วันนี้เอากระท้อนไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ท่านนึง แกทักผมกะเมีย
ญ: โบว์ท้องโตมากแล้วนะ นี่จะคลอดเมื่อไหร่
อ: ประมาณกลางๆ กันยาครับ
ญ: ปีนี้ปีอะไร… มะเมีย ปีม้านี่ แล้วคนแรกล่ะเกิดปีอะไร
อ: (นึกพักนึง)… มังกรครับ
ญ: โอ้โห ใหญ่ๆ ทั้งนั้น
อ: ตอนทำก็ไม่ได้คิดหรอกครับ ว่าจะใหญ่
วันนี้ฟ้าสวย
ป.ล.เพิ่งเปิดเพจเล็กๆ ชื่อ “เมฆเมพ” ครับ ใครเจอเมฆรูปร่างเหมือนอะไรส่งมาได้นะ เงยหน้ามองฟ้ากัน
มือถือเดี๋ยวนี้มันต้องกี่บาท
บล็อกทุนนิยมอีกแล้ว จดไว้หน่อย เดี๋ยวอีกสองสามปีก็ลืม จะได้กลับมาดู
มือถือตอนนี้ก็คงเหมือนคอมในยุคนึงที่แข่งกันทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาอย่างดุเดือด จนตอนนี้คอมพันจุดอิ่มตัวและเข้าสู่ยุคหดตัว กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง ที่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านต้องมีเหมือนสมัยก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์พกพาที่เราแทบทุกคนมีกันในมือตอนนี้ก็เบียดเข้ามาทำหน้าที่นั้นแทน (อันนี้ย้อนไปสิบปีก่อนใครมันจะไปนึกวะ ตี๊บจ็อบเองจะนึกหรือเปล่า)
ผมเกิดทันในยุคที่ออเร้นจ์เปิดตัวในไทย พอดีได้โควตาญาติพนักงานเทเลคอมเอเชีย รับส่วนลดโปรโมชันสักอย่างที่ทำให้สามารถซื้อมือถือเครื่องแรกในชีวิตมาได้ นั่นคือโนเกีย 3310 ในตำนาน
ราคาท้องตลาดตอนนั้นประมาณ 8-9,000 บาท แต่ญาติพนักงานคนนี้ทุบกระปุกซื้อมา 5,000 บาท! สเป็กตอนนั้นถือว่าเจ๋งสุดๆ ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็คงเหมือนวีออสเพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ และหลังจากนั้นมันก็ขายดีระเบิดระเบ้อ กลายเป็นรุ่นยอดนิยม มีหน้ากากขายสารพัด มีนวัตกรรมเสียงริงโทน หรือสายโมดิฟายมากมายที่เอามาต่อกับคอมแล้วแต่งนั่นนี่ได้ แม้จะหน้าจอสีเดียว และเป็นเม็ดพิกเซลเหลี่ยมๆ ก็เถอะ แต่ความมันส์มันอยู่ที่ใครจะแต่งมือถือตัวเองได้แซบกว่ากัน (ตูก็บ้าซื้อมาเล่นนะ ตอนนั้นอดข้าวซื้อไอ้สายที่ว่านี่เส้นละสองสามร้อยมั้ง มานึกดูแล้วน่าต่อยมาก) และที่สำคัญคือมือถือในตำนานเครื่องนี้ดันทนทานดุจชัชชาติผลิตให้ ใช้มาหลายปีกว่าจะพินาศไป ทำให้เครื่องต่อๆ มาที่ใช้ก็เป็นฟีเจอร์โฟนเครื่องละสองสามพันแนวๆ ไอโมบาย ฯลฯ ที่ใช้งานได้แค่ปีเดียวก็เจ๊ง
จนมาถึงยุคสมาร์ทโฟน ที่จริงพวกโนเกีย ซัมซุง แอลจี อะไรนี่ ก็มีความสมาร์ทอยู่พอสมควรนะครับ ดูหนังฟังเพลงได้แบบขลุกขลักหน่อยในราคาเฉียดหมื่น (ซึ่งตอนนั้นก็ดูสมเหตุสมผลกับราคานี้ แต่ผมยังมีความสุขกับมือถือธรรมดาอยู่) แต่พอแอปเปิลเปิดตัวไอโฟน โลกสมาร์ทโฟนก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ตอนนั้นก็นั่งดูและกรี๊ดแบบที่ใครๆ ก็เป็นกันนี่แหละ ชอบดีไซน์ ชอบนวัตกรรม ถึงจะงงๆ อยู่หน่อยว่า มือถือมันจะแข่งกันมีกล้องทำไม? (สมัยนั้นโลกยังไม่มีคำว่าเซลฟี่ไง) สรุปว่าชอบเกือบทุกอย่าง แต่ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวคือราคา..
อีห่า มือถือเครื่องนึงซื้อเครื่องสูบน้ำได้ตั้ง 4 เครื่อง
(ผมชอบเทียบราคาของเล่นไฮเทคพวกนี้กับเครื่องสูบน้ำครับ พอดีเมื่อก่อนที่บ้านน้ำประปายังไม่เข้า ต้องสูบน้ำใต้ดินใช้ เลยพอรู้ราคาว่าเออ จ่ายเท่านี้ได้ฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพขนาดนี้ ต่อมาเวลาเห็นอะไรแพงๆ ก็จะเทียบกับเครื่องสูบน้ำไว้ก่อน // พี่ในฟอนต์คนนึงแกเลี้ยงควาย แกเลยเทียบกับควายบ้าง ว่าต้องขายควายกี่ตัวถึงจะซื้อได้งี้ น่ารักดี)
ด้วยจำนวนเงินในบัญชี และค่าครองชีพตอนนั้นที่ไอโฟนออก เงินสองหมื่นกว่าบาทกับมือถือหนึ่งเครื่องมันเป็นสิ่งไกลตัวมาก จนอีกค่ายคือแอนดรอยด์เปิดตัวมือถือของตัวเองบ้าง (รู้สึกว่ามันก๊ากกาก) จนไอโฟนออกรุ่นถัดมา ถัดๆ มา แอนดรอยด์ก็อปไอ้นั่นล็อกไอ้นี่ ไอโฟนก็เลยก็อปกลับบ้าง
ในที่สุดก็เลยทนกิเลสไม่ไหว ทุบกระปุกอีกครั้งเพื่อซื้อมือถือจอสัมผัสเครื่องแรกมาเป็น hTC Legend มือสอง (รับของที่บีทีเอสหมอชิต) ได้มา 15,000 บาทถ้วน ในขณะที่ท้องตลาดมือหนึ่งอยู่ที่ 17,900 บาท ก็ถือว่าโอเคมากนะครับ แอนดรอยด์ตอนนั้นเป็น 2.2-2.3 แล้ว ในขณะที่แอปเปิลก็ยังนำอยู่ห่างไกลทั้งประสิทธิภาพและราคา แต่ไม่เป็นไร ดูแววของกูเกิลยาวๆ แล้วขอลงทุนเชียร์ค่ายนี้ดีกว่า (ตอนนั้นยังไม่เป็นติ่ง)
และแล้วก็เสร็จเลยครับ เคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะขอออกแบบชีวิตตัวเองให้ทำงานที่ไหนก็ได้ (ข้ออ้าง) แล้ววันนั้นก็เปิดศักราชใหม่เลย ปรับระบบนั่นนี่จนสามารถพกมือถือเครื่องเดียวทำงานนอกบ้านได้สบายจนทุกวันนี้ (บล็อกนี้ก็เขียนในมือถือ)
พอ hTC Legend หมดอายุขัยไปหลังจากทำตกครั้งที่ 86 สภาพรอบเครื่องบุบบิบยับเยินแต่ตัวถังเป็นโลหะเลยยังคงทนอยู่นะ แต่ปุ่มเปิ่มนี่ไม่ไหวแล้ว เลยมองหาเครื่องถัดมา โดยมีโจทย์เดิมว่าต้องทำงานนอกบ้านได้ คราวนี้ขอเพิ่มอีกข้อคือต้องโซเชียลได้ด้วย นั่นเพราะเริ่มมีตังค์พอจะซื้อเน็ตใช้ได้แล้ว แบะประเทศไทยเริ่มมีแววจะได้เห็นสามจีในอีกไม่นาน
พอดี ณ พ.ศ.นั้น ระดับราคาที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเจ๋งกับความพอใช้ได้คือ 15,000 บาท จึงจัด Galaxy Note มาในราคาเฉียด 20,000 มั้ง (ลืมเป๊ะๆ ไปแล้ว) เล่นของแพงเลยครับ กะว่าลงทุนกับมันไปเลยจะได้ใช้นานๆ ซึ่งก็ใช้คุ้มฉิบหายโดยเฉพาะปากกาของมัน (ตอนนั้นก็ยังถือว่ากากนะ แต่มันยังไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ไง) ตอนนั้นก็อวยปากกามันจนเวอร์เหมือนรับเงินซัมซุงมาโฆษณา แถมพอใช้ไปปีนึงยังไม่ทันจะพังเลย ก็ดันไปประกวดวาดรูปชนะ จนได้รุ่น Galaxy Note 2 มาอีก ทีนี้ของมันดันเจ๋งกว่าเดิมเยอะ คือราคาของในระดับเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่องเนี่ย มันควรต้องดีให้สมกับความแพงเลยนะ
ก็โอเคนะครับ รู้สึกคุ้มดี ข่าวมือถืออะไรก็ติดตามตลอด ยังรู้สึกว่ามันเป็นของดีจริงๆ อยู่ (เป็นคนบ้าอ่านฟีดเทคโนโลยีล้นสมองเพื่ออะไรไม่รู้) แม้ตอนแรกไม่เคยคิดจะซื้อเลยก็ตาม เพราะโน้ตตัวแรกมันยังดีอยู่มาก แต่พอเทียบกับเครื่องรุ่นสองแล้วมันดันดีกว่ากันชัดเจนแบบก้าวกระโดด ก็เลยกะว่าจะอยู่กับมันไปอีกนาน..
แล้วโน้ตสามก็มา..
พอดีได้ไปงานเปิดตัวของซัมซุงด้วยน่ะครับ (เขาคงเห็นว่าเราอวยบ่อยเลยให้ไปด้วย) ก็เลยได้ลองเล่นของจริงดูก่อนที่มันจะวางขาย คือมันก็เจ๋งกว่าเดิมมากๆ อีกครั้ง แต่พอเปิดราคามาที่สองหมื่นกว่าบาทก็ถอดใจครับ จำได้ว่าแพงกว่าไอโฟนซะอีก เลยนึกไว้ว่าราคาระดับนี้ไม่ไหวนะ คงใช้จนโน้ตสองในมือพังไปก่อนแล้วค่อยหาใหม่
ปรากฏว่ากลับบ้านไปเมียถามว่าเป็นไง ดีไหม ตอบไปว่าดี เมียบอกดีก็ซื้อเลย คนอย่างเตงใช้คุ้ม
อ้าว ไฟเขียวมาจากเมียแบบนี้ ซวยเลยครับ สุดท้ายก็กลืนน้ำลาย ซื้อไปจนได้ T-T ยังดีที่เอาเครื่องเก่าไปขายต่อได้ เลยเหมือนตอนนี้เราเสียค่าอัปเกรดให้ทันเทคโนโลยีติ่งๆ ประมาณปีละแปดเก้าพัน บวกลบดูแล้วน่าจะเป็นราคาที่โอเคอยู่ เพราะตัวเองก็อยู่ในโลกทุนนิยม กิเลสนิยม และบ้าเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเราหาเงินได้จากทางนี้ ก็ควรเสียเงินเพื่อมัน
ต่อมาทันดันมีโน้ตสามรุ่นใหม่ที่ปรับตัวขยับขึ้นไปรองรับ 4G ได้อีก (ที่จริงคือมีอยู่แล้วแต่เพิ่งเอาเข้ามาขายในไทย และเพิ่มราคาพอสมควร) ไอ้ผมก็มาฟอร์มเดิม ซื้อทำไม ทุกวันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เว็บ Droidsans ดันมีเกมให้เล่นแข่งกันชิงมือถือรุ่นที่ว่านี้ ผมเลยไปแข่งแล้วชนะมา แม่งได้มาอีกเครื่อง 囧 ก็ปล่อยเครื่องเดิมไปเพื่อใช้เครื่องใหม่จนทุกวันนี้
แน่นอนว่าแฮปปี้ทุกอย่างกับของเล่นชิ้นปัจจุบันนี้ เพราะตอบโจทย์ชีวิตได้ทุกอย่าง แบบที่เป็นมากกว่าของเล่นหรือเอาไว้อวดกัน (คือผมไม่เล่นเกม แต่ใช้ทำงาน อ่านข่าว กับโซเชียลหนักๆ อันหลังนี้เสพติดสุด) จะติดอยู่ก็แค่เกลียดแอปอ้วนๆ รกๆ จากผู้ผลิตเอง ที่ติดมากับเครื่องที่ชาตินึงก็ไม่ได้ใช้ และลบออกไม่ได้ กับอินเทอร์เฟซโบราณๆ ของซัมซุง นอกนั้นโอเคนะ เวลามีปัญหา เข้าศูนย์บริการก็โอเค ไม่เจอปัจจัยดราม่าแบบที่ใครเขาเจอกันเมื่อก่อน
ก็คงปากดีเหมือนเดิม ว่าจะใช้มันไปจนกว่าจะพัง หรือเมียไฟเขียวให้อัปเกรดไปอีกรุ่นงี้
ทีนี้จุดเปลี่ยนมันดันเป็นช่วงสองสามอาทิตย์ก่อนนี่เองครับ
คือเมียผมให้หาข้อมูลไว้ซื้อมือถือใหม่ให้แม่ยาย ก่อนหน้านี้เคยตั้งงบไว้ 5-6,000 บาท ก็ซื้อ Oppo เครื่องนึงตามงบเพื่อให้แกหัดเล่น (หลักๆ คือไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ) ปรากฏว่าได้มาสมราคา คือเล่นได้ แฮปปี้ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีอะไร อยู่ในระดับที่ใช้ได้เฉยๆ พอลองดูมือถือในตลาดตอนนั้น การจะให้ดีไปเลย (ในสายตาข้าพเจ้า) ก็ต้องมีประมาณ 12,000 ขึ้นไปแหละ
แต่พอสองสามอาทิตย์ก่อน ลองสำรวจราคาดูอีกที เฮ้ย โลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า Zenfone 5 อยู่ด้วย ราคา 5,990 บาท (เครื่องสูบน้ำเครื่องเดียวพอดี) แต่เครื่องสวยจอใหญ่กล้องดี สเป็กจัดเต็ม นอกนั้นก็มี Xiaomi Mi3 ที่เทพกว่านี้ขึ้นไปอีกเยอะมาก ในราคาที่แพงกว่ากันเกือบเท่า แต่มันก็โคตรคุ้มในระดับที่ถ้าซื้อใหม่ผมก็คงเอาตัวนี้เลย คุ้มที่สุดในโลกนี้เลย ซึ่งข้อเสียของมันก็คือ ณ วันนี้ยังไม่ทำตลาดในไทย แปลว่าถ้าอยากได้ให้หิ้วเอาเท่านั้น (ใครอยากรู้ความดีของมัน ลองกูเกิลเอาเองครับ)
ดังนั้นของแม่ยายเอา Zenfone ไปละกัน ได้ถูกกว่างบหลายพันด้วย แต่เพราะความที่มันดันคุ้มราคาไง เลยหาซื้อที่ไหนก็ไม่มีของซะที …เอ๊ะ มีร้านที่เขารับหิ้วจากสิงคโปร์ในราคาที่แพงขึ้นมาอีกพันเดียวนี่นา ได้รุ่นที่ดีกว่าบ้านเราพอสมควร แถมยังมีของทันทีด้วย ก็เลยตัดสินใจสั่งซื้อไป และได้ของมา
พอลองเล่นดูแล้วสรุปสั้นๆ เลยครับ ว่าคุ้มเหี้ยๆ
ถึงจะคิดได้ช้าไปหน่อย แต่มือถือเครื่องต่อไปก็คงพิจารณาอะไรแบบนี้ครับ คือพวกราคาระดับเดียวกับที่ฟาดฟันกับไอโฟนนั่นคงปล่อยให้เป็นเรื่องของคนชอบเล่นของแพงไป ส่วนเราพอมาเห็น Zenfone และ Xiaomi แล้วก็รู้สึกเสียดายเงินส่วนต่างตั้งสองสามเท่า เอาไปซื้อขนมให้ลูกกินดีกว่าเลยครับ
ที่เขียนบล็อกนี้เลยเถิดก็เพราะนึกได้สั้นๆ ว่า เส้นแบ่งระดับราคาของ “พอใช้” กับ “เจ๋ง” ที่เมื่อก่อนอยู่ที่ 15,000 ขยับลงมาเป็น 12,000 นั้น เดี๋ยวนี้ล่าสุด อีเส้นนี้มันขยับลดลงมาเหลือไม่ถึง 6,000 บาทแล้ว
ยิ่งพอ Xiaomi เปิดตลาดในไทยเมื่อไหร่ (เดาแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย ว่าอาจปีหน้า) รับรองวงการมือถือบ้านเราสั่นสะเทือนพลิกฟ้าดินแน่นอน
อย่าลืมว่าตลาดกลุ่มที่พร้อมจ่ายเงินค่าอะไรพวกนี้ในราคาไม่เกิน 4-5,000 มันมหาศาล และในฐานะคนขายของออนไลน์อย่างผม (โฆษณา) บอกเลยว่า ตอนนี้รอจุด mass crisis รอวันที่ชาวบ้านร้านตลาดสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์(ผ่านมือถือ)ได้แบบเจ๋งๆ ไม่ขลุกขลัก ซึ่งปีหน้าเตรียมตัวสนุกได้ มาแน่นอน 100%
ป.ล.
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือในไทย จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านมือถือในครึ่งปีที่ผ่านมานั้น มีมากกว่าจากคอมแล้ว! ดังนั้นคนทำเว็บโดยคิดอะไรแบบ Mobile First นั้นถึงเวลาของท่านแล้วครับ
ป.อ.
นี่ใช้แอป WordPress ในมือถือ มันทำลิงก์โยงไปบล็อกตอนอื่นๆ ที่อ้างถึงลำบากจัง เดี๋ยวไว้ขยันค่อยมาปรับเป็นลิงก์เพิ่มนะ
ป.ฮ.
คอยดูนะ เดี๋ยว Galaxy Note 4 ออกมา ตูก็กลืนน้ำลายไปซื้ออีก เขียนมาตั้งยาว สัส
ลงคอมยันเช้าในรอบเกือบสิบปี
เรื่องมันเป็นยังงี้ครับ เมื่อวานนี้ไปเยี่ยมญาติของเมียที่โรงพยาบาลรามาฯ พอเสร็จแล้วโบว์ก็บอกว่า “เดี๋ยวกลับบ้านก่อนเองก็ได้ ให้เตงไปงานคอมมาร์ตละกัน”
ชีวิตเปลี่ยนเลยครับพี่น้อง
ผมก็เลยนั่งรถไฟฟ้าไปงานคอมมาร์ตที่ศูนย์สิริกิติ์ แบบที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด แม้แต่แบตมือถือก็เหลือไม่ถึงครึ่ง (ถ้าเป็นไอโฟนนี่ถือว่าวิกฤตแล้ว แต่นี่โน้ตสามครับ รอด #อวย) ผมโดดมาทำภารกิจนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ให้เมีย!
ตัดภาพย้อนกลับไปในอดีต โบว์มักจะบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า “แมคบุ๊กเตงใช้ยากว่ะ” ซึ่งก็สมควรนะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นคอมหรือมือถือของผมเนี่ย เป็นอุปกรณ์ที่ผ่านการปรับแต่งเพื่อความถนัดส่วนตัว อย่างที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คนอื่นที่มายืมเล่นอย่างเด็ดขาด ใครที่มีนิสัยแบบนี้เหมือนกันก็คงนึกออกใช่ไหมครับ ที่พอมีใครมาใช้ก็จะถามระคนบ่นตลอด ว่าไอ้นั่นอยู่ไหน ไอ้นี่ทำไง ทำไมไม่เหมือนเครื่องชาวบ้านวะ นั่นคงเพราะนิสัยรำคาญความ default ของมันที่โคตรไม่ถูกใจเลย อาการนี้เป็นเหมือนกันหมดโดยเฉพาะกับอุปกรณ์พกพาทั้งแอปเปิลทั้งซัมซุง
เนื่องจาก default มันรองมือรองตีนได้ดีไม่พอ ดังนั้นก็เลยต้องเที่ยวไปหาตัวอื่นที่มันถนัดมือกว่ามาลง ถ้าเปรียบเป็นก๋วยเตี๋ยวก็คงใส่พริกใส่น้ำตาลจนแม่ค้าค้อนขวับ
นี่คงเป็นนิสัยของคนที่โตมากับการซื้อคอมประกอบเอง เอาลงวินโดวส์(เถื่อน)ให้ญาติมิตรบ่อยๆ ตั้งแต่โบราณล่ะมั้ง? (เออ เอาจริงๆ ตั้งกะสมัยยังเป็นดอสแน่ะ)
จนวันหนึ่งเลิกใช้วินโดวส์ หันไปใช้แมคเต็มตัวทั้งเครื่องตั้งโต๊ะและเครื่องฝาพับ ก็ยังเป็นผู้ใช้ที่ศาสดารังเกียจ เพราะไปลงนั่นเสริมนี่แบบที่ดูจะเป็นยี่ห้อมะม่วงมันมากกว่าแอปเปิลแคลิฟอร์เนีย
เหยาะเหตุนี้เอง เมียข้าพเจ้าจึงบ่นฉิบหาย จนวันหนึ่งก็มาถึงจุดพีก เมื่อโบว์ประกาศกร้าวขึ้นมาว่า
“งั้นซื้อโน้ตบุ๊กใหม่เลยละกัน แยกกันใช้ จะได้ไม่ต้องคอยบ่น”
โป๊งงง ตัดภาพกลับมาคอมมาร์ตเลยครับ บล็อกจะได้ไม่ยาว แค่นี้แม่งก็ไม่เหลือคนอ่านอยู่แล้ว
ผมมางานคอมมาร์ตครั้งล่าสุดคือหลายปีก่อน รู้สึกจะมาแบบงงๆ คล้ายๆ แบบนี้แหละ แต่ก็ตั้งใจจะซื้อของอยู่แล้ว (จำไม่ได้ว่าซื้ออะไร) ก็เลยไม่เสียเที่ยว
ส่วนโจทย์คราวนี้ชัดเจน คือจงซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ให้เมีย โดยกำหนดคุณสมบัติดังนี้
• ราคาไม่เกินสองหมื่น เกินบาทเดียวก็ไม่เอา
• ขอเครื่องสวยๆ สีชมพูได้ยิ่งดี
Continue reading ลงคอมยันเช้าในรอบเกือบสิบปี
กติกาการอวยสินค้าและบริการของข้าพเจ้า
คิดว่าจะหายไปพักใหญ่แล้วนะ แต่ช่วงนี้กลับมี (พนักงานฝ่ายอะไรสักอย่างของ) สินค้าบริการบางประเภท ชอบมาขอให้ผมเขียนรีวิวให้ บ้างก็แลกกับสิทธิประโยชน์บางอย่าง บ้างก็ให้เขียนเฉยๆ โดยไม่ได้มีค่าตอบแทน แต่ที่เหมือนกันเลยคือทั้งสองประเภทที่ว่ามานี้ไม่รู้ไปใช้วิธีอะไรมาจิ้มหาตัวเลือกผู้รีวิว จนมาเจอผม.. คงคิดว่าทวิตเตอร์ที่พูดแต่เรื่องขี้ หรือบล็อกที่ไม่มีคนอ่านนี้ น่าจะทำประโยชน์ให้สินค้าบริการเขาได้ละมั้ง แน่ใจนะครับ?
รู้สึกว่าเรื่องนี้เคยเขียนไว้นานแล้ว แต่ไม่ค่อยตรงประเด็นนี้เท่าไหร่ เลยขอเขียนสรุปไว้อีกที เผื่อใครจะส่งอะไรมาอีกจะได้อ่านและไม่ต้องมาเซ็งกันครับ
- ใครจะส่งอะไรมาให้ทดลองใช้ ผมยินดีครับ สนุกดี เป็นความสนุกแบบเนิร์ดๆ ส่วนตัว ที่ได้ลองเล่นอะไรแปลกๆ (โดยเฉพาะพวกของเล่นไฮเทคทั้งหลาย) ถึงจะไม่ได้ตังค์ ไม่ได้อะไรเลยนอกจากได้ลองเล่น หรือต้องเสียเวลาเดินทางไปรับไปส่งของก็ยังยินดี ข้อแรกฟังดูดีใช่ไหมครับ งั้นอ่านต่อ
- ถ้าสินค้าหรือบริการนั้นดี ก็จะชม แต่ถ้าห่วยก็จะด่า มันก็ง่ายๆ เท่านี้เอง
- ถ้าให้เขียนชมอย่างเดียวแบบห้ามด่า แบบนี้ไม่รับครับ หรือเขียนเสร็จแล้วต้องส่งต้นฉบับไปให้เจ้าของสินค้าเกลา (ให้เหลือแต่สิ่งดีงาม) ก่อนเผยแพร่อะไรแบบนี้ เสนอว่าลองเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเขียนให้ดีกว่า
- ถ้ามีสิทธิประโยชน์ใดๆ ติดมากับการรีวิว เช่นได้ของแถม หรือได้ตังค์ ผมเอาครับ ได้ตังค์หรือขายวิญญาณก็เอาครับ เอาหมด แต่จะเขียนบอกไว้ชัดๆ ขอไม่อุ๊บอิ๊บ ดังนั้นจึงขอ “งด” รีวิวอะไรก็ตาม ที่มีกติกาว่าห้ามบอกว่าได้สิทธิพิเศษอะไรมา คืองี้ครับ ผมเกลียดหน้าม้า เกลียดการ seeding (ยิ่งได้รู้ว่าวงการดิจิทัลเอเจนซี่เขาเรียก “หน้าม้า” แบบสวยๆ ว่า seeding และทำกันเป็นเรื่องปกติแบบไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเพราะใครๆ เขาก็ทำกัน ยิ่งเกลียดแบบเกลี๊ยดเกลียด เฮ้ยมึงทำลายระบบนิเวศน์อยู่นะรู้ไหม–รู้สิ)
- เกณฑ์การรีวิวนั้น จะขอพูดถึงเฉพาะสิ่งที่ผมสนใจครับ เช่น สมมติมีมือถืออันนึง จะให้มาทดสอบ CPU หรือประสิทธิภาพของเกม 3D อะไรแบบนี้ บายจ้ะ
- ผมใช้ทวิตเตอร์เป็นหลัก เฟซบุ๊กนั้นเอาไว้ทำงานครับ ไม่ได้เอาไว้เล่นเลย นานๆ จะตอบคอมเมนต์คนอื่นที ดังนั้นมาถามเรื่องจำนวนเพื่อน หรือจำนวนผู้ติดตาม หรือเพจที่ดูแล ฯลฯ อะไรพวกนี้ บาย
- ทุกข้อที่กล่าวมานี้ขอย้ำอีกทีครับ ว่าถ้าไม่รู้จักผมอย่ามาเสียเวลาเปล่าเลย ลองหาคนที่รับจ้างเป็นหน้าม้ามีอยู่ทั่วไปเยอะแยะครับ
เออ อ่านแล้วดูโอหังดีเว้ย งั้นเอาตามนี้ละกัน ขอบคุณครับ