ลาดปลาเค้าไม่ใช่ของเรา …คืนเขาไปเถอะ

road

สลับโหมดมาบ่นเรื่องท้องถนนอีกที

เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจรได้แก้ปัญหารถติดบนเส้นเกษตรนวมินทร์ ด้วยการยกเลิกสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกลาดปลาเค้า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยทำแบบเดียวกันนี้มาแล้วกับแยกลาดปลาเค้าฝั่งที่ตัดกับถนนรามอินทรา ก็คือใครที่คิดจะออกจากลาดปลาเค้าและข้ามไปฝั่งวังหิน หรือเลี้ยวขวาไปแยกเกษตร ก็จะต้องเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดและปาดเข้าขวาในระยะ 300 เมตร แล้วค่อยยูเทิร์น

ผลคือการจราจรโดยรวมโล่งขึ้น คล่องตัวขึ้นนิดนึง (เพราะไปติดข้างหน้าเหมือนเดิม) แต่นั่นหมายถึงชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ขับขี่รถยนต์เท่านั้นครับ

ให้นึกภาพดูว่ารถยนต์ที่วิ่งมาบนถนน (กี่เลนวะ เอาเป็นว่าเยอะ) ผ่านแยกนี้ซึ่งเป็นอยู่ถัดจากสะพานข้ามคลองมาปั๊บ ก็เจอเลย นั่นแปลว่ามันน่าขับเหยียบเต็มที่มาก ถนนสวย ผิวดี ตีโค้งนิดๆ โอ้โห เหยียบเต็มครับ เต็มกันทุกคัน ไม่มีไฟแดงที่เคยเป็นที่น่ารำคาญแล้วด้วย

แต่!!!! ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นคือเสียงดังจากฝั่งผู้ขับขี่บนเส้นทางหลักเท่านั้นครับ จะว่าให้เจาะจงลงมาอีก ก็คือการปิดสัญญาณไฟจราจรนี้ มันอำนวยความสะดวกเฉพาะคนมีรถยนต์ (หรือนั่งแท็กซี่) เท่านั้น

roadmap

อะ ทำภาพมาประกอบก็ได้ สังเกตว่าโค้งที่มาจากเกษตร (ด้านซ้ายของแผนที่) นั้นมันช่างสวยงามน่าเกยียบให้มิดตีนเสียจริง

ลองนึกภาพต่อเลยครับว่าถ้าเราขับ(หรือขี่)ออกมาจากเส้นลาดปลาเค้าที่เป็นถนนรองมาจากด้านบนขวาของภาพใช่มะ เพื่อจะปาดเข้าชิดเลนขวา “ทันที” บนถนนใหญ่ในระยะ 300 เมตร แล้วยูเทิร์น เพื่อวนทวงระยะ 300 เมตรคืนมา แล้วปาดซ้ายอีกทีเพื่อไปวังหิน หรือจะเลือกตรงไปแยกเกษตร สถานการณ์แบบนี้อันตรายมากครับ ถ้าไม่อยากนึกภาพ ลองมาดูได้ ตอนเย็นๆ ทุกวัน มีช็อตโหดๆ จากพี่กระป๊อให้เห็นบ่อยๆ

ที่พูดมาทั้งหมดก็ยังเป็นเรื่องของรถยนต์ต่อรถยนต์นะครับ เราเกิดมาในวัฒนธรรมรถยนต์เป็นใหญ่ เวลาเขาออกแบบ หรือแก้กฎกติกาอะไร มันก็ต้องเอื้อต่อรถยนต์ (และลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เป็นผลพวงต่อการเอื้อนี้) เป็นธรรมดา

ไม่นับคนเดินเท้าหรือจักรยาน ที่เมื่อนับศักดิ์บนถนนแห่งนี้แล้ว จากเดิมที่เป็นแค่หมา แต่เดี๋ยวนี้คุณค่าของชีวิตเหลือเพียงแค่จุลินทรีย์ที่เกาะอยู่ตรงซอกขวาของเห็บหมาเท่านั้นเอง

เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้คนเดินเท้าเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยอีกต่อไป แม้จะมีทางม้าลาย แต่แล้วไงล่ะ ในเมื่อไม่มีไฟแดงให้รถหยุด และความเร็วบนผิวจราจรบนเส้นนี้ก็โหดเหี้ยไม่น้อย นั่นคือต้องเสี่ยงดวง และรอจังหวะรถว่าง(สักนิดนึง) แล้วค่อยใส่เกียร์หมา อัดสปีดวิ่งข้ามทางม้าลายกันเอาเอง …อย่าลืมว่ามันเป็นถนนที่เพิ่งพ้นโค้งมานะครับ

และจักรยาน — วันนี้ผมเพิ่งขี่ปั่นข้ามไปฝั่งวังหินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาปิดไฟแดงมา — ก็เลยพบว่า ชีวิตมันบัดซบมากๆ จากแต่เดิมที่ลัดเลาะแทรกระหว่างคันรถตอนรอไฟแดงเพื่อมายืนพักไข่อยู่บรรทัดหน้า แต่ตอนนี้คือไม่มีไฟแดง และต้องปาดในระยะ 300 เมตรเหมือนกัน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไอ้บ้า!!!!!!!!!!! อีกรวยไต!!!!!!!!!!!! นึกภาพไม่ออกเลยครับว่าชีวิตจะปลอดภัยได้ยังไงเฮ้ย

แต่วันนี้ก็ทำไปแล้วครับ

นั่นยังดีที่จักรยานของผมค่อนข้างปั่นง่ายหน่อย ถึงจะเป็นรถพับเล็กๆ ก็ตาม แต่มันก็ยังมีเกียร์ถึง 7 เกียร์ หรือวันไหนไม่อยากปั่นแล้วก็ยังเลี่ยงไปขี่ฟีโน่ได้ (ก็ยังอันตราย แต่มันบิดเร่งปาดขวาได้เร็วกว่าจักรยาน)

แล้วรถป้าๆ น้าๆ ลุงๆ ที่เขาใช้ปั่นทำมาหากินล่ะ อันนี้หมดสิทธิ์นะครับ จะให้ปั่นไปไกลๆ แล้วแบกขึ้นสะพานลอย (นับเป็นสิ่งที่เหี้ยมากในมุมมองด้านฟังก์ชันสถาปัตยกรรม) แล้วแบกลงอีกงี้เหรอ

เชี่ย บัดโซ้บบบบบบ

แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละ (นอกจากบ่นมึงทำอะไรได้มั่ง? แจ้งเขาไปสิ) อ๋อ แจ้งแล้วครับ เคยร่วมลงชื่อร้องเรียนแล้วกับกลุ่มเพื่อนบ้าน แต่ก็เงียบไป เป็นที่เข้าใจได้นะ เวลา “เขา” (ใคร) มองก็คงยึดเอาความสะดวกในภาพรวม (ซึ่งหมายถึงรถยนต์) มากกว่าอะไรที่เป็นสเกลเล็กๆ อย่างคนเดิน หรือจักรยาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่ขับรถยนต์ นี่แหละ แต่เผอิญว่าบ้านอยู่บนถนนเส้นรองที่ถูกท่านๆ กำหนดชะตาชีวิตมาแล้วว่า

มึงเสี่ยงเอาเองนะ :)

ป.ล.
แยกลาดปลาเค้าตัดรามอินทราก็เช่นกันครับ ก่อนหน้านี้นานๆ ทีผมจะแว้น หรือปั่นข้ามไปฝั่งตรงข้าม เขามีสวนกีฬารามอินทรา ซึ่งชิลมาก โคตรชิล สามารถพาลูกไปได้ทุกวันเลยเถอะ แต่พอยกเลิกไฟแดงฝั่งนั้น อย่าว่าแต่จักรยานเลย (ว่าซะหน่อยก็ได้ ผมไม่สามารถจูงรถเดินข้ามถนนรามอินทราได้อีกเลย เพราะถนนเส้นหลักแน่นและขับกันเร็วมาก ต้องเดินไปไกลประมาณ 1-200 เมตรเพื่อแบกรถขึ้นสะพานลอย เห็นไหมว่ากรณีเดียวกับฝั่งเกษตรนวมินทร์เป๊ะๆ) อย่าว่าแต่จักรยานเลย ขนาดแว้นเองยังข้ามไม่รอด ต้องเล็งดีๆ มากๆ ถึงจะปาดเข้าซ้ายได้ แต่ก็ไม่คุ้มเสี่ยง ทุกวันนี้เลยไม่ไปละ ถ้าไปคงขับรถยนต์พาลูกไป ถึงจะอ้อมไกลหน่อยก็ไม่ซีเรียสนะ น้ำมันถูกนี่ ขับแม่งให้โลกร้อนตายห่ากันให้หมด

ป.อ.
เมื่อวานไปดูฮิโชว์ที่ชาชดำเนิน ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพอดี อันนี้ผมแว้นไปนะครับเพราะมีเวลาปั่นไม่พอ และก็ไม่อยกขับรถยนต์ไปเพราะมันไม่ชิล ปรากฏว่าเลนจักรยานสีเขียวตลอดเส้นราชดำเนิน ก็กลายเป็นที่จอดรถยนต์อย่างที่เห็นเขาด่าๆ กันนี่แหละ เห็นแล้วก็คิดในใจว่าไอ้เหี้ยเอ๊ย แล้วส่ายหน้า แล้วแว้นต่อไป

ป.ฮ.
เออ แต่พอแว้นไปถึงท่าช้างสนามหลวง แล้ววนมาราชดำเนินอีกที ถึงจะเป็นช่วงดึกแล้ว (หลังสามทุ่ม) แต่ก็พบว่ามีปริมาณคนขี่จักรยานเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ ซึ่งดีไง ช่วยกันแสดงตน แสดว่าเรามีตัวตนแบบนี้ดีแล้วครับ เผื่อวันหนึ่ง… เผื่อวันหนึ่ง… โวะ ไม่ฝันดีกว่า

คอมเมนต์

ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว

#โหมดพ่อบ้าน

central-1

ก่อนหน้านี้เวลาไปซื้อของอะไรมาเติมในบ้าน เช่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น ผ้าอ้อมเด็ก ยาสระผม ฯลฯ วันนั้นทั้งวันจะอุทิศตัวให้กับการไปเดินบิ๊กซีแถวบ้านครับ โดยฝากตัวเล็กไว้ที่บ้าน แล้วพาตัวใหญ่ไปกินเอ็มเคก่อน พออิ่มแล้วก็พาไปซื้อไอติม หลังจากนั้นพิธีกรรมการเดินบิ๊กซีค่อยเกิดขึ้น ซึ่งก็หมดไปประมาณครึ่งค่อนวัน

ก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อของออนไลน์จาก Lazada ดู ก็พบว่ามันสะดวกดีแฮะ ไม่ต้องถ่อเข้าไปในเมือง เสียเวลาเป็นวันและเสียค่าเดินทางเยอะแยะเพื่อให้ได้มา เอาส่วนต่างราคานั้นมาโยนเป็นค่าของในเว็บนี้ดีกว่า ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าดี ถึงจะยังรู้สึกตงิดๆ นิดนึงตรงที่ของที่ซื้อมันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลายบาทอยู่ แล้วผมจ่ายตังค์ไปโดยไม่ได้จับของจริง ก็เลยพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากว่ามันทดแทนวิธีการซื้อของแบบออฟไลน์ได้จริงๆ นัก

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ย้อนไปนิดนึงครับ เมียผมนี่เป็นสลิ่มเต็มขั้น รักเซ็นทรัลพอๆ กับบ้าน มีความสุขที่ได้สัมผัสอากาศสังเคราะห์ผสมกลิ่นรองเท้ากระเป๋าในนั้นโดยมีลูกผัวเดินตามต้อยๆ แถมเมียยังทำบัตรเครดิตของเซ็นทรัล (ที่ให้วงเงินกากมาก) มาด้วยความจงรักภักดี ถึงแม้จะบ่นเรื่องวงเงินจนจะเอาไปปาทิ้งหลายที แต่ด้วยความรักในยี่ห้อห้างแห่งนี้ เมียเลยยังโอเค ไ่ว่าจะซื้อของกิน ของใช้ในบ้านที่บิ๊กซีโลตัสแถวบ้านมี ก็ยังจะหาเรื่องไปเซ็นทรัลจนได้ ซึ่งจะว่าไป อีผัวก็แฮปปี้ดีเพราะอาหารตาแถวนั้นเยอะเหลือเกิน #แฮ่กๆๆ

แต่มันจะไม่แฮปปี้ก็อีตรงสภาพการจราจรระหว่างบ้านถึงห้างนี่แหละครับ ที่ไม่รู้ว่ามันจะติดอะไรกันนักกันหนา ขนาดค้นพบว่าต้องไปช่วงวันธรรมดาตอนสายๆ ถึงรถจะโล่ง จอดง่าย แต่พอเมียดำผุดดำว่ายในห้างเสร็จ นอกจากจะเสียค่าจอดรถแพงสัสแล้ว ช่วงบ่ายที่ออกมาก็ยังจะต้องพบสภาพการจราจรที่โหดร้ายอีก บัดซบ เกลียดมัน (เกลียดห้างนะไม่ใช่เกลียดเมีย)

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ผมก็ อะไรวะ (นึกในใจสิ บ้า ใครจะไปพูด) นี่อาการหนักขนาดซื้อออฟไลน์เสร็จแล้วยังมาออนไลน์อีกเรอะ

ก็เลยกดดูในหมวดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก เพื่อจะพบว่า แม่งโคตรถูกเลยโว้ย! ถูกกว่าบิ๊กซีอีก! (พ่อบ้านที่แท้จริงจะต้องจำราคาพร้อมส่วนลดที่บิ๊กซีได้เสมอ) ก็เลยกดซื้อไป อ้าวอะไรวะ มีโค้ดส่วนลดอีก! แล้วนี่ เฮ้ย ส่งฟรีอีก! (ในเว็บบอกว่าซื้อ 499 บาทขึ้นไปส่งฟรี ซึ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อเดียวก็เกินแล้ว)

เท่านั้นยังไม่พอ อีตอนส่งฟรีก็มีโทรนัดหมาย มีใบเซ็น ใบเสร็จ มีกล่องพัสดุ หุ้มเม็ดพลาสติกกันกระแทก พร้อมใบรับประกันคืนเงินถ้าสินค้าไม่สมบูรณ์

บั้ลแล้วววววว

จบครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาของใช้สิ้นเปลืองในบ้านหมดลง สลอธอย่างผมก็จะเปิดเว็บ แล้วกดซื้อ และรอโทรศัพท์จากพนักงานส่งในวันถัดไป แล้วจะไม่ให้ง่อยแดกได้ยังไงครับ

ป.ล.
มีครั้งหนึ่งไปเดินบิ๊กซี (ก็ยังไปอยู่นะเพราะเว็บออนไลน์ไม่มีของสด) นึกได้ว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดเลยแวะไปดูว่ามีส่วนลดเยอะๆ ไหม พบว่าเซ็นทรัลถูกกว่า ก็เลยเปิดมือถือ นั่งกดเว็บเซ็นทรัลแม่งในบิ๊กซีนั้นเลย เอ๊ะบิ๊กซีกะเซ็นทรัลนี่ญาติกันใช่ไหม เขาคงไม่ถือมั้ง…

ป.อ.
เออ จะว่าไปยังไม่เคยซื้อจากบิ๊กซีออนไลน์เลย เห็นว่าซื้อหลักพันแล้วเขามาส่งถึงบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถึง ก็นัดรับสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลย คือพนักงานจะไปหยิบๆ มาให้แล้วรวมใส่รถเข็นมั้ง? (นึกภาพคราวหน้าไปบิ๊กซี กินเอ็มเค ระหว่างรอก็กดช็อปในเว็บไปด้วยงี้ พออิ่มก็ขึ้นไปเอาตะกร้าเลย บ้าจริง 5555)

ป.ฮ.
บล็อกตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่เที่ยง พอดีลูกเมียมาเลยยุ่งทั้งวัน เพิ่งว่างเขียนต่อตะกี้ ประเด็นคือเมียบอกเมื่อตอนเย็นว่าเดี๋ยววันจันทร์จะไปทำผมที่เซ็นทรัล..

คอมเมนต์

เอาซะหน่อย

ที่มาของภาพจากข่าวนี้ครับ: ‘ประยุทธ์’สวมชุดข้าราชการครั้งแรก

.

.

เป็นภาคต่อจากอันนี้นะ

ถ้าไม่รอดยังไงก็เตรียมพบ iannnnn.com V2 ครับ

คอมเมนต์

นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน

คอมเมนต์

ผมเป็นฮิปสเตอร์

hipster

ถึงมันจะเป็นเรื่องซ้ำซากที่ฉายวนเวียนมาทุกๆ สิบปี โดยเปลี่ยนเพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮาร์ด อัลเตอร์ อินดี้ เด็กแนว หรือล่าสุดที่เห็นแซะกันอยู่ในไทม์ไลน์อยู่ทั้งวันทุกวันโดยเฉพาะในช่วงนี้ ก็คือคำว่าฮิปสเตอร์

แต่เวลาได้อ่านข้อความจากคนที่เชื่อว่าตัวเองรู้ว่าฮิปสเตอร์คืออะไร และอย่ามาเสือกแปะป้ายให้คนอื่น(กู)เป็นฮิปเตอร์ด้วยความเข้าใจแค่นั้นของมึง อะไรแบบนี้

ผมแม่งบันเทิงมาก

ความบันเทิงนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยที่คำว่าเด็กแนวกลายเป็นคำที่เอาไว้ครอบสวมให้คนบางกลุ่มบางพฤติกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความนั่นแหละครับ

เฮ้ยมันบันเทิงจริงๆ นะ เวลาอ่านบทความจากอีพวกชอบจัดกลุ่มคน ว่าคำคำนี้จะต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ กินแบบนี้ อ่านแบบนี้ งานอดิเรกแบบนี้ ติดสัดฤดูนี้ แล้วเอามาดูว่ามันเข้ากับตัวเองข้อไหนบ้าง (ไม่ค่อยเข้าเลย เสียใจ) และเข้ากับจินตนาการของผู้จัดกลุ่มเองว่าอย่างไรบ้าง มันสนุก มันได้อรรถรสดีจะตาย

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บนโลกที่มันเหวี่ยงหมุนมาเชื่อมกันแน่นเป็นหมอยติดสบู่แบบนี้ ยังไงชีวิตก็ต้องโคจรไปโดนบุคคลประเภทที่ใช่ และไม่ใช่เราอยู่ดี

เอาจริงๆ ผมเกลียดอีพวกชอบจัดกลุ่มเหมือนกัน แต่ในทรรศนะของพวกเขา มันก็ง่ายดีเวลาจะสรุปอะไรด้วยประสบการณ์การมองโลกของเขา

แต่ถ้ามองจากมุมของคนที่เกลียดการโดนครอบด้วยคำศัพท์อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่กู 100% แต่สุดท้ายก็โดนลากเข้ามาเป็นกูจนได้ แบบนี้ก็เข้าใจได้อีกเช่นกันว่าแม่งน่ารำคาญชะมัด

คุณเคยอยู่ดีๆ ก็โดนคนที่ไม่สนิทกันมาเหมาว่าเป็นสลิ่มไหมครับ?

เสื้อแดงล่ะ ริเบอร่านล่ะ ไดโนเสาร์ล่ะ แมลงสาบล่ะ ควายล่ะ ชนชั้นกลางล่ะ ต่ิงล่ะ สาวกล่ะ ฯลฯ

คำพวกนี้ถ้ามันออกมาจากปากคนที่เราไม่สนิทสักหน่อย ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันแหละครับว่า ควยเอ๊ย (นี่คือแบบสุภาพแล้วนะ) มึงรู้จักกูดีแค่ไหนเชียวที่เอาป้ายมาแปะให้กูแบบนี้

ซึ่งนั่นก็จงเข้าใจได้เช่นกันว่ามันก็เกิดกับทุกวงการแหละ ไม่ได้เฉพาะฮิปสเตอร์ที่กำลังแซะกันสนุกสนานนี่หรอก ลองนึกย้อนไปในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองดุเดือดกว่านี้ อันเฟรนด์กันรัวๆ ด้วยวาทกรรมจากแกนนำม็อบ ช่วงนั้นแค่คนที่ “ไม่ใช่พวกเรา” มาเรียกเราด้วยอะไรสักอย่าง แม่งปี๊ดกันกว่านี้เยอะเลยนะครับ

เช่นเดียวกับฮิปสเตอร์ที่มีหลายคนเดือดแค้นกับมันมาก บางคนปกป้อง ไม่อยากให้คำซึ่งมีความหมายคงเดิมจากต่างประเทศอยู่แล้วมันด่างพร้อยสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ (เชี่ย ฮิปสเตอร์แบบหีนยาน)

บางคนก็เข้าใจแต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่าที่จริงกูเป็นแบบนี้ของกูมานานแล้ว กูถ่ายรูปเว้นที่ว่างเยอะๆ กูทำหน้าปวดเยี่ยวใส่กล้อง กูอ่านเล่มนี้ กูเลี้ยงสิ่งนี้ กูกินไอ้นี่ กูชอบที่นี่ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เห็นใครจะมาพะยี่ห้ออะไรให้ (เรียกว่าฮิปสเตอร์มาก่อนที่จะมีฮิปสเตอร์ อันนี้เขาก็ว่ามันคือฮิปสเตอร์ของแท้) วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็เสือกมาเรียกกูด้วยคำศัพท์คำหนึ่ง และยัดพฤติกรรมงี่เง่าหลายๆ อย่างปะปนเข้ามาเปื้อนด้วย แล้วเอาไปหัวเราะกันป่นปี้สนุกสนาน มันช้ำนะรู้ไหม

ซึ่งผมแม่งก็บันเทิงอีกเช่นกัน 5555 นิสัยเสียมาก

เวลาบันเทิงกับอะไรแบบนี้นี่ไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลเลยครับ ลองดูว่าไอ้แบบที่เขาแขวะกันเนี่ย มันพอจะเกี่ยวกับเราบ้างไหม เช่น ผมแม่งมีพฤติกรรมหลายข้อที่เข้าข่ายสลิ่ม แต่มันยังได้แคไม่กี่ข้อไง

วิธีการก็คือ พยายามเก็บแต้มที่เหลือให้ครบ จะได้เป็นสลิ่มในอุดมคติ เวลาไปที่ไหนกินอะไร ก็ไปห้างสลิ่มๆ กินร้านสลิ่มๆ ถ่ายรูปสลิ่มๆ หรือทำพฤติกรรมที่เขาว่ามาว่าทำแล้วมันจะสลิ่มนะ

โคตรสนุก

ไม่สนุกเปล่าๆ นะครับ คืออย่างน้อยคำว่าสลิ่มนั้นก็จะแตกหน่อออกมาเป็นความหมายใหม่ที่เป็นศัพท์เฉพาะสำหรับหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เวลานัดกันไปกินที่ไหนดี “เอาร้านสลิ่มๆ” แบบนี้ ไม่มีใครโกรธนะครับ นั่นเพราะความหมายของมันงอกงามออกมาเป็นสแลงที่มีคุณค่าอีกประการนึงไปแล้ว

ส่วนฮิปสเตอร์นั้นยังเป็นคำที่ไม่ตกรุ่น (คือกำลังน่วมได้ที่เลยล่ะ) ไอ้ผมเองก็เลยมาพิจารณาตัวเองว่าเรามีพฤติกรรมเข้าเกณฑ์ที่มนุษย์จากองค์กรจัดกลุ่มชาวบ้านทำเหี้ยอะไรอ๋อเพื่อความง่ายในการทำการตลาดแห่งประเทศไทย (ถ้างง ย้อนกลับไปอ่านชื่อองค์กรซ้ำอีกที) ช่วยกันลิสต์กันขึ้นมา

ความฮิปสเตอร์ของผมนั่นเข้าข่ายผ่านเกณฑ์อยู่ประมาณ 13 อย่าง จากทั้งหมด 437 ข้อ (เศร้ามาก) …ซึ่งไม่ได้ละ เทรนด์มันมาขนาดนี้ เราอยากเป็น เราวอนนาบี ต่อไปนี้จะขอไล่เก็บแต้มให้ครบทุกข้อโดยไว

(เปิดตำรา) เริ่มจากเรียกตัวเองว่าเราก่อนใช่ไหม เออ เราก็เรียกตัวเองว่าเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ข้อนี้ผ่าน

(เปิดอีกบรรทัด) เล่นทวิตเตอร์… นี่ล่ะ ข้อนี้มั่นใจมาก กู เอ๊ย เรานี่ใช่ละ

(เปิดอีก) เลี้ยงแมว … บัดซบ ไอ้จิ๋วนี่ไม่นับได้ไหม

(เปิดอีก) ห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์

เทรนด์ต่อไปเชิญครับ

คอมเมนต์