วิธีเล่นยูทูบแบบไม่มีปุ่มเกะกะ

youtube

วิธีดูยูทูบ (บนคอมนะ) แบบไม่มีปุ่มเครื่องมือเกะกะ เว้นแต่ถ้าเอาเมาส์ไปแหย่ เครื่องมือถึงจะโผล่ขึ้นมา

  1. เข้า youtube.com
  2. โครมบนวินโดวส์กด Ctrl+Shift+J / บนแมคกด Command-Option-J (ถ้าใช้เบราว์เซอร์อื่นๆ กดไปดูจากที่มาเอาเอง)
  3. ก๊อปโค้ดนี้ไปวางในช่องของมันแล้วกด Enter

    document.cookie=”VISITOR_INFO1_LIVE=SR64eWDDWNU; path=/; domain=.youtube.com”;window.location.reload();

  4. จบข่าว
  5. ถ้าอยากคืนปุ่มให้เธอประชาชน ก็เข้าไปที่เดิมแล้ววางโค้ดนี้แทน

    document.cookie=”VISITOR_INFO1_LIVE=; path=/; domain=.youtube.com”;window.location.reload();

คอมเมนต์

วันที่ฉันเสียน้ำตา

eye

วันนี้น้ำตาไหลตั้งแต่เช้า

ไม่ได้เสียใจอะไร ตั้งชื่อบล็อกดักไว้งั้นแหละ ที่จริงคือใช้สายตาหนักมาก เพราะนั่งแต่งภาพตอนกลางคืนแบบเกือบโต้รุ่งมาสองคืนติดๆ (จนไม่ได้เขียนบล็อกเลยไงล่ะ #ข้ออ้าง) ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทำเพื่อปากท้องตัวเองและลูกเมีย จึงยอมบั่นทอนสุขภาพของตัวเองลงหน่อยนึง

แต่ก็แลกมาด้วยอาการเจ็บตาขวาตรงเปลือกตา จนถ้าส่องกระจกดีๆ จะเห็นว่ามันบวมออกมาหน่อยๆ เลยนะ

ที่จริงผู้ต้องสงสัยก็คือเจ้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งจ้องมันติดๆ กันหลายชั่วโมง และจ้องมากกว่าปกติเพราะเป็นงานแต่งภาพ ต้องใช้สายตาหนักมากกว่างานออกแบบหรือการใช้งานเรื่อยเปื่อยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะมันต้องเพ่งที่ภาพถ่ายหลายร้อยภาพเพื่อปรับสี ปรับแสง ลบตำหนิ ฯลฯ

ที่ดีหน่อยก็คือมันเป็นการถ่ายแบบ นั่งจ้องน้องจินทั้งวันทั้งคืนก็เพลินตาดีอยู่ (เมียตบ) แต่จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ตอนนั่งเร่งทำงานให้เสร็จก็ยังมิวายสงสัย ว่าทำไมที่ผ่านๆ มาไม่เห็นจะเคยปวดตาขนาดนี้เลยวะ

หรือเราเผลอให้ความสำคัญกับเงินและคำสั่งเมียไปมากกว่าการดูแลสุขภาพของตัวเอง ที่ระยะหลังๆ จะเริ่มออกอาการเป๋ให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ

แถมปณิธานประจำปี 2558 นี้ก็ไม่มีบรรทัดไหนเลยที่พูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ…

สัญญาณแบบนี้ไม่ดีแน่! ต่อไปนี้จะต้องปรับปรุง จะต้องเริ่มจากไอ้นั่น หันมาทำไอ้นี่ ทำงานไปก็คิดพะวงไป (แต่สายตาที่ปวดร้าวก็ยังไม่เลิกจ้องขาอ่อนนางแบบนะ)

จนตีสามผ่านไป ก็เพิ่งมานึกได้ว่า ที่แท้ที่ปวดตานี่ ไม่ได้เป็นเพราะทำงานนี่หว่า

แต่เพราะคืนก่อนหน้า (ที่ทำงานดึกเหมือนกัน) พอเดินเข้าห้องนอนที่ปิดไฟอยู่ แล้วเสือกตัวพรืดขึ้นไปบนเตียง เพื่อเตรียมนอน

คุณนิทานอายุ 2 ขวบ 8 เดือน ก็ต้อนรับด้วยการดิ้นและกวาดขา 180 องศา ทิ้งส้นตีนลงมา โป้ง! กลางเบ้าตาผู้เป็นบุพการีพอดี

ลูกเมียนอนหลับปุ๋ยสบาย ส่วนอีพ่อนอนกุมเบ้าตาด้วยความปวดร้าว แล้วก็หลับ ตื่นมาก็ลืม

แล้วก็บวม

คอมเมนต์

LINE WebToons / ยุคใหม่ของวงการการ์ตูนและเว็บในบ้านเรา

หลังๆ มานี้ไม่ค่อยได้เขียนอะไรเนิร์ดๆ เพราะลาออกจากวงการเว็บและแอปแล้ว งานอดิเรกที่ชอบคุ้ยหาแอปเจ๋งๆ หรือเครื่องมือพัฒนาเว็บดีๆ ก็เลยจางหายไปด้วย แต่ปริมาณการอ่านการ์ตูนก็ยังคงเส้นคงวา คือไม่ได้เยอะเหมือนนักอ่านสายจริงจัง แต่เรียกว่าอ่านแทบทุกครั้งที่มีเวลาว่าง(อันน้อยนิด)จากการเลี้ยงลูก

แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่อ่านการ์ตูนละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะอะไรไม่รู้ รู้สึกว่าจะเป็นศักดิ์ศรีค้ำคอของคนทำงานสายสร้างสรรค์ (ก็เป็นข้ออ้างที่น่าจะฟังขึ้น)

ที่สำคัญคือการอ่านการ์ตูนที่สร้างมาเพื่อให้ได้อรรถรสเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่บนกระดาษ แต่แม่งดันมาเลื่อนๆ ดูในจอ มันไม่ใช่อะ กระดาษมันต้องพลิกอ่านสิวะ

webtoons

แอป LINE WebToons นี่ ผมรู้จักครั้งแรกก็ตอนที่เล่นไลน์ตามปกติ แล้วพอดีมันอยู่ในหน้าแจกเหรียญฟรี ด้วยความโลภอยากเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อโหลดสติกเกอร์ฟรี ก็เลยโหลดมา ลองเปิดดู พบว่ามันเจ๋ง เลยกลายเป็นแอปที่เปิดเสพเป็นอันดับแรกๆ ของทุกๆ วันไปแล้ว (สารภาพว่าเพิ่งรู้ว่ามันมีเว็บก็เมื่อกี้ตอนค้นกูเกิลว่าชื่อมันเขียนยังไงนี่แหละครับ แล้วเวอร์ชันเว็บกฌเสือกครบกว่าในแอปมือถือที่ทำมาดีมากๆ อยู่แล้วอีกด้วย)

การได้เจอแอปดังกล่าว ความคิดที่ว่า “อ่านการ์ตูนมันก็ต้องสัมผัสกับกระดาษสิวะ ถึงจะได้อารมณ์” ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

เปล่าหรอก ไม่ได้บอกว่าการจับกระดาษ สูดกลิ่นน้ำหมึก และพลิกหน้าไปนิ้วดำไปอย่างที่ทำในทุกวันนี้มันไม่ดี แต่วัฒนธรรมรากฐานการผลิตงานการ์ตูนในรูปแบบของ “หนังสือเล่ม” นั้น เขามีกรอบที่เป็นกติกาอยู่

คือเวลาอ่าน มันต้องพลิก / เสพภาพรวม / แล้วค่อยเก็บรายละเอียดด้วยการกวาดสายตา มองซ้าย มองขวา (หรือกลับกันถ้าเป็นการ์ตูนที่อ่านจากขวามาซ้าย) แล้วพลิก / แล้วเสพ / ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนจบเล่ม (ฟินไหม ฟินเนอะ) ซึ่งสิ่งนี้ดันทำได้ไม่ดีเมื่อมาอยู่ในจอคอมหรือมือถือซะยังงั้น เช่นเดียวกับพวกอีแม็กกาซีนต่างๆ ที่ดูยังไงก็ยังยึดติดกับภาพเก่าๆ ว่ามันต้องมีหน้าขวา หน้าซ้าย — หรือแม้แต่จะต้องมีแนวคิดแบบ “หน้า” อยู่เสมอ

ผมเองไม่ชอบเลย เวลาเห็นนิตยสารที่จัดเลย์เอาต์เป็นหน้าๆ เรียบร้อยเหมาะสำหรับการอ่านในเล่ม แต่นี่คือสแกนมาเป็น PDF แล้วเอามาให้อ่านบนจอ คือมันไม่ใช่อะตึ๋ง

ซึ่งพอมาอ่านการ์ตูนในแอปเว็บตูนส์นี่ แม่งเปลี่ยนความคิดเลย

การ์ตูนแต่ละเรื่อง (มีมาจากหลายสัญชาติ รวมถึงไทยด้วย แบ่งแนวเรื่องไว้เรียบร้อย) ใช้วิธีการดำเนินเรื่องแบบที่เหมาะกับการอ่านผ่านหน้าจอมือถือโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นภาพนิ่งยาวๆ ต่อๆ กัน (ส่วนมากจะเขียนสวยมากๆ จนชักอยากรู้ค่าต้นฉบับ)

เวลาอ่านก็คืออ่าน หรือกวาดสายตาเสพภาพที่ปรากฏในหน้าจอมือถือ พอเสพจนจืด ก็รูด เลื่อนไปยังจอถัดไป หรือบางโอกาสอาจจะเลื่อนนิดเดียวก็ได้ หรือบางโอกาสก็ต้องเลื่อนลงไปยาวมากๆ ก็มี แต่ละภาพไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีจำกัดว่าตอนนึงจะต้องมีจำนวนหน้าเท่าไหร่ เพราะบางทีก็เจอทั้งสั้นบ้างยาวบ้าง ขาวบ้างดำบ้าง และสีบ้าง แต่หนึ่งตอนคือเหมือนเราดูซีรี่ส์จบหนึ่งเฮือกพอดี

จะเห็นประสิทธิภาพของการออกแบบประสบการณ์การอ่านนี้ได้ชัดกว่าปกติในการ์ตูนแนวระทึกขวัญครับ เพราะบางทีผู้เขียนก็เว้นจังหวะภาพด้วยการทิ้งที่ว่างไว้มืดๆ ยาวๆ ให้รูดปื้ด ปื้ด ปื้ดดดดดด ไล่ลงมา อึดใจที่รูดก็มีช่วงเวลาที่เราอินไปกับเนื้อเรื่องไปด้วย นั่นก็เป็นอารมณ์หนึ่ง

บางทีก็มีภาพที่เขียนไว้ภาพเดียวยาวๆ แบบพาโนรามาแนวตั้ง เช่นเรื่องวันสิ้นโลกหรืออะไรแนวนี้ (จำชื่อไม่ได้ ขี้เกียจหยิบมือถือมาดู) เวลารูดดูยาวๆ นอกจากจะตื่นตาตื่นใจกับงานภาพแล้ว มันยังทำให้เราจมไปกับเนื้อเรื่องเหมือนเป็นผู้แพนมุมกล้องด้วยตัวเองอีกด้วย

เหี้ย มันเจ๋งมากครับ ประสบการณ์อ่านแบบนี้ ตอนนี้เลยติดหนึบหนับอยู่หลายเรื่องเลย

แถมการ์ตูนก็มีหลายเรื่อง อัปเดตทุกวัน ตื่นมาปั๊บ เอาละ เห็นโนติของเรื่องที่ fav ไว้เด้งขึ้นมา ก็อ่านไปขี้ไป เพลินมากครับ ปริมาณ 1-2 เรื่อง/ตอน มันกำลังเหมาะกับการขี้อย่างพอดิบพอดี คือมึงคิดมาจบมาก

เข้าใจว่าวิธีการผลิตสื่อแบบนี้ในญี่ปุ่นหรือเกาหลีคงมีมานานแล้ว เพราะเขาเป็นสังคมมือถือมาก่อนบ้านเรา การรูดอ่าน และการออกแบบ UX ของแอปแนวๆ นี้คงมีให้เห็นอีกหลายเจ้า (แต่ผมเคยเห็นแค่ไม่กี่อัน นอกนั้นจะเป็นพวก Manga Reader ซึ่งยังไงก็ยังเป็นการพลิกแบบ “หน้ากระดาษ” อยู่)

แต่ของบ้านเรานี่ สถิติการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือเอาชนะการเข้าผ่านหน้าจอคอมไปตั้งแต่ปีก่อน (เมื่อก่อนพูดเรื่องนี้จะตกใจและนึกภาพกันไม่ออก แต่ทุกวันนี้มันคือเรื่องธรรมดาแล้ว) ดังนั้นนโยบาย mobile-first นี่คือปัจจุบันแล้ว “มึง ทำเว็บให้มือถือก่อนสิโว้ย” ได้ตั้งนานแล้ว

เพราะต้นทุนการผลิตนิตยสารมันแพงมากๆ แถมผู้อ่านกลุ่มสำคัญยังเลิกอ่านกระดาษ หันไปอ่านผ่านจอ(เถื่อน)แทน นั่นเลยทำให้บูมเจ๊ง และนิตยสารการ์ตูนไทยเกิดมาทีไรก็เจ๊งกันแทบทุกเจ้า เจ้าที่ยังเหลืออยู่ก็ร่อแร่กันทั้งนั้น

ดังนั้นถ้าใครเห็นจุดพลิกผันเมื่อปีที่แล้วนี้ (คนอ่านมือถือ (ไม่ใช่จากคอมนะ) มากกว่าอ่านจากกระดาษ) นั่นคือโอกาสอย่างดีของค่ายนิตยสาร ไม่ว่าจะเป็นแนวการ์ตูนหรือไม่ก็ตาม

คีย์เวิร์ดสำคัญคือทุกคนมีมือถือ มีหน้าจอส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วนะครับ – เฮ้ย โคตรน่าสนุกกกก

ป.ล.
ในเว็บตูนส์นี่ ที่ชอบมีหลายเรื่องนะ ชอบสุดตอนนี้คือเรื่องลูกเต๋า กับเรื่องเซียนเกม ส่วนเรื่องที่เหี้ยมาก แนะนำสำหรับส่งให้เพื่อนที่เกลียด (นี่คือคำชม) คือเรื่องเทพบุตรมิติที่ 10 อะไรสักอย่าง แม่งอุมาก อุจนอยากปามือถือทิ้ง (แต่ก็กด fav และรอคอยการอัปเดตของมันอย่างเหนียวแน่น) ลองโหลดดูครับ อ่านดูสักเรื่อง

ป.อ.
สมัยผมเลิกทำเว็บเฟล ตอนนั้นเป็นช่วงที่เฟซบุ๊กกำลังเริ่มเข้ามามีอิทธิพล และกลืนกินเว็บใหญ่ๆ ตายห่าตายเหี้ยน เว็บเฟลก็โดนผลกระทบพอสมควร (ตอนที่เพิ่งเริ่มทำเฟล นั่นคือแค่มีปุ่มแชร์ขึ้นเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ก็โคตรเจ๋งแล้ว) แต่พอมาถึงวินาทีนี้ อยู่ดีๆ ก็มีเว็บ “นอกเฟซบุ๊ก” ผุดขึ้มาเป็นปริมาณมหาศาล โอเคมันมีหลายเว็บที่ “ลอก” BuzzFeed มา แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธว่าการมีอยู่ของเว็บพวกนี้ มันทำแล้วโคตรประสบความสำเร็จเลย โมเดลการหารายได้มันเลี้ยงชีพได้จริงๆ จนน่าเอามาประยุกต์ใช้กับเว็บที่มีเนื้อหา “เป็นของตัวเอง” (อย่างสำนักพิมพ์ที่มีนักเขียนในสังกัด) และใช้โซเชียลต่างๆ ที่ตอนนี้เบ่งบานและสำแดงพลังกันเต็มที่ในขณะนี้ มาช่วยรับรองความสำเร็จ คือถ้าคนทำมีกึ๋นพอ มีเนื้อหาสักตอนสองตอนที่มันดังเปรี้ยงขึ้นมาจนยี่ห้อของตัวเองติดลมบน เท่านี้ก็สนุกสุดๆ ไปเลยนะครับ

ป.ฮ.
เออๆ ให้นึกถึงเว็บดราม่าก็ได้ เพราะอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนเฟซบุ๊กครองประเทศ จนตอนนี้มาถึงยุคมือถือสดๆ ร้อนๆ แล้ว จุดแข็งสำคัญยังคงเป็นการใช้ประโยชน์จากทั้งโซเชียลเองมาเป็นแขนขาเสริมกำลังให้กับเว็บ และใช้กระแสของเนื้อหาที่คัดมาแล้วว่าเป็นของขายได้ตลอด ทำให้มันอยู่ได้ …ไม่ใช่อยู่ได้ธรรมดา แต่อย่างแข็งแรงล่ำซำ มีแฟนคลับและเหล่าสาวกเหนียวแน่นมากๆ ด้วย (ที่จริงไม่ได้ตามอ่านดราม่ากันหรอก แต่คือคอยดูจ่าพิชิตว่าจ่ามันจะซื้ออะไร จะได้รอสักพักให้ลดราคางี้ โคตรศักดิ์สิทธิ์)

คอมเมนต์

อินไซด์เอาต์

วันนี้มีความสุข

ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรือเป็นกรณีพิเศษมหัศจรรย์ใดๆ เลย แค่นั่งหน้าระเบียงบ้าน แล้วย่างเนื้อโพนยางคำกินกับเพื่อนและพี่ที่คุยภาษาเดียวกันเข้าใจ จนพิธีกรรมสังหารหมู่เสร็จสิ้นลง มิตรสหายแยกย้ายกันหอบลูกเต้ากลับบ้าน เก็บกวาด ทิ้งขยะเสร็จแล้วก็มานั่งผึ่งพุงเขียนบันทึกประจำวัน

ในเมื่อความสุขมันคือสารอาหารของหัวใจ การที่มีความสุขง่ายๆ แบบนี้โดยไม่ต้องลงทุนทั้งเวลาและเงินทองอะไรมากมายเลย งานนี้ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ

ชอบสังเกตตัวเองเวลาในหัวมันเกิดอารมณ์อะไรขึ้นมาบางอย่าง (ไม่ใช่หมายถึงตอนเงี่ยน อันนั้นไม่มีเวลามาสังเกตหรอกเพราะมีเรื่องให้จดจ่ออยู่แล้ว) คุ้นๆ ว่าไอ้การมองเห็นคาแรกเตอร์ของอารมณ์แบบนี้ มันมีศัพท์ในทางพุทธด้วยนะ แต่ไม่มีความรู้ด้านนั้น เอาเป็นว่าผมชอบสังเกตอารมณ์ของตัวเองละกัน เวลาสุขเนี่ยมันสนุกดี มันจะรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านไปนั้นมันมีค่า รู้สึกได้ว่าวันที่ผ่านมาและกำลังจะจบไปนั้น เราไม่เสียเวลาเปล่า

สมมติชาตินึงเราเกิดมาจนแก่ตายไปด้วยอายุขัย 20,000 กว่าวัน ก็ถือว่าวันนี้กระดานเป็นสีเขียว เป็นพอร์ตอย่างดีเวลาตายห่าไปพบยมบาล เวลาเล่าก็จะภูมิใจ

กลับกันเวลาวันไหนที่อารมณ์ขุ่นมัว ไม่ว่าจะด้วยอะไร วันนั้นจะรู้สึกว่าเสียเวลา กระดานเป็นสีแดง รู้สึกขาดทุน ชีวิตกูยิ่งสั้นๆ อยู่ ก็เลยไม่ค่อยได้ขุ่น

อันนี้เป็นจริงๆ ไม่ได้ประดิษฐ์ คือนึกไม่ออกว่าเราจะขุ่นด้วยเรื่องอะไร

ทะเลาะกับเมียเหรอ แป๊บๆ ก็หายแล้ว (เวลาทะเลาะกันไม่ว่ากับใคร เชื่อว่าการคุยกันตรงๆ นั้นปิดได้ทุกคดี) หรือไปโกรธเกลียดใครเหรอ ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยโกรธเคยเกลียดใครบ้างไหม นี่ให้นึกกรณีศึกษาตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็นึกไม่ออก เนี่ยพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ยังนึกไม่ออก

แค่นึกก็เสียเวลาแล้ว แล้วเวลาไปโกรธใครหรือเกลียดใคร มันไม่ยิ่งบั่นทอนชีวิตเข้าไปใหญ่เรอะ

ไอ้ความโกรธหรือเกลียดใครไม่เป็นนี่ ///// เออๆ พอพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็นึกออกแล้ว เวลาผมโกรธ มันจะปรี๊ดขึ้นมาถึงกลางๆ มิเตอร์ แล้วก็ลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เพราะอะไร… อาจจะเป็นของขวัญจากเทพเพอร์ซิอุสก็ได้นะ

ส่วนความเกลียดนี่ก็เพิ่งนึกออกว่าเคยรู้สึกเกลียดอย่างรุนแรงขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่ถึงขนาดนึกประโยคออกว่าเคยทวีตไว้เมื่อ 4-5 ปีก่อนเลยว่า

สังเกตว่าเวลาเกลียด จะไม่ได้เกลียดที่ตัวคน แต่เกลียดที่_____ของเขา (นิสัย พฤติกรรม การแสดงออก หรืออะไรก็ตามที่เป็นเอาต์พุตและส่งผลกระทบมาถึงเรา) สิ่งนี้เลยทำให้เรามานั่งมโนต่อไปได้ว่า เออ ถ้าเราเกลียด_____ของเขา แล้วจะจัดการกับความเกลียดนั้นอย่างไร

ก็อุตส่าห์เป็นความเกลียดที่โลกสวยได้

ความกลัวล่ะ? กลัวผีก็ไม่ได้กลัวแล้ว จนกว่าจะเจอครั้งถัดไป แต่ดันเริ่มมีนโยบายชัดเจนในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าถ้าเจอผีจะตั้งสติและขอสัมภาษณ์ให้ได้ มีหลายเรื่องอยากถาม เลยไม่กลัวผี

เออๆๆ นึกออกแล้ว ผมกลัวตะขาบ เวลาเจอตะขาบ (ในสภาพที่มันเป็นอิสระและเสี่ยงต่อการโดนโจมตีจากมันงี้นะ ถ้าเห็นตัวเฉยๆ จะไม่กลัวมาก) แบบนี้ล่ะกลัวฉิบหายเลย กลัวตุ๊ดแตกเลย

กลัวจนไม่มีเวลาสังเกตอาการของตัวเอง เนื่องจากแรมสมองไม่พอ เอาสติไปอยู่ที่ตาตุ่มหมด

คอมเมนต์

ปีดี

image

ปีที่แล้วโอเคนะ ใช้ได้ มองตัวเองแล้วเริ่มเข้าสู่ช่วงที่กำลังพอเหมาะ

พอเหมาะคือไม่ได้อยู่ในช่วงแสวงหาอีกต่อไปแล้ว คือจะบอกว่าเจอสิ่งที่ตามหาเรียบร้อยแล้วก็ได้
“สิ่งที่ตามหา” นี่มันเป็นนามธรรมนะ แต่ละคนคงไม่เหมือนและไม่มีวันที่จะเหมือนกัน อย่างของผมนี่คงเป็นครอบครัว

ได้พิสูจน์จนมั่นใจว่าการลำดับความสำคัญในชีวิตโดยใช้ครอบครัวเป็นธงนำอันดับหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว

แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นฝันใกล้ๆ แบบที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงก็ตาม แต่การยังมีฝันนี้เอง ที่กระซิบว่ามึงยังไม่แก่พอที่จะนั่งคุยกับใบไม้ปลิวไปซะทีเดียว

เพราะฝันก้อนใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างสว่างไสว แม่งก็เกิดจากการมีครอบครัว และมีลูกนี่เอง

เป็นพรมแดนที่คนไม่มีลูกไม่มีทางเข้าใจ 5555

อ้อ…
ปีนี้น่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ ที่บ่มเพาะมาสักพักด้วยแหละ

คอมเมนต์