) จนไอโฟนออกรุ่นถัดมา ถัดๆ มา แอนดรอยด์ก็อปไอ้นั่นล็อกไอ้นี่ ไอโฟนก็เลยก็อปกลับบ้าง

ในที่สุดก็เลยทนกิเลสไม่ไหว ทุบกระปุกอีกครั้งเพื่อซื้อมือถือจอสัมผัสเครื่องแรกมาเป็น hTC Legend มือสอง (รับของที่บีทีเอสหมอชิต) ได้มา 15,000 บาทถ้วน ในขณะที่ท้องตลาดมือหนึ่งอยู่ที่ 17,900 บาท ก็ถือว่าโอเคมากนะครับ แอนดรอยด์ตอนนั้นเป็น 2.2-2.3 แล้ว ในขณะที่แอปเปิลก็ยังนำอยู่ห่างไกลทั้งประสิทธิภาพและราคา แต่ไม่เป็นไร ดูแววของกูเกิลยาวๆ แล้วขอลงทุนเชียร์ค่ายนี้ดีกว่า (ตอนนั้นยังไม่เป็นติ่ง)

และแล้วก็เสร็จเลยครับ เคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะขอออกแบบชีวิตตัวเองให้ทำงานที่ไหนก็ได้ (ข้ออ้าง) แล้ววันนั้นก็เปิดศักราชใหม่เลย ปรับระบบนั่นนี่จนสามารถพกมือถือเครื่องเดียวทำงานนอกบ้านได้สบายจนทุกวันนี้ (บล็อกนี้ก็เขียนในมือถือ)

พอ hTC Legend หมดอายุขัยไปหลังจากทำตกครั้งที่ 86 สภาพรอบเครื่องบุบบิบยับเยินแต่ตัวถังเป็นโลหะเลยยังคงทนอยู่นะ แต่ปุ่มเปิ่มนี่ไม่ไหวแล้ว เลยมองหาเครื่องถัดมา โดยมีโจทย์เดิมว่าต้องทำงานนอกบ้านได้ คราวนี้ขอเพิ่มอีกข้อคือต้องโซเชียลได้ด้วย นั่นเพราะเริ่มมีตังค์พอจะซื้อเน็ตใช้ได้แล้ว แบะประเทศไทยเริ่มมีแววจะได้เห็นสามจีในอีกไม่นาน

พอดี ณ พ.ศ.นั้น ระดับราคาที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเจ๋งกับความพอใช้ได้คือ 15,000 บาท จึงจัด Galaxy Note มาในราคาเฉียด 20,000 มั้ง (ลืมเป๊ะๆ ไปแล้ว) เล่นของแพงเลยครับ กะว่าลงทุนกับมันไปเลยจะได้ใช้นานๆ ซึ่งก็ใช้คุ้มฉิบหายโดยเฉพาะปากกาของมัน (ตอนนั้นก็ยังถือว่ากากนะ แต่มันยังไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ไง) ตอนนั้นก็อวยปากกามันจนเวอร์เหมือนรับเงินซัมซุงมาโฆษณา แถมพอใช้ไปปีนึงยังไม่ทันจะพังเลย ก็ดันไปประกวดวาดรูปชนะ จนได้รุ่น Galaxy Note 2 มาอีก ทีนี้ของมันดันเจ๋งกว่าเดิมเยอะ คือราคาของในระดับเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่องเนี่ย มันควรต้องดีให้สมกับความแพงเลยนะ

ก็โอเคนะครับ รู้สึกคุ้มดี ข่าวมือถืออะไรก็ติดตามตลอด ยังรู้สึกว่ามันเป็นของดีจริงๆ อยู่ (เป็นคนบ้าอ่านฟีดเทคโนโลยีล้นสมองเพื่ออะไรไม่รู้) แม้ตอนแรกไม่เคยคิดจะซื้อเลยก็ตาม เพราะโน้ตตัวแรกมันยังดีอยู่มาก แต่พอเทียบกับเครื่องรุ่นสองแล้วมันดันดีกว่ากันชัดเจนแบบก้าวกระโดด ก็เลยกะว่าจะอยู่กับมันไปอีกนาน..

แล้วโน้ตสามก็มา..

พอดีได้ไปงานเปิดตัวของซัมซุงด้วยน่ะครับ (เขาคงเห็นว่าเราอวยบ่อยเลยให้ไปด้วย) ก็เลยได้ลองเล่นของจริงดูก่อนที่มันจะวางขาย คือมันก็เจ๋งกว่าเดิมมากๆ อีกครั้ง แต่พอเปิดราคามาที่สองหมื่นกว่าบาทก็ถอดใจครับ จำได้ว่าแพงกว่าไอโฟนซะอีก เลยนึกไว้ว่าราคาระดับนี้ไม่ไหวนะ คงใช้จนโน้ตสองในมือพังไปก่อนแล้วค่อยหาใหม่

ปรากฏว่ากลับบ้านไปเมียถามว่าเป็นไง ดีไหม ตอบไปว่าดี เมียบอกดีก็ซื้อเลย คนอย่างเตงใช้คุ้ม

อ้าว ไฟเขียวมาจากเมียแบบนี้ ซวยเลยครับ สุดท้ายก็กลืนน้ำลาย ซื้อไปจนได้ T-T ยังดีที่เอาเครื่องเก่าไปขายต่อได้ เลยเหมือนตอนนี้เราเสียค่าอัปเกรดให้ทันเทคโนโลยีติ่งๆ ประมาณปีละแปดเก้าพัน บวกลบดูแล้วน่าจะเป็นราคาที่โอเคอยู่ เพราะตัวเองก็อยู่ในโลกทุนนิยม กิเลสนิยม และบ้าเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเราหาเงินได้จากทางนี้ ก็ควรเสียเงินเพื่อมัน
ต่อมาทันดันมีโน้ตสามรุ่นใหม่ที่ปรับตัวขยับขึ้นไปรองรับ 4G ได้อีก (ที่จริงคือมีอยู่แล้วแต่เพิ่งเอาเข้ามาขายในไทย และเพิ่มราคาพอสมควร) ไอ้ผมก็มาฟอร์มเดิม ซื้อทำไม ทุกวันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เว็บ Droidsans ดันมีเกมให้เล่นแข่งกันชิงมือถือรุ่นที่ว่านี้ ผมเลยไปแข่งแล้วชนะมา แม่งได้มาอีกเครื่อง 囧 ก็ปล่อยเครื่องเดิมไปเพื่อใช้เครื่องใหม่จนทุกวันนี้

แน่นอนว่าแฮปปี้ทุกอย่างกับของเล่นชิ้นปัจจุบันนี้ เพราะตอบโจทย์ชีวิตได้ทุกอย่าง แบบที่เป็นมากกว่าของเล่นหรือเอาไว้อวดกัน (คือผมไม่เล่นเกม แต่ใช้ทำงาน อ่านข่าว กับโซเชียลหนักๆ อันหลังนี้เสพติดสุด) จะติดอยู่ก็แค่เกลียดแอปอ้วนๆ รกๆ จากผู้ผลิตเอง ที่ติดมากับเครื่องที่ชาตินึงก็ไม่ได้ใช้ และลบออกไม่ได้ กับอินเทอร์เฟซโบราณๆ ของซัมซุง นอกนั้นโอเคนะ เวลามีปัญหา เข้าศูนย์บริการก็โอเค ไม่เจอปัจจัยดราม่าแบบที่ใครเขาเจอกันเมื่อก่อน

ก็คงปากดีเหมือนเดิม ว่าจะใช้มันไปจนกว่าจะพัง หรือเมียไฟเขียวให้อัปเกรดไปอีกรุ่นงี้

ทีนี้จุดเปลี่ยนมันดันเป็นช่วงสองสามอาทิตย์ก่อนนี่เองครับ

คือเมียผมให้หาข้อมูลไว้ซื้อมือถือใหม่ให้แม่ยาย ก่อนหน้านี้เคยตั้งงบไว้ 5-6,000 บาท ก็ซื้อ Oppo เครื่องนึงตามงบเพื่อให้แกหัดเล่น (หลักๆ คือไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ) ปรากฏว่าได้มาสมราคา คือเล่นได้ แฮปปี้ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีอะไร อยู่ในระดับที่ใช้ได้เฉยๆ พอลองดูมือถือในตลาดตอนนั้น การจะให้ดีไปเลย (ในสายตาข้าพเจ้า) ก็ต้องมีประมาณ 12,000 ขึ้นไปแหละ

แต่พอสองสามอาทิตย์ก่อน ลองสำรวจราคาดูอีกที เฮ้ย โลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า Zenfone 5 อยู่ด้วย ราคา 5,990 บาท (เครื่องสูบน้ำเครื่องเดียวพอดี) แต่เครื่องสวยจอใหญ่กล้องดี สเป็กจัดเต็ม นอกนั้นก็มี Xiaomi Mi3 ที่เทพกว่านี้ขึ้นไปอีกเยอะมาก ในราคาที่แพงกว่ากันเกือบเท่า แต่มันก็โคตรคุ้มในระดับที่ถ้าซื้อใหม่ผมก็คงเอาตัวนี้เลย คุ้มที่สุดในโลกนี้เลย ซึ่งข้อเสียของมันก็คือ ณ วันนี้ยังไม่ทำตลาดในไทย แปลว่าถ้าอยากได้ให้หิ้วเอาเท่านั้น (ใครอยากรู้ความดีของมัน ลองกูเกิลเอาเองครับ)

ดังนั้นของแม่ยายเอา Zenfone ไปละกัน ได้ถูกกว่างบหลายพันด้วย แต่เพราะความที่มันดันคุ้มราคาไง เลยหาซื้อที่ไหนก็ไม่มีของซะที …เอ๊ะ มีร้านที่เขารับหิ้วจากสิงคโปร์ในราคาที่แพงขึ้นมาอีกพันเดียวนี่นา ได้รุ่นที่ดีกว่าบ้านเราพอสมควร แถมยังมีของทันทีด้วย ก็เลยตัดสินใจสั่งซื้อไป และได้ของมา

พอลองเล่นดูแล้วสรุปสั้นๆ เลยครับ ว่าคุ้มเหี้ยๆ

ถึงจะคิดได้ช้าไปหน่อย แต่มือถือเครื่องต่อไปก็คงพิจารณาอะไรแบบนี้ครับ คือพวกราคาระดับเดียวกับที่ฟาดฟันกับไอโฟนนั่นคงปล่อยให้เป็นเรื่องของคนชอบเล่นของแพงไป ส่วนเราพอมาเห็น Zenfone และ Xiaomi แล้วก็รู้สึกเสียดายเงินส่วนต่างตั้งสองสามเท่า เอาไปซื้อขนมให้ลูกกินดีกว่าเลยครับ

ที่เขียนบล็อกนี้เลยเถิดก็เพราะนึกได้สั้นๆ ว่า เส้นแบ่งระดับราคาของ “พอใช้” กับ “เจ๋ง” ที่เมื่อก่อนอยู่ที่ 15,000 ขยับลงมาเป็น 12,000 นั้น เดี๋ยวนี้ล่าสุด อีเส้นนี้มันขยับลดลงมาเหลือไม่ถึง 6,000 บาทแล้ว

ยิ่งพอ Xiaomi เปิดตลาดในไทยเมื่อไหร่ (เดาแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย ว่าอาจปีหน้า) รับรองวงการมือถือบ้านเราสั่นสะเทือนพลิกฟ้าดินแน่นอน

อย่าลืมว่าตลาดกลุ่มที่พร้อมจ่ายเงินค่าอะไรพวกนี้ในราคาไม่เกิน 4-5,000 มันมหาศาล และในฐานะคนขายของออนไลน์อย่างผม (โฆษณา) บอกเลยว่า ตอนนี้รอจุด mass crisis รอวันที่ชาวบ้านร้านตลาดสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์(ผ่านมือถือ)ได้แบบเจ๋งๆ ไม่ขลุกขลัก ซึ่งปีหน้าเตรียมตัวสนุกได้ มาแน่นอน 100%

ป.ล.
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือในไทย จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านมือถือในครึ่งปีที่ผ่านมานั้น มีมากกว่าจากคอมแล้ว! ดังนั้นคนทำเว็บโดยคิดอะไรแบบ Mobile First นั้นถึงเวลาของท่านแล้วครับ

ป.อ.
นี่ใช้แอป WordPress ในมือถือ มันทำลิงก์โยงไปบล็อกตอนอื่นๆ ที่อ้างถึงลำบากจัง เดี๋ยวไว้ขยันค่อยมาปรับเป็นลิงก์เพิ่มนะ

ป.ฮ.
คอยดูนะ เดี๋ยว Galaxy Note 4 ออกมา ตูก็กลืนน้ำลายไปซื้ออีก เขียนมาตั้งยาว สัส

ลงคอมยันเช้าในรอบเกือบสิบปี

เรื่องมันเป็นยังงี้ครับ เมื่อวานนี้ไปเยี่ยมญาติของเมียที่โรงพยาบาลรามาฯ พอเสร็จแล้วโบว์ก็บอกว่า “เดี๋ยวกลับบ้านก่อนเองก็ได้ ให้เตงไปงานคอมมาร์ตละกัน”

ชีวิตเปลี่ยนเลยครับพี่น้อง

ผมก็เลยนั่งรถไฟฟ้าไปงานคอมมาร์ตที่ศูนย์สิริกิติ์ แบบที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด แม้แต่แบตมือถือก็เหลือไม่ถึงครึ่ง (ถ้าเป็นไอโฟนนี่ถือว่าวิกฤตแล้ว แต่นี่โน้ตสามครับ รอด #อวย) ผมโดดมาทำภารกิจนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ให้เมีย!

ตัดภาพย้อนกลับไปในอดีต โบว์มักจะบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า “แมคบุ๊กเตงใช้ยากว่ะ” ซึ่งก็สมควรนะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นคอมหรือมือถือของผมเนี่ย เป็นอุปกรณ์ที่ผ่านการปรับแต่งเพื่อความถนัดส่วนตัว อย่างที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คนอื่นที่มายืมเล่นอย่างเด็ดขาด ใครที่มีนิสัยแบบนี้เหมือนกันก็คงนึกออกใช่ไหมครับ ที่พอมีใครมาใช้ก็จะถามระคนบ่นตลอด ว่าไอ้นั่นอยู่ไหน ไอ้นี่ทำไง ทำไมไม่เหมือนเครื่องชาวบ้านวะ นั่นคงเพราะนิสัยรำคาญความ default ของมันที่โคตรไม่ถูกใจเลย อาการนี้เป็นเหมือนกันหมดโดยเฉพาะกับอุปกรณ์พกพาทั้งแอปเปิลทั้งซัมซุง

เนื่องจาก default มันรองมือรองตีนได้ดีไม่พอ ดังนั้นก็เลยต้องเที่ยวไปหาตัวอื่นที่มันถนัดมือกว่ามาลง ถ้าเปรียบเป็นก๋วยเตี๋ยวก็คงใส่พริกใส่น้ำตาลจนแม่ค้าค้อนขวับ

นี่คงเป็นนิสัยของคนที่โตมากับการซื้อคอมประกอบเอง เอาลงวินโดวส์(เถื่อน)ให้ญาติมิตรบ่อยๆ ตั้งแต่โบราณล่ะมั้ง? (เออ เอาจริงๆ ตั้งกะสมัยยังเป็นดอสแน่ะ)

จนวันหนึ่งเลิกใช้วินโดวส์ หันไปใช้แมคเต็มตัวทั้งเครื่องตั้งโต๊ะและเครื่องฝาพับ ก็ยังเป็นผู้ใช้ที่ศาสดารังเกียจ เพราะไปลงนั่นเสริมนี่แบบที่ดูจะเป็นยี่ห้อมะม่วงมันมากกว่าแอปเปิลแคลิฟอร์เนีย

เหยาะเหตุนี้เอง เมียข้าพเจ้าจึงบ่นฉิบหาย จนวันหนึ่งก็มาถึงจุดพีก เมื่อโบว์ประกาศกร้าวขึ้นมาว่า

“งั้นซื้อโน้ตบุ๊กใหม่เลยละกัน แยกกันใช้ จะได้ไม่ต้องคอยบ่น”

โป๊งงง ตัดภาพกลับมาคอมมาร์ตเลยครับ บล็อกจะได้ไม่ยาว แค่นี้แม่งก็ไม่เหลือคนอ่านอยู่แล้ว

ผมมางานคอมมาร์ตครั้งล่าสุดคือหลายปีก่อน รู้สึกจะมาแบบงงๆ คล้ายๆ แบบนี้แหละ แต่ก็ตั้งใจจะซื้อของอยู่แล้ว (จำไม่ได้ว่าซื้ออะไร) ก็เลยไม่เสียเที่ยว

ส่วนโจทย์คราวนี้ชัดเจน คือจงซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ให้เมีย โดยกำหนดคุณสมบัติดังนี้
• ราคาไม่เกินสองหมื่น เกินบาทเดียวก็ไม่เอา
• ขอเครื่องสวยๆ สีชมพูได้ยิ่งดี
Continue reading ลงคอมยันเช้าในรอบเกือบสิบปี