รีวิวห้องสมุดลาดปลาเค้า ห้องสมุดที่เมพเกินคาด

พอนับนิ้วดู ผมอาศัยอยู่ลาดปลาเค้ามาหกเจ็ดปีแล้วครับ ที่นี่มีศูนย์กลางชุมชนคือวัดลาดปลาเค้า ที่ผมเองก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากไปกว่าการไปทำเรื่องขอยืมโต๊ะกับหม้อไหมาจัดงานทำบุญบ้านเมื่อสมัยย้ายมาอยู่ใหม่ๆ แน่ล่ะ เวียนเทียน งานบุญอะไรก็ไม่เคยไปร่วม (#คนบาป)

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมปั่นจักรยานผ่าน เหลือบไปเห็นว่าหลังซุ้มประตูวัดนั้นมีห้องสมุดประชาชนเหี่ยวๆ ตั้งอยู่ ด้วยความว่าง เลยแวะเข้าไป ในใจก็คาดไว้อยู่แล้วว่าสิ่งที่จะได้พบคืออะไร แล้วก็เป็นไปตามคาด

มันคือห้องสมุดเหี่ยวๆ จริงๆ

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนบ้านมาโพสต์ในกรุ๊ปของหมู่บ้านว่า ห้องสมุดแห่งนั้นได้รีโนเวตใหม่เอี่ยม เป็น “ห้องสมุดอย่างดี” ไอ้ผมที่มีภาพติดตาในครานั้นก็นึกไม่ออกแหละว่ามันจะไปดีได้ยังไง สถานที่ราชการที่เดินเข้าไปก็นึกออกว่าต้องมีกลิ่นขี้นกพิราบลอยมาเตะจมูกนั่น

แต่ด้วยความว่างหลังจากไปส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนอนุบาล ผมเช่าการ์ตูนมา แต่เกิดขี้เกียจเข้าบ้านทันที อยากเอ้อระเหยหาที่นั่งอ่านการ์ตูนก่อน

ส่วนตัวไม่ชอบบรรยากาศอันน่าอึดอัดของร้านกาแฟ (คิดไปเองว่ามันต้องเก๊กนั่งหลังตรง และต้องพรีเซนต์เป็นตัวของคนอื่นตลอดเวลา) และสารภาพว่าสมัยเด็กผมเคยเป็นเด็กเนิร์ดสุดๆ ขนาดที่พักเที่ยงต้องไปสิงอยู่ห้องสมุดทุกวัน ยืมหนังสือจนบัตรยืมเปื่อยยุ่ย และสนิทกับครูบรรณารักษ์อะไรแบบนั้น แต่พอโตมาก็ห่างหายจากห้องสมุดไปเสียนาน

ในเมื่อโอกาสเหมาะเจาะแบบนี้ ผมจึงตั้งใจวกไปห้องสมุดเหี่ยวๆ แห่งนั้นอีกครั้ง อยากรู้ว่าพอศัลยกรรมออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร

พอจอดแว้นที่ด้านหน้าอาคาร เท่านั้นเอง ผมนี่ถึงกับอึ้งเลยครัชเมี้ยว

Continue reading รีวิวห้องสมุดลาดปลาเค้า ห้องสมุดที่เมพเกินคาด

ทะเลาะกับลูก

nitan

เมื่อคืนเถียงกับนิทานเป็นครั้งแรก เป็นการทะเลาะกันครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยรู้จักกันมา 3 ปี

ด้วยเรื่องชุดนอน

นิทานมีตู้เสื้อผ้าเด็กอยู่ ข้างในมีชุดนอน ชุดชั้นใน และชุดอื่นๆ (หมวดหลังสุดนี่ส่วนใหญ่คุณยายจะตัดให้) วางแยกกันอย่างเป็นระเบียบ… กว่าตู้เสื้อผ้าของพ่อแม่มันอีก

แล้วเมื่อคืนเป็นคืนที่สองที่นิทานต้องนอนอยู่บ้านกับพ่อ โดยไม่มีแม่และน้องเวลาอยู่ด้วย เนื่องจากน้องป่วยแตะมือต่อจากพี่ที่ตอนนี้หายดีแล้ว และแม่ก็ต้องเป็นคนไปนอนแกร่วเฝ้าไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอีก (เดือนนี้โบว์อยู่โรงพยาบาลมากกว่าบ้านละกัน)

จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะที่ได้นอนด้วยกันสองคนพ่อลูกโดยไม่มีแม่อยู่ด้วย

นิทานเป็นเด็กติดแม่ ติดมาก ตั้งแต่เกิดมาก็แทบไม่เคยแยกห่างจากกันเลย อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาสามปีแล้ว มีครั้งเดียวที่ห่างกันนานๆ ก็คือแม่คลอดน้องเวลา และพ่อต้องเป็นคนไปนอนเฝ้า ดังนั้นนิทานเลยไปอยู่กับคุณตาคุณยายเป็นสิบคืน แม้จะคุยกัน(กับเด็กสองขวบครึ่ง)รู้เรื่องนะว่าแม่ต้องไปคลอดน้อง นิทานอยู่กับคุณตาคุณยายนะลูก (ค่ะแม่) แต่เอาเข้าจริงๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นิทานก็จะแสดงออกตอนหลับละเมอออกมาเสมอว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทุกข์ใจอย่างที่สุด ทานคิดถึงแม่ ทานอยากเจอแม่ ฮือ…

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ หลังจากไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลเสร็จ พ่อพาไปกินข้าว กลับมาอาบน้ำแปรงฟัน อ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนเสร็จเรียบร้อย โทรหาแม่เพื่อ บ๊ายบายกัน ปิดไฟแก๊ก นิทานก็พลิกคว่ำพลิกหงาย ไม่ยอมนอน

แล้วรำพึงออกมาว่า “ทานไม่อยากนอน ทานหิว”

รู้อยู่นะว่าที่จริงนี่คืออาการคิดถึงแม่นั่นแหละ แต่ด้วยความเข้มแข็งของเด็กสามขวบ เลยไม่พูดออกมาตรงๆ แต่เลี่ยงไปเป็นเรื่องอื่น

ผมคุยกับนิทาน ถามย้ำให้แน่ใจว่าหิวใช่ไหม กินนมไหม (มีนมกล่องในห้องนอน) แต่นิทานก็ตอบว่าจะกินไข่ต้ม

อีพ่อเลยเปิดไฟ จูงลูกไปชั้นสอง ให้นั่งอ่านหนังสือรอ ส่วนพ่อเดินลงไปทำไข่น้ำให้กิน

ก็ขึ้นมาแล้วก็กินไป อ่านหนังสือนิทานให้ฟังไป (คืนนี้ผลาญหนังสือไปหลายเล่มมาก เป็นการตะล่อม) จนกินหมดก็ไปแปรงฟันกันอีกรอบ และเตรียมตัวเข้านอน

ทันใดนั้นเองพอนิทานบ้วนปากปั๊บ ดันไปโดนคอเสื้อเปียก พอคอเสื้อเปียกก็เป็นอันรู้กันว่าต้องเปลี่ยนชุดนอน ก็ไม่มีไรมาก เดินขึ้นมา เปลี่ยนชุด และ *หาชุดที่เข้ากัน*

เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

ชุดนอนเดิมเป็นชุดที่คุณยายตัดให้ (โฆษณา: คุณยายเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี เปิดร้านนลินฟ้า สาวๆ ไปเลือกชมเดรสสวยๆ กันได้นะคะ) แต่ชุดที่นิทานจะใส่ต่อจากนี้คือชุดหมา (ชุดนอนสีขาว มีแพตเทิร์นเป็นรูปหมาเยอะๆ) ซึ่งเจอแต่กางเกง …ไม่เจอเสื้อ

อ้าว แล้วเสื้อหายไปไหน อีพ่อก็ช่วยค้นให้

เข้านอนตอนแรกสองทุ่มกว่า แต่นี่มันสี่ทุ่มแล้ว  พอหันไปมองแววตาลูกก็รู้เลยว่าเริ่มง่วงเต็มที่ นั่นแปลว่าต่อมเหตุผลของเด็กได้ปิดทำการแล้ว ตอนนี้รีเควสต์แค่ว่าจะเอาชุดหมา ชุดอื่นไม่เอา ทานไม่นอน (ที่พูดนี่คือนิทานถอดชดคุณยายออกแล้วยืนแก้ผ้าทำหน้ามุ่ยช่วยกันค้นอยู่)

แต่ไม่เจอ

พ่อเจอชุดรถ (ชุดนอนสีขาว มีลายรถเยอะๆ) ซึ่งก็สวยเหมือนกัน พยายามคะยั้นคะยอให้ใส่ ก็ไม่เอา ให้ใส่แค่ครึ่งบน แล้วครึ่งล่างเป็นชุดหมาก็ไม่เอา นิทานเริ่มร้องไห้

ผมก็บอกให้ใจเย็นๆ ฟังพ่อนะ (สบตา) พ่อ หา ไม่ เจอ (มันจะดีใจไหม) ป้าแอ๋วอาจจะเอาไปซักอยู่ข้างล่าง หรือวางไว้ที่อื่นก็ได้ คืนนี้เราใส่เสื้อรถนอนกันก่อน ไว้คราวหน้…

“แง้!!!!!! พ่อ (ฮึก ฮึก) พ่อเอาไปแอบ (อ้าวเฮ้ย) เมื่อกี้ทานยังเห็นพ่อถือเล่นอยู่เลย (ฮึก ฮึก)”

“เดี๋ยวๆๆๆ นิทาน พ่อจะไปถือเล่นทำไม พ่อไม่ได้แกล้งนิทาน แต่เราช่วยกันหาแล้วไม่เจอจริงๆ ไง เนี่ยลองค้นดูสิ”

“ทานเห็นพ่อถือเล่นเมื่อกี้อะ แต่พ่อเอาไปแอบไว้ตรงไหน แง้!!!”

อ้าวซวยละ หรือเมื่อกี้เป็นผี

ผมทำเสียงจริงจัง “นิทาน… พ่อไม่ได้แกล้งนะ แต่นี่ไง (ชี้ไปที่กองผ้าที่นิทานรื้อออกมาทั้งตู้) ชุดหมาไม่มี เราเจอแต่กางเกง นี่ถ้านิทานไม่ยอมใส่เสื้อเดี๋ยวเป็นหวัดนะ แบบกุ๋งกิ๋งไง (ชื่อหนังสือที่มีตอนนึงอีเด็กกุ๋งกิ๋งมันเล่นน้ำฝนจนเป็นหวัดเข้าโรงพยาบาล) นิทานไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกทีใช่ไหม”

“ทานเบื่อโรงพยาบาลแล้ว” โอเค เข้าทาง

“งั้นนิทานก็ใส่เสื้อรถนะ จะได้ตัวอุ่นๆ แล้วเราไปนอนกัน”

“แต่ แต่ แต่ทานจะใส่เสื้อหมาาาาา แง้!!!!” … เวรกรรม

ผมลองค้นดูก็ไม่เจอจริงๆ ว่าเสื้อหมามันหายไปไหน ปกติตู้เสื้อผ้าเด็กจะเก็บเรียงกันทุกชุดอย่างเป็นระเบียบอยู่แล้ว แต่ถ้าหาไม่เจอก็คือจนปัญญาจริงๆ และยิ่งลูกกำลังง่วงสุดขีดและจิตใจอ่อนแอเพราะไม่ได้นอนกับแม่แบบนี้ ทางแก้ปัญหาคืออะไร คิดสิคิด

“ฮืออออออ ทานอยากโทรบอกแม่” นิทานพูดกลั้วเสียงสะอื้น

“โอเคได้ๆ” เด็กยุคนี้เกิดมากับการสื่อสารทางไกลเป็นเรื่องปกติ ผมทึ่งนิดนึงแต่ก็รีบ #ดึงสติ คืนมา ดูนาฬิกา ตอนนี้โบว์คงยังไม่หลับ เลยกดโทรไป แล้วเปิดลำโพง

“โหล เป็นไงมั่ง” ปลายสายเป็นเสียงเมีย

“แม่ขาาาาาา” นิทานรีบฟ้อง “พ่อเอาชุดหมาของทานไปแอบ ทานไม่มีชุดใส่ %#$@^&!@%#&^!@#*” (ละล่ำละลัก ฟังไม่รู้เรื่องเลย)

ผมรีบตัดบท สรุปเหตุการณ์ให้เมียฟังเป็นลำดับ และเสนอทางออกคือ ให้โบว์บอกลูกว่าใส่ชุดไหนก็นอนได้เหมือนกัน ถ้าไม่รีบใส่เสื้อผ้าตอนนี้เดี๋ยวป่วย ต้องมานอนโรงพยาบาลอีกทีนะ ซึ่งเมียผมก็พูดแบบที่ผมพูดเป๊ะเลยนี่หว่า

ถึงกระนั้น นิทานก็สงบลงนิดนึง แต่ยังร้องสะอึกสะอื้นอยู่ ก่อนวางสาย ผมเลยบอกให้โบว์ให้โอวาทอะไรกับลูกไว้สักหน่อยเพราะท่าทางคืนนี้น่าจะหนักหนาอยู่ และก็หนักจริงๆ เพราะตลอดคืนนิทานยังสะอึกสะอื้น และยิ่งรอบดึกๆ ที่หลับละเมอออกมา คราวนี้พูดเลยว่าคิดถึงแม่ ทานอยากนอนกับแม่ ทานอยากให้แม่มานอนด้วย (แต่คือทานไม่อยากไปโรงพยาบาล อันนี้คือคุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าทานเบื่อโรงพยาบาลมาก ทานไม่อยากไปแล้ว)

และแล้ว มันก็ผ่านไป…

ตื่นเช้ามา นิทานก็สดใสร่าเริง ปลุกพ่อตั้งแต่หกโมงกว่า “พ่อจ๋า อุ้มทานไปฉี่หน่อย”

อีพ่องัวเงียอุ้มพาไปฉี่ ก็บ่นว่านี่มันยังไม่ถึงเวลาตื่นเลยนี่นา นิทานปลุกพ่อเร็วจัง

“ทานปลุกเร็วกว่ากูเกิลอีก กูเกิลยังไม่ตื่นแต่ทานตื่นก่อน”

แน่ะ เด็กสมัยนี้

คือก่อนนอนผมชอบตั้งปลุกด้วย Google Now โดยพูดใส่มือถือไปว่า “Okay, Google. Wake me up at 8.” อะไรแบบนี้น่ะครับ แล้วนิทานฟังเข้าใจเว้ย 555

ป.ล.
ในสายตาผู้ใหญ่ การเลือกชุดนอนถือเป็นเรื่องปัญญาอ่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ามีลูกแล้วจะเข้าใจครับว่านี่แหละคือเรื่องใหญ่ของเด็ก เผลอๆ ใหญ่กว่าที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันด้วยเรื่องการเมืองเลย แต่ทะเลาะเรื่องการเมืองยังไกลตัวกว่ามากๆ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องปัญญาอ่อนเมื่อมองจากสายตาของเด็กสามขวบ (และพ่อวัยสามสิบสามขวบ) ก็ได้

ป.อ.
ในที่สุดก็เจอ เสื้อหมาอยู่ในรถ แม่วางไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อกี้ผมเลยหยิบไปให้ลูกดู “นี่ไง ทานมั่ว ว้ายๆๆๆ”

ป.ฮ.
เลี้ยงเด็กเล็กก็เจออาการเจ็บป่วยแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ ยิ่งมีลูกสองคนพี่น้องที่ยังไงเดี๋ยวก็เอาโรคมาติดกันจนได้แบบนี้ ทำประกันเจ็บป่วยไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ไม่จนกรอบมาก (นี่ขนาดนิทานยังไม่เข้าโรงเรียนอนุบาลนะ ถ้าเข้าแล้วคงได้มาอีกหลายโรค)

เจ็บ

pain

เกิดมา 30 กว่าปี (กว่าเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ) ผมไม่เคยนอนโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยเลยครับ

ด้วยร่างกายที่ดูก็รู้ว่าไอ้นี่ไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่จะออกกำลังกายได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยแน่ๆ แต่การที่ไม่เคยต้องเจ็บป่วยจนต้องใช้สิทธิ์ที่(เมียบังคับ)ทำประกันไว้เลยสักครั้ง จะว่าดีก็ดี และก็คิดไว้ด้วยว่าอย่าได้เจ็บเลย

มันคงไม่สนุกหรอก

ที่ไม่สนุกก็เพราะช่วงตลอดเกือบสิบวันที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผมไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นเพราะลูกสาวคนโตป่วย

ขนาดได้คลอดหนังสือเล่มล่าสุดวางขายที่งานหนังสือ ทีแรกกะว่าจะเขียนอวยในบล็อกตัวเองให้เรี่ยมมันแผล็บเลย แต่เชื่อเถอะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขียนไม่ออกจริงๆ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเขียนเลย นั่นเพราะใจมันแป้วไปแล้วส่วนหนึ่ง

ไปเซ็นหนังสือในงานมาสามวัน (+1 วัน ที่ไม่ได้มีคิวเซ็น แต่ก็ไปเซ็นกองหนังสือที่ผู้อ่านพรีออเดอร์ไว้) ก็พบว่ามันชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อยนึง (ใช้ศัพท์แก่) แต่บอกตามตรงว่ามันปกปิดริ้วรอยความกังวลไม่ได้

นิทานไม่สบายมาหลายวันแล้วครับ

นี่เป็นการป่วยครั้งที่หนักที่สุดที่เคยป่วยมาตลอดอายุ 3 ปีของลูก (เคยป่วยนอนโรงพยาบาลแล้วทีนึง แต่ตอนนั้นขวบเดียว) คราวนี้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสที่คุณหมอเรียกว่า EBV-Like โดยชื่อโรคที่เหมือนอ่านแล้วเห็นไอคอนเฟซบุ๊กลอยมานี้ บ่งบอกว่าอาการอยู่ในกลุ่มไวรัส EBV ที่เป็นญาติๆ กับเริม (ตระกูล Herpes เหมือนกัน) แปลเป็นไทยว่ามันคือไวรัสตัวนึงที่สามารถแพร่เชื้อส่งถึงกันได้ทางน้ำลาย ส่วนใหญ่จะมาจากการจูบ แต่กับลูกสาวผมนี่คงไม่ได้ไปจูบกับใครมาหรอกครับ (เอ๊ะหรือมี) แต่น่าจะเกิดจากการที่เด็กชอบไปอม ไปเลียพนักเก้าอี้เอย ขอบโต๊ะเอย ขาตู้เอย ฯลฯ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่งสอนเท่าไหร่ก็ยังมีเผลอไปเอาปากทาบมาจนได้ ก็ให้โรคนี้เป็นตัวสอนละกัน แถมยังคิดค่าสอนโหดด้วย

นี่ถ้าไม่ได้ทำประกันไว้ก็กรอบกันทั้งพ่อทั้งแม่เลยแหละครับ (ขนาดประกันจ่ายให้ก็ยังตัวเบาเลย)

อาการของโรคนี้คือ — ไปกูเกิลเอาเถอะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็อกสุขภาพเกินไป แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่เอฟเฟกต์ที่ไวรัสทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คืออาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ แต่จะเพลียไปอีกหลายวันเลย

ในคลิปนี่คือถ่ายตอนอยู่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 4 มั้ง? ตอนนั้นอาการป่วยไข้ยังสำแดงพลังอยู่ ตอนที่ถ่ายคือสุขภาพจิตของนิทานยังดีเพราะเป็นช่วงไข้ลด แต่ก็หลั่นล้าน้อยกว่าปกติ (ที่ไม่ได้ป่วย) ประมาณ 50% แล้ว คือปกติจะเป็นเด็กที่ดีดมาก เหมือนกินยาบ้าตลอดเวลา หลังจากนั้นพอตรวจไม่พบเชื้อ และค่า #@#$ (ศัพท์ทางการแพทย์) ที่แปลว่าหมดระยะของโรคแล้ว เราก็ขนข้าวของ เดินทางออกจากโรงพยาบาล

ทีนี้เข้าสู่ระยะอ่อนเพลียแทน ตรงนี้แหละประเด็น

ทีนี้เหมือนเรามีลูกเป็นผักเลย นอนทั้งวัน ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแม้เสียงหัวเราะลั่นบ้านแบบที่เคยเป็นมาตลอดทั้งวันทุกวัน แต่เปลี่ยนเป็นคราง อือ… อือ… สลับกับการบ่นหนาว ไม่มีแรง ทานง่วง ทานไม่หิว ทานไม่ฉี่ วนลูปแบบนี้ตลอดทั้งวัน

ในฐานะของพ่อแม่ที่มีลูกสาวซึ่งค้นพบตัวเองว่ากูเอาดีด้านตลกตั้งแต่สองสามขวบ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงงดตลก กลายเป็นโหมดนิ่ง เล่นมุกอะไรไปก็ไม่ตอบนั้น …โอ้โห

มันเจ็บปวดมากนะครับ

ด้วยความกังวลที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วอาการของโรคนี้มันคืออะไร ยังไง มันมีตัวอะไรแทรกซ้อนที่จะพาสู่อะไรที่ไม่อยากรับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เมียผมถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ สะกิดก็ไม่เล่นด้วย (อีพ่อนี่ก็นะ)

ในแต่ละคืน ขณะที่เมียไปกกลูกหลับ อีพวกมนุษย์กูเกิลอย่างผมก็เฝ้าเปิดหาข้อมูลดูอาการเทียบเคียงว่ามันใกล้เคียงกับโรคอะไรบ้าง ซึ่งในทางการแพทย์แล้วการวินิจฉัยโรคด้วยกูเกิลนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีเลยนะครับ เพราะเปิดไปเจอกระทู้โอดโอย โดยเฉพาะจากผู้ปกครองเด็ก หรือชุดความเชื่อผิดๆ ที่พาเราสู่ความไม่รู้เข้าไปใหญ่ แบบนี้จะยิ่งมั่ว – แต่ผมยังศรัทธาในภูมิคุ้มกันข้อมูลของตัวเอง เลยขอดูซะหน่อยน่ะ (คืออยากรู้ไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่แล้ว)

สลับกับปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งคำตอบในรอบล่าสุดของมันก็คือ “แกรีบพาลูกไปเจาะเลือดเถอะ” ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้เมียผมยิ่งว้าวุ่น และรอให้ถึงเช้าวันนี้

และแล้ว เมื่อเช้าเราจึงพาลูกไปหาหมอเด็กท่านเดิมอีกครั้งเพื่อ “ติดตามอาการ” ของลูก ซึ่งที่จริงจุดประสงค์หลักของผมคือไปรักษาความกังวลของคนเป็นแม่มากกว่า

และแล้ววันนี้ก็เลยเป็นการนั่งคุยกับหมออย่างยาวนานที่สุด ถามทุกเรื่องที่อยากรู้ และความเป็นมืออาชีพ คุณหมอก็อ่านแววตาของเมียผมออก จึงตอบทุกคำถาม แนะนำทุกอย่าง แม้กระทั่งพูดคุยเรื่องหัวใจของคนเรียนหมอ (โฆษณา #เรียนหมอหนักมาก ของ @guplia)

เพียงเท่านี้ ความกังวลที่สั่งสมมานานก็สลายไปหมดเลยครับ

 

การได้เจอหมอแบบนี้ ในมุมของคนไข้ (และญาติคนไข้ที่มักเรื่องมากกว่าตัวคนไข้เอง) ถือว่าประเสริฐนัก แต่ความเหนื่อยก็จะมาตกอยู่กับตัวหมอเองที่เวลารักษาเด็กทีนึง ก็ต้องรักษาอาการอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ด้วย ขอนับถือใจคุณหมอจริงๆ ครับ อยากตีลังกากราบแต่เกรงใจครอบครัวถัดไปที่มารอคิวตรวจอยู่

ส่วนอาการของนิทานตอนนี้ไม่น่ากังวลอะไรแล้วครับ แม้จะเป็นอาการเดิมที่เป็นมาหลายวันแล้วก็ตาม (แต่ต่างกันมาก ตรงที่ความเข้าใจของพ่อแม่ ซึ่งมีผลมากๆ) คืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นเอฟเฟกต์จากไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว โดยอาการนี้น่าจะเป็นไปอีกพักนึง อาจจะอาทิตย์นึง สองอาทิตย์ (ไอ้ที่อ่านๆ มาจากการกูเกิลบางทีลามไปหลายเดือนเลย แต่เราจะทำเป็นไม่เห็นละกันนะ)

สงกรานต์นี้บ้านเราเลยของดตลกนะ เดี๋ยวนิทานแข็งแรงดีแล้วมาสาดน้ำย้อนหลังกัน

พรุ่งนี้ก็สายอีกแล้ว

พูดไว้ซะดิบดีว่าเขียนหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองเสร็จแล้ว หมดภาระหนักอึ้งแล้ว เลยเกิดฮึกเหิมขึ้นมา ประกาศกร้าวว่า “อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังการทำหนังสือของตัวเองที่ผ่านมาแบบละเอียดๆ วันละเล่ม เขียนติดกันสี่วันก็ครบสี่เล่มพอดี” ช่างแสนโรแมนติกอะไรเช่นนี้

แล้วไงล่ะ ติดเลี้ยงลูก ติดพาเมียไปห้าง ติดหอบครอบครัวไปตรังเพิ่งกลับมา พอบวกลบดูด้วยเหตุผลและอารมณ์ทุกประการแล้วก็พบว่า ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นสำคัญต่อชีวิตมากกว่าการเขียนบล็อกทั้งนั้นเลยว่ะ 5555

ผ่านไปสิบวันหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ นี่เข้าสู่วันที่ 27 มีนาคม เข้าสู่งานหนังสือครั้งแรกแห่งปี 2558 แล้ว ตามกำหนดการที่เคยวางไว้ (ตอนที่ยังฟิตๆ) คือวันนี้จะโพสต์ลงบล็อกว่า “พรุ่งนี้ (28 มีนาคม) เวลา 14:00 น.เป็นต้นไป ผมไปเฝ้าบูธแซลมอน X-07 เพื่อเซ็นหนังสือ เจอกันนะคร้าบบบบ” อะไรแบบนี้

แต่หนังสือก็เพิ่งเสร็จจากโรงพิมพ์สดๆ เมื่อกี้ 55555 เดดไลน์ก็เดดไลน์เถอะ ลองมาเจอประสิทธิภาพการผลิตของวงการสิ่งพิมพ์ในช่วงก่อนงานหนังสือ ที่หมุนฟันเฟืองกันไม่หยุดหย่อนตลอด 28 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้

งงไหมครับ ถ้างง เอาใหม่อีกที Continue reading พรุ่งนี้ก็สายอีกแล้ว

ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ อยู่ดีๆ ก็นึกสนุก เขียนบล็อกลุยๆๆ ตูมๆๆ เกือบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่กลับมาอ่านแล้วก็ไม่เสียดายที่ยังเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากเขียน (ซึ่งต่างจากการเขียนเพื่อให้คนอ่าน)

แต่แล้ว มรสุมแซลมอนก็พรากเวลาว่างในชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวไป 1 เดือนกว่าๆ เรียกได้ว่ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ตารางงานแน่นเอี้ยด จนคนรอบกายแซะกันว่า ไหนล่ะความเป็นมนุษย์ชิลของมึง

ถึงกระนั้น เมื่อพายุงานที่ถ่าโถมได้พัดผ่านไป ตอนนี้ฟ้าใสแล้วครับ ถึงจะสีออกเหลืองหน่อยๆ ก็เถอะ แต่แอนกลับมาแล้ว เป็นนิวแอน ที่จะมาหัดวาดภาพสีน้ำ จะมาเขียนการ์ตูนปัญญาอ่อนเล่น จะมานอนอ่านการ์ตูน จะไปปั่นจักรยานเล่น จะไปขูดหินปูน

และที่สำคัญ จะได้กลับมาอยู่กับลูกเมียเหมือนเคย (ให้นึกภาพว่าช่วงกลางกุมภาฯ เป็นต้นมา เมียผมหอบลูกไปอยู่บ้านตายายมากกว่าอยู่บ้านตัวเอง ที่ทำแบบนี้เพื่อหลีกทางให้ตัวพ่อทำงานได้สะดวก ซึ่งนี่มันบาปมาก พรากลูกเมียของคนอื่นน่ะ มันบาป!)

แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อคืนนี้เอง

แน่นอนว่าลูกเมียอยู่บ้านตายายเหมือนเดิม ส่วนเราแวะไปสำนักพิมพ์ หอบคอมไปด้วย และจัดการทุกอย่างให้สะเด็ดน้ำในตีสาม จึงขับรถกลับถึงบ้านภายใน 20 นาที (ปกติการฝ่ารถติดไปสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ชั่วโมงกว่า) แล้วอาบน้ำนอนอย่างสบายใจ

ตื่นมาก็ช่วยเมียทำงานเหมือนเดิม คือกิจการครอบครัวน่ะยังเต็มมือและเต็มเวลาเหมือนเดิม แต่เป็นตารางเวลาชีวิตปกติ ไม่ได้สวิงอย่างเปรตเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว ตาแม่งบวมสลับซ้ายขวาทุกครั้งที่โต้รุ่งเลยครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมนึกสนุก อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังของหนังสือตัวเองที่เคยทำมากับสำนักพิมพ์นี้ ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้ตัวเองลืมซะเอง …เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะทยอยเล่าทีละเล่มละกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ลืมน่ะนะ เคนะ

.

ป.ล.
ทีแรกว่าจะเขียนบ่นเรื่องข่าวคราวรกสมองประจำวันที่ลามไปทั่วโซเชียล แต่ไม่ไหวจริงๆ เพราะพอตัวเองจดจ่อกับการทำงาน เลยมารู้ข่าวเอาทีหลังชาวบ้านเสมอ ตั้งแต่อีคุกกี้ เพจพยาธิดูดคลิปมาหากิน ฯลฯ (รวมถึงน้องอลิซด้วย แต่คนนี้เราดูแค่พอหื่น ไม่ได้ตามเท่าน้องมุกกี้ แต่พูดก็พูดเถอะ น้องจินเจ๋งสุด) (นี่ไงล่ะสาเหตุที่แท้จริงของการโดนเมียหอบลูกหนี) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงสั้นๆ ละกันว่ากูเหนื่อยจะตามพวกมึงแล้วโว้ย แม่งไม่เกี่ยวห่าอะไรกับชีวิตเลย แต่ต้องตามเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่นว่ากูก็ทันข่าวเหมือนมึงนะ อีห่า เนื้อยเหนื่อย จะลาออกจากโซเชียลก็ยังกิเลสหนาเกินไป ก็บ่นไปแบบไร้คุณค่าทางโภชนาการใดๆ งี้ไปละกัน

.

ป.อ.
หนังสือเล่มที่เพิ่งส่งทุกอย่างเสร็จไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหา’ลัยศิลปะแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง ที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนและพบความเปรตมา (ตามหลักแล้ว คำว่ามหาลัยต้องมีเครื่องหมายอะโพ้ดโซฟี่ด้วยนะ ต่อไปจะหัดเขียนให้ถูกถึงจะไม่ชินเองก็เถอะ) ซึ่งเล่มนี้วาดเป็นการ์ตูน และตอนทำก็ชอบมากที่ส… เฮ้ยพอๆ เดี๋ยวค่อยเขียนเต็มๆ แต่ดูทีเซอร์ก่อนที่โพสต์นี้ของสำนักพิมพ์นะ

.

ป.ฮ.
แด่เพื่อนนักเขียนทุกท่านทั้งร่วมค่ายและต่างค่ายที่ยังปิดเล่มไม่เสร็จ


ข้อความด้านหลังนั่นตัดมาจากหนังสือเล่มนี้นะ ไม่ใช่อีกายพูดเอง แต่จริงๆ มันก็คือคำพูดจากใจของอีกายนั่นแหละ