อินไซด์เอาต์

วันนี้มีความสุข

ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรือเป็นกรณีพิเศษมหัศจรรย์ใดๆ เลย แค่นั่งหน้าระเบียงบ้าน แล้วย่างเนื้อโพนยางคำกินกับเพื่อนและพี่ที่คุยภาษาเดียวกันเข้าใจ จนพิธีกรรมสังหารหมู่เสร็จสิ้นลง มิตรสหายแยกย้ายกันหอบลูกเต้ากลับบ้าน เก็บกวาด ทิ้งขยะเสร็จแล้วก็มานั่งผึ่งพุงเขียนบันทึกประจำวัน

ในเมื่อความสุขมันคือสารอาหารของหัวใจ การที่มีความสุขง่ายๆ แบบนี้โดยไม่ต้องลงทุนทั้งเวลาและเงินทองอะไรมากมายเลย งานนี้ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ

ชอบสังเกตตัวเองเวลาในหัวมันเกิดอารมณ์อะไรขึ้นมาบางอย่าง (ไม่ใช่หมายถึงตอนเงี่ยน อันนั้นไม่มีเวลามาสังเกตหรอกเพราะมีเรื่องให้จดจ่ออยู่แล้ว) คุ้นๆ ว่าไอ้การมองเห็นคาแรกเตอร์ของอารมณ์แบบนี้ มันมีศัพท์ในทางพุทธด้วยนะ แต่ไม่มีความรู้ด้านนั้น เอาเป็นว่าผมชอบสังเกตอารมณ์ของตัวเองละกัน เวลาสุขเนี่ยมันสนุกดี มันจะรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านไปนั้นมันมีค่า รู้สึกได้ว่าวันที่ผ่านมาและกำลังจะจบไปนั้น เราไม่เสียเวลาเปล่า

สมมติชาตินึงเราเกิดมาจนแก่ตายไปด้วยอายุขัย 20,000 กว่าวัน ก็ถือว่าวันนี้กระดานเป็นสีเขียว เป็นพอร์ตอย่างดีเวลาตายห่าไปพบยมบาล เวลาเล่าก็จะภูมิใจ

กลับกันเวลาวันไหนที่อารมณ์ขุ่นมัว ไม่ว่าจะด้วยอะไร วันนั้นจะรู้สึกว่าเสียเวลา กระดานเป็นสีแดง รู้สึกขาดทุน ชีวิตกูยิ่งสั้นๆ อยู่ ก็เลยไม่ค่อยได้ขุ่น

อันนี้เป็นจริงๆ ไม่ได้ประดิษฐ์ คือนึกไม่ออกว่าเราจะขุ่นด้วยเรื่องอะไร

ทะเลาะกับเมียเหรอ แป๊บๆ ก็หายแล้ว (เวลาทะเลาะกันไม่ว่ากับใคร เชื่อว่าการคุยกันตรงๆ นั้นปิดได้ทุกคดี) หรือไปโกรธเกลียดใครเหรอ ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยโกรธเคยเกลียดใครบ้างไหม นี่ให้นึกกรณีศึกษาตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็นึกไม่ออก เนี่ยพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ยังนึกไม่ออก

แค่นึกก็เสียเวลาแล้ว แล้วเวลาไปโกรธใครหรือเกลียดใคร มันไม่ยิ่งบั่นทอนชีวิตเข้าไปใหญ่เรอะ

ไอ้ความโกรธหรือเกลียดใครไม่เป็นนี่ ///// เออๆ พอพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็นึกออกแล้ว เวลาผมโกรธ มันจะปรี๊ดขึ้นมาถึงกลางๆ มิเตอร์ แล้วก็ลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะอะไร… อาจจะเป็นของขวัญจากเทพเพอร์ซิอุสก็ได้นะ

ส่วนความเกลียดนี่ก็เพิ่งนึกออกว่าเคยรู้สึกเกลียดอย่างรุนแรงขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่ถึงขนาดนึกประโยคออกว่าเคยทวีตไว้เมื่อ 4-5 ปีก่อนเลยว่า

สังเกตว่าเวลาเกลียด จะไม่ได้เกลียดที่ตัวคน แต่เกลียดที่_____ของเขา (นิสัย พฤติกรรม การแสดงออก หรืออะไรก็ตามที่เป็นเอาต์พุตและส่งผลกระทบมาถึงเรา) สิ่งนี้เลยทำให้เรามานั่งมโนต่อไปได้ว่า เออ ถ้าเราเกลียด_____ของเขา แล้วจะจัดการกับความเกลียดนั้นอย่างไร

ก็อุตส่าห์เป็นความเกลียดที่โลกสวยได้

ความกลัวล่ะ? กลัวผีก็ไม่ได้กลัวแล้ว จนกว่าจะเจอครั้งถัดไป แต่ดันเริ่มมีนโยบายชัดเจนในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าถ้าเจอผีจะตั้งสติและขอสัมภาษณ์ให้ได้ มีหลายเรื่องอยากถาม เลยไม่กลัวผี

เออๆๆ นึกออกแล้ว ผมกลัวตะขาบ เวลาเจอตะขาบ (ในสภาพที่มันเป็นอิสระและเสี่ยงต่อการโดนโจมตีจากมันงี้นะ ถ้าเห็นตัวเฉยๆ จะไม่กลัวมาก) แบบนี้ล่ะกลัวฉิบหายเลย กลัวตุ๊ดแตกเลย

กลัวจนไม่มีเวลาสังเกตอาการของตัวเอง เนื่องจากแรมสมองไม่พอ เอาสติไปอยู่ที่ตาตุ่มหมด

คอมเมนต์

ปีดี

image

ปีที่แล้วโอเคนะ ใช้ได้ มองตัวเองแล้วเริ่มเข้าสู่ช่วงที่กำลังพอเหมาะ

พอเหมาะคือไม่ได้อยู่ในช่วงแสวงหาอีกต่อไปแล้ว คือจะบอกว่าเจอสิ่งที่ตามหาเรียบร้อยแล้วก็ได้
“สิ่งที่ตามหา” นี่มันเป็นนามธรรมนะ แต่ละคนคงไม่เหมือนและไม่มีวันที่จะเหมือนกัน อย่างของผมนี่คงเป็นครอบครัว

ได้พิสูจน์จนมั่นใจว่าการลำดับความสำคัญในชีวิตโดยใช้ครอบครัวเป็นธงนำอันดับหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว

แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นฝันใกล้ๆ แบบที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงก็ตาม แต่การยังมีฝันนี้เอง ที่กระซิบว่ามึงยังไม่แก่พอที่จะนั่งคุยกับใบไม้ปลิวไปซะทีเดียว

เพราะฝันก้อนใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างสว่างไสว แม่งก็เกิดจากการมีครอบครัว และมีลูกนี่เอง

เป็นพรมแดนที่คนไม่มีลูกไม่มีทางเข้าใจ 5555

อ้อ…
ปีนี้น่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ ที่บ่มเพาะมาสักพักด้วยแหละ

คอมเมนต์

เพื่อนทำร้านทอง

ร้านทอง

เพื่อนโบว์ทำร้านทอง เพิ่งไปนั่งคุยมาเมื่อกี้ มีหัวข้อน่าสนใจเลยกลับมาจดไว้

  1. เวลาที่ค่าทองผันผวน เช่นอยู่ดีๆ ก็ตกฮวบๆ ร้านก็แบกรับความเสี่ยงไป บางทีวันเดียวขาดทุนเป็นล้าน หรือสิบล้านก็เคยมีมาแล้ว
  2. กำไรจากร้านทองไม่ได้มาจากการซื้อทองของคุณหญิงคุณนาย แต่มาจากการ “ขายฝาก” (มองในมุมเจ้าของทองก็คล้ายกับการเอาทองไปจำนำ แต่ใช้คำที่มันดูซอฟต์หน่อย แต่ที่จริงคำว่าขายฝากนี่มีผลทางกฎหมายอยู่นะ สนใจกูเกิลดูได้) โดยเรตราคาตามตารางที่เขียนเป็นประกาศไว้ข้างผนังคือ สมมติฝากในราคาหนึ่ง เช่นทองเส้นละ 10,000 บาท ฝากไว้ 15 วัน ต้องจ่ายดอก 1.5% คือ 150 บาท หรือถ้าฝาก 1 เดือน ดอกก็น้อยลงมาหน่อย มีเรตตามกฎหมายควบคุมอยู่
  3. ในร้านมีสมุดเซ็นของตำรวจ สายตรวจก็มาแวะเวียนตรวจความเรียบร้อย และถ่ายรูปส่งไลน์ไปรายงานเบื้องบน ถามไปว่าแบบนี้ต้องเสียเงินให้ตำรวจไหม คำตอบคือไม่ต้อง (อันนี้เพิ่งรู้ว่าไม่ต้องจ่าย) เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว กลับกันถ้าไม่มานี่สิจะกลายเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ฐานละเลยฯ แต่ทางร้านก็ให้สินน้ำใจเป็นน้ำดื่มบ้าง กระทิงแดงบ้างทุกวัน
  4. กลัวโจรไหม? กลัว บอกเลย ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ยังไม่มีลูกกรงกั้นระหว่างคนซื้อกับคนขาย ตอนนั้นวิตกมากเพราะข่าวปล้นร้านทองบ้านเรามีถี่เหลือเกิน แม้แถวปทุมจะยังไม่มี แต่ก็กันไว้ก่อนด้วยการติดลูกกรงกั้นไว้ ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ก่อนหน้านี้เคยเว้นร่องไว้หน่อยนึง แต่พอมีข่าวโจรที่อุตส่าห์เอาขวานฟันร่องที่ห่างให้แหกออกจากกันแล้วมุดเข้ามาได้ ก็เลยเสริมเพิ่มความถี่ของลูกกรงเข้าไปอีก แถมในร้านมีกล้องวงจรปิดความละเอียดสูง และประตูที่ล็อกไม่ให้ออกหรือเข้าจนกว่าเคาน์เตอร์จะกดอนุญาต อ้อ ที่สำคัญคือเจ้าของร้านมีปืนติดตัวไว้ด้วย
  5. ทอง 1 สลึงนั้นมีทั้งแบบเส้นเล็กบางเฉียบ แต่แน่น จับแล้วรู้สึกว่าเป็นเนื้อทองจริงๆ กับแบบที่ตีโป่ง ข้างในเป็นโพรงอากาศล้วนๆ เวลาจับถือแล้วจะตกใจ ว่าทองเส้นขนาดนี้มันเบาได้งี้เลยเหรอวะ
  6. อันนี้รู้นะ ว่าน้ำหนักของทองนั้นเป็นมาตรฐาน ดังนั้นเวลาซื้อขายกันจะมีการชั่งน้ำหนักเป๊ะๆ ด้วยเครื่องชั่งความละเอียดสูง แต่ถามว่ามีการสอดไส้เป็นโลหะชนิดอื่นไหม มีครับ! ถ้าจำไม่ผิดจะมีเหตุเกิดขึ้นแถวๆ ลาดหลุมแก้วมั้ง มีคนเอาทองมาฝากไว้ แน่นอนว่าฝากเสร็จก็หายไป เจ้าของร้านมาดูอีกที อ้าว ข้างในเป็นเงินยัดไส้ไว้เหมือนกูลิโกะโคลลอน! แล้วมีวิธีตรวจสอบไหม มีครับ ง่ายสุดคือหลอม แต่จะยากนิดนึงตรงที่ทองส่วนใหญ่ที่เข้ามาคือลูกค้าเอามาฝาก ทางร้านจะไม่สามารถไปทำอะไรทองของลูกค้าได้ (แต่เขาก็มีวิธีของเขาละกัน)
  7. เจ้าของร้านบอกว่า การที่มีร้านมาตั้งอยู่ทำเลนี้ ถือว่าต้อนรับ AEC เลยนะ เพราะลูกค้าหลักๆ เป็นแรงงานต่างชาติสารพัดประเทศ ที่มีทั้งซื้อทั้งขาย โดยทองเป็นทรัพย์สินสากลที่เอามาเปลี่ยนเป็นเงินได้
  8. เวลาเข้ามาในร้าน ไม่ต้องถอดรองเท้านะ ถ้าพูดแบบสุภาพคือจะได้ไม่ต้องเปื้อนเท้า แต่ถ้าตอบจริงๆ คือเหม็นตีนลูกค้ามาก
คอมเมนต์

ปั่นจักรยานสร้างบ้าน

หนองแฟบ

ทีแรกว่าจะเขียนเป็นประเด็นๆ ไป นั่นคือเรื่องปั่นจักรยานหนึ่งล่ะ สร้างบ้านอีกหนึ่งล่ะ แต่นี่คือเพิ่งปั่นเสร็จ จอดรถไว้แล้ววิ่งขึ้นมาเปิดคอมเลย ไม่งั้นเหงื่อแห้งแล้วจะไม่ได้เริ่ม …ชื่อเรื่องของบล็อกนี้ก็เลยดูจับฉ่ายส่งเดชอย่างที่เห็น

https://twitter.com/iannnnn/status/546869681974288384

1. ปั่นจักรยาน

มี Tern Link C7 อยู่คันนึง เป็นจักรยานพับที่ซื้อไว้ปั่นไปตลาดลาดปลาเค้าเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ลูก หรือน้ำขิงให้เมียเท่านั้น ไม่รู้จักวงการออกทริปหรือเข้ากลุ่มสมาคมใดๆ แถมยังนานๆ ทีที่จะปั่นไปธุระในเมือง (ไปต่อรถไฟฟ้าอีกที) แน่อนอนว่าทั้งหมดคือเอาไว้เดินทางตอนอารมณ์ดีๆ ไม่ได้ปั่นเพื่อออกกำลังกายเลย ดังนั้นระยะเกินยี่สิบกิโลนี่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่มีปัญญา 5555 (ที่จริงสาเหตุหลักคือลูกสาวสองตัวมันยุ่ง หนีไปปั่นคนเดียวไม่ได้ สงสารเมียรับมือคนเดียวไม่ไหว) (ข้ออ้างฟังขึ้นนะ)
ทั้งนี้เวลาไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ ทีนึงก็จะขออนุญาตพับยัดใส่ท้ายรถไว้เพื่อหาโอกาสตอนเช้าๆ ไปปั่นชมวิวสักหน่อย แน่นอนว่าไม่เคยปั่นเกินสิบกิโลหรอก เพราะปั่นไปก็ถ่ายรูปไปตลอด เป็นพวกสนใจกับอะไรข้างทาง มันได้สุขภาพใจ แต่สุขภาพกายไม่ได้

แรงบันดาลใจในการเริ่มปั่นก็คงเพราะตอนไปเที่ยวโอซาก้าเมื่อ 2 ปีก่อน (เป็นรุ่นท้ายๆ ที่ค่าตั๋วเครื่องบินขนาดมีโปรยังแพง แถมต้องทำวีซ่าญี่ปุ่นด้วย มันน่าภูมิใจไหมสัส) แล้วเจอพี่คนนี้

Osaka biker

ไอดอลเลย พี่ฮิปได้ขนาดนี้ แถมยังปั่น “เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน” โดยไม่ต้องแต่งชุดยอดมนุษย์วาร์ปบอย หรือซื้อจักรยานแข่งมาปั่นในถนนที่มีแต่ฝาท่อระบายน้ำแบบนักปั่นในบ้านเรา ขอแสดงความนับถือและปฏิบัติตามครับ
เสียดายเหมือนกันที่ว่าจะเขียนบล็อกเรื่องไปเที่ยวญี่ปุ่น เอาเฉพาะมุมมองเกี่ยวกับจักรยานที่โอซาก้าอย่างเดียวเพราะสนใจมากๆ แต่ก็ไม่ได้เขียน ในขณะที่อีปิงที่สนใจเรื่องของกิน ก็เล่าไว้อย่างจัดเต็มจนเป็นกระทู้เมพของพันทิปไปแล้ว จนเดี๋ยวนี้คนไทยแม่ง(โชว์การ)ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยกว่าไปหัวหินอีก ที่สำคัญคือบนท้องถนนเรารู้จักจักรยานกันแล้ว ในขณะที่เมื่อ 2 ปีก่อนมันยังเป็นสิ่งแปลกปลอมอยู่เลย ก็ถือว่าก็ช่างมันละกัน 555 (เรื่องจักรยานที่ญี่ปุ่นนี่ ไปอ่านของ @arjin หรือดูอัลบั้มที่มีแต่ภาพจักรยานนี่ก็ได้)

อันนี้บล็อกจักรยานที่ขยันอัปกว่าบล็อกหลัก ride.iannnnn.com

. Continue reading ปั่นจักรยานสร้างบ้าน

คอมเมนต์

ทบทวนทุกอย่าง

บรรทัดต่อจากนี้ไปขอให้อ่านโดยนึกอยู่เสมอว่าผมที่เป็นผู้เขียนเนี่ย เขียนด้วยหน้านิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกคร่ำครวญหรืออะไร แต่อยากบันทึกความรู้สึกไว้ เพราะคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าดี แน่นอนว่าเขียนเรื่อยๆ นึกอะไรออกก็พิมพ์เหมือนเดิม อย่าหวังความสละสลวย

วันนี้พี่ที่เคารพท่านนึงชื่อจ๋ง (นามสมมติ ซึ่งจริงๆ แกก็ชื่อจ๋ง) นัดสัมภาษณ์ที่ร้านแถวบ้านผม อันที่จริงบ้านผมกะบ้านแกนี่ปุ่นจักรยานไปเจอกันได้ภายใน 10 นาทีด้วยซ้ำ

ประเด็นที่แกมาสัมภาษณ์คืองานวิจัยเกี่ยวกับศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นความลับหรือเปล่า (ลืมถามแก) แต่ก็น่าจะพูดได้แหละ แค่จำมาเขียนไม่หมดเท่านั้นเอง Continue reading ทบทวนทุกอย่าง

คอมเมนต์