ถ้าคุณเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาว จะทำยังไงกันครับ

บล็อกนี้ถือว่าเขียนเพื่อไถ่โทษ ที่ตัวเองดันไม่มีปฏิภาณไหวพริบพอที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้นแบบปุบปับ มันไม่มีเวลาไตร่ตรองเพื่อแก้ปัญหาได้ คุณจึงควรเข้าใจธรรมชาติของการแสดงความเห็นตามเว็บบอร์ด ที่มักมีคนบอกว่า “ถ้าเป็นเรานะ เราจะ—–” ยังงั้นยังงี้ อยากบอกว่าตอนเกิดเหตุการณ์จริงนั้นมันไม่เหมือนกับการแสดงความเห็นหลังเหตุการณ์ครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้ผมเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวออฟฟิศคนนึงที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ

ผมเลิกงาน และเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าตามปกติ ซึ่งโดยปกติก็เป็นคนชอบชมวิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิวอะไรขาวๆ น่ะ :51: พอเจอก็เหลือบๆ พอน่ารัก ไม่ได้จะจ้องค้าง หรือตามกลับบ้าน หรือแม้แต่พุ่งเข้าไปถูกเนื้อต้องตัวอะไร

พอดีว่าพอขึ้นบันไดเลื่อนออกจากอาคาร Park Ventures มาปั๊บ ก็มีสาวออฟฟิศคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าพอดีครับ (อยากจะอธิบายรูปพรรณสัณฐานแบบให้อ่านแล้วนึกภาพอกแต่ไม่ให้รู้สึกว่ากำลังละลาบละล้วงโลมเลีย ทำไงดีวะ) ..เอาเป็นว่า นึกภาพหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปลายๆ ที่รู้ตัวเองดีว่ามีของดีตรงความขาวจั๊วะ หุ่นดี และขาเรียวสวย ก็เลยแต่งตัวเซ็กซี่จนเป็นความเคยชินที่ไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปสักเกือบคืบ เป็นผ้าย่นๆ แบบเสื้อตุ๊กตาน่ะ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร และสีน้ำเงินสดแปร๊ดๆ ล่อตาสุดๆ เลยนะ แบบ มึงดูกูสิ กูใส่ใส ดูเลยๆ … เมื่อตัวมารมันสั่งแบบนี้ ผมก็เลยเหล่แว้บๆ พอกระชุ่มกระชวยบ้างสิครับ แฮ่..

rokjid-01
(ตัวจริงไม่ได้ล่ำขนาดนี้นะครับ หุ่นดีมาก แต่ผมมีปัญญาวาดแค่นี้แหละ ได้ทีเดียวด้วย ชาตินี้คงวาดไมได้อีกแล้ว)

ทีนี้พอผ่านด่านตื๊ดตั๋ว (อีตั๋วตรากระต่ายนี่โคตรกาก กว่าจะตื๊ดได้แต่ละที สะดุดแล้วสะดุดอีก) เธอคนนี้ก็เดินนำหน้าผมไปในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วพอเดินตามขึ้นบันได เพื่อจะไปรอคิวรถไฟฟ้าเนี่ย มันก็ต้องมองขึ้นไปข้างบนใช่ปะ แต่พอสายไปเจอะอะไรขาวๆ ตรงหน้า มันจะเขิน จ้องนานไม่ได้ น่าเกลียด เลยต้องหลบตาโบ้ยมามองข้างๆ (ที่แท้เกรงว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะครหาตะหาก ไม่งั้นคงมองนานกว่านี้อีกหน่อย ..แฮ่) อ้อๆ คนเดินขึ้นบันไดกันไม่เยอะนะครับ มีประมาณ 5-6 คนได้มั้งถ้าจำไม่ผิด

และแล้วก็มีหมอนี่เดินมาครับ นึกหน้าและท่าทางคล้ายๆ คุณป๋อมแป๋มในเทยเที่ยวไทยน่ะครับ แต่อันนี้ใส่ชุดพนักงานบริษัทธรรมดาทั่วไป (ไม่ได้ใส่สูทนะ) ก็แซงผมขึ้นไปอยู่ข้างหน้า

ผมเบี่ยงตัวไปด้านขวา จะได้เดินเฉลี่ยๆ ไม่ชิดกันมาก ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เซ็งๆ ที่ไอ้บ้านี่มาบังกู ก็คิดว่ามันจะรีบ และเดินแซงไปข้างบนซะอีก ..ที่ไหนได้ มันหยุดเร่งความเร็วลงตรงบันไดขั้นถัดจากสาวตึงกระโปรงสั้นคนนั้น แล้วเริ่มลงมือ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ครับ

rokjid-02

จังหวะนั้นมันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่เห็นเลยว่ามันเนียนมาก แต่เนียนยังไงก็คงไม่ได้กะว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบมาทางขวาเพื่อจะได้ดูถนัดๆ มันเลยกระทำการอย่างใจเย็น แต่มืออาชีพมาก

เสี้ยววินาทีถัดมา ตัวละครทั้งสามคน (ผม เธอ มัน) ก็ไปถึงชานชาลา และรอรถไฟ จังหวะนั้นมันยังใหม่มาก นึกไม่ทันว่าต้องลำดับเหตุการณ์ยังไง อะไรสำคัญควรทำก่อนดี

ผมเลยหันไปมอง มันเดินไปหลบ (หลบจริงๆ นะ) ตรงหลังเสา พิงราวของสถานีด้านหลังนู่น แล้วควักโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายตะกี้ออกมาชื่นชมผลงาน ส่วนแม่นางคนนั้น.. ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ต่อไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร และผมเอง ยืนต่อแถวเข้าคิวขึ้นรถอยู่ (คนละแถวกะแม่นาง พอดีแถวมันไม่ยาว เลยกระจายๆ กันยืน) จังหวะนี้ผมเงอะงะมาก

และเหตุการณ์ก็ไม่ได้จบแบบในหนัง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

.. จบ ..
อ้ะเดี๋ยวๆ ขอต่ออีกนิด

ผมคับแค้นมาก คือแค้นตัวเองว่าทำไมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดอะไรขึ้นสักหน่อย แต่มานึกดู การที่มาใคร่ครวญทีหลังมันมีเวลาให้คิดนานไง ผิดกับสถานการณ์ตรงนั้น ที่ฉุกละหุกมาก จนไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่พอจะทำได้คือทวีตเล่าเหตุการณ์และเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อาจจะเจอ หรืออาจจะโดนแบบนี้ หรืออาจจะเป็นคนแอบถ่าย ว่าต่อไปมึงต้องเนียนกว่านี้

 

 

ปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้อ่านทางบ้าน มีหลายความเห็นน่าสนใจครับ ทีแรกคิดว่าจะเจอแต่แบบ “ควรเตือนนะ เป็นเราจะขอบคุณ” (บางคนไม่ได้อ่านทวีตก่อนหน้าก็จะคิดแค่ว่าถ้าเจอจะทำยังไง ไม่ได้นึกภาพว่าเหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนไง) แต่กลับมีคำตอบที่ว่า “อย่าเตือนเลย” จากผู้หญิงกลับมาด้วยครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จบครับ แล้วคุณล่ะ?

คอมเมนต์

บัตรภาพฝึกสายตานิทาน

ทีแรกจะเขียนบล็อกนี้รวมกับของโบว์ ที่เล่าเรื่องลูกอยู่บ่อยๆ แต่นึกดูอีกทีขอแตกมาเขียนที่นี่นิดนึงนะ จะได้รู้ว่าเราก็เห่อบ้างอะไรบ้าง

วันนี้ไปสำเพ็งมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ได้เจอหน้าลูกก็สบายใจหายเหนื่อยซะที เย่!

การเฝ้าดูพัฒนาการของเด็กทารกนี่ธรรมดาก็สนุกอยู่แล้ว ยิ่งพอมาเป็นลูกตัวเองก็ยิ่งสนุก เข้าใจว่าใครเพิ่งมีลูกคนแรกก็เห่อแบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ (ใช่มะๆๆ)

ตอนนี้นิทานอายุจะ 2 เดือนแล้ว จะว่าไปก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง (เกิดวันที่ 14 มีนา) ก็เรียกว่าย่างเข้าสู่วัยกำลังน่าฟัด ต่อไปนี้น่าจะเริ่มพูดอ้อแอ้ได้ และเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการเล่นมุกรัวๆ ของพ่อบ้าง (ที่ผ่านมาปล่อยตูเต้นแร้งเต้นกาโชว์อยู่คนเดียว แล้วทารกคนนั้นก็นอนมองไอ้บ้านี่เป็นผัก)

แถมตอนนี้นิทานกำลังอยู่ในวัยที่ตาเริ่มมองเห็น เลยน่าจะฝึกให้สายตาสามารถโฟกัสวัตถุตรงหน้าได้ ที่โรงพยาบาลเขาก็ให้แผ่นภาพเพื่อฝึกสายตามาให้ เป็นของแถมนมผงที่คงเป็นสปอนเซอร์ในแผนกเด็กอ่อนอยู่ (แต่เสียใจ เราให้กินนมแม่ตลอด นมผงไม่ได้โดนลูกฉันหรอก โฮะๆๆๆ) .. แผ่นภาพที่ว่านั่นมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ

P1170199

พอเอามาให้ลูกดู ลูกก็สนใจครับ คือเด็กกำลังสนใจขอะไรที่มันคอนทราสต์จัดๆ สีแรงๆ สดๆ (รออีกเดี๋ยวก็จะเริ่มสนใจพวกตุ๊กตาหรือของเล่นที่สีซอฟต์ๆ ลงมาหน่อย) ดังนั้นการละเล่นแต่ละวันของพ่อแม่ลูกบ้านแบน คือเอาไอ้แผ่นนี้แหละ มากางต่อหน้าลูก แล้วเล่าเรื่องนู่นนี่ให้ฟังมั่วๆ เช่นรูปวงกลมนั่นก็มั่วไปเรื่องกัปตันอเมริกาหรืออะไรทำนองนั้น เด็กมันคงจะรู้เรื่องเนอะ ..แต่คิดดูอีกทีไม่น่าจะรู้เรื่องเพราะยังไม่ได้ดูภาคแรก เกิดมาก็มีอเวนเจอร์สเลย

ส่วนอีกด้านก็เป็นตัวการ์ตูนที่คล้ายๆ กับภาพในโรงเรียนอนุบาลครับ เช่นมีลุงฮูกที่ใส่ชุดครุย (จะได้ดูทรงปัญญาอะไรแบบนั้น ..นกฮูกเนี่ยนะ) มีฉลาม มีแมลงเต่าทอง .. ซึ่ง แบบแว่ นอกจากจะวาดออกมาได้ดูฝรั่งมากๆ (คงได้รับอิทธิพลมาจากตัวการ์ตูนเก่าๆ สมัยที่เรายังเด็กๆ กันน่ะ) พอเอามาให้ลูกดูและเล่าเรื่องนั่นนี่จนเบื่อแล้ว เลยคิดว่าน่าจะหาอะไรใหม่ๆ มาเล่าต่อได้บ้าง

แต่เอ๊ะ เราก็วาดเองได้นี่หว่า เลยกะว่าเดี๋ยวจะลองวาดดู โดยทำเป็นบัตรภาพ เอาไปอัดตามร้านมาสเตอร์ (เดี๋ยวนี้ขึ้นราคาเป็นใบละ 2.50 บาทแล้ว) .. แต่เฮ้ย บ้านเราก็มีพรินเตอร์นี่หว่า พรินต์กระดาษแบบ 4×6 นิ้วได้ด้วย! เลยไปรื้อตู้ หยิบกระดาษโฟโต้ที่ซื้อมาดองเมื่อชาติที่แล้วมา แล้ววาดมันเดี๋ยวนั้นแล้วพรินต์ไปด้วยเลย พอเครื่องพิมพ์มันคายกระดาษเปื้อนหมึกออกมาก็เอาไปให้เมียดู กรี๊ดกร๊าดยกใหญ่ ก็ถือเป็นการเปิดตัวขบวนการสัตว์หลายสีไปเลย ดังนี้ครับ

P1170197
“แมวเหมียวเขี้ยวเสือ” อุทิศแด่เขี้ยวเสือ อดีตแมวขาวมณีที่เมื่อก่อนเคยนอนกกกอดกันในห้อง แต่ตอนนี้โดนไล่ออกไปข้างนอกแล้วเพราะขนมันร่วงเยอะแล้วกลัวว่าจะไปเข้าจมูกลูกฉัน ทุกวันนี้มันเลยนอนเหงาๆ อยู่หน้าประตู บางทีก็ออกไปเล่นกะมันมั่ง (ภาพนี้พรินต์ออกมาแล้วไม่รู้ทำไม หมึกมันเยิ้มเลอะตรงมุม ก็ช่างมันละกันเนอะ ลูกคงไม่ถามหรอกว่ารอยอะไร)

P1170195
“กบสุวนันท์” คือพรินต์ภาพแรกอยู่ นึกอะไรไม่ออก หันไปเจอกบเหลาดินสอข้างๆ เลยวาดกบซะเลย จบนะ

P1170196
“สงสารแต่แม่ปลาบู่” พ่อกับแม่กินปลาดุกฟูร้านข้าวต้มโต้รุ่งตรงข้ามตลาดบัว (ตลาดลาดปลาเค้า) เกือบทุกวัน เพราะเจ้านี้อร่อยจริงๆ ครับ เลยเป็นแรงบันดาลใจสู่ภาพนี้ ก็หวังว่าลูกคงชอบกินเหมือนกัน แต่กินผ่านนมแม่ละกันนะ

P1170198
“ควายเผือก” ทีแรกจะวาดช้าง แต่นึกดูอีกทีอยากให้มันมีหลายๆ สี เลยวาดควาย จบ. (อ้าวฉิบหาย เพิ่งนึกได้ว่าฉากหลังเป็นสีแดง กูจะโดนหาว่าแฝงความหมายอะไรอีกไหมเนี่ย)

P1170194
พอวาดไปได้แค่ 4 ใบ 4 สีก็หมดไฟละ (คือเมียอุ้มลูกเดินมาเห็นก่อนเลยแผนเซอร์ไพรส์แตก) ไม่งั้นก็คงเขียนต่อเรื่อยๆ จนไม่ได้ทำงานทำการ แถมบ้าเห่อเอามาเขียนบล็อกอวดเพื่อนอีก เดี๋ยวถ้าเกิดคึกๆ แบบตะกี้อีกก็จะวาดเพิ่มอีก เป็นซีรี่ส์เลยละกัน จะได้มีนิทานเล่าให้นิทานฟังได้ไม่รู้จบ

คอมเมนต์

ผีหางตา

(ต่อไปนี้จะหัดเขียนแบบตัดประโยคทีละย่อหน้าแบบชาวบ้านเขาดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเขียนแบบกด Enter ท้ายบรรทัดให้มันกว้างเท่าๆ กันมาตลอด รู้สึกว่าเป็นธรรมเนียมที่น่ายกเลิก)

ทุกวันเวลาผมเลิกงาน และกลับบ้านด้วยรถประจำทางเนี่ย กว่าจะถึงแถวหน้าบ้านก็ล่อไปสองสามทุ่มละ มันจะมีจังหวะที่ต้องสะดุ้งทุกที (ย้ำว่าทุกที) ครับ เพราะนอกจากตรงนั้นจะมืดมาก เปลี่ยวมากแล้ว มันยังเป็นกำแพงวัดด้านหลังเมรุซะด้วย

อ่านดูแล้วยังกะหนังผีพล็อตโบราณๆ ที่เอะอะไอ้คนเล่าแม่งต้องเดินผ่านป่าช้าหรืออะไรแบบนี้ทุกที แต่ขอโทษครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนึงจะได้มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเองจริงๆ

จุดที่ผมลงจากรถกระป๊อคือหน้าซุ้มวัด แล้วต้องเลาะเลียบกำแพงวัด เดินหลบขี้หมาแล้วไต่ทางเท้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 100 เมตร กว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านซึ่งมีแสงไฟ มียามหมู่บ้าน และถ้าวันไหนกลับไม่ดึกมากก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์นั่งรอผู้โดยสารอยู่ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้นคืออุ่นใจละ กูถึงบ้านละ เดินไปจุดจอดจักรยานได้ก็ถือว่าฟิน อีกไม่กี่วินาทีจะถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียและแมวๆ ละ

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะมันต้องผ่านจุดเปลี่ยว ที่มีผี ที่ผม “เจอทุกวัน” เสียก่อน

คือผมชอบใส่หูฟังเวลาเดินทาง เพราะพบว่ามันสงบดี ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายและกลิ่นเหม็นของกรุงเทพฯ ข้างนอก บางทีก็เปิดเพลง บางทีก็โหลดรายการทีวีย้อนหลังอย่างพวกตอบโจทย์ สยามวาระ หรือเทยเที่ยวไทยมาตุนไว้ในมือถือ แล้วก็เปิดคลอมาตลอดทาง นานๆ ทีจะมีคนอวดผีย้อนหลังมาแจมด้วย (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการฟังอย่างเดียวเท่าไหร่ เพราะมันต้องก้มลงดูด้วย)

ทีนี้พอลงจากรถปั๊บ ก็ถอดหูฟัง เพื่อเรียกตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และก้าวเดิน ผ่านหลังเมรุเผาศพและกำแพงวัดที่มีเฟรนด์ชิปบรรพบุรุษจำนวนมากอาศัยอยู่นั่นแหละครับ

มันจะมีจังหวะนึงที่พอเดินปั๊บ ก้มหลบป้าย แล้วเตรียมลงจากทางเท้า หางตาด้านขวา (ฝั่งเดียวกับเมรุ) ของผมจะเห็นไอ้นี่

ghost-on-the-way

เหี้ย! ไม่ใช่เหี้ยสิ ผี!

คือสะดุ้งทุกครั้ง จำได้ว่าตอนเจอครั้งแรกนี่ตกใจมากจนเดินตัวงอเลยครับ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเคยเจอผีมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันมีจริงอยู่ แต่หลังๆ ไม่ได้กลัวเพราะว่ามันไม่ได้เจอมานานแล้ว พอเดินผ่านไปสักสองสามก้าวก็หันมามองเพื่อดูว่าที่จริงมันคืออะไร (เป็นวิธีสยบเรื่องผีทุกเรื่องในโลก) ปรากฏว่าที่แท้มันคือต้นไม้ที่อ้วนขนาดเท่าแขนขาเราพอดี แล้วมีไม้กระดานพาดไว้

แต่จังหวะและบรรยากาศตรงนั้นนั่นแหละ พร้อมด้วยการจินตนาการต่อยอดจากภาพจากหางตาเวลาแวบเห็น ที่หลอกเราว่ามันคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน ทั้งที่จริง ..แม่งก็เหมือนคนจริงๆ นะ

พอหลังๆ ลงรถและเดินผ่านตรงนั้นอีกทีทีไร ผมจะคอยจับสังเกตครับว่าผีตนนี้จะโผล่มาตอนไหน คือวันไหนสังเกตก็จะไม่สะดุ้งเพราะสปอยล์ตัวเองไว้แล้ว (ถือว่าเสียอรรถรสนะ) แต่วันไหนเสียบหูฟังคนอวดผีอยู่ ก็จะสะดุ้งเฮือกเหมือนเดิมทุกที

ก็นับเป็นการเล่นสนุกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเข้าบ้านครับ

อ้อ เมื่อเช้าเลยแวะถ่ายผีตนนี้มา เผื่อวันนึงมันโตขึ้นจนเกินความสูงที่สายตาจะจินตนาการให้เป็นรูปร่างคล้ายคนแล้ว จะเสียความสนุกตรงนี้ไปฉิบ

รั้ววัดลาดปลาเค้า

คอมเมนต์

การเคลื่อนไหวที่ไม่มีประโยชน์

บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนสดุดีการ์ตูนเรื่อง Bambino! ของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ครับ
เป็นการ์ตูนที่เห็ฯหน้าปกแล้วก็ไม่ได้คิดจะอ่าน เพราะผมเฉยๆ กับการ์ตูนทำอาหาร
แต่ทำไมใครๆ รอบกายก็ต่างยุให้อ่านให้ได้ และมัน “มีค่าพอจะซื้อเก็บสะสม” เลยล่ะ
ก็เลยไปสอยมาจากงานหนังสือที่ผ่านมา (ขนาดคนขายที่บูทเองยังคิดว่าอยู่ค่ายอื่นเลยคิดดู)

ที่จริง Bambino! (ใช้เป็นสแลง หมายถึงเด็กอ่อนหัด หรือกาก อะไรแบบนี้) เขียนมาแล้วสองภาค
ภาคสองเพิ่งถึงเล่มสี่ และภาคหนึ่งก็มีคนเอาไปทำซีรี่ส์ออกทีวีเรียบร้อยแล้ว ใครไม่อ่านการ์ตูนก็หามาดูได้
ผมเพิ่งอ่านภาคแรกไปได้แค่หกเล่ม แต่ก็คิดว่าต้องเขียนแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวลืมประเด็นที่มันแว้บขึ้นมาฉิบ

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวสู้เพื่อฝันครับ แต่ไม่ได้เฉิ่มๆ เหมือนหลายๆ เรื่องนะ คือเรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ใดๆ
ไม่มีความแฟนตาซี พระเอกไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือมีพรสวรรค์แบบที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องเฉพาะ ไกลตัว
แบบ Bakuman ที่พระเอกทั้งคู่ก็เก่ง หรือ BECK ที่พระเอกก็มีพวงสวรรค์อยู่ไม่น้อย

ไอ้ความที่พระเอกมันไม่ได้เก่งกาจชาตินักรบมาจากไหนนี่แหละ เหมือนคนเขียนตั้งใจบอกว่า มึงน่ะก็ทำได้
ขอแค่ ขอแค่อะไรสักอย่าง ต้องไปอ่านเอาเองจากในการ์ตูน เดี๋ยวเล่าแล้วจะไม่หนุกฉิบ

ถึงเนื้อหาจะว่าด้วยการเข้าไปทำงานในร้านอาหารอิตาลี ซึ่งโคตรจะไกลตัวเราเลย
แต่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ย่อยง่ายมาก และอ่านสบายอยู่กึ่งกลางระหว่าง BECK กับ Bakuman ครับ
ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าเฮ้ย ชีวิตกูหมดไฟ หรือใครเพิ่งเรียนจบ (พระเอกในเรื่องเริ่มต้นตอนอยู่มหาลัยปี 3)
จงหามาอ่าน แล้วน่าจะจูนทิศทางชีวิตของตัวเองได้เลย

ผมนั้นนับถือการ์ตูนเสมอ ไม่ว่ามันจะไร้สาระหรือปัญญาอ่อนสักแค่ไหน ไม่เคยมองมันเป็นขยะเลย
ตราบใดที่คนเขียนใส่ใจกับเนื้องาน มันดูออกนะ (คือในบ้านเรามันมีแนวๆ ตีหัวเข้าบ้านอยู่ก็ไม่น้อย)

.. อ้อมไปไกลตามเคย ลูกร้องแล้ว เข้าเรื่องได้

ในเล่มแรกๆ นั้นพระเอกต้องรับภาระเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในการทำอาหารมือใหม่สุดๆ เลย
แล้วอีพ่อครัวนี่แม่งทำงานเร็วมาก เซียนมาก เก๋ามาก แต่เหยียดหยามพระเอกฉิบหายเลย เพราะมันกากไง
ถึงจะเจ็บใจ แต่ไอ้พระเอกมันก็อยากเก่งแบบนั้น อยากไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นมั่งไง แต่ทำไงก็ไวไม่เท่าสักที
จนแม่ครัวสาวในร้านก็หันมาเตือนว่า “หร่อนน่ะเคลื่อนไหวแบบไร้ประโยชน์มากเกินไป”

ฉึก!

พระเอกหันไปดูอีพ่อครัวคนนั้น หันมาทีจับกระทะ หันไปหยอดเห็ดงี้ มันขยับตัวทุกอย่างแบบมีคุณค่าหมดเลย
เลยเกิดปัญญาขึ้นมา และพยายามพัฒนาตัวเองตาม

แต่ประเด็นคือ ผมดันไปชอบประโยคที่บอกว่าเป็ฯการขยับตัวที่ไม่มีประโยชน์นั่นจังเลยครับ
เห็นตัวเองเลยว่าก่อนหน้านี้หลายๆ ปี เราขยับตัวแบบไร้ประโยชน์มานานมากๆ
เอาเวลาไปทำนั่นนี่ที่ เออ ทำไปทำไมวะ ทำแล้วได้อะไรวะ มัน “ได้อะไรกลับมาบ้าง” วะ

ที่จริงก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะวัยรุ่นที่ไหนก็ทำกัน เวลาว่างเหลือมากมาย ตังค์ถึงมีน้อยหน่อยแต่ก็ไม่ได้รีบ
เพราะพ่อแม่ก็มีให้เกาะแดก คือชีวิตไม่ได้ต้องต่อสู้อะไรนักไง ยังไมได้ข้ามมาสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มๆ ตัว
แล้วก็นึกย้อนไปถึงเรื่องบันไดสามขั้น (อีกแล้ว) .. เรียนจบ / แต่งงาน / มีลูก นี่ผมมาถึงขั้นที่สามแล้ว
ทำให้พบคำตอบที่เมื่อก่อนสงสัยมานาน หลายๆ เรื่อง ที่วัยรุ่นไม่เคยเข้าใจ พอมาถึงตรงนี้แล้วมันเก็ตเองนะ

สิ่งเหล่านั้นผมเรียกเหมาๆ รวมๆ (อาจจะไม่ครอบคลุมแต่นึกได้ตอนนี้) ว่ามันคือผลประโยชน์
มันคือโลกของความเห็นแก่ตัว การทำอะไรแล้วจะต้องไม่สูญเปล่า หรืออย่างน้อยก็ต้องหวังอะไรกลับมา
ขนาดเป็นงานฟรี งานขำๆ สนุกๆ แต่ในหัวมันก็จะคิดแล้วว่าเสร็จงานนี้จะมีอะไร “คืนมา” สู่เราบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมี ไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างเช่นถ้าจะทำฟอนต์เล่นๆ ขึ้นมาอีกหลายๆ ตัว คือเราอยากมากเลยนะ เป็นความอยากที่อัดอั้นมากๆ
แต่ข้ออ้างก็มีมากมาย เช่นถ้ามีอะไรที่ทำแล้วได้ตังค์ (หรือได้หน้าตา) กว่า เราก็พร้อมจะทิ้งสิ่งที่รักนี้ไป
โดนกระบี่กลืนกินจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ..

แต่ก็รู้ตัวนะ และไม่ได้ขึงขังว่าจะต้องฝืนต่อต้านหรือโอนอ่อน
ตราบใดที่เราก็ยังเป็นเราอยู่อย่างนี้ มันจะมีเส้นบางๆ ที่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นคนที่เหี้ยไง
เพราะเราเคยเจอผู้ใหญ่ที่เหี้ยมากๆ มา แล้วเราคันมาก คันตีนมากๆ และตั้งใจว่ากูจะไม่เป็นอย่างมึงเด็ดขาด

แต่ทั้งนี้เราก็ยังนึกประคับประคองการเคลื่อนไหวของตัวเอง
ให้ไม่มีประโยชน์เสียบ้าง —- จะพูดให้ชัดว่านั้นก็คือ จะเคลื่อนไหวแบบไม่มีผลประโยชน์เสียบ้าง

เขียนปักหมุดไว้เพื่อคุยกับตัวเอง ผมให้เวลากับตัวเองไว้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ความอึดอัดนั้นยังแค่ปริ่มๆ
ตั้งใจว่าถ้ามันเกินเส้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเคลื่อนไหวแบบไร้ผลประโยชน์ ..แต่โคตรมีความสุขอีกครั้ง

คอมเมนต์