ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว

#โหมดพ่อบ้าน

central-1

ก่อนหน้านี้เวลาไปซื้อของอะไรมาเติมในบ้าน เช่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น ผ้าอ้อมเด็ก ยาสระผม ฯลฯ วันนั้นทั้งวันจะอุทิศตัวให้กับการไปเดินบิ๊กซีแถวบ้านครับ โดยฝากตัวเล็กไว้ที่บ้าน แล้วพาตัวใหญ่ไปกินเอ็มเคก่อน พออิ่มแล้วก็พาไปซื้อไอติม หลังจากนั้นพิธีกรรมการเดินบิ๊กซีค่อยเกิดขึ้น ซึ่งก็หมดไปประมาณครึ่งค่อนวัน

ก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อของออนไลน์จาก Lazada ดู ก็พบว่ามันสะดวกดีแฮะ ไม่ต้องถ่อเข้าไปในเมือง เสียเวลาเป็นวันและเสียค่าเดินทางเยอะแยะเพื่อให้ได้มา เอาส่วนต่างราคานั้นมาโยนเป็นค่าของในเว็บนี้ดีกว่า ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าดี ถึงจะยังรู้สึกตงิดๆ นิดนึงตรงที่ของที่ซื้อมันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลายบาทอยู่ แล้วผมจ่ายตังค์ไปโดยไม่ได้จับของจริง ก็เลยพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากว่ามันทดแทนวิธีการซื้อของแบบออฟไลน์ได้จริงๆ นัก

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ย้อนไปนิดนึงครับ เมียผมนี่เป็นสลิ่มเต็มขั้น รักเซ็นทรัลพอๆ กับบ้าน มีความสุขที่ได้สัมผัสอากาศสังเคราะห์ผสมกลิ่นรองเท้ากระเป๋าในนั้นโดยมีลูกผัวเดินตามต้อยๆ แถมเมียยังทำบัตรเครดิตของเซ็นทรัล (ที่ให้วงเงินกากมาก) มาด้วยความจงรักภักดี ถึงแม้จะบ่นเรื่องวงเงินจนจะเอาไปปาทิ้งหลายที แต่ด้วยความรักในยี่ห้อห้างแห่งนี้ เมียเลยยังโอเค ไ่ว่าจะซื้อของกิน ของใช้ในบ้านที่บิ๊กซีโลตัสแถวบ้านมี ก็ยังจะหาเรื่องไปเซ็นทรัลจนได้ ซึ่งจะว่าไป อีผัวก็แฮปปี้ดีเพราะอาหารตาแถวนั้นเยอะเหลือเกิน #แฮ่กๆๆ

แต่มันจะไม่แฮปปี้ก็อีตรงสภาพการจราจรระหว่างบ้านถึงห้างนี่แหละครับ ที่ไม่รู้ว่ามันจะติดอะไรกันนักกันหนา ขนาดค้นพบว่าต้องไปช่วงวันธรรมดาตอนสายๆ ถึงรถจะโล่ง จอดง่าย แต่พอเมียดำผุดดำว่ายในห้างเสร็จ นอกจากจะเสียค่าจอดรถแพงสัสแล้ว ช่วงบ่ายที่ออกมาก็ยังจะต้องพบสภาพการจราจรที่โหดร้ายอีก บัดซบ เกลียดมัน (เกลียดห้างนะไม่ใช่เกลียดเมีย)

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ผมก็ อะไรวะ (นึกในใจสิ บ้า ใครจะไปพูด) นี่อาการหนักขนาดซื้อออฟไลน์เสร็จแล้วยังมาออนไลน์อีกเรอะ

ก็เลยกดดูในหมวดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก เพื่อจะพบว่า แม่งโคตรถูกเลยโว้ย! ถูกกว่าบิ๊กซีอีก! (พ่อบ้านที่แท้จริงจะต้องจำราคาพร้อมส่วนลดที่บิ๊กซีได้เสมอ) ก็เลยกดซื้อไป อ้าวอะไรวะ มีโค้ดส่วนลดอีก! แล้วนี่ เฮ้ย ส่งฟรีอีก! (ในเว็บบอกว่าซื้อ 499 บาทขึ้นไปส่งฟรี ซึ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อเดียวก็เกินแล้ว)

เท่านั้นยังไม่พอ อีตอนส่งฟรีก็มีโทรนัดหมาย มีใบเซ็น ใบเสร็จ มีกล่องพัสดุ หุ้มเม็ดพลาสติกกันกระแทก พร้อมใบรับประกันคืนเงินถ้าสินค้าไม่สมบูรณ์

บั้ลแล้วววววว

จบครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาของใช้สิ้นเปลืองในบ้านหมดลง สลอธอย่างผมก็จะเปิดเว็บ แล้วกดซื้อ และรอโทรศัพท์จากพนักงานส่งในวันถัดไป แล้วจะไม่ให้ง่อยแดกได้ยังไงครับ

ป.ล.
มีครั้งหนึ่งไปเดินบิ๊กซี (ก็ยังไปอยู่นะเพราะเว็บออนไลน์ไม่มีของสด) นึกได้ว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดเลยแวะไปดูว่ามีส่วนลดเยอะๆ ไหม พบว่าเซ็นทรัลถูกกว่า ก็เลยเปิดมือถือ นั่งกดเว็บเซ็นทรัลแม่งในบิ๊กซีนั้นเลย เอ๊ะบิ๊กซีกะเซ็นทรัลนี่ญาติกันใช่ไหม เขาคงไม่ถือมั้ง…

ป.อ.
เออ จะว่าไปยังไม่เคยซื้อจากบิ๊กซีออนไลน์เลย เห็นว่าซื้อหลักพันแล้วเขามาส่งถึงบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถึง ก็นัดรับสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลย คือพนักงานจะไปหยิบๆ มาให้แล้วรวมใส่รถเข็นมั้ง? (นึกภาพคราวหน้าไปบิ๊กซี กินเอ็มเค ระหว่างรอก็กดช็อปในเว็บไปด้วยงี้ พออิ่มก็ขึ้นไปเอาตะกร้าเลย บ้าจริง 5555)

ป.ฮ.
บล็อกตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่เที่ยง พอดีลูกเมียมาเลยยุ่งทั้งวัน เพิ่งว่างเขียนต่อตะกี้ ประเด็นคือเมียบอกเมื่อตอนเย็นว่าเดี๋ยววันจันทร์จะไปทำผมที่เซ็นทรัล..

คอมเมนต์

เอาซะหน่อย

ที่มาของภาพจากข่าวนี้ครับ: ‘ประยุทธ์’สวมชุดข้าราชการครั้งแรก

.

.

เป็นภาคต่อจากอันนี้นะ

ถ้าไม่รอดยังไงก็เตรียมพบ iannnnn.com V2 ครับ

คอมเมนต์

นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ 😀

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน

คอมเมนต์

ผมเป็นฮิปสเตอร์

hipster

ถึงมันจะเป็นเรื่องซ้ำซากที่ฉายวนเวียนมาทุกๆ สิบปี โดยเปลี่ยนเพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮาร์ด อัลเตอร์ อินดี้ เด็กแนว หรือล่าสุดที่เห็นแซะกันอยู่ในไทม์ไลน์อยู่ทั้งวันทุกวันโดยเฉพาะในช่วงนี้ ก็คือคำว่าฮิปสเตอร์

แต่เวลาได้อ่านข้อความจากคนที่เชื่อว่าตัวเองรู้ว่าฮิปสเตอร์คืออะไร และอย่ามาเสือกแปะป้ายให้คนอื่น(กู)เป็นฮิปเตอร์ด้วยความเข้าใจแค่นั้นของมึง อะไรแบบนี้

ผมแม่งบันเทิงมาก

ความบันเทิงนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยที่คำว่าเด็กแนวกลายเป็นคำที่เอาไว้ครอบสวมให้คนบางกลุ่มบางพฤติกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความนั่นแหละครับ

เฮ้ยมันบันเทิงจริงๆ นะ เวลาอ่านบทความจากอีพวกชอบจัดกลุ่มคน ว่าคำคำนี้จะต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ กินแบบนี้ อ่านแบบนี้ งานอดิเรกแบบนี้ ติดสัดฤดูนี้ แล้วเอามาดูว่ามันเข้ากับตัวเองข้อไหนบ้าง (ไม่ค่อยเข้าเลย เสียใจ) และเข้ากับจินตนาการของผู้จัดกลุ่มเองว่าอย่างไรบ้าง มันสนุก มันได้อรรถรสดีจะตาย

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บนโลกที่มันเหวี่ยงหมุนมาเชื่อมกันแน่นเป็นหมอยติดสบู่แบบนี้ ยังไงชีวิตก็ต้องโคจรไปโดนบุคคลประเภทที่ใช่ และไม่ใช่เราอยู่ดี

เอาจริงๆ ผมเกลียดอีพวกชอบจัดกลุ่มเหมือนกัน แต่ในทรรศนะของพวกเขา มันก็ง่ายดีเวลาจะสรุปอะไรด้วยประสบการณ์การมองโลกของเขา

แต่ถ้ามองจากมุมของคนที่เกลียดการโดนครอบด้วยคำศัพท์อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่กู 100% แต่สุดท้ายก็โดนลากเข้ามาเป็นกูจนได้ แบบนี้ก็เข้าใจได้อีกเช่นกันว่าแม่งน่ารำคาญชะมัด

คุณเคยอยู่ดีๆ ก็โดนคนที่ไม่สนิทกันมาเหมาว่าเป็นสลิ่มไหมครับ?

เสื้อแดงล่ะ ริเบอร่านล่ะ ไดโนเสาร์ล่ะ แมลงสาบล่ะ ควายล่ะ ชนชั้นกลางล่ะ ต่ิงล่ะ สาวกล่ะ ฯลฯ

คำพวกนี้ถ้ามันออกมาจากปากคนที่เราไม่สนิทสักหน่อย ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันแหละครับว่า ควยเอ๊ย (นี่คือแบบสุภาพแล้วนะ) มึงรู้จักกูดีแค่ไหนเชียวที่เอาป้ายมาแปะให้กูแบบนี้

ซึ่งนั่นก็จงเข้าใจได้เช่นกันว่ามันก็เกิดกับทุกวงการแหละ ไม่ได้เฉพาะฮิปสเตอร์ที่กำลังแซะกันสนุกสนานนี่หรอก ลองนึกย้อนไปในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองดุเดือดกว่านี้ อันเฟรนด์กันรัวๆ ด้วยวาทกรรมจากแกนนำม็อบ ช่วงนั้นแค่คนที่ “ไม่ใช่พวกเรา” มาเรียกเราด้วยอะไรสักอย่าง แม่งปี๊ดกันกว่านี้เยอะเลยนะครับ

เช่นเดียวกับฮิปสเตอร์ที่มีหลายคนเดือดแค้นกับมันมาก บางคนปกป้อง ไม่อยากให้คำซึ่งมีความหมายคงเดิมจากต่างประเทศอยู่แล้วมันด่างพร้อยสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ (เชี่ย ฮิปสเตอร์แบบหีนยาน)

บางคนก็เข้าใจแต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่าที่จริงกูเป็นแบบนี้ของกูมานานแล้ว กูถ่ายรูปเว้นที่ว่างเยอะๆ กูทำหน้าปวดเยี่ยวใส่กล้อง กูอ่านเล่มนี้ กูเลี้ยงสิ่งนี้ กูกินไอ้นี่ กูชอบที่นี่ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เห็นใครจะมาพะยี่ห้ออะไรให้ (เรียกว่าฮิปสเตอร์มาก่อนที่จะมีฮิปสเตอร์ อันนี้เขาก็ว่ามันคือฮิปสเตอร์ของแท้) วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็เสือกมาเรียกกูด้วยคำศัพท์คำหนึ่ง และยัดพฤติกรรมงี่เง่าหลายๆ อย่างปะปนเข้ามาเปื้อนด้วย แล้วเอาไปหัวเราะกันป่นปี้สนุกสนาน มันช้ำนะรู้ไหม

ซึ่งผมแม่งก็บันเทิงอีกเช่นกัน 5555 นิสัยเสียมาก

เวลาบันเทิงกับอะไรแบบนี้นี่ไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลเลยครับ ลองดูว่าไอ้แบบที่เขาแขวะกันเนี่ย มันพอจะเกี่ยวกับเราบ้างไหม เช่น ผมแม่งมีพฤติกรรมหลายข้อที่เข้าข่ายสลิ่ม แต่มันยังได้แคไม่กี่ข้อไง

วิธีการก็คือ พยายามเก็บแต้มที่เหลือให้ครบ จะได้เป็นสลิ่มในอุดมคติ เวลาไปที่ไหนกินอะไร ก็ไปห้างสลิ่มๆ กินร้านสลิ่มๆ ถ่ายรูปสลิ่มๆ หรือทำพฤติกรรมที่เขาว่ามาว่าทำแล้วมันจะสลิ่มนะ

โคตรสนุก

ไม่สนุกเปล่าๆ นะครับ คืออย่างน้อยคำว่าสลิ่มนั้นก็จะแตกหน่อออกมาเป็นความหมายใหม่ที่เป็นศัพท์เฉพาะสำหรับหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เวลานัดกันไปกินที่ไหนดี “เอาร้านสลิ่มๆ” แบบนี้ ไม่มีใครโกรธนะครับ นั่นเพราะความหมายของมันงอกงามออกมาเป็นสแลงที่มีคุณค่าอีกประการนึงไปแล้ว

ส่วนฮิปสเตอร์นั้นยังเป็นคำที่ไม่ตกรุ่น (คือกำลังน่วมได้ที่เลยล่ะ) ไอ้ผมเองก็เลยมาพิจารณาตัวเองว่าเรามีพฤติกรรมเข้าเกณฑ์ที่มนุษย์จากองค์กรจัดกลุ่มชาวบ้านทำเหี้ยอะไรอ๋อเพื่อความง่ายในการทำการตลาดแห่งประเทศไทย (ถ้างง ย้อนกลับไปอ่านชื่อองค์กรซ้ำอีกที) ช่วยกันลิสต์กันขึ้นมา

ความฮิปสเตอร์ของผมนั่นเข้าข่ายผ่านเกณฑ์อยู่ประมาณ 13 อย่าง จากทั้งหมด 437 ข้อ (เศร้ามาก) …ซึ่งไม่ได้ละ เทรนด์มันมาขนาดนี้ เราอยากเป็น เราวอนนาบี ต่อไปนี้จะขอไล่เก็บแต้มให้ครบทุกข้อโดยไว

(เปิดตำรา) เริ่มจากเรียกตัวเองว่าเราก่อนใช่ไหม เออ เราก็เรียกตัวเองว่าเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ข้อนี้ผ่าน

(เปิดอีกบรรทัด) เล่นทวิตเตอร์… นี่ล่ะ ข้อนี้มั่นใจมาก กู เอ๊ย เรานี่ใช่ละ

(เปิดอีก) เลี้ยงแมว … บัดซบ ไอ้จิ๋วนี่ไม่นับได้ไหม

(เปิดอีก) ห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์

เทรนด์ต่อไปเชิญครับ

คอมเมนต์

น้ำล้างตีน

แก้วกาแฟ

ผมไม่กินกาแฟ เลยไม่อินกับวัฒนธรรมกาแฟเท่าไหร่

ที่ไม่กินก็เพราะเวลากินแล้วมันจะขมปากขมคอ กลิ่นมันจะวนเวียนตั้งแต่หลอดลม ทะลุไปยันระบบทางเดินอาหาร เลยออกมาถึงตอนฉี่ จะมีกลิ่นกาแฟชัดมาก (คือตัวเองก็ดันเป็นพวกจมูกดีด้วยสิ) เลยไม่ชอบ

ซึ่งก็นับเป็นข้อดีพอได้อยู่ เพราะวันไหนที่ต้องการทำงานดึกจริงๆ กาแฟนั้นถือเป็นยาแรงที่ได้ผลเสมอ (ซึ่งโอกาสแบบที่ว่านั้นมีแค่ปีละ 2-3 ครั้ง ไม่น่าเกิน)

และเนื่องจากไม่อินกับกาแฟ ตัวเองก็เลยไม่ได้อะไรเลยกับกาแฟตรานางเงือก คือรู้ว่ามันเป็นสถานที่นัดพบคุยงานได้ แล้วสมัยทำงานที่ต้องนัดกับลูกค้าบ่อยๆ (ลูกค้า)ก็จะเลือกร้านกาแฟที่ว่าเนี่ยเป็นสถานที่คุยงานแมจ่ายค่าชาเขียวปั่นให้ด้วย ส่วนผมก็มีหน้าที่นั่งเกร็งอย่างเดียวเลย คือเกร็งจริงๆ การได้นั่งในบรรยากาศแบบนั้นเหมือนเราเลี้ยวมาผิดมากๆ เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเรามากๆ

จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านเขาไม่ใส่รองเท้าแตะเข้าร้านกาแฟกันวะ (ที่จริงมึงควรสงสัยว่าทำไมมึงคีบแตะมาคุยงานกะลูกค้ามากกว่า)

แต่นั่นก็เรื่องขี้หมูขี้หมาครับ

คือที่ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวันนี่เพราะตัวเองไปเที่ยว เพิ่งกลับมา นอกจากบล็อกแล้วก็แทบจะไม่ได้โซเชียลอะไรอีกเลย (แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ได้โซเชียลจริงๆ ก็ยังถือว่าเยอะ แต่ช่างเถอะ)

หลังจากอดนอนก่อนหน้าที่จะไปเที่ยวหลายคืนเพราะเคลียร์งานสารพัด ก็ต้องขับรถไกลๆ ไปต่างจังหวัด และเฮฮากับเพื่อนฝูงยันเกือบรุ่งสาง และตื่นมาเพราะเสียงเด็กตัวเล็กทีนึง ตัวใหญ่อีกทีสลับกัน เสร็จแล้วก็ขับรถต่อ แวะเที่ยว ขับรถ แวะเที่ยว ฯลฯ

เอาเป็นว่าอดนอนอย่างบักโกรกเลยละกัน

ขากลับตรงมอเตอร์เวย์ เลยรู้สึกว่าไม่ได้ละ เพื่อจะให้ลูกเมียหลับอย่างสบายใจอยู่ที่เบาะหลัง เราต้องหาอะไรมากระแทกปากสัดหน่อย

ทีแรกก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องแวะร้านเงือกเขียว แต่จะเข้าเซเว่นไปหาอะไรเคี้ยวเล่นๆ งี้ แต่พอดีเมียเสนอว่า แวะร้านเงือกหน่อยละกัน เพราะคุณลูกสาวคนโตทำท่าจะปวดอุ๊จ เดี๋ยวมาอุ๊จเอากลางทาง เกรงจะทำให้มอเตอร์เวย์แปดเปื้อน แถมคุณลูกสาวก็ท่าจะง่วงมาก ให้แวะห้องน้ำสาธารณะด้านนอกซึ่งดูแล้วไม่ถูกสุขอนามัยสำหรับเด็กเล็กที่ง่วงสุดขีดด้วย …ก็เลยแวะ สตบ จนได้

ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยบอกเมียให้ซื้อชาเขียวให้แก้วนึง (ยังไม่อยากกินกาแฟเพราะเดี๋ยวกลิ่นมันติดขมคอไปยันเช้า ยังไม่ได้ต้องการยาแรงขนาดนั้น) เมียก็เดินจูงลูกหายเข้าไปในร้าน …ไปอุ๊จนั่นแหละ

แล้วก็ออกมาเจอผมที่อุ้มลูกสาวตัวเล็กอยู่ เลยถามไปว่ากี่บาท

“140”

“หา!?”

“ราคามันเท่านี้แหละ” เมียตอบ

ผมตกใจเว้ย คือ เชี่ย ร้อยกว่าบาทเลยเหรอวะ ชาเขียวแก้วเท่านี้ นี่เขาคิดรวมค่าน้ำแข็งก้อนละห้าบาทด้วยรึเปล่า ทำไมถึง…

กำลังจะโชว์ความบั้นนอกที่ไม่รู้จักเรตราคาของ สตบ ไปให้เมียหัวเราะ พลันก็นึกขึ้นได้ว่า หลายครั้งเวลาขับรถออกต่างจังหวัดไกลๆ และต้องการตื่นสบายตลอดทาง ผมเองก็จะกินชาเขียวจากร้านป่าทึบที่อยู่ตามปั๊มน้ำมัน อันนั้นแก้วละ 50 บาท และเข้มข้นสะใจ

แล้วก็นึกถึงคำของมิตรสหายสักตัวนึงที่บอกว่า เครื่องดื่มยี่ห้อป่าทึบนี่แม่ง ยังกะน้ำล้างตีน สู้ตรานางเงือกไม่ได้

ผมดูดอีกจ้อด (ดูดไป 16.50 บาท) แล้วเอาลิ้นไล้ๆ ให้มันสัมผัสกับต่อมรับรสอีกที ว่ามันต่างกันตรงไหน ใช่ แน่นอน ก็ต่าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไร แค่มันต่างเท่านั้นเอง

เมียก็บอกว่าเตงน่ะเป็นพวกลิ้นจระเข้ คือกินอะไรก็ไม่ต่าง ของดีกับของธรรมดา (ที่จริงบอกว่าของห่วย) มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว

ผมก็บอกว่าใช่ มันต่างไง อันนี้ถูกแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะแยกไม่ออก หรือลิ้นจะกากจนสัมผัสไม่ได้ว่ามันมีความต่าง

ประเด็นคือผมเองไม่รู้สึกว่าอย่างหนึ่งจะดีกว่าอีกอย่าง แบบที่ถ้ามัดใส่ถุงแบบกาแฟโบราณเอามาให้ดูด ก็พอจะรู้นะว่าของเหลวในถุงไหนวัตถุดิบราคาแพงกว่า ทำเนี้ยบกว่า ค่าการตลาดสูงกว่า แต่ไม่จำเป็นว่าได้ที่ทุกคนบอกว่าดีกว่านั้นมันจะต้องถูกใจเราเสมอไป ของแบบนี้มันอยู่ที่จริตคนเสพนะ

แถมการที่ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างนึงได้เลย คือกินของถูกๆ ก็ยังปิติกับมันได้ …ประหยัดดีออก 5555

ส่วนใหญ่พอตอบไปแบบนี้ เมียก็มักจะสวนว่า ในขณะเดียวกันเวลาเตงกินของแพงๆ แล้วแสดงความอร่อยเท่าของถูกๆ ก็จะรู้สึกเสียดายของ

ก็จบเห่

ป.ล.
ค่าอุ๊จของลูกคือ 140 บาท ให้นึกว่าถ้าไปตามสถานที่ที่เก็บค่าอุ๊จครั้งละ 2 บาทติดต่อกันทุกวัน เราจะไปได้ถึง 70 วัน = สองเดือนกว่าๆ! ลูกขี้ได้ตั้งสองเดือนกว่าๆ!!!

ป.อ.
นึกถึงบากิตอนนึงที่ยูจิโร่หรือใครสักคนนี่แหละที่บอกว่า ไวน์ 2 ขวดที่ราคาต่างกัน 100,000 เท่า ก็ไม่ได้แปลว่ารสชาติจะดีกว่ากัน 100,000 เท่านะ ความต่างอาจจะ 10 หรือ 100 เท่าเท่านั้นเอง

ป.ฮ.
ชั่วชีวิตนี้นึกได้อย่างนึงที่กินแล้วรู้สึกว่านั่นคือน้ำล้างตีนจริงๆ คือก๋วยเตี๋ยวหน้าโลตัสเอ็กซ์เพรสเสนา (เมื่อนานมาแล้วนะ ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนเจ้าไปแล้ว) คือพอมีร้านมาใหม่ ผมก็ไปลองตามประสาคนรักก๋วยเตี๋ยว สั่งเส้นเล็กลูกชิ้นน้ำใสซึ่งดูจะเป็นจุดขายของร้าน พอได้รับมาปั๊บก็ซดน้ำซุปเลยครับ… มันคือน้ำเปล่าที่โยนลูกชิ้นกับเส้นและถั่วงอกลงไป อีเหี้ย

คอมเมนต์