ถ้าคุณเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาว จะทำยังไงกันครับ

บล็อกนี้ถือว่าเขียนเพื่อไถ่โทษ ที่ตัวเองดันไม่มีปฏิภาณไหวพริบพอที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้นแบบปุบปับ มันไม่มีเวลาไตร่ตรองเพื่อแก้ปัญหาได้ คุณจึงควรเข้าใจธรรมชาติของการแสดงความเห็นตามเว็บบอร์ด ที่มักมีคนบอกว่า “ถ้าเป็นเรานะ เราจะ—–” ยังงั้นยังงี้ อยากบอกว่าตอนเกิดเหตุการณ์จริงนั้นมันไม่เหมือนกับการแสดงความเห็นหลังเหตุการณ์ครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้ผมเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวออฟฟิศคนนึงที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ

ผมเลิกงาน และเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าตามปกติ ซึ่งโดยปกติก็เป็นคนชอบชมวิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิวอะไรขาวๆ น่ะ :51: พอเจอก็เหลือบๆ พอน่ารัก ไม่ได้จะจ้องค้าง หรือตามกลับบ้าน หรือแม้แต่พุ่งเข้าไปถูกเนื้อต้องตัวอะไร

พอดีว่าพอขึ้นบันไดเลื่อนออกจากอาคาร Park Ventures มาปั๊บ ก็มีสาวออฟฟิศคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าพอดีครับ (อยากจะอธิบายรูปพรรณสัณฐานแบบให้อ่านแล้วนึกภาพอกแต่ไม่ให้รู้สึกว่ากำลังละลาบละล้วงโลมเลีย ทำไงดีวะ) ..เอาเป็นว่า นึกภาพหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปลายๆ ที่รู้ตัวเองดีว่ามีของดีตรงความขาวจั๊วะ หุ่นดี และขาเรียวสวย ก็เลยแต่งตัวเซ็กซี่จนเป็นความเคยชินที่ไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปสักเกือบคืบ เป็นผ้าย่นๆ แบบเสื้อตุ๊กตาน่ะ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร และสีน้ำเงินสดแปร๊ดๆ ล่อตาสุดๆ เลยนะ แบบ มึงดูกูสิ กูใส่ใส ดูเลยๆ … เมื่อตัวมารมันสั่งแบบนี้ ผมก็เลยเหล่แว้บๆ พอกระชุ่มกระชวยบ้างสิครับ แฮ่..

rokjid-01
(ตัวจริงไม่ได้ล่ำขนาดนี้นะครับ หุ่นดีมาก แต่ผมมีปัญญาวาดแค่นี้แหละ ได้ทีเดียวด้วย ชาตินี้คงวาดไมได้อีกแล้ว)

ทีนี้พอผ่านด่านตื๊ดตั๋ว (อีตั๋วตรากระต่ายนี่โคตรกาก กว่าจะตื๊ดได้แต่ละที สะดุดแล้วสะดุดอีก) เธอคนนี้ก็เดินนำหน้าผมไปในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วพอเดินตามขึ้นบันได เพื่อจะไปรอคิวรถไฟฟ้าเนี่ย มันก็ต้องมองขึ้นไปข้างบนใช่ปะ แต่พอสายไปเจอะอะไรขาวๆ ตรงหน้า มันจะเขิน จ้องนานไม่ได้ น่าเกลียด เลยต้องหลบตาโบ้ยมามองข้างๆ (ที่แท้เกรงว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะครหาตะหาก ไม่งั้นคงมองนานกว่านี้อีกหน่อย ..แฮ่) อ้อๆ คนเดินขึ้นบันไดกันไม่เยอะนะครับ มีประมาณ 5-6 คนได้มั้งถ้าจำไม่ผิด

และแล้วก็มีหมอนี่เดินมาครับ นึกหน้าและท่าทางคล้ายๆ คุณป๋อมแป๋มในเทยเที่ยวไทยน่ะครับ แต่อันนี้ใส่ชุดพนักงานบริษัทธรรมดาทั่วไป (ไม่ได้ใส่สูทนะ) ก็แซงผมขึ้นไปอยู่ข้างหน้า

ผมเบี่ยงตัวไปด้านขวา จะได้เดินเฉลี่ยๆ ไม่ชิดกันมาก ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เซ็งๆ ที่ไอ้บ้านี่มาบังกู ก็คิดว่ามันจะรีบ และเดินแซงไปข้างบนซะอีก ..ที่ไหนได้ มันหยุดเร่งความเร็วลงตรงบันไดขั้นถัดจากสาวตึงกระโปรงสั้นคนนั้น แล้วเริ่มลงมือ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ครับ

rokjid-02

จังหวะนั้นมันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่เห็นเลยว่ามันเนียนมาก แต่เนียนยังไงก็คงไม่ได้กะว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบมาทางขวาเพื่อจะได้ดูถนัดๆ มันเลยกระทำการอย่างใจเย็น แต่มืออาชีพมาก

เสี้ยววินาทีถัดมา ตัวละครทั้งสามคน (ผม เธอ มัน) ก็ไปถึงชานชาลา และรอรถไฟ จังหวะนั้นมันยังใหม่มาก นึกไม่ทันว่าต้องลำดับเหตุการณ์ยังไง อะไรสำคัญควรทำก่อนดี

ผมเลยหันไปมอง มันเดินไปหลบ (หลบจริงๆ นะ) ตรงหลังเสา พิงราวของสถานีด้านหลังนู่น แล้วควักโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายตะกี้ออกมาชื่นชมผลงาน ส่วนแม่นางคนนั้น.. ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ต่อไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร และผมเอง ยืนต่อแถวเข้าคิวขึ้นรถอยู่ (คนละแถวกะแม่นาง พอดีแถวมันไม่ยาว เลยกระจายๆ กันยืน) จังหวะนี้ผมเงอะงะมาก

และเหตุการณ์ก็ไม่ได้จบแบบในหนัง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

.. จบ ..
อ้ะเดี๋ยวๆ ขอต่ออีกนิด

ผมคับแค้นมาก คือแค้นตัวเองว่าทำไมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดอะไรขึ้นสักหน่อย แต่มานึกดู การที่มาใคร่ครวญทีหลังมันมีเวลาให้คิดนานไง ผิดกับสถานการณ์ตรงนั้น ที่ฉุกละหุกมาก จนไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่พอจะทำได้คือทวีตเล่าเหตุการณ์และเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อาจจะเจอ หรืออาจจะโดนแบบนี้ หรืออาจจะเป็นคนแอบถ่าย ว่าต่อไปมึงต้องเนียนกว่านี้

 

 

ปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้อ่านทางบ้าน มีหลายความเห็นน่าสนใจครับ ทีแรกคิดว่าจะเจอแต่แบบ “ควรเตือนนะ เป็นเราจะขอบคุณ” (บางคนไม่ได้อ่านทวีตก่อนหน้าก็จะคิดแค่ว่าถ้าเจอจะทำยังไง ไม่ได้นึกภาพว่าเหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนไง) แต่กลับมีคำตอบที่ว่า “อย่าเตือนเลย” จากผู้หญิงกลับมาด้วยครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จบครับ แล้วคุณล่ะ?

ผีหางตา

(ต่อไปนี้จะหัดเขียนแบบตัดประโยคทีละย่อหน้าแบบชาวบ้านเขาดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเขียนแบบกด Enter ท้ายบรรทัดให้มันกว้างเท่าๆ กันมาตลอด รู้สึกว่าเป็นธรรมเนียมที่น่ายกเลิก)

ทุกวันเวลาผมเลิกงาน และกลับบ้านด้วยรถประจำทางเนี่ย กว่าจะถึงแถวหน้าบ้านก็ล่อไปสองสามทุ่มละ มันจะมีจังหวะที่ต้องสะดุ้งทุกที (ย้ำว่าทุกที) ครับ เพราะนอกจากตรงนั้นจะมืดมาก เปลี่ยวมากแล้ว มันยังเป็นกำแพงวัดด้านหลังเมรุซะด้วย

อ่านดูแล้วยังกะหนังผีพล็อตโบราณๆ ที่เอะอะไอ้คนเล่าแม่งต้องเดินผ่านป่าช้าหรืออะไรแบบนี้ทุกที แต่ขอโทษครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนึงจะได้มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเองจริงๆ

จุดที่ผมลงจากรถกระป๊อคือหน้าซุ้มวัด แล้วต้องเลาะเลียบกำแพงวัด เดินหลบขี้หมาแล้วไต่ทางเท้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 100 เมตร กว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านซึ่งมีแสงไฟ มียามหมู่บ้าน และถ้าวันไหนกลับไม่ดึกมากก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์นั่งรอผู้โดยสารอยู่ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้นคืออุ่นใจละ กูถึงบ้านละ เดินไปจุดจอดจักรยานได้ก็ถือว่าฟิน อีกไม่กี่วินาทีจะถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียและแมวๆ ละ

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะมันต้องผ่านจุดเปลี่ยว ที่มีผี ที่ผม “เจอทุกวัน” เสียก่อน

คือผมชอบใส่หูฟังเวลาเดินทาง เพราะพบว่ามันสงบดี ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายและกลิ่นเหม็นของกรุงเทพฯ ข้างนอก บางทีก็เปิดเพลง บางทีก็โหลดรายการทีวีย้อนหลังอย่างพวกตอบโจทย์ สยามวาระ หรือเทยเที่ยวไทยมาตุนไว้ในมือถือ แล้วก็เปิดคลอมาตลอดทาง นานๆ ทีจะมีคนอวดผีย้อนหลังมาแจมด้วย (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการฟังอย่างเดียวเท่าไหร่ เพราะมันต้องก้มลงดูด้วย)

ทีนี้พอลงจากรถปั๊บ ก็ถอดหูฟัง เพื่อเรียกตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และก้าวเดิน ผ่านหลังเมรุเผาศพและกำแพงวัดที่มีเฟรนด์ชิปบรรพบุรุษจำนวนมากอาศัยอยู่นั่นแหละครับ

มันจะมีจังหวะนึงที่พอเดินปั๊บ ก้มหลบป้าย แล้วเตรียมลงจากทางเท้า หางตาด้านขวา (ฝั่งเดียวกับเมรุ) ของผมจะเห็นไอ้นี่

ghost-on-the-way

เหี้ย! ไม่ใช่เหี้ยสิ ผี!

คือสะดุ้งทุกครั้ง จำได้ว่าตอนเจอครั้งแรกนี่ตกใจมากจนเดินตัวงอเลยครับ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเคยเจอผีมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันมีจริงอยู่ แต่หลังๆ ไม่ได้กลัวเพราะว่ามันไม่ได้เจอมานานแล้ว พอเดินผ่านไปสักสองสามก้าวก็หันมามองเพื่อดูว่าที่จริงมันคืออะไร (เป็นวิธีสยบเรื่องผีทุกเรื่องในโลก) ปรากฏว่าที่แท้มันคือต้นไม้ที่อ้วนขนาดเท่าแขนขาเราพอดี แล้วมีไม้กระดานพาดไว้

แต่จังหวะและบรรยากาศตรงนั้นนั่นแหละ พร้อมด้วยการจินตนาการต่อยอดจากภาพจากหางตาเวลาแวบเห็น ที่หลอกเราว่ามันคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน ทั้งที่จริง ..แม่งก็เหมือนคนจริงๆ นะ

พอหลังๆ ลงรถและเดินผ่านตรงนั้นอีกทีทีไร ผมจะคอยจับสังเกตครับว่าผีตนนี้จะโผล่มาตอนไหน คือวันไหนสังเกตก็จะไม่สะดุ้งเพราะสปอยล์ตัวเองไว้แล้ว (ถือว่าเสียอรรถรสนะ) แต่วันไหนเสียบหูฟังคนอวดผีอยู่ ก็จะสะดุ้งเฮือกเหมือนเดิมทุกที

ก็นับเป็นการเล่นสนุกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเข้าบ้านครับ

อ้อ เมื่อเช้าเลยแวะถ่ายผีตนนี้มา เผื่อวันนึงมันโตขึ้นจนเกินความสูงที่สายตาจะจินตนาการให้เป็นรูปร่างคล้ายคนแล้ว จะเสียความสนุกตรงนี้ไปฉิบ

รั้ววัดลาดปลาเค้า

การเคลื่อนไหวที่ไม่มีประโยชน์

บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนสดุดีการ์ตูนเรื่อง Bambino! ของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ครับ
เป็นการ์ตูนที่เห็ฯหน้าปกแล้วก็ไม่ได้คิดจะอ่าน เพราะผมเฉยๆ กับการ์ตูนทำอาหาร
แต่ทำไมใครๆ รอบกายก็ต่างยุให้อ่านให้ได้ และมัน “มีค่าพอจะซื้อเก็บสะสม” เลยล่ะ
ก็เลยไปสอยมาจากงานหนังสือที่ผ่านมา (ขนาดคนขายที่บูทเองยังคิดว่าอยู่ค่ายอื่นเลยคิดดู)

ที่จริง Bambino! (ใช้เป็นสแลง หมายถึงเด็กอ่อนหัด หรือกาก อะไรแบบนี้) เขียนมาแล้วสองภาค
ภาคสองเพิ่งถึงเล่มสี่ และภาคหนึ่งก็มีคนเอาไปทำซีรี่ส์ออกทีวีเรียบร้อยแล้ว ใครไม่อ่านการ์ตูนก็หามาดูได้
ผมเพิ่งอ่านภาคแรกไปได้แค่หกเล่ม แต่ก็คิดว่าต้องเขียนแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวลืมประเด็นที่มันแว้บขึ้นมาฉิบ

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวสู้เพื่อฝันครับ แต่ไม่ได้เฉิ่มๆ เหมือนหลายๆ เรื่องนะ คือเรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ใดๆ
ไม่มีความแฟนตาซี พระเอกไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือมีพรสวรรค์แบบที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องเฉพาะ ไกลตัว
แบบ Bakuman ที่พระเอกทั้งคู่ก็เก่ง หรือ BECK ที่พระเอกก็มีพวงสวรรค์อยู่ไม่น้อย

ไอ้ความที่พระเอกมันไม่ได้เก่งกาจชาตินักรบมาจากไหนนี่แหละ เหมือนคนเขียนตั้งใจบอกว่า มึงน่ะก็ทำได้
ขอแค่ ขอแค่อะไรสักอย่าง ต้องไปอ่านเอาเองจากในการ์ตูน เดี๋ยวเล่าแล้วจะไม่หนุกฉิบ

ถึงเนื้อหาจะว่าด้วยการเข้าไปทำงานในร้านอาหารอิตาลี ซึ่งโคตรจะไกลตัวเราเลย
แต่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ย่อยง่ายมาก และอ่านสบายอยู่กึ่งกลางระหว่าง BECK กับ Bakuman ครับ
ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าเฮ้ย ชีวิตกูหมดไฟ หรือใครเพิ่งเรียนจบ (พระเอกในเรื่องเริ่มต้นตอนอยู่มหาลัยปี 3)
จงหามาอ่าน แล้วน่าจะจูนทิศทางชีวิตของตัวเองได้เลย

ผมนั้นนับถือการ์ตูนเสมอ ไม่ว่ามันจะไร้สาระหรือปัญญาอ่อนสักแค่ไหน ไม่เคยมองมันเป็นขยะเลย
ตราบใดที่คนเขียนใส่ใจกับเนื้องาน มันดูออกนะ (คือในบ้านเรามันมีแนวๆ ตีหัวเข้าบ้านอยู่ก็ไม่น้อย)

.. อ้อมไปไกลตามเคย ลูกร้องแล้ว เข้าเรื่องได้

ในเล่มแรกๆ นั้นพระเอกต้องรับภาระเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในการทำอาหารมือใหม่สุดๆ เลย
แล้วอีพ่อครัวนี่แม่งทำงานเร็วมาก เซียนมาก เก๋ามาก แต่เหยียดหยามพระเอกฉิบหายเลย เพราะมันกากไง
ถึงจะเจ็บใจ แต่ไอ้พระเอกมันก็อยากเก่งแบบนั้น อยากไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นมั่งไง แต่ทำไงก็ไวไม่เท่าสักที
จนแม่ครัวสาวในร้านก็หันมาเตือนว่า “หร่อนน่ะเคลื่อนไหวแบบไร้ประโยชน์มากเกินไป”

ฉึก!

พระเอกหันไปดูอีพ่อครัวคนนั้น หันมาทีจับกระทะ หันไปหยอดเห็ดงี้ มันขยับตัวทุกอย่างแบบมีคุณค่าหมดเลย
เลยเกิดปัญญาขึ้นมา และพยายามพัฒนาตัวเองตาม

แต่ประเด็นคือ ผมดันไปชอบประโยคที่บอกว่าเป็ฯการขยับตัวที่ไม่มีประโยชน์นั่นจังเลยครับ
เห็นตัวเองเลยว่าก่อนหน้านี้หลายๆ ปี เราขยับตัวแบบไร้ประโยชน์มานานมากๆ
เอาเวลาไปทำนั่นนี่ที่ เออ ทำไปทำไมวะ ทำแล้วได้อะไรวะ มัน “ได้อะไรกลับมาบ้าง” วะ

ที่จริงก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะวัยรุ่นที่ไหนก็ทำกัน เวลาว่างเหลือมากมาย ตังค์ถึงมีน้อยหน่อยแต่ก็ไม่ได้รีบ
เพราะพ่อแม่ก็มีให้เกาะแดก คือชีวิตไม่ได้ต้องต่อสู้อะไรนักไง ยังไมได้ข้ามมาสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มๆ ตัว
แล้วก็นึกย้อนไปถึงเรื่องบันไดสามขั้น (อีกแล้ว) .. เรียนจบ / แต่งงาน / มีลูก นี่ผมมาถึงขั้นที่สามแล้ว
ทำให้พบคำตอบที่เมื่อก่อนสงสัยมานาน หลายๆ เรื่อง ที่วัยรุ่นไม่เคยเข้าใจ พอมาถึงตรงนี้แล้วมันเก็ตเองนะ

สิ่งเหล่านั้นผมเรียกเหมาๆ รวมๆ (อาจจะไม่ครอบคลุมแต่นึกได้ตอนนี้) ว่ามันคือผลประโยชน์
มันคือโลกของความเห็นแก่ตัว การทำอะไรแล้วจะต้องไม่สูญเปล่า หรืออย่างน้อยก็ต้องหวังอะไรกลับมา
ขนาดเป็นงานฟรี งานขำๆ สนุกๆ แต่ในหัวมันก็จะคิดแล้วว่าเสร็จงานนี้จะมีอะไร “คืนมา” สู่เราบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมี ไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างเช่นถ้าจะทำฟอนต์เล่นๆ ขึ้นมาอีกหลายๆ ตัว คือเราอยากมากเลยนะ เป็นความอยากที่อัดอั้นมากๆ
แต่ข้ออ้างก็มีมากมาย เช่นถ้ามีอะไรที่ทำแล้วได้ตังค์ (หรือได้หน้าตา) กว่า เราก็พร้อมจะทิ้งสิ่งที่รักนี้ไป
โดนกระบี่กลืนกินจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ..

แต่ก็รู้ตัวนะ และไม่ได้ขึงขังว่าจะต้องฝืนต่อต้านหรือโอนอ่อน
ตราบใดที่เราก็ยังเป็นเราอยู่อย่างนี้ มันจะมีเส้นบางๆ ที่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นคนที่เหี้ยไง
เพราะเราเคยเจอผู้ใหญ่ที่เหี้ยมากๆ มา แล้วเราคันมาก คันตีนมากๆ และตั้งใจว่ากูจะไม่เป็นอย่างมึงเด็ดขาด

แต่ทั้งนี้เราก็ยังนึกประคับประคองการเคลื่อนไหวของตัวเอง
ให้ไม่มีประโยชน์เสียบ้าง —- จะพูดให้ชัดว่านั้นก็คือ จะเคลื่อนไหวแบบไม่มีผลประโยชน์เสียบ้าง

เขียนปักหมุดไว้เพื่อคุยกับตัวเอง ผมให้เวลากับตัวเองไว้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ความอึดอัดนั้นยังแค่ปริ่มๆ
ตั้งใจว่าถ้ามันเกินเส้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเคลื่อนไหวแบบไร้ผลประโยชน์ ..แต่โคตรมีความสุขอีกครั้ง

กลับมาหัดวาดการ์ตูนสัตว์ประหลาดอีกที

บอกอย่างไม่อายว่าผมชอบวาดการ์ตูนครับ
และก็อย่างที่เคยเห็นในบล็อกนี้เป็นบางครั้ง ผมจัดไว้ในหมวดการ์ตีน เพราะมันสวยงามดั่งใช้ตีนวาด
อยากวาดให้สวยเหมือนกันแต่มันไม่มีใจจะหัด ไอ้จะบอกว่าขี้เกียจก็ดูจะแฝงนัยหยิ่ง แต่ที่จริงเปล่าเลย
ทุกวันนี้เวลาได้นั่งวาดอะไรแป๊บๆ ก็จะพบได้ว่าต่อมความสุขในตัวมันบวมแดง..

ตอนเด็กๆ ผมเขียนบันทึกอย่างบ้าคลั่ง เป็นเนิร์ดสมุดบันทึกคนหนึ่ง
ในนั้นนอกจากจะมีตัวอักษรลายมือหวัดไปหวัดมาแล้ว ก็ยังมีภาพการ์ตูนนี่แหละที่คอยใช้รองรับอารมณ์
นานๆ ทีจะมีเพื่อนมายืมไปอ่านตอนขี้เกียจฟังครูสอน ก็ถือโอกาสอวดตัวการ์ตูนพวกนั้นให้ดูซะเลย
ไอ้สวยน่ะไม่สวยหรอก แต่ความขี้อวดมันฝังใจ..

หลังจากนั้นพอเรียนจบมาแล้วเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ ก็ไม่มีโอกาสได้วาดอวดใครอีก
แรงขับมันหายไปนานมาก สมุดบันทึกของตัวเองก็จดแต่งาน กับนั่งออกแบบตัวอักษรเล่นเวลาเบื่อประชุมลูกค้า
เหมือนเพื่อนสนิทที่เคยโลดแล่นอยู่ในจินตนาการของตัวเองมันหายไปนาน นานจนเราเองที่เป็นฝ่ายลืมมัน

แล้วเมื่อสิบวันที่ผ่านมา พระเจ้าก็ประทาน Instagram for Android มาให้!
รอมานานแสนนานกว่าพระเจ้าซึ่งมีทีมงานอยู่น้อยนิด และเอาใจแต่สาวกฝั่งไอโฟนเสียก่อน จะยื่นโอกาสนี้มาให้
ผมโชคดีที่มีมือถือ Galaxy Note ที่มีปากกาเป็นอาวุธหนัก เลยได้ขีดๆ เขียนๆ ข้อความลงไปในภาพ

2012-04-04_1333513066

ก็เออ ดี สนุกดี เขียนอะไรไปแล้วมีคนมากดไล้ มันฮึกเหิม มันบ้าเห่อ ฮอร์โมนเสพติดมันหลั่งออกมาปรี๊ดๆๆ
เลยตกหลุมพรางตัวเองด้วยการตั้งกติกาว่า “ไหนๆ จะถ่ายภาพแล้วก็ขอเขียนอะไรลงไปหน่อยเถอะวะ”
(การตั้งเงื่อนไขแบบนี้ก็เหมือนสมัยก่อน ที่เขียนบล็อกแล้ว “จะ” นั่น “จะ” นี่ จนเขียนแล้วไม่เป็นตัวเอง)
แต่อันนี้มันอยู่ในช่วงที่สนุกมากไงครับ ทำอะไรก็ไม่ได้คิดหรอกว่าเดี๋ยวพอคนมาตามเยอะๆ มาอวยเยอะๆ เข้า
มันจะเป็นภาระและผูก-ผลักให้เราต้องคอยถ่ายคอยวาดเพื่อให้คนชมมากขึ้นๆ วนลูปอยู่อย่างนี้
ก็เลยช่างมัน ยังไม่ตัน อวดไปก่อน

เขียนไปเขียนมาก็เลยลองวาดดูบ้างครับ

2012-04-06_1333721281

ทีนี้เรามันดันวาดได้แต่แบบตีนปาด คือจบภาพในหนึ่งนาทีมาตลอด
เหมาะกับวิถีชีวิตที่ไม่ได้มีเวลาว่าง “เป็นก้อนๆ” คือจะว่างก็แค่ตอนขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ รถกระป๊อเท่านั้น
ก็เอาวะ เอาไว้จะพยายามมีสมาธิหัดวาดให้เนี้ยบกว่านี้บ้าง ถือว่าเคาะสนิมละกัน (แต่เวลาก็ยังมีเท่าเดิมนะ)

2012-04-10_1334037576

จนอยู่ดีๆ ก็นึกถึงเพื่อนเก่าขึ้นมา..
เพื่อนเก่าที่ว่านี่คือ “สัตว์ประหลาด” ครับ ไอ้พวกนี้มันวนเวียนอยู่ในจินตนาการผมมานานแล้ว
เมื่อก่อนมีหนังสือคอมมาจ้างเขียนไปเป็นการ์ตูนตลกท้ายเล่ม ก็เลยลองเอาตัวนี้ไปลงในหนังสือดู
ปรากฏว่าเวิร์กครับ สนุก บ.ก.ชอบ และหนังสือเขาเจ๊งในไม่กี่ฉบับหลังจากนั้น..

2012-04-10_1334063474

พอนึกถึงเพื่อนเก่าก็เลยหันไปถ่ายกระไดทางลงรถไฟใต้ดินที่สถานีจตุจักร แล้ววาดๆ เขี่ยๆ ตอนรอรถ
ปรากฏว่า(ตัวเอง)ชอบมาก เป็นความโอหังส่วนตัวเลยว่าเฮ้ย นี่กูชอบ คนอื่นจึงควรได้เห็นด้วย :30:
ผลคือมีคนกดไล้เยอะที่สุดเท่าที่เคยโพสต์ภาพมา อ้าวฉิบหายเลยทีนี้กู ไอ้ต่อมบ้ายอแม่งบวมเป่งเลย
ดังนั้นเลยตั้งใจไว้เล็กๆ ว่าเออ อตก ของเราจะมีไอ้พวกนี้มาแวะทักทายเป็นระยะๆ ละกันนะ

2012-04-11_1334133727
ภาพนี้วาดตอนขี้ที่ทำงาน ขี้เสร็จมากดโพสต์ในห้องทำงานที่มีเน็ต แต่เน็ตกากมาก กว่าจะอัปเสร็จ
ปรากฏว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา แม่งแผ่นดินไหวครับ! เกิดมาเพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์นี้ เมพมาก
คือเราอยู่กันชั้น 36 ซึ่งตึกโยกจนรู้สึกได้ บักเนยที่เป็นหัวหน้าแก๊งเลยประกาศสละออฟฟิศ ไปกินอุด้งกัน

2012-04-12_1334215203
พอเริ่มเข้าใจว่าตัวเองกำลังจะเล่นอะไร ซีรี่ส์สัตว์ประหลาดบุกโลกก็เลยถือปรากฏขึ้นตั้งแต่บัดนั้น
อีสัตว์ประหลาดพวกนี้ใครอ่านการ์ตูนก็ขอให้นึกถึงเรื่อง Gantz หรือ ZETMAN
ที่จะมีตัวประหลาดอะไรพวกนี้แหละ อาศัยอยู่กับมนุษย์โดยที่พวกเราไม่รู้ตัว หรือไม่ได้สังเกต
มันก็ใช้ชีวิตของมัน เราก็ใช้ชีวิตของเรา แต่หลายๆ ครั้งก็โคจรมาเจอกันโดยบังเอิญบ้างไรบ้าง

2012-04-12_1334239773
ทั้งหมดนี้ใช้ Galaxy Note ถ่ายแล้ววาดใน Sketchbook Mobile (ซื้อมาตอนลดเหลือสามบาท)
ข้อเสียร้ายแรงคือภาพ Output ของแอปนี้มันให้ใหญ่แค่ 640px เท่านั้น ซึ่งภาพจะแตกและดูแย่มาก
เอาไว้ให้แอปเขาพัฒนารุ่นใหม่ให้มันใจกว้างกว่านี้ หรือมีเจ้าอื่นที่ช่วยให้วาดได้ดีกว่านี้ค่อยว่ากัน

เลยเอามาเล่าไว้ในบล็อกก่อนว่าตอนนี้มีความสุขดี ทำให้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนไม่แห้งเหี่ยวเกินไป
แม้ถึงขณะนี้จะหาเวลาว่างที่มีคุณภาพ (เป็นก้อนๆ) ไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
แต่เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ อย่างตอนขี้บ้าง ตอนอยู่บนรถเมล์ รถกระป๊อบ้าง ก็จะมีคุณค่าขึ้นครับ

จบอย่างห้วน!

อ้อๆ ลืมโฆษณาไป

  • ใน Instagram (ผมขอเรียก อตก นะ สั้นดี) ผมชื่อ @iannnnn นะครับ
  • ใครไม่มีมือถือราคาแพงๆ ก็ดูในเว็บได้ ที่ web.stagram.com/n/iannnnn
  • มีเขียนเบื้องหลังของภาพไว้ที่ Pinerest ของตัวเอง ไม่รู้จะขยันไปอีกนานขนาดไหน

ทิ้งลูกเมียไว้ หนีไปงานหนังสือ

รายงานตัวตามสูตรครับ กลับจากงานหนังสือแล้วหนอนที่ดีก็ควรอวดว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหน
ปีนี้จดลิสต์รายการเอาไว้แล้วไปเพื่อมุ่งหาเป้าหมายอย่างเดียว กะว่าจะไม่ซื้อเรื่องอื่นเลย
ผลคือได้มาประมาณ 90% ของลิสต์ นอกนั้นเป็นนิตยสารฉบับล่าสุดซึ่งมาคิดดูแล้วกูไปซื้อที่ร้านทั่วไปก็ได้

และนี่คือรายการที่โดนไป

bambino

Bambino!

ผมไม่เคยอ่านเลยครับ แต่ทุกคนรอบกายบอกว่าควรอ่านและควรเก็บ เลยจัดมาซะเลย
คับแค้นใจกับการหาซื้อตามร้านมือสองมาสามครั้ง แต่ไม่เจอหลงมาเลยสักครั้ง
ก็เลยกะว่าเอาวะ ซื้อมือหนึ่งก็ได้ ที่สยามอินเตอร์เขาขายพวกรวมห่อในราคาลด 30% ก็เลยเอา
ไอ้ที่ซื้อนี่คือภาคหนึ่ง มี 15เล่มจบ ราคา 478 บาท

นิทานโลก

นิทานโลก

ยังยืนยันว่านักเขียนการ์ตูนที่ผมชอบที่สุดแบบสุดๆ คนหนึ่งคือสะอาด
เล่มนี้ซื้อเพราะชื่อสะอาดเหมือนเดิม คือสะอาดแม่งบ้า เขียนอะไรก็สนุกไปหมด
เอาง่ายๆ ว่าถ้ากินไข่เจียวแล้วดันเทซอสพริกหกรดกระดาษ กระดาษแผ่นนั้นนั่นก็ฮาแล้ว
ตามธรรมเนียมของการซื้อหนังสือ ผมจะไล่อ่านการ์ตูนที่รอคอยมานานก่อน นิทานโลกเนี่ยเป็นเรื่องที่สอง
พออ่านจบไปตะกี้ จึงได้รู้สึกว่ามันเป็นนิทานจริงๆ (แหงล่ะ) ต่างจากชายผู้ออกเดินทางตามเสียงของตัวเองของปีก่อน
สำหรับผมแล้วชอบเรื่องก่อนมากกว่า เพราะรู้สึกมีส่วนร่วม-ผูกพันกับมนุษย์ในนั้นมากกว่าสัตว์ในนิทานของสะอาด
แต่เห็นแล้วอยากกลับไปอ่านฮิโนโทริของ อ.โอซามุอีกที เรื่องนี้หาซื้อมือสองเก็บเท่าไหร่ก็ไม่ครบซะที

กลับหลังหัน

กลับหลังหัน

คราวที่แล้วไปเยี่ยมยูท สนพ.แซลมอน คุยกันตั้งนานแต่กลับมาถึงบ้านก็นึกได้ว่ากูยังไม่ได้อุดหนุนเขาเลยนี่หว่า
คราวนี้เลยตั้งใจไปซื้อ “กลับหลังหัน” ของอาร์ต จีโน่ โดยเฉพาะ แล้วก็เปรมมากครับ อ่านจบรวดเดียวสองเล่มเลย
คืออุตส่าห์พยายามละเลียดๆ อ่านแล้ว แต่ก็ทนความมูมมามไม่ไหว เสพอย่างตะกละที่สุดจนจบ และฟินมาก
ถ้างานของสะอาดคือการ์ตูนของมือสมัครเล่น(ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ถ้าบังอาจเรียกว่าเป็นสไตล์ มันคือสไตล์การ์ตูนวาดเล่น)
งานของอาร์ต จีโน่ก็คือมืออาชีพที่ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นเรื่องงานวาด เอาพูกันตวัดๆ ก็ออกมาเป็นภาพแล้ว สวยด้วย
ที่เจ๋งคือการ์ตูนแม่งเท่ฉิบหาย (ในนั้นจะมีคำว่าเท่โผล่มาเป็นระยะๆ) อ่านแล้วรักเลย ขอเป็นแฟนคลับอีกคนเหอะอาร์ต

รื่นรมย์ในโลกหนกขู

รื่นรมย์ในโลกหนกขู

เห็นชื่อโตมรก็ซื้อแล้ว ไม่ได้คิดอะไร ยิ่งมันอยู่ในโซนขายเล่มละ 50 บาทของมติชนด้วยเลยหยิบแบบไม่ได้คิด
เชื่อว่าหลายคนก็เป็นแบบผมนี่แหละ ที่ซื้อเพราะชื่อคนเขียน ไม่ได้ซื้อเพราะอยากอ่านอยากเสพเนื้อหาอะไรนัก
จะเรียกว่าดีไหมก็คงไม่ แต่ก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่หว่า :30:

เส้นสมมุติ

เส้นสมมุติ

คำว่าสมมติ จะมีสระอุหรือไม่มีก็ได้ แต่คุณวินทร์เลือกให้มี .. ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนึงสือนี่หว่า
ทีนี้ผมก็เหมือนคนอื่นๆ ที่นับถือความเคร่งครัดในการเขียนของคุณวินทร์ คนบ้าอะไรงานหนังสือทีก็คลอดเล่มใหม่ทีละคู่
บวกด้วยชอบดีไซน์ปกหนังสือและอาร์ตเวิร์กในเล่มที่ทำออกมาได้น่าสะสม ก็เลยไล่เก็บขึ้นแผงโชว์สันเท่ๆ ตลอดมา
แต่คงเก็บไม่หมดเพราะบางแนวก็ไม่ชอบ อย่างเล่มนึงที่ชื่อควายบินๆ อะไรนี่ซื้อมาแล้วแทบร้อง ไม่ชอบเลย
..แต่สำหรับเส้นสมมติแล้ว เฮียแกพาดหัวไว้ว่าคล้ายๆ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” .. เอ้า เชื่อ ซื้อๆ
ชีวิตมันก็เท่านี้แหละ

ความมืดกลางแสงแดด

ความมืดกลางแสงแดด

ปกติผมจะแวะบูทโอเพ่นเสมอ แต่คราวนี้พลาด หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ (เพิ่งรู้ว่าอยู่แถวตัว R) เลยไม่ได้อุดหนุนเขาเลย
แต่กระนั้นก็ยังดีที่พอผ่านหนังสือใต้ดิน เจอ อ.วรเจตน์กำลังให้สัมภาษณ์รายการสักอย่างของมติชนอยู่ มีคนมุงพอควร
ผมเลยพุ่งเข้าไปต่อย ไม่สิ เข้าไปดูว่าแกมีอะไร แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเฮียคนข้างๆ คือคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ โอ้วซื้อเลย (ยัง!)
ก็เดินเข้าไปพลิกๆ ดู เนื้อหาเป็ฯเรื่องที่เราสนใจแต่ก็ไม่ได้ตกผลึกอะไร คือเป็นพวกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่แกพูด
ซึ่งถ้าไม่ใจแคบเกินไป นี่มันก็เป็นโอกาสอันดีไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เรา (ซึ่งยังไม่วางใจกับอะไร) ได้อ่านเยอะๆ
พอแลกเปลี่ยนเยอะๆ มันก็ทำให้เรามีอะไรมาชั่งตวงวัดได้นี่นา เลยจัดซะ
(ถ่ายไว้ใน อตก ด้วยแหละ เป็นภาพที่มีคนกด Like น้อยที่สุด 5555 แต่ผมชอบแฮะ)

ความมืดกลางแสงแดด-2
อ้อๆ บทสัมภาษณ์(หลายๆ คน)นี้คุณวรพจน์เขียนกับ “ธิติ มีแต้ม” ได้เจอตัวจริงในบูทด้วย เด็กมาก แต่แววตาไม่เลว
ตอนเอาไปให้คุณวรพจน์เซ็น แทนที่แกจะประดิษฐ์คำหรูๆ แต่นี่ไม่ แกจรดปากกาขีดเส้นใต้ข้อความในบรรทัดสุดท้าย
แล้วหันมามองเรา แล้วยิ้ม แล้วก้มลงไปเซ็นอีกที ช็อตนี้แม่งเท่มากครับ

ตรวจภายใน

ตรวจภายใน

แค่ชื่อนิ้วกลมก็ขายดีแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าหนังสือพี่แกแมสระดับเทพขนาดไหน แต่เราไม่ค่อยได้อ่าน (กร๊าก)
คือแนวที่แกเขียนไม่ใช่แนวที่เราอ่าน เราดันชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า แต่เล่มนี้โอเค เป็นเรื่องที่เราสนใจว่าแกคิดอะไร
เลยต่อแถว(ยาวเหยียด)ซื้อมา เวลาถืออ่านบนรถไฟฟ้าก็กะว่าจะหันปกออกให้คนอื่นเห็นว่าเรานี่หล่อฉิบหายด้วยนะ

เธอเขาเราผม

เธอเขาเราผม

นี่เราซื้อรวมบทความจากนิตยสารรายสัปดาห์ตั้งสองเล่มเลยเหรอเนี่ย
คืองี้ เหมือนเดิม เห็นชื่อโตมรก็ซื้อแล้ว แล้วก็รู้สึกผิดตอนเขียนบล็อกนี่อีกที
ว่าแม่งเป็นพฤติกรรมที่คนเขียนเองก็คงไม่ชอบหรอกว่ะ :30:
เฮ้ย จะอ่านจะสนใจก็สนใจที่งานกูสิ อย่ามาอ่านเพราะชื่อกู
แต่คนอ่านก็งี้แหละครับ ขี้เหม็น คุณดันทำผลงานดีๆ ออกมาทำไม คนเขาก็เชื่อ ก็ศรัทธาคุณสิ

จบ