meme: ความฮาที่ไร้พรมแดน

อันนี้เป็นบันทึกเรื่อยเปื่อย ภาคต่อจากบล็อกที่เสนอทฤษฎีวิถีข่าวสั้นไปเมื่อครั้งกระนู้น
ตรงไหนที่พอจะมีลิงก์อ้างอิงได้ผมจะใส่ไว้ อาจจะดูน่ารำคาญนิดนึงแต่ก็สามารถกดเข้าไปอ่านต่อได้นะครับ

ไม่รู้มีใครสนใจศึกษาเรื่องนี้จริงจังหรือยัง
คือผมสนใจ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ลงไปทุ่มเทกะมันเท่าไหร่
เลยเอามาเขียนโน้ตไว้หน่อยเผื่อใครจะเอาไปสานต่อครับ (ดูเหมือนจะมีสาระนะ..)

นอกจากโลกออนไลน์มันจะย่อย่นระดับความสัมพันธ์ของคน จากที่เคยรู้จักกันในระดับถิ่นฐานที่อยู่อาศัย
เปลี่ยนจนกลายเป็นรู้จักจนได้เสียเป็นเมียผัวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหลังคาบ้านด้วยซ้ำ
จนเขามาปรับผลวิจัยทฤษฎีเมื่อหลายปีก่อน ที่บอกว่าคนเรายังไงก็ต้องสัมพันธ์กันใน 6 สเต็ป
ตอนนี้โลกออนไลน์ย่นมันให้เหลือน้อยกว่านั้นได้แล้ว (ขอบคุณทั่นศาสดาซักกะเบิกเนตร)

ไอ้นั่นเรารู้กันอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ที่ผมสนใจคือ ใครจะไปรู้ว่าวันนึงมุกตลกทั่วโลกเนี่ย
แม่งจะถูกทำให้เป็นสากลได้เร็วไฟแลบขนาดนี้ (ฝรั่งใช้คำว่า Meme และ Internet meme )
ยิ่งเป็น พ.ศ.นี้ การล้อเล่นกับอะไรนั้นไม่ใช่แค่เล่นกันเอง ฮากันเองในหมู่เพื่อน หรือหมู่ชนชาติเดียวกัีนแล้ว
แต่พฤติกรรมการยั่วล้อที่ทำได้ง่ายขึ้น คนรับได้กันมากขึ้นเนี่ย มันขยายและลามปามไปทั่วโลกแล้วครับ
อันนี้ก็เป็นผลพวงมาจากย่อหน้าที่แล้ว ที่โลกออนไลน์มันดันไปลดความยุ่งยากในการส่งต่อข้อมูลลงอย่างเหลือเชื่อ

wtc-animated-gif

จากเมื่อก่อนที่จะฮากับอะไรที่คนเขาล้อกัน ก็ต้องมานั่งเปิดอีเมลอ่าน FWD หรือกระทู้ตามเว็บบอร์ด
ซึ่งมันไม่เรียลไทม์ (งั้นผมควรเลิกพูดเรื่องอดีตได้แล้ว เพราะถ้ามีคำว่า “เมื่อก่อน” เมื่อไหร่แสดงว่าตัวเองแก่)
แต่บัดนี้มุกที่ฝรั่งเขาฮากันเมื่อวาน แป๊บๆ ก็เอามาล้อกันด้วยสำเนียงภาษาและกลิ่นไทยๆ ได้ฉิบแล้ว
ตัวอย่างก็เช่นมุก “#จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า” ที่ฮิตระเบิดระเบ้อในทวิตเตอร์เมื่อวานซืน
อันนั้นก็ตามฝรั่งแค่อาทิตย์เดียว แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันยากจะฮาเพราะค่อนข้างเฉพาะกลุ่มไปหน่อย
แถมไม่ค่อยมีกลิ่นไทยแบบตลกสามช่าหรือบร๊ะเจ้าโจ๊ก (ที่มันแมสโคตรๆ) สักเท่าไหร่

แล้วอะไรที่เป็น meme แบบไทยๆ?

มันก็ต้องเป็นสิ่งที่คนไทยเก็ต และรู้จักกัน (ผมขอเจาะเฉพาะกลุ่มคนออนไลน์นะ)
จะให้ดีต้องเกิดจากการเสียดสี ยั่วล้อ จิกกัดสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในขณะนั้นๆ อย่างจงใจเกรียน
ก็ตามสูตรวิถีข่าวสั้น คือเริ่มจากดราม่า และต่อมามีไอ้บ้าที่มานำขบวนตลก และตลกต่อกันไปเรื่อยๆ
ยิ่งเจ๋งยิ่งแชร์ ยิ่งเป็นของแท้ก็ยิ่งลามทุ่ง ด้วยพลังของมวลชนอย่างแท้จริงเลยครับแบบนี้
ถ้านึกไม่ออก จะให้ยกตัวอย่างน่ะเหรอ ได้ๆ ..เอาเท่าที่นึกออกตอนนี้นะ

  • คลิปโดมเซ็ตผม มียอดคนดูล้านคนนิดๆ ลามไปยันโคมปะการัง ที่ทำคลิปเล่นๆ มาล้อเลียน
    จนตอนนี้ยอดคนดูก็เฉียดล้าน! และคุณโคมก็มีหน้ามีตาในวงการไปจริงจังเรียบร้อยแล้ว (วงการไรวะ)
  • คลิปยูทูบซับนรกต่างๆ โดยเฉพาะฮิตเลอร์อยากทำนั่นนี่ ที่มาจากหนังเรื่อง Down Fall
    (อันนี้ผมเคยเอาไปพูดในงาน SMCON เมื่อปีกลายด้วยแหละ แหะๆ)
    รวมถึงคลิปทำเอามันส์แบบต่างๆ ที่ปรากฏถี่ขึ้นเรื่อยๆ และมีดาราแจ้งเกิดด้วยยูทูบมากขึ้นเรื่อยๆ
  • จ๊ะคันหู อันนี้สุดยอดของสุดยอดแห่งปรากฏการณ์!!! (ล่าสุดในคลิปต้นฉบับนี้ 16 กว่าล้านวิว)
  • ดราม่าสารพัดสารเพ อันนี้ไปอ่านต่อในเว็บจ่าพิชิตเอาเองนะ
  • ดราม่าทวิตเตอร์อย่างแท็ก #wongthanongiswatchingyou ที่เสียดสีคุณวงษ์ทนงไว้เจ็บแสบ
    (meme แบบนี้เจ้าตัวไม่ตลกด้วยนะครับ แต่กระแสบริสุทธิ์ที่แรงแบบนี้ไม่พูดถึงก็เสียดาย)
  • พวกมุกภายในต่างๆ ตามเว็บบอร์ดบ้านเรา หรือที่ไร้สาระนุกรมเอาไปล้อ
  • วลี “เอาอยู่” ของ ศปภ. ที่โดนเอามายั่วล้อจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้
  • แพลงกิ้ง (คงไม่ต้องอธิบาย) รวมถึงไอ้พวกพับเพียบไทยแลนด์และสารพัดจะทำตามๆ กันนั่น
  • อวตารปลาไหล รวมถึงอวตารอื่นๆ ที่เกิดเองโดยธรรมชาติบ้าง มีบริษัทจัดตั้งบ้าง
  • คลิปรู้สู้ฟลัด อันนี้ชื่นชมคนทำคลิปนี้จริงๆ ครับ คนดูในยูทูบคลิปแรกเป็นล้านๆ คน
    ในทีวีอีกไม่รู้กี่ล้าน และสร้างคุณประโยชน์มหาศาลให้กับชาติบ้านเมืองเราอย่างหนักหน่วงเลย
    และขอยอมรับอย่างพ่ายแพ้เลยว่าก่อนหน้าที่จะมีคลิปนี้ ผมก็ทำไว้เหมือนกัน (ใจตรงกัน!)
    เสียดายว่าคิดบทเอย วาดเอย ฯลฯ ไว้แล้ว เหลือแค่แอนิเมชันเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นหมันไป
    ก็นะ.. ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ไม่มีข้ออ้างครับ เสียดายๆ อยากดังกะเขาบ้างง่ะ
  • การเซ็นเซอร์แบบปัญญาอ่อนของกองเซ็นเซอร์ตามสื่อหลักต่างๆ อันนี้เป็นดราม่าคลาสสิก
  • คำผกาโชว์นม (อันนี้ข้ามประเด็นเรื่องอากงกันไปหมดเลย คือเห็นเลยว่าคนสนใจสารอะไรกันแน่)
  • พี่เสพโลโซ (ซึ่งก็ดันมาวันเดียวกะคำผกาจนกลบข่าวอากงให้จมหายไปอีก)
  • มุกละครวนิดา เรยา เด่นจันทร์ อะไรไม่รู้สารพัดที่ฮิตจนทวิตเตอร์แตก
  • ประโยคที่ผุดขึ้นมาโดยมีสาเหตุมั่ง ไร้สาเหตุมั่ง เช่น
  • อวดของเก่าที่ตัวเองมีเอี่ยวมั่ง – กรุ๊ปเฟซบุ๊กชื่อ “พี่แม๊วสบายดี และบินเดี่ยวมาแล้วทั่วโลก
    ผมทำไว้เมื่อเกือบสองปีก่อน สนุกโคตรๆ ถ้าเป็นตอนนี้คนเล่นคงมากกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ฮ่าๆ
  • หรือถ้าจะให้เก่ากว่านั้นก็ยุคที่ทำคลิปทักษิณร้องเพลงมายยะฮี้เมื่อหกเจ็ดปีก่อนนั่นเลย
    อาจจะเรียกว่าเป็น meme แบบทำเองที่ฮิตที่สุดโคตรพ่อโคตรแม่ของความบ้าบอแล้ว
    เป็นปรากฏการณ์ออนไลน์ที่เกิดแบบระเบิดปรมาณูถล่มทุกเว็บที่ผมทำตอนนั้นจนล่มวินาศทั้หงหมด
    ออกทีวีครบทุกสำนัก นี่ขนาดยุคนั้นไม่มีเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ยังมีคนดูคลิปบ้านี่เป็นล้านๆ ครั้งในไม่กี่วัน
    จะว่าไปผมหากินกับคุณทักษิณบ่อยมากเลยนะเนี่ย ก็แกตลกอะ (ชูวิทย์ก็ตลก แต่คนเล่นเยอะแล้ว)
  • ฯลฯ .. ใครนึกออกอีกช่วยเพิ่มลงในคอมเมนต์ได้จะขอบพระคุณยิ่งจ้ะ :27:

เขียนเรื่อยเปื่อยจนดึกละ พอๆ สรุปละกัน
ผมสนใจคำว่า meme จนอยากเห็นสารานุกรมออนไลน์ที่บรรจุเรื่องราวที่มาของ meme แบบไทยๆ เอาไว้
เพราะมันเป็นแหล่งอ้างอิงชั้นดีกับวัฒนธรรมย่อยในโลกออนไลน์ ที่มาเร็วโคตรๆ
ส่วนจะไปเร็วหรือเปล่าก็แล้วแต่ความคลาสสิกของ meme นั้นๆ นั่นเองงง

ว่าแล้วใครสนใจจะเปิดเว็บสารานุกรมบ้าบอแบบไทยๆ นี้มั่งก็ดีนะครับ โดเมนเนม meme.in.th ยังว่าง!
ถ้าจะให้แจ๋วก็ทำแบบ Knowyourmeme ของฝรั่งไปเลย (ผมชอบจนดูดฟีดไว้อ่านเลย บ้าจริงกู)

.

ป.ล.
ลองเล่นแอปฟรี: ROiDRAGE ครับ ของแอนดรอยด์ ใช้ง่ายมาก ใช้วาดการ์ตูนซีรี่ส์ RAGE GUY
ไอ้การ์ตูนชุดนี้เห็นบางคนเรียกการ์ตูน 9GAG ถ้านึกไม่ออกก็กดลิงก์ หรือไม่ก็ข้ามไปดูข้างล่างเลย
ที่จริงฝรั่งก็มีเว็บแนวๆ นี้อีกเพียบ และ 9GAG.com เองก็ไม่ค่อยน่านับถือเท่าไหร่
เพราะแม่งไม่เคยให้เครดิตใครเลยนอกจากใส่ลายน้ำเว็บตัวเอง แล้วเสือกดัง เพราะระบบมันเลอเลิศจริงๆ ดอกส์!

ลองเล่นแอป ROIDRAGE

หวั่นซ้ำรอยคดีอากง

ลองเขียนบล็อกและการ์ตูนให้จบในมือถือครับ (กำลังเห่อ Galaxy Note)
ปรากฏว่าแอป WordPress ดันใส่โค้ดภาพจาก Flickr ไม่ได้ กากจริง!
เลยต้องเอามาใส่ในเบราว์เซอร์อีกที

โปรดตรวจสอบทรัพย์สินในการดูแลของท่าน

ข้อเสนอ: วิธีใช้ทวิตเตอร์แบบปกติในสถานการณ์ไม่ปกติ

บอกไว้ก่อนว่าข้อเสนอนี้ง่ายฉิบหาย ง่ายจนไม่น่าเชื่อว่ามึงจะเสนอทำไม
แต่เชื่อเถอะว่ามันทำไม่ได้จริง 100% ครับ เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้ทวิตเตอร์ ที่คิดว่า “ก็กูถนัดแบบนี้”

.

ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาเกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ข้อมูลข่าวสาร”
แต่ปัญหาก็คือข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน วิกฤตที่ผ่านมาอย่างจลาจลปี 53 ก็เป็นตัวอย่างมาแล้ว
ว่าพอเราเข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารเมื่อไหร่ การบอกต่อกันมาโดยใส่เครื่องปรุงคนละนิดละหน่อย
กว่าข่าวจะมาถึงผู้รับ ก็โดนดัดแปลงแต่งเติมจนผิดเพี้ยน จึงเป็นชนวนดราม่าอย่างดีต่อไป

โยนเข้าสู่เรื่องทวิตเตอร์

จุดเด่นของทวิตเตอร์ คือมันเป็นช่องทางกระจายข่าวที่เร็วมากๆ
และมีจุดแข็งที่พวก FWD Mail ต่างๆ หรือแม้แต่ BBM, WhatsApp ไม่มี
คือ มันสามารถสืบย้อนไปถึงต้นตอข้อความแรกสุดได้เสมอ

twitter-rt

ดูจากแผนภาพด้านบนนี้ เห็นเลยว่าเพียงแค่มีต้นตอแหล่งข่าวที่ทวีตอะไรขึ้นมา แล้วมีคน RT
ทุกๆ ข่าวก็จะมีการส่งต่อเพียงระดับชั้นเดียวเท่านั้น ไม่มีการ FWD จนสืบหาต้นตอไม่ได้เหมือนเจ้าอื่นๆ
ในกรณีน้ำท่วม ถ้าเจ้าของทวีตแรกเป็น ศปภ เองก็จะน่าเชื่อถือที่สุด (อันนี้ผมประชดครับ)

ทีนี้ปัญหาก็คือ ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเรียนรู้การใช้งานทวิตเตอร์ที่ถูกต้อง เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
คุณครับ ในยามปกติคุณจะใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะ จะตอบทวีตด้วยการ RT แล้วเติมข้อความให้รกๆ ก็ทำไป
แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ และการข่าวมีความสำคัญนาทีต่อนาที และส่งผลต่อการตัดสินใจของคนขนาดนี้
ผมขอความร่วมมือช่วยกันเผยแพร่ “วิธีใช้ทวิตเตอร์แบบปกติ” ให้ช่วยกันหน่อยเถอะครับ
(หลายคนเห็นหัวข้อบล็อกก็อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมีคำว่า “แบบปกติ” ด้วย เดี๋ยวจะอธิบายให้อ่านนะ)

01 ใช้ #Hashtag แบบปกติ

ใครที่รู้แล้วอ่านข้ามไปเลยครับ ส่วนใครรู้แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ ลองแวะอ่านดูหน่อย
คือทวิตเตอร์ (และ Google+) เนี่ย พอเราใส่ข้อความภาษาอังกฤษใดๆ ที่นำด้วย # มันจะคลิกได้
เท่านั้นยังไม่พอ ระบบมันจะกรองไอ้ที่คลิกๆ ไปมาแสดงเฉพาะได้ มีประโยชน์มากในสถานการณ์แบบนี้
ทีนี้ในสถานการณ์แบบนี้เราตกลงกันหลวมๆ ว่า “เรามาใช้ #thaiflood กันเถอะ”
โอเคครับ แท็กนี้มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเว็บ thaiflood ที่กดไปแต่ละข่าวก็ยิงเข้าเว็บ kapook กันทั้งนั้น
ทั้งที่จริงแยกระบบให้ขาดจากกันมันไม่ยากอะไร.. แต่เอาไงดีล่ะ สถานการณ์แบบนี้ จะยอมไหม?
ผมยอมครับ สิ่งที่ thaiflood ทำนั้นมีประโยชน์มาก ถือเป็นเว็บจิตอาสาที่เห็นผลชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่งเลยล่ะ
แต่ติดแค่นิดเดียวตรงที่พอโยนเข้า kapook แล้วมันดูไม่สง่างามเท่านั้นเอง อันนี้ก็วิจารณ์กันตรงๆ ชัดเจน
(เพิ่งแสดงความเห็นวิจารณ์กับ @suppakij และ @yokekung ไปเมื่อกี้นี้เอง ใครจะแตกหน่อก็ได้นะครับ)

ทีนี้เรายังเห็นการใช้แท็กที่กระจัดกระจายประมาณว่าเราจะสร้างแท็กใหม่ที่มันอินดี้กว่า
เช่น #rangsitflood หรือ #pathumflood หรือ #floodthailand อะไรแบบนี้ขึ้นมา
อยากบอกว่าถ้าใช้คู่กันกับแท็กหลักผมว่าโอเคนะ แต่ถ้าต้องการฉีกออกไปเพราะอินดี้อันนี้ไม่เห็นด้วย
เพราะผู้สนใจและบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างก็ใช้ #thaiflood กันจนเรียกว่าเป็นทางการไปแล้ว ตามๆ เขาเหอะ
(ธรรมชาติของมนุษย์โลกออนไลน์คือไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง หรือตั้งเป็นกฎครับ แต่นั่นมันยามปกติ)

02 ใช้ Reply แบบปกติ

อันนี้สำคัญมาก! โดยเฉพาะพวกดาราทีวีที่นอกจากตัวเองจะใช้ผิดแล้วยังชักพาให้แฟนๆ ใช้ผิดไปด้วย
(ผมไม่ดูทีวีรายการบันเทิง ดังนั้นดาราทีวีก็คือมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็นอำมาตย์เหนือใคร ..ยกเว้นน้องเต้ย)
เวลาคุยกัน การกดปุ่ม Reply แปลว่าตอบ ..ครับ ง่ายๆ แค่นี้เอง
ทวิตเตอร์มันใช้ง่ายเพราะเขาออกแบบมาแบบนี้ อย่าไปกระแดะอยากให้ข้อความเดิมแสดงในทวีตเราด้วย
แล้วกลายเป็นการ “RT ตอบ” (ใครกันนะแปล RT ว่า Reply To .. โธ่ อีกรวยไต)

แล้วมันเกี่ยวอะไรกะเวลาวิกฤต?

  • การตอบทวิตเตอร์แบบธรรมดา ถ้าใครไม่ได้ follow ทั้งคู่ มันจะไม่ไปแสดงเกะกะใน Timeline
    (สารภาพว่าผมเพิ่งรู้ข้อนี้แหละ ถึงว่าสิพอกดไปดูใน Profile แต่ละคนทำไมมันมีไอ้ที่เราไม่เห็นเยอะจัง)
    การ “RT ตอบ” นั้น ทำให้เกิดขยะที่ผู้อ่านไม่ได้ต้องการจะรู้มากมายงอกขึ้นมา
    เวลากวาดสายตาอ่านจะเอาสาระ ความเข้มข้นของข้อมูลก็จะลดลง มีแต่ผักบุ้งครับ
  • ไม่ว่าจะใช้โปรแกรมอะไรเล่นทวิตเตอร์ เราสามารถกดที่ข้อความเพื่ออ่านบทสนทนาย้อนหลังได้ครับ
    ซึ่งดีกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง >> RT a:เป็นไง // RT b: a: เป็นไง/ยังไม่ท่วม แกล่ะ // RT a: แต่ชั้น.. (ที่ไม่พอ)
    ที่สำคัญและผมเน้นมากๆ คือเรื่องการ Track ดูบทสนทนาย้อนหลัง..
  • การ Track บทสนทนาย้อนหลังมีประโยชน์มาก!
    เช่นถ้าเป็นข้อความเชิงแจ้งเหตุหรือขอร้องใดๆ เราสามารถสืบย้อนดูได้ “ตามเวลาจริง”
    โดยต้นฉบับของข้อความไม่ถูกตัดขั้วบิดเบือน ลองนึกภาพน้ำกำลังมา.. เวลาจริงนี้จะสำคัญมากครับ
    หรือในกรณีที่มีการโต้เถียงวิพากษ์วิจารณ์อะไร เราสามารถอ่านย้อนเป็นลำดับขั้นได้ เวิร์กเช่นกัน

03 ใช้ RT แบบปกติ

เหตุผลหนึ่งที่คุณ @Physics_Lek บอกไว้ ทำให้ผมต้องมาเขียนบล็อกนี้ให้จบหลังจากดองมาเป็นอาทิตย์
(ตอนนั้นที่เขียน น้ำเพิ่งจะโจมตีอยุธยาเอง แล้วข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน แต่ป่วยซะก่อนเลยเพิ่งหายมาเขียนต่อ)
นั่นเพราะข่าวลือมันเยอะเหลือเกิน แล้วใครเป็นต้นตอก็ยากเสียด้วย เพราะเราทำลายหลักฐานกันหมดแล้ว
ด้วยการ “RT แบบไม่ปกติ” นี่แหละครับ แต่จะเป็นไปด้วยความหวังดีหรือประสงค์ร้ายก็ไม่รู้สินะ..

พูดปากเปียกปากแฉะซ้ำซากและกระแนะกระแหนเซเล็บ (=ความหมายในเชิงประชดประชัน) ไม่รู้กี่รอบแล้ว
แต่เราก็ยังเห็นหลักสูตรนักการตลาดชอบเอาไปเปิดอบรมสอนสั่งกันว่า “การทวีตที่ดี ต้องเว้นที่เผื่อให้คน RT ต่อ”
เฮ้ย จะเว้นทำไมครับ ในเมื่อทุกโปรแกรมที่ใช้เล่นทวิตเตอร์นั้น พอกด RT ปั๊บ มันก็บอกต่อข้อความต้นฉบับได้เลย
ลองเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูข้างบนครับ จะเห็นแผนภาพอุดมคติที่ทวิตเตอร์ควรเป็น
คือข้อความลำดับชั้นที่ 1 โดยผู้ส่งสาร ส่งถึงผู้รับในวงกว้างได้เลยโดยไม่ถูกดัดแปลงข้อความและ “เวลา”

แต่การไปกด RT ตามด้วยการกด Edit  ข้อความ ตามด้วย.. (เหนื่อยนะ) เนี่ย มันคือการ “ตัดขั้ว” ข้อมูลนะครับ
ข้อมูลด้านเวลาที่ฝังไปกับข้อความจะหายฉัวะไปทันที ดังนั้นเราไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าต้นฉบับมันมาตอนไหน
ที่สำคัญคือไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้นตอเขาทวีตจริงหรือมีการแอบอ้างให้เกิดการเสียหาย
(ไม่ตลกนะครับ เคยมีคนดังที่เถียงกับคนไม่ดัง แล้วใช้การ RT ปลอมๆ ทำร้ายรคู่แข่งมาแล้วจริงๆ ในไทยนี่แหละ)

สำหรับกรณีนี้เราจะพบเวลามีข้อมูลสำคัญมากๆ แล้วเกิดการบอกต่อเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง
เช่นการประกาศอย่างเป็นทางการ หรือข้อมูลฉุกเฉิน ซีเรียส เข้มงวด หรือมาคุ หรือแม้แต่ฮาโคตรๆ
มันจะมีบางคนที่เก๋าๆ หน่อยที่ชอบ “ตัดขั้วทวีต” โดยกด Edit (และหรือตัดแต่งข้อความให้มันไม่ล้น 140 ตัวอักษร)
ทำให้ส่งข้อความปั๊บ จะโชว์หน้าอวตารตัวเองติดไปด้วยเสมอ ทำให้มีคนที่เห็นกด follow เพิ่มขึ้นพรวดพราด
และโกยแต้มตามเว็บวัดค่าอิทธิพลออนไลน์ต่างๆ (เฮ้ย! ดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่มีคนเป็นแบบนี้จริงๆ นะครับ)
แต่นั่นไม่ค่อยเป็นประเด็นที่จะพูดถึงในยามวิกฤตเท่าไหร่ เพราะยามนี้เราจะเห็นหลายๆ สำนัก
ต่างรณรงค์ให้ใส่ “เวลา” ลงไปด้วยเพื่อความไม่สับสน ที่จริง “เวลา” มันฝังอยู่บนข้อความแล้วครับ
ขอแค่คนที่เอาไปบอกต่อนั้น ใช้วิธี RT แบบปกติ ไม่ต้องพิสดารตัดขั้วให้มันเสียความบริสุทธิ์ไป ก็เท่านั้นเอง
และคนที่เขาจะเอาไปเขียนโปรแกรมแจ้งเตือนอะไรต่อ ก็ใช้ข้อมูลตรงนี้แหละได้เลย ไม่ต้องไปกรองเพิ่ม
ที่สำคัญคือ ในยามวิกฤตและต้องการขอความช่วยเหลีอเนี่ย พื้นที่ 140 ตัวอักษรมันมีค่ามากๆ ครับ 

แล้วคนที่อยากให้มันไปโผล่ใน Facebook ล่ะ?
เห็นหลายคนติดตั้งตัวเชื่อมอะไรๆ ให้ไปโผล่ในเฟซบุ๊ก แต่ถ้า RT ปกติจะไม่โผล่
อันนี้ก็ต้องอนุโลมแหละครับ แต่ทางที่ดี อยากให้เขียนแก้ไขเป็นสำนวนตัวเองไปเลย
(แล้วใส่ที่มาเป็นเครดิตผู้ทวีตต้นฉบับก็เป็นที่เข้าใจได้ อย่างน้อยก็ให้เกียรติกันนี่เนอะ)
ดีกว่าไปตัดทอนข้อความของต้นฉบับซึ่งเจอมาหลายทีละว่าความหมายมันเพี้ยนไปเลยครับ

แนะนำทวิตเตอร์ที่ RT แบบปกติได้เป็นปกติอย่างมืออาชีพครับ: @paipibat, @SpringNews_TV

.

ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่เสพติดและคลุกคลีกับทวิตเตอร์มากๆ คนนึง เลยอยากให้มันดีขึ้นๆ
ก็อยากให้เข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงต้องจ้ำจี้จำไชว่าเฮ้ย มึงอย่า RT ตอบสิ มันรำคาญตา ฯลฯ
ซึ่งที่จริง แค่เราใช้มันให้ “เป็นปกติ” ไม่ต้องไปคิดวิธีพิสดารสวมลงไป เท่านี้ก็เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วครับ

ป.ล.
ปกติผมใช้คำว่า วิกฤติ มากกว่า วิกฤต (เขียนได้สองแบบ) คราวนี้ลองเขียนอีกแบบดู
เออ ดีเหมือนกัน ประหยัดตัวอักษรไปหนึ่ง สมเป็นเรื่องเกี่ยวกะทวิตเตอร์เสียจริง

ป.อ.
ผมเขียนด้วยสำนวนที่ไม่น่าอ่านเท่าไหร่ อัดความเห็นของตัวเองด้วยอคติเต็มที่ แถมพาดพิงคนนั้นคนนี้
แต่ทั้งหมดนี้เพราะหวังจะให้ทวิตเตอร์เป็นเครื่องมือที่สร้างประโยชน์สูงสุดในยามคับขันครับ
ยังไงก็ฝากพิจารณาก่อนบอกต่อนะครับ เดี๋ยวดราม่าอีก แค่นี้ไทม์ไลน์ก็รกพออยู่แล้ว  :30:
หรือถ้าอยากเสนอไอเดียอะไรก็เชิญที่ด้านล่างได้เลย ถือว่านี่เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ต้องช่วยกันครับ