พอดีมีงานด่วนเข้า จะเอาตอนเที่ยง
เลยต้องรีบใช้เวลานี้ วาดการ์ตูนลงบล็อกก่อนครับ
นักการตลาดกับนักสร้างสรรค์
“นักสร้างสรรค์” คือผู้ประดิษฐ์ แต่งเติม เสริมคุณค่าและรสนิยมให้กับสิ่งหนึ่งๆ
ส่วน “นักการตลาด” คือคนที่สร้างราคาให้กับสิ่งนั้น
เราจะเห็นของบางอย่างที่ดูมีน่าซื้อน่าใช้ น่าดูน่าฟังเสียเหลือเกิน ทั้งที่ไม่เห็นจะมีอะไร
อะนนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับนักการตลาด
ในขณะที่ของบางอย่างเรารู้ถึงคุณค่าและความเจ๋งของมัน โดยไม่จำเป็นต้องมีใครอวยมาก่อน
นั่นแหละเป็นผลงานของนักสร้างสรรค์
และในขณะที่ของบางอย่าง เราโดนบิ๊วว่ามันเจ๋ง และพอได้สัมผัสกับมันจริงๆ แม่งก็ยิ่งเจ๋ง
อันนี้ใครผลิตสินค้าหรือบริการได้ขนาดนี้ นับว่าเป็นอุดมคติจริงๆ
ซึ่งที่จริงทั้งนักการตลาดกับนักสร้างสรรค์จะเป็นคนคนเดียวกันก็ได้
หรือถ้าต้องทำงานร่วมกัน จะไม่ตีกันก็ได้ เมื่อรู้จักปรับสมดุลให้มันพอดีๆ
และไม่ก้าวล้ำเข้าไปในพรมแดนของอีกฝ่ายที่ตนไม่รู้เท่า แต่เสือกทำเป็นรู้
หยดดดด
ถ้าคุณเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาว จะทำยังไงกันครับ
บล็อกนี้ถือว่าเขียนเพื่อไถ่โทษ ที่ตัวเองดันไม่มีปฏิภาณไหวพริบพอที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้นแบบปุบปับ มันไม่มีเวลาไตร่ตรองเพื่อแก้ปัญหาได้ คุณจึงควรเข้าใจธรรมชาติของการแสดงความเห็นตามเว็บบอร์ด ที่มักมีคนบอกว่า “ถ้าเป็นเรานะ เราจะ—–” ยังงั้นยังงี้ อยากบอกว่าตอนเกิดเหตุการณ์จริงนั้นมันไม่เหมือนกับการแสดงความเห็นหลังเหตุการณ์ครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้ผมเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวออฟฟิศคนนึงที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ
ผมเลิกงาน และเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าตามปกติ ซึ่งโดยปกติก็เป็นคนชอบชมวิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิวอะไรขาวๆ น่ะ พอเจอก็เหลือบๆ พอน่ารัก ไม่ได้จะจ้องค้าง หรือตามกลับบ้าน หรือแม้แต่พุ่งเข้าไปถูกเนื้อต้องตัวอะไร
พอดีว่าพอขึ้นบันไดเลื่อนออกจากอาคาร Park Ventures มาปั๊บ ก็มีสาวออฟฟิศคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าพอดีครับ (อยากจะอธิบายรูปพรรณสัณฐานแบบให้อ่านแล้วนึกภาพอกแต่ไม่ให้รู้สึกว่ากำลังละลาบละล้วงโลมเลีย ทำไงดีวะ) ..เอาเป็นว่า นึกภาพหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปลายๆ ที่รู้ตัวเองดีว่ามีของดีตรงความขาวจั๊วะ หุ่นดี และขาเรียวสวย ก็เลยแต่งตัวเซ็กซี่จนเป็นความเคยชินที่ไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปสักเกือบคืบ เป็นผ้าย่นๆ แบบเสื้อตุ๊กตาน่ะ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร และสีน้ำเงินสดแปร๊ดๆ ล่อตาสุดๆ เลยนะ แบบ มึงดูกูสิ กูใส่ใส ดูเลยๆ … เมื่อตัวมารมันสั่งแบบนี้ ผมก็เลยเหล่แว้บๆ พอกระชุ่มกระชวยบ้างสิครับ แฮ่..
(ตัวจริงไม่ได้ล่ำขนาดนี้นะครับ หุ่นดีมาก แต่ผมมีปัญญาวาดแค่นี้แหละ ได้ทีเดียวด้วย ชาตินี้คงวาดไมได้อีกแล้ว)
ทีนี้พอผ่านด่านตื๊ดตั๋ว (อีตั๋วตรากระต่ายนี่โคตรกาก กว่าจะตื๊ดได้แต่ละที สะดุดแล้วสะดุดอีก) เธอคนนี้ก็เดินนำหน้าผมไปในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วพอเดินตามขึ้นบันได เพื่อจะไปรอคิวรถไฟฟ้าเนี่ย มันก็ต้องมองขึ้นไปข้างบนใช่ปะ แต่พอสายไปเจอะอะไรขาวๆ ตรงหน้า มันจะเขิน จ้องนานไม่ได้ น่าเกลียด เลยต้องหลบตาโบ้ยมามองข้างๆ (ที่แท้เกรงว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะครหาตะหาก ไม่งั้นคงมองนานกว่านี้อีกหน่อย ..แฮ่) อ้อๆ คนเดินขึ้นบันไดกันไม่เยอะนะครับ มีประมาณ 5-6 คนได้มั้งถ้าจำไม่ผิด
และแล้วก็มีหมอนี่เดินมาครับ นึกหน้าและท่าทางคล้ายๆ คุณป๋อมแป๋มในเทยเที่ยวไทยน่ะครับ แต่อันนี้ใส่ชุดพนักงานบริษัทธรรมดาทั่วไป (ไม่ได้ใส่สูทนะ) ก็แซงผมขึ้นไปอยู่ข้างหน้า
ผมเบี่ยงตัวไปด้านขวา จะได้เดินเฉลี่ยๆ ไม่ชิดกันมาก ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เซ็งๆ ที่ไอ้บ้านี่มาบังกู ก็คิดว่ามันจะรีบ และเดินแซงไปข้างบนซะอีก ..ที่ไหนได้ มันหยุดเร่งความเร็วลงตรงบันไดขั้นถัดจากสาวตึงกระโปรงสั้นคนนั้น แล้วเริ่มลงมือ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ครับ
จังหวะนั้นมันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่เห็นเลยว่ามันเนียนมาก แต่เนียนยังไงก็คงไม่ได้กะว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบมาทางขวาเพื่อจะได้ดูถนัดๆ มันเลยกระทำการอย่างใจเย็น แต่มืออาชีพมาก
เสี้ยววินาทีถัดมา ตัวละครทั้งสามคน (ผม เธอ มัน) ก็ไปถึงชานชาลา และรอรถไฟ จังหวะนั้นมันยังใหม่มาก นึกไม่ทันว่าต้องลำดับเหตุการณ์ยังไง อะไรสำคัญควรทำก่อนดี
ผมเลยหันไปมอง มันเดินไปหลบ (หลบจริงๆ นะ) ตรงหลังเสา พิงราวของสถานีด้านหลังนู่น แล้วควักโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายตะกี้ออกมาชื่นชมผลงาน ส่วนแม่นางคนนั้น.. ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ต่อไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร และผมเอง ยืนต่อแถวเข้าคิวขึ้นรถอยู่ (คนละแถวกะแม่นาง พอดีแถวมันไม่ยาว เลยกระจายๆ กันยืน) จังหวะนี้ผมเงอะงะมาก
และเหตุการณ์ก็ไม่ได้จบแบบในหนัง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง
.. จบ ..
อ้ะเดี๋ยวๆ ขอต่ออีกนิด
ผมคับแค้นมาก คือแค้นตัวเองว่าทำไมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดอะไรขึ้นสักหน่อย แต่มานึกดู การที่มาใคร่ครวญทีหลังมันมีเวลาให้คิดนานไง ผิดกับสถานการณ์ตรงนั้น ที่ฉุกละหุกมาก จนไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่พอจะทำได้คือทวีตเล่าเหตุการณ์และเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อาจจะเจอ หรืออาจจะโดนแบบนี้ หรืออาจจะเป็นคนแอบถ่าย ว่าต่อไปมึงต้องเนียนกว่านี้
เชี่ย เจอคนแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวแหละ เห็นเลย เดินประกบหลังตอนขึ้นบันได ยกมือถือขึ้นช้อนถ่ายแล้วเก็บเนียนๆ แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะพี่หน้าโหดโคตร
— ไอ้แอนนนนน (@iannnnn) May 15, 2012
ที่เห็นเพราะว่าสาวคนนั้นนุ่งสั้นมากและขาวตึงเด้งห้าดาว ดึงดูดสายตาสุดๆ และมัวแต่ห่วงคุยมือถือ ส่วนไอ้โรคจิตเป็น พนง.ออฟฟิศ (สถานีเพลินจิตนะ)
— ไอ้แอนนนนน (@iannnnn) May 15, 2012
เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำทฤษฎีโรคจิตที่ว่า คนทั่วไปแค่คิด แต่อาชญากรลงมือทำ (ฮีโร่จริงๆ เอ๊ยไม่ใช่ เอ๊ะหรือใช่วะ)
— ไอ้แอนนนนน (@iannnnn) May 15, 2012
ปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้อ่านทางบ้าน มีหลายความเห็นน่าสนใจครับ ทีแรกคิดว่าจะเจอแต่แบบ “ควรเตือนนะ เป็นเราจะขอบคุณ” (บางคนไม่ได้อ่านทวีตก่อนหน้าก็จะคิดแค่ว่าถ้าเจอจะทำยังไง ไม่ได้นึกภาพว่าเหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนไง) แต่กลับมีคำตอบที่ว่า “อย่าเตือนเลย” จากผู้หญิงกลับมาด้วยครับ
@iannnnn ทั้งสองอย่างค่ะ แต่จะแค้นรวมเข้าไปด้วย
— Hotaru Prae (@Rudy_wildarms) May 15, 2012
@iannnnn ขอบคุณที่เตือน คนไหนมันทำ พี่ไปทืบมันเป็นเพื่อนหนูที //เอาจริง
— Chaturada | Namtan (@brown_sucre) May 15, 2012
@iannnnn ไอ้คนบอกอาจโดนตบก่อนเลย ด้วยความเขิลและความแค้นระคนกัน ฮ่าๆๆๆ
— O-pas (@opazz) May 15, 2012
@iannnnn เดือนว่าอายแล้วก็ตามมาด้วยโกรธนะ อารมณ์ว่าทำไมเธอเห็นแล้วเธอไม่ห้ามหรือทำอะไรอีโรคจิตนั่นเลย (ความเห็นจากสาวพุงตึง)
— Bluemoon (@buumoon) May 15, 2012
@iannnnn ขอบคุณสิเขาใจดีตั้งใจมาบอก
— Pinny ピン二ーちゃん (@pinnynoy) May 15, 2012
@iannnnn อันที่จริง พี่คิดถุกแล้วที่เกิดทำถามในใจว่าจะบอกดีมั้ย .. แต่ถ้าไปบอกมันอาจจบไม่สวย ถ้าจะช่วย ต้องช่วยตั้งแต่เค้าจะถ่ายละพี่
— – EXPIRED – (@_indiies) May 15, 2012
“@iannnnn มีคนแปลกหน้าบอกคุณโดนแอบถ่ายนะ แวบนั้นคุณจะโกรธหรืออายหรือรู้สึกขอบคุณครับ?” สงสัยมากกว่า สงสัยว่าทำไมไม่ถามคนถ่ายว่าถ่ายเพื่อ??
— auuee (@auuee) May 15, 2012
@iannnnn โกรธก่อน ว่าทำไมไม่บอกตอนยังไม่โดน -*- จะขอบคุณมากถ้าจะกรุณาไปบอกไอ้คนถ่าย (จากอินเนอร์เลยนะเนี่ย)
— Noon (@Niphaphak) May 15, 2012
@iannnnn เหมือนเราไม่สามารถเตือนตัวเองว่าต่อไปจะไม่ลืมของ ไม่ลืมรูปซิป ส่วนใหญ่รู้แต่เผลอทำเพราะไม่มีสติน่ะค่ะ แต่เตือนก็ดีจ้ะ
— auuee (@auuee) May 15, 2012
จบครับ แล้วคุณล่ะ?
บัตรภาพฝึกสายตานิทาน
ทีแรกจะเขียนบล็อกนี้รวมกับของโบว์ ที่เล่าเรื่องลูกอยู่บ่อยๆ แต่นึกดูอีกทีขอแตกมาเขียนที่นี่นิดนึงนะ จะได้รู้ว่าเราก็เห่อบ้างอะไรบ้าง
วันนี้ไปสำเพ็งมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ได้เจอหน้าลูกก็สบายใจหายเหนื่อยซะที เย่!
การเฝ้าดูพัฒนาการของเด็กทารกนี่ธรรมดาก็สนุกอยู่แล้ว ยิ่งพอมาเป็นลูกตัวเองก็ยิ่งสนุก เข้าใจว่าใครเพิ่งมีลูกคนแรกก็เห่อแบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ (ใช่มะๆๆ)
ตอนนี้นิทานอายุจะ 2 เดือนแล้ว จะว่าไปก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง (เกิดวันที่ 14 มีนา) ก็เรียกว่าย่างเข้าสู่วัยกำลังน่าฟัด ต่อไปนี้น่าจะเริ่มพูดอ้อแอ้ได้ และเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเล่นมุกรัวๆ ของพ่อบ้าง (ที่ผ่านมาปล่อยตูเต้นแร้งเต้นกาโชว์อยู่คนเดียว แล้วทารกคนนั้นก็นอนมองไอ้บ้านี่เป็นผัก)
แถมตอนนี้นิทานกำลังอยู่ในวัยที่ตาเริ่มมองเห็น เลยน่าจะฝึกให้สายตาสามารถโฟกัสวัตถุตรงหน้าได้ ที่โรงพยาบาลเขาก็ให้แผ่นภาพเพื่อฝึกสายตามาให้ เป็นของแถมนมผงที่คงเป็นสปอนเซอร์ในแผนกเด็กอ่อนอยู่ (แต่เสียใจ เราให้กินนมแม่ตลอด นมผงไม่ได้โดนลูกฉันหรอก โฮะๆๆๆ) .. แผ่นภาพที่ว่านั่นมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
พอเอามาให้ลูกดู ลูกก็สนใจครับ คือเด็กกำลังสนใจขอะไรที่มันคอนทราสต์จัดๆ สีแรงๆ สดๆ (รออีกเดี๋ยวก็จะเริ่มสนใจพวกตุ๊กตาหรือของเล่นที่สีซอฟต์ๆ ลงมาหน่อย) ดังนั้นการละเล่นแต่ละวันของพ่อแม่ลูกบ้านแบน คือเอาไอ้แผ่นนี้แหละ มากางต่อหน้าลูก แล้วเล่าเรื่องนู่นนี่ให้ฟังมั่วๆ เช่นรูปวงกลมนั่นก็มั่วไปเรื่องกัปตันอเมริกาหรืออะไรทำนองนั้น เด็กมันคงจะรู้เรื่องเนอะ ..แต่คิดดูอีกทีไม่น่าจะรู้เรื่องเพราะยังไม่ได้ดูภาคแรก เกิดมาก็มีอเวนเจอร์สเลย
ส่วนอีกด้านก็เป็นตัวการ์ตูนที่คล้ายๆ กับภาพในโรงเรียนอนุบาลครับ เช่นมีลุงฮูกที่ใส่ชุดครุย (จะได้ดูทรงปัญญาอะไรแบบนั้น ..นกฮูกเนี่ยนะ) มีฉลาม มีแมลงเต่าทอง .. ซึ่ง แบบแว่ นอกจากจะวาดออกมาได้ดูฝรั่งมากๆ (คงได้รับอิทธิพลมาจากตัวการ์ตูนเก่าๆ สมัยที่เรายังเด็กๆ กันน่ะ) พอเอามาให้ลูกดูและเล่าเรื่องนั่นนี่จนเบื่อแล้ว เลยคิดว่าน่าจะหาอะไรใหม่ๆ มาเล่าต่อได้บ้าง
แต่เอ๊ะ เราก็วาดเองได้นี่หว่า เลยกะว่าเดี๋ยวจะลองวาดดู โดยทำเป็นบัตรภาพ เอาไปอัดตามร้านมาสเตอร์ (เดี๋ยวนี้ขึ้นราคาเป็นใบละ 2.50 บาทแล้ว) .. แต่เฮ้ย บ้านเราก็มีพรินเตอร์นี่หว่า พรินต์กระดาษแบบ 4×6 นิ้วได้ด้วย! เลยไปรื้อตู้ หยิบกระดาษโฟโต้ที่ซื้อมาดองเมื่อชาติที่แล้วมา แล้ววาดมันเดี๋ยวนั้นแล้วพรินต์ไปด้วยเลย พอเครื่องพิมพ์มันคายกระดาษเปื้อนหมึกออกมาก็เอาไปให้เมียดู กรี๊ดกร๊าดยกใหญ่ ก็ถือเป็นการเปิดตัวขบวนการสัตว์หลายสีไปเลย ดังนี้ครับ
“แมวเหมียวเขี้ยวเสือ” อุทิศแด่เขี้ยวเสือ อดีตแมวขาวมณีที่เมื่อก่อนเคยนอนกกกอดกันในห้อง แต่ตอนนี้โดนไล่ออกไปข้างนอกแล้วเพราะขนมันร่วงเยอะแล้วกลัวว่าจะไปเข้าจมูกลูกฉัน ทุกวันนี้มันเลยนอนเหงาๆ อยู่หน้าประตู บางทีก็ออกไปเล่นกะมันมั่ง (ภาพนี้พรินต์ออกมาแล้วไม่รู้ทำไม หมึกมันเยิ้มเลอะตรงมุม ก็ช่างมันละกันเนอะ ลูกคงไม่ถามหรอกว่ารอยอะไร)
“กบสุวนันท์” คือพรินต์ภาพแรกอยู่ นึกอะไรไม่ออก หันไปเจอกบเหลาดินสอข้างๆ เลยวาดกบซะเลย จบนะ
“สงสารแต่แม่ปลาบู่” พ่อกับแม่กินปลาดุกฟูร้านข้าวต้มโต้รุ่งตรงข้ามตลาดบัว (ตลาดลาดปลาเค้า) เกือบทุกวัน เพราะเจ้านี้อร่อยจริงๆ ครับ เลยเป็นแรงบันดาลใจสู่ภาพนี้ ก็หวังว่าลูกคงชอบกินเหมือนกัน แต่กินผ่านนมแม่ละกันนะ
“ควายเผือก” ทีแรกจะวาดช้าง แต่นึกดูอีกทีอยากให้มันมีหลายๆ สี เลยวาดควาย จบ. (อ้าวฉิบหาย เพิ่งนึกได้ว่าฉากหลังเป็นสีแดง กูจะโดนหาว่าแฝงความหมายอะไรอีกไหมเนี่ย)
พอวาดไปได้แค่ 4 ใบ 4 สีก็หมดไฟละ (คือเมียอุ้มลูกเดินมาเห็นก่อนเลยแผนเซอร์ไพรส์แตก) ไม่งั้นก็คงเขียนต่อเรื่อยๆ จนไม่ได้ทำงานทำการ แถมบ้าเห่อเอามาเขียนบล็อกอวดเพื่อนอีก เดี๋ยวถ้าเกิดคึกๆ แบบตะกี้อีกก็จะวาดเพิ่มอีก เป็นซีรี่ส์เลยละกัน จะได้มีนิทานเล่าให้นิทานฟังได้ไม่รู้จบ