จงบริหารเวลา

เป็นโจทย์ของช่วงเวลาหลายๆ เดือนถัดจากนี้ไปครับ

ลูกก็จะงอกมาอีกหน่อนึงในอีกเดือนนึงข้างหน้านี้ แน่นอนว่าเมียก็ต้องย้ายไปกกลูก งานค้างๆ คาๆ ก็ยังมีให้สะสางไม่รู้จักหมด ช่วงเวลาพักผ่อนที่ตั้งใจจะพักให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างการอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยคืบหน้า เหล่านิตยสารเอย การ์ตูนเอย ก็กองไว้เป็นภูเขารอให้เราไปอ่าน ที่สำคัญคือตั้งใจจะเขียนหนังสือสักเล่ม (กล่าวไว้ในตอนที่แล้วจึ๋งนึง) สรุปสุดท้ายก็พอกหางหมูมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

แล้วที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับอะไรวะ

ที่จริงก็พอจะเดาได้ละ ถ้าตัดเน็ตปั๊บ อ้าวมีสามจีอีก ตัดสามจี (เสือกมีสี่จีอีก) ปิดทวิตเตอร์ กดล้างฟีดข่างรกสมองที่ตุนไว้ ฯลฯ เราน่าจะมีเวลาว่างคุณภาพๆ ไว้สะสางสิ่งต่างๆ ในย่อหน้าข้างบนให้ลุล่วงสินะ

ก็พูดแบบนี้ทุกที เวลาคุณภาพในโลกแห่งความจริงและเฉื่อยชาเหลวเป๋วของช้าพเจ้านั้นแม่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ ป้าล้านเคยบอกว่าคนที่ทำงานได้ในทุกสถานการณ์ นั่นแหละมืออาชีพของจริง ไม่ต้องมาอ้างเลย พออ่านประโยคนั้นเราก็ฮึกเหิมขึ้นมาได้หน่อยนึง..

ประมาณ 10 นาที แล้วก็มาเปิดไทม์ไลน์ เปิดฟีด นั่งอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยต่อ

บัดซบเมทะนี

ป.ล.
ทีแรกกะว่าจะไปสำนักพิมพ์เพื่อคุยกับเหล่า บ.ก.ในวันพรุ่งนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยและบวงสรวงตัวเอง จุดพลุปั๊มพลังในการสร้างงานขึ้นมาสักหน่อย (กะว่าถ้าเริ่มปั๊บ มันจะมีข้ออ้างให้ตั้งใจเขียนเป็นกิจวัตรจนได้ไง) แล้วจะทยอยมาเล่าในนี้เรื่อยๆ แต่พอติดต่อนัดหมายปั๊บ ไม่มีใครว่างอยู่สำนักพิมพ์เลยจ้า อนาคตสดใส บายจ้า

คอมเมนต์

พาแม่ไปแซลมอน

20140802-salmon-event

สุดท้ายคือไปตกลงกับแก๊ง บ.ก. (เอาแม่มาเป็นกันชนยังไม่ได้ผล) ว่าเออ ก็ได้วะ เดี๋ยวจะลองเอาเรื่องที่คิดไว้ว่าจะเขียนเป็นหนังสือไปคุยดูเร็วๆ นี้ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านอยู่หรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เป็น “นักเขียนอาชีพ” แบบที่มีกลุ่มผู้ติดตามเหนียวแน่นอย่างคนอื่นเขา (คือเห็นแฟนคลับนักเขียนแต่ละคนแล้วโอ้โห เจ๋งมาก น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย #ประเด็น) …ทั้งที่จะว่าไปก็ออกกับสำนักพิมพ์นี้มาแล้วสองเล่มเลยนะ คือ FAIL OF THE สอง YEARS และคือปะป๊าครองพิภพ (อีแบงค์ก็บอกว่าเฮ้ย เล่มที่แล้วก็ขายได้นะพี่ — มันใช้คำว่าขายได้)

งั้นจังหวะนี้แหละ จะได้ถือโอกาสลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขา จับปากกาอีกครั้ง

ป.ล.

ป.อ.
ด้วยความสงสารชั้นหนังสือดองที่บ้านซึ่งรู้สึกผิดมากๆ และตั้งปณิธานไปหลายครั้งแล้วว่าถ้าไม่อ่านไอ้เล่มที่ดองไว้ให้มันพร่องๆ ซะบ้าง เราก็จะไม่ซื้ออะไรอีก แต่ไหนๆ มาถึงงานของเพื่อนฝูงแล้ว เลยตั้งใจจะซื้อแบบ max สุดแค่สองเล่มเท่านั้น ไม่มากกว่านี้เด็ดขาด ยืนเลือกอยู่นาน (โดยมี บ.ก.บันยืนกดดันข้างๆ แต่เราก็ไม่ได้ซื้อของบันเลย วะฮ่าๆๆๆ) จนในที่สุดก็ได้มาสองเล่ม เป็นแนวเกรียนๆ ทั้งคู่ และหนึ่งในนั้นก็อ่านจบอย่างรวดเร็ว คือเล่มนี้ครับ

ป.ฮ.
หนังสือแอนเล่มต่อไป ถ้าออกตุลาไม่ทันก็แถวๆ มีนาหน้านะครับ ถ้ามีนาไม่ทันก็ตุลาหน้า ถ้าไม่ทันก็..

คอมเมนต์

มิวสิกวิดีโอลับของเพลง “นักเลงคีย์บอร์ด”

เจอเรื่องสนุกมาครับ

พอดีฟังและดู MV ของเพลงนักเลงคีย์บอร์ดของแสตมป์แล้วมันให้อารมณ์ว่าเอ๊ะ บรรยากาศมันคุ้นมาก เหมือนมีอีกเพลงนึงคือ “ขอ” (Lomosonic) ที่ตอนนั้นพอปล่อย MV ออกมาก็ดังถล่มทลาย แต่เพลงกลับไม่ค่อยมีใครร้องตามได้) เอาภาพมาสวมกันให้เข้ากับเพลงได้เลยนี่หว่า .. อ๊ะๆ ไม่ได้บอกว่าลอกกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลอกไม่ลอกเลย แต่คือแค่รู้สึกว่าเฮ้ย มันน่าจะเอามาแทนกันได้ และคงสนุกถ้าจะเอามายำเล่นดู

ขอ – Lomosonic

นักเลงคีย์บอร์ด – แสตมป์

เลยลองทำแบบนี้ดูครับ ใครจะลองดูบ้างก็เอาเลย

  1. เปิดยูทูบของทั้งสองเพลงแล้ว pause ไว้ ใครเน็ตเต่ารอให้มันโหลดตุนไปไกลๆ ก่อน
  2. ในคลิปเพลงขอ ให้กดปุ่มปิดเสียง แล้วเลื่อนไปข้างหน้าสัก 5 วินาที แล้วกดเล่น (ภาพก็จะเริ่มขยับ)
  3. รีบหันมากด Play ที่คลิปนักเลงคีย์บอร์ด แล้วฟังแต่เสียง ไม่ต้องสนใจภาพนะ ไปดูคลิปแรกแทน

จะเห็นว่ามีหลายช็อตที่พอเนื้อร้องมาปั๊บ ภาพแม่งมาเลยครับ สวมกันได้พอดีเหมือนนัดแนะกันมาก่อน!

– – – – –

เขียนเพิ่ม 1 ส.ค.57

– – – – –

พอเขียนบล็อกตอนนี้ไป มีเสียงตอบรับสนุกกว่าที่คิด และที่อยากจะกรี๊ดคือ คุณผู้กำกับแกตอบรับด้วยล่ะ ไปทำการบ้านมาส่งอีก ลองดูสิครับ โคตรเป๊ะ 55555

เผยแพร่เมื่อ 1 ส.ค. 2014
ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด , แสตมป์
ปะทะ เพลง ขอ , lomosonic
: วันก่อนที่พี่ไอ้แอนนนนน เคยลองเอาภาพเอ็มวี ขอ ของ lomosonic มาแปะกับเพลง นักเลงคีย์บอร์ดของพี่แสตมป์ แล้วมันพอดีเป๊ะ / วันนี้ข้าพเจ้าเลยลองเอา ภาพเอ็มวี นักเลงคีย์บอร์ด มาแปะกับเพลง ขอ ดู ปรากฎว่าเป๊ะมากเช่นกัน 5555 มู้ดเปลี่ยนเรียบ

คอมเมนต์

ฮิคารุ เซียนโกะ

ผมเป็นคนที่อ่านการ์ตูนช้ามาก

ที่จริงก็ไม่ได้แปลว่าทำอะไรอย่างอื่นเร็วหรอกนะ ส่วนมากจะโดนเมียด่าเรื่องช้านี่แหละ เรียกทีกว่าจะขยับตัวก็ต้องสักพัก แต่กับการ์ตูนนี่ไม่เหมือนกัน เป็นความช้าที่ตัวเองพอใจจะละเลียดไปกับมัน

การ์ตูนเล่มไหนที่ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพยายามอ่านให้ช้าลงเรื่อยๆ และยิ่งดื่มด่ำกับทั้งภาพทั้งเนื้อหาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาพนี่ ถึงจะการ์ตูนวาดห่วยขนาดไหน แต่ถ้าภาพมันน่าสนใจก็จะยิ่งตั้งใจดูทีละช่องๆ ว่าเขาวาดยังไง (ไม่รู้คนอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่ผมเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มากๆ)

สำหรับฮิคารุ เซียนโกะ ผมอ่านในบูม (นิตยสารผู้ล่วงลับ) ในสมัยที่มันเป็นรายสัปดาห์ มันตีพิมพ์ในยุคที่ผมอยู่มหาลัยพอดี จำได้ว่าช่วงนั้นกระแสโกะบูมขึ้นเต็มประเทศจริงๆ ดั่งชื่อนิตยสาร หันไปทางไหนก็มีแต่คนตอบรับกระแส การ์ตูนฉบับรวมเล่มก็มีคนรอบกายซื้อหากันเฉกเช่นการ์ตูนฮิตที่ควรสะสมทั่วไป (ยุคนั้นไม่มีสปอยล์ตามเน็ต–เอาเป็นว่ายุคนี้ผมก็ไม่อ่านสปอยล์ มันไม่ใช่น่ะเข้าใจมะ) ขนาดระดับผู้ใหญ่เองก็ยังมีหนังสือและตำราโกะวางอยู่บนแผงหนังสือขายดีตามร้านอยู่ไม่น้อย แถมยังมีการจัดแข่งขันอะไรต่อมิอะไรเป็นที่คึกคักในบ้านเรา นั่นแปลว่ากระแสมันจุดติด

เป็นความบัดซบของตัวเองในยุคนั้น ที่อยู่ในช่วงอายุที่ไม่ชอบทำตามกระแส (สมัยนั้นคงรู้สึกว่าเท่ แต่พอมองย้อนกลับไปในสายตาลุงอายุ 30 กว่าๆ มึงนี่ปัญญาอ่อนมาก) ผมเลยเลิกติดตามการ์ตูนเรื่องนี้และสารพัดเรื่องเกี่ยวกับโกะอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่รู้ว่ามันน่าสนุกมาก และตั้งใจไว้ว่า วันหนึ่งมันเลิกฮิตเมื่อไหร่จะกลับมาอ่าน

จ้ะ เท่มาก

แล้ววันหนึ่งมันก็เลิกฮิตจริงๆ แบบเดียวกับสายลมแห่งกระแสอื่นๆ ที่พัดมาแล้วก็ผ่านไป เป็นอนิจจัง

จนกระทั่งที่ญี่ปุ่นเขามีโครงการเอาการ์ตูนดังๆ มาพิมพ์ซ้ำด้วยขนาดใหม่ ปกสวยขึ้น เก็บงานเนี้ยบขึ้น เล่มใหญ่ขึ้น ..และราคาแพงขึ้น แล้วเรียกมันว่า Ultimate Edition เพื่อหลอกขายผู้ใหญ่ที่ยังมีหัวใจเป็นเด็ก ไล่จากเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตีเมืองกระหนาบเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงคิวของฮิคารุ

hikaru

ผมนั้นลืมความรู้สึกของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนไปแล้วครับว่าเคยไปกร้าวเกรียนอะไรเอาไว้ แต่พอมาเห็นรวมเล่มใหญ่รู้สึกแค่ว่า เออ เรื่องนี้จัดอยู่ในลิสต์ “ไว้ว่างๆ จะอ่าน” ต่อตูดนิตยสารและหนังสือเล่มอื่นๆ ที่กองหนาเป็นเมตรๆ สมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการซื้อมาดองไว้แล้วไม่อ่านแห่งลาดปลาเค้า

แต่เรื่องฮิคารุนี่ยังไม่ซื้อนะ เพราะการลงทุนซื้อความสุขเล่มละ 130 บาท คูณ 20 เล่มจบก็ปาเข้าไป 2,600 บาทเข้าไปแล้ว (แต่เอาจริงๆ ไปซื้อตามงานหนังสือที่รวมห่อขายก็ได้ลดกว่านี้อีกหลายบาท) ดังนั้นอารมณ์ที่ว่าไว้เดี๋ยวจะอ่าน ก็จืดจางลงไปทุกที

โชคดีที่มีเพื่อนอย่างไอ้ปิง

ปิงเป็นมนุษย์การ์ตูน นิตยสารบูมที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนก็ไม่ได้ซื้อเอง ยืมมันทั้งนั้นแหละ ไหนจะเรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่าสนุกสมควรซื้อเก็บไว้เองไหม ผมก็อาศัยยืมมันอ่าน เพราะบ้านมันรวยไง (เพื่อนแบบนี้ควรคบไว้นะครับ ดี) จนกระทั่งฮิคารุเล่มใหญ่ตีพิมพ์ออกมา ไอ้ปิงก็ซื้อมาอ่านและเก็บไว้บนหิ้งเรียบร้อย … อันที่จริงต้องบอกว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ และพอครบ 20 เล่มปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่บนชั้นรกๆ ของมันอยู่แบบนั้น

ดีที่มีเพื่อนอย่างเราที่เห็นค่าของการ์ตูน ไม่อยากให้การ์ตูนมันเสื่อมสภาพเพราะถูกทิ้งไว้ ก็เลยไปขโมยมันมา (ถ้ามันอ่านบล็อกนี้คงรู้แล้วแหละว่าการ์ตูนหาย)

ของร้อนนั้นเร้าใจเสมอ ผมเลยเลือกลัดคิวอ่านฮิคารุก่อนหนังสือดองเล่มอืนๆ ที่งอนอยู่บนชั้น

ฮิคารุเป็นการ์ตูนสะอาดครับ คือเด็กๆ อ่านได้ (เรต ท. คือไม่มีพิษภัย ไม่มีฉากที่ยั่วยุให้อ่านแล้ววาบหวิวหิวกระหายเพศสัมพันธ์) พอจะสปอยล์แบบไม่เสียอรรถรสคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ มันเป็นเรื่องของเด็กประถมคนนึงที่เป็นมนุษย์ปกตินี่แหละ แต่วันดีคืนดีก็ไปซนเจอกระดานโกะ (หมากล้อม) ที่วางไว้ในห้องเก็บของ แล้วเผอิญว่าข้างในมีวิญญาณที่เป็นเทพแห่งโกะสิงสถิตอยู่

วิญญาณนั้นชื่อซาอิ สมัยที่ยังไม่ตายนั้นเขาเป็นครูสอนโกะให้กับเจ้าในสมัยพันปีก่อน ดังนั้นในเรื่องก็จะใส่เครื่องแบบเหมือนผีญี่ปุ่นชั้นสูงตลอดเวลา แล้วมาวันหนึ่ง นักเล่นโกะที่น่าจะเก่งที่สุด หรือไม่ก็เก่งอันดับต้นๆ ของโลกคนนี้ก็ตายลงด้วยความช้ำใจ ความผูกพันกับสิ่งที่ยังไม่ได้สะสางก็เหมือนกับผีญี่ปุ่นทั่วไป ประมาณว่า กูอยากเล่น อยากเล่นให้มากกว่านี้อีก … สิงอีเด็กห่านี่ซะเลย

ถ้าเป็นพล็อตการ์ตูนเรื่องอื่นๆ อาจจะนำพาให้เด็กฮิคารุนี่โดนสิงแล้วไปทำนั่นนี่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แห่งวงการไปแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่อย่างนั้นครับ ผู้แต่ง (Yumi Hotta) วางโครงเรื่องไว้ให้ฮิคารุเลือกที่จะเป็นเด็กที่เป็นเด็กน่ะ คือยังเป็นตัวของตัวเอง จากที่ไม่เคยสนใจโกะเลย และเฉยๆ จนเริ่มใจอ่อน เอาวะ กูสานฝันให้ผีซะหน่อย ยอมเล่นตามใจมันหน่อย จนจับพลัดจับผลูเข้าไปสู่วงการหมากล้อมจนได้ เพราะผีผลักนี่แหละ

พวกการ์ตูนในวงการอะไรแปลกๆ สักอย่างนี่ดีนะครับ ก่อนเริ่มลงมืออ่าน เราจะไม่รู้เลยว่าวงการนี้มันคืออะไร โกะมันเล่นยังไง แต่พออ่านๆ ไป มันจะค่อยๆ สอนเราทีละหน่อยอย่างแนบเนียนครับ ไม่ใช่แบบการ์ตูนฟุตบอลที่ลงลึกในเทคนิคของการแข่งขันแต่ละครั้ง (ไม่งั้นแปลงเป็นหมากล้อมนี่คงน่าเบื่อตายชัก) แต่เขาจะมีวิธีนำเสนอให้เรารู้สึกสนุกไปกับมันด้วย โดยที่ไม่ต้องเล่นเป็นก็ได้ หรือถ้าเกิดเล่นเป็นขึ้นมาก็ยิ่งสนุกใหญ่ แบบเดียวกะอีเด็กพระเอกของเรื่องที่แต่เดิมก็โง่ๆ นี่แหละ จับหมากแบบเท่ๆ ยังไม่เป็นเลย แต่พอสนองนี้ดผีในการสิงร่างให้ไปนั่งเล่นกับชาวบ้านจนเขาแตกตื่นกันปั๊บ ฮิคารุเองก็เริ่มค่อยๆ ซึมซับความสามารถในการเล่นโกะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ที่เจ๋งก็คือ อิทธิพลของผีไม่ได้มีส่วนในการเอาชนะใครเท่าไหร่ ความเจ๋งมันอยู่ที่พรสวรรค์และทัศนคติของตัวเด็กเองต่างหาก ว่าเขาค่อยๆ เติบโต ก้าวผ่านความเป็นเด็กธรรมดาๆ ใส่ชุดนักเรียนปะปนกับเพื่อนๆ ที่วันหนึ่งก็ต้องเรียนต่อ จบไปหางานทำ แต่เขากลับเลือกทางเดินอีกแบบด้วยวิธีของตัวเอง ที่มีวิญญาณคอยเป็นผู้สนับสนุน โดยที่พ่อกับแม่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เป็นตัวน่าสงสารที่มองตามลูกที่โตขึ้นพรวดพราด รู้ตัวอีกทีก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้วน่ะครับ

มันมีคำศัพท์ที่เรียกว่า Coming of age ที่เอาไว้อธิบายปรากฏการณ์ของเด็กวัยรุ่นเห่อหมอยธรรมดาๆ ที่ไปเจอจุดเปลี่ยนของชีวิตสักอย่างที่ส่งผลอย่างรุนแรงกับเส้นทางที่จะต้องเลือกเดินต่อจากนี้ไปทั้งชีวิต และตัวเอกก็ต้องมุ่งไปสักทาง เพื่อข้ามกำแพงนี้ให้ได้ อารมณ์แบบนี้แหละครับที่สร้างความประทับใจมากๆ (ยกตัวอย่างเป็นหนังก็เรื่องเด็กหอ หรือ Stand by Me หรือการ์ตูนก็ BECK ได้ไหมหว่า?)

และเนื้อเรื่องของฮิคารุก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ผู้เขียนก็เขียนไปหาข้อมูลไป ได้เห็นภาพในมุมกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผู้วาด (Takeshi Obata) ก็วาดสวยขึ้นเรื่อยๆ (ผมชอบลายเส้นและขนาดช่องการ์ตูนในช่วงท้ายๆ ของเรื่องฮิคารุนี่มากกว่าความอัดแน่นเกินไปในช่วงหลังๆ อย่างเรื่อง Death Note หรือแม่แต่ BAKUMAN อีกนะ มันอ่านสบายตากว่า แถมวาดผู้หญิงดูสวยน่ารัก ถูกจริตกว่า)

จาก 20 เล่ม ผมอดหลับอดนอนละเลียดอ่าน (งงไหม คืออ่านช้าไง แต่ติดหนึบ) จนตอนนี้อ่านไปได้ 15 เล่มแล้ว เนื้อเรื่องแข็งแรงมาก ทุกอย่างบิ๊วมาให้เป็นหนึ่งในการ์ตูนระดับตำนานอย่างสวยงาม คือตอนนี้อ่านไปขี้ไปอย่างสมองโล่งเลยครับ ชอบโมเมนต์เวลาอ่านการ์ตูนที่ประทับใจจนต้องรีบเอามาเขียนอะไรแบบนี้

แต่ก็ต้องมาหยุดชะงักเมื่อพบว่าเล่ม 16 ไม่มี ไอ้ปิงมันเอาไปเก็บไว้ไหนวะ แย่จริงๆ ต้องรีบไปขโมยมาซะแล้ว

จึงตัดจบด้วยประการฉะนี้

คอมเมนต์

แม้วนิมัล

minimalmaew-04

minimalmaew-03

minimalmaew-02

minimalmaew-01

ไม่รู้ว่าเพราะว่างหรือมีแรงบันดาลใจอะไร เลยเปิดโฟโต้ช็อปแล้วทำรอยเปื้อนเป็นรูปพี่แม้วขึ้นมา (ต้นฉบับเป็นภาพถ่ายซึ่งไม่ทราบที่มาครับ ขออภัย) ก็นะ เล่นกะพี่มาหลายที ถือว่าทำไว้สุขสันต์สันเกิดล่วงหน้าละกันครับ

คอมเมนต์