บล็อกเกอร์รับตังค์รีวิวอวยสินค้า?

เมื่อวานลองเขียนบล็อกด้วยการทวีตไปก่อน แล้วนึกได้ว่าเออ เอามารวมใส่บล็อกก็อ่านง่ายดีนะ เลยไปใช้บริการรวมห่อทวีตจาก Storify ก็สะดวกดี ลากๆ แปะได้เลย วันนี้เลยลองทำอีกทีครับ (แก้ไขเพิ่ม: ตอนนี้ WordPress มันแปะ Twitter ได้แล้วเลยเอามาใส่ตรงๆ เลย) แต่เป็นเรื่องการรีวิวอวยละกันนะ

ถึงเราจะไม่ได้เป็นบล็อกเกอร์สายไอที หรือแม้แต่สายอะไรก็ตาม (ใครกำหนดว่าต้องมีสายวะ อยากจะล้มโต๊ะให้ทั่ว) แต่ก็ยอมรับว่าการที่มีคนตามในทวิตเตอร์ตั้งสองหมื่นกว่าๆ นี่ ถึงผมจะไม่ได้สนใจมันนัก (คือเยอะก็ดี รู้สึกลำพองและหยิ่งยโสได้เหมือนกัน) แต่นักการตลาดซึ่งเชี่ยวเรื่องนี้กว่าเรา เขาคงมองเห็นความสำคัญของตัวเลขนี้ เราจึงเป็นใครสักคนที่น่าเรียกไปออกงาน เผื่อจะกลับมาเขียนอวยให้เขาได้ผลประโยชน์ไปบ้าง ซึ่งถึงผมจะไม่ได้เป็นบล็อกเกอร์ที่ขยันเขียนอะไรแนวนั้น (บล็อกกูก็มีแต่เรื่องกูสิ จะมีโฆษณาทำไม) แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจ ก็อยากไป อยากรู้อยากเห็นตามประสาเนิร์ดๆ น่ะครับ

ทีนี้เรื่องมันเกิดเพราะตะกี้อพอดีไปอ่านบล็อกอะไรสักบล็อกนี่แหละ มีใครสักคนในทวิตเตอร์ทวีตมา (นี่ก็จำไมได้เช่นกัน ปลาทองมากเลยกู ใครจำได้ช่วยแปะลิงก์ทีนะครับ) ประมาณว่าเขาโดนเจ้าของบล็อกพาดพิงว่ารับทรัพย์มาเขียนอวย เลยขอคอมเมนต์แก้ต่างหน่อย ..แล้วเลยนึกได้ว่าเออ เราก็เคยไปโฉบๆ กะพวกงานเปิดตัวอะไรที่มีการเชิญบล็อกเกอร์ไปร่วมด้วยนี่นา แล้วคนที่ไม่เคยไปเขาจะรู้ไหมว่าที่จริงมันเป็นไง

เชิญอ่านครับ..

https://twitter.com/iannnnn/status/209300060750626817

https://twitter.com/iannnnn/status/209304150859722752


(แหม แซะนิดแซะหน่อยล่ะไวเชียว)

https://twitter.com/iannnnn/status/209306203292057600

:52:

เรื่องผีเรื่องที่ 3 ที่เจอในชีวิต ที่ศาลาริมสระแก้ว

หลังจากเรื่องการเมืองช่วงหัวค่ำที่สุดจะคึกคักในช่วงหัวค่ำคืนนี้ ในไทม์ไลน์ก็มีเรื่องผีมาต่อกันยันดึกดื่นเลยครับ ผมเลยไปผสมโรงด้วยการเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอมาบ้าง อันนี้บอกไว้ก่อนว่าไม่ค่อยน่ากลัวนะ แต่ใครที่เคยพบอะไรแบบนี้มาก็จะเข้าใจดีเลยครับว่า .. แม่งต้องเจออ้ะ ไม่งั้นนึกภาพไม่ออกจริงๆ

อ้อ ผมดึงข้อความมาจากทวิตเตอร์ ไม่รู้บริการ Storify นี่มันจะให้เราใช้ฟรีไปยาวนานขนาดไหน หรือเว็บมันจะเพี้ยนจนดึงมาแปะแล้วพิกลพิการแค่ไหน ก็เอาเป็นว่าถ้าอ่านไม่สะดวกหรือโหลดไม่ขึ้นก็จิ้มไปดูเต็มๆ ในนี้เอานะครับ: Storify

https://twitter.com/iannnnn/status/208980985084252160

https://twitter.com/iannnnn/status/208983552648421376

https://twitter.com/iannnnn/status/208984523394912258

//แก้ไข 14 มิ.ย.
Storify มันเน่าๆ เลยเอาลิงก์มาใส่ตรงๆ เลย แต่ที่เหลือยังโหลดไม่ขึ้นแฮะ
แจ้งไปละ เดี๋ยวเขาคงแก้ แล้วจะแก้ตามให้ครบครับ http://storify.com/iannnnn/3

ป.ล.
ติดไว้อีก 2 เรื่อง ไว้หาโอกาสเล่าคราวหน้าเด้อ

นักการตลาดกับนักสร้างสรรค์

“นักสร้างสรรค์” คือผู้ประดิษฐ์ แต่งเติม เสริมคุณค่าและรสนิยมให้กับสิ่งหนึ่งๆ
ส่วน “นักการตลาด” คือคนที่สร้างราคาให้กับสิ่งนั้น

เราจะเห็นของบางอย่างที่ดูมีน่าซื้อน่าใช้ น่าดูน่าฟังเสียเหลือเกิน ทั้งที่ไม่เห็นจะมีอะไร
อะนนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับนักการตลาด

ในขณะที่ของบางอย่างเรารู้ถึงคุณค่าและความเจ๋งของมัน โดยไม่จำเป็นต้องมีใครอวยมาก่อน
นั่นแหละเป็นผลงานของนักสร้างสรรค์

และในขณะที่ของบางอย่าง เราโดนบิ๊วว่ามันเจ๋ง และพอได้สัมผัสกับมันจริงๆ แม่งก็ยิ่งเจ๋ง
อันนี้ใครผลิตสินค้าหรือบริการได้ขนาดนี้ นับว่าเป็นอุดมคติจริงๆ

ซึ่งที่จริงทั้งนักการตลาดกับนักสร้างสรรค์จะเป็นคนคนเดียวกันก็ได้
หรือถ้าต้องทำงานร่วมกัน จะไม่ตีกันก็ได้ เมื่อรู้จักปรับสมดุลให้มันพอดีๆ
และไม่ก้าวล้ำเข้าไปในพรมแดนของอีกฝ่ายที่ตนไม่รู้เท่า แต่เสือกทำเป็นรู้

ถ้าคุณเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาว จะทำยังไงกันครับ

บล็อกนี้ถือว่าเขียนเพื่อไถ่โทษ ที่ตัวเองดันไม่มีปฏิภาณไหวพริบพอที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันเวลา แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าพอเกิดเหตุอะไรขึ้นแบบปุบปับ มันไม่มีเวลาไตร่ตรองเพื่อแก้ปัญหาได้ คุณจึงควรเข้าใจธรรมชาติของการแสดงความเห็นตามเว็บบอร์ด ที่มักมีคนบอกว่า “ถ้าเป็นเรานะ เราจะ—–” ยังงั้นยังงี้ อยากบอกว่าตอนเกิดเหตุการณ์จริงนั้นมันไม่เหมือนกับการแสดงความเห็นหลังเหตุการณ์ครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนี้ผมเจอคนโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวออฟฟิศคนนึงที่สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ

ผมเลิกงาน และเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าตามปกติ ซึ่งโดยปกติก็เป็นคนชอบชมวิวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิวอะไรขาวๆ น่ะ :51: พอเจอก็เหลือบๆ พอน่ารัก ไม่ได้จะจ้องค้าง หรือตามกลับบ้าน หรือแม้แต่พุ่งเข้าไปถูกเนื้อต้องตัวอะไร

พอดีว่าพอขึ้นบันไดเลื่อนออกจากอาคาร Park Ventures มาปั๊บ ก็มีสาวออฟฟิศคนนึงเดินอยู่ข้างหน้าพอดีครับ (อยากจะอธิบายรูปพรรณสัณฐานแบบให้อ่านแล้วนึกภาพอกแต่ไม่ให้รู้สึกว่ากำลังละลาบละล้วงโลมเลีย ทำไงดีวะ) ..เอาเป็นว่า นึกภาพหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปลายๆ ที่รู้ตัวเองดีว่ามีของดีตรงความขาวจั๊วะ หุ่นดี และขาเรียวสวย ก็เลยแต่งตัวเซ็กซี่จนเป็นความเคยชินที่ไม่ได้ระวังตัวอะไร ผมจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่กระโปรงสั้นเหนือเข่าไปสักเกือบคืบ เป็นผ้าย่นๆ แบบเสื้อตุ๊กตาน่ะ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร และสีน้ำเงินสดแปร๊ดๆ ล่อตาสุดๆ เลยนะ แบบ มึงดูกูสิ กูใส่ใส ดูเลยๆ … เมื่อตัวมารมันสั่งแบบนี้ ผมก็เลยเหล่แว้บๆ พอกระชุ่มกระชวยบ้างสิครับ แฮ่..

rokjid-01
(ตัวจริงไม่ได้ล่ำขนาดนี้นะครับ หุ่นดีมาก แต่ผมมีปัญญาวาดแค่นี้แหละ ได้ทีเดียวด้วย ชาตินี้คงวาดไมได้อีกแล้ว)

ทีนี้พอผ่านด่านตื๊ดตั๋ว (อีตั๋วตรากระต่ายนี่โคตรกาก กว่าจะตื๊ดได้แต่ละที สะดุดแล้วสะดุดอีก) เธอคนนี้ก็เดินนำหน้าผมไปในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วพอเดินตามขึ้นบันได เพื่อจะไปรอคิวรถไฟฟ้าเนี่ย มันก็ต้องมองขึ้นไปข้างบนใช่ปะ แต่พอสายไปเจอะอะไรขาวๆ ตรงหน้า มันจะเขิน จ้องนานไม่ได้ น่าเกลียด เลยต้องหลบตาโบ้ยมามองข้างๆ (ที่แท้เกรงว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะครหาตะหาก ไม่งั้นคงมองนานกว่านี้อีกหน่อย ..แฮ่) อ้อๆ คนเดินขึ้นบันไดกันไม่เยอะนะครับ มีประมาณ 5-6 คนได้มั้งถ้าจำไม่ผิด

และแล้วก็มีหมอนี่เดินมาครับ นึกหน้าและท่าทางคล้ายๆ คุณป๋อมแป๋มในเทยเที่ยวไทยน่ะครับ แต่อันนี้ใส่ชุดพนักงานบริษัทธรรมดาทั่วไป (ไม่ได้ใส่สูทนะ) ก็แซงผมขึ้นไปอยู่ข้างหน้า

ผมเบี่ยงตัวไปด้านขวา จะได้เดินเฉลี่ยๆ ไม่ชิดกันมาก ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เซ็งๆ ที่ไอ้บ้านี่มาบังกู ก็คิดว่ามันจะรีบ และเดินแซงไปข้างบนซะอีก ..ที่ไหนได้ มันหยุดเร่งความเร็วลงตรงบันไดขั้นถัดจากสาวตึงกระโปรงสั้นคนนั้น แล้วเริ่มลงมือ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ครับ

rokjid-02

จังหวะนั้นมันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่เห็นเลยว่ามันเนียนมาก แต่เนียนยังไงก็คงไม่ได้กะว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบมาทางขวาเพื่อจะได้ดูถนัดๆ มันเลยกระทำการอย่างใจเย็น แต่มืออาชีพมาก

เสี้ยววินาทีถัดมา ตัวละครทั้งสามคน (ผม เธอ มัน) ก็ไปถึงชานชาลา และรอรถไฟ จังหวะนั้นมันยังใหม่มาก นึกไม่ทันว่าต้องลำดับเหตุการณ์ยังไง อะไรสำคัญควรทำก่อนดี

ผมเลยหันไปมอง มันเดินไปหลบ (หลบจริงๆ นะ) ตรงหลังเสา พิงราวของสถานีด้านหลังนู่น แล้วควักโทรศัพท์ที่เพิ่งถ่ายตะกี้ออกมาชื่นชมผลงาน ส่วนแม่นางคนนั้น.. ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ต่อไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร และผมเอง ยืนต่อแถวเข้าคิวขึ้นรถอยู่ (คนละแถวกะแม่นาง พอดีแถวมันไม่ยาว เลยกระจายๆ กันยืน) จังหวะนี้ผมเงอะงะมาก

และเหตุการณ์ก็ไม่ได้จบแบบในหนัง ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

.. จบ ..
อ้ะเดี๋ยวๆ ขอต่ออีกนิด

ผมคับแค้นมาก คือแค้นตัวเองว่าทำไมไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดอะไรขึ้นสักหน่อย แต่มานึกดู การที่มาใคร่ครวญทีหลังมันมีเวลาให้คิดนานไง ผิดกับสถานการณ์ตรงนั้น ที่ฉุกละหุกมาก จนไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่พอจะทำได้คือทวีตเล่าเหตุการณ์และเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อาจจะเจอ หรืออาจจะโดนแบบนี้ หรืออาจจะเป็นคนแอบถ่าย ว่าต่อไปมึงต้องเนียนกว่านี้

 

 

ปิดท้ายด้วยความเห็นส่วนหนึ่งจากผู้อ่านทางบ้าน มีหลายความเห็นน่าสนใจครับ ทีแรกคิดว่าจะเจอแต่แบบ “ควรเตือนนะ เป็นเราจะขอบคุณ” (บางคนไม่ได้อ่านทวีตก่อนหน้าก็จะคิดแค่ว่าถ้าเจอจะทำยังไง ไม่ได้นึกภาพว่าเหตุการณ์มันปัจจุบันทันด่วนไง) แต่กลับมีคำตอบที่ว่า “อย่าเตือนเลย” จากผู้หญิงกลับมาด้วยครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จบครับ แล้วคุณล่ะ?

ผีหางตา

(ต่อไปนี้จะหัดเขียนแบบตัดประโยคทีละย่อหน้าแบบชาวบ้านเขาดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเขียนแบบกด Enter ท้ายบรรทัดให้มันกว้างเท่าๆ กันมาตลอด รู้สึกว่าเป็นธรรมเนียมที่น่ายกเลิก)

ทุกวันเวลาผมเลิกงาน และกลับบ้านด้วยรถประจำทางเนี่ย กว่าจะถึงแถวหน้าบ้านก็ล่อไปสองสามทุ่มละ มันจะมีจังหวะที่ต้องสะดุ้งทุกที (ย้ำว่าทุกที) ครับ เพราะนอกจากตรงนั้นจะมืดมาก เปลี่ยวมากแล้ว มันยังเป็นกำแพงวัดด้านหลังเมรุซะด้วย

อ่านดูแล้วยังกะหนังผีพล็อตโบราณๆ ที่เอะอะไอ้คนเล่าแม่งต้องเดินผ่านป่าช้าหรืออะไรแบบนี้ทุกที แต่ขอโทษครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนึงจะได้มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเองจริงๆ

จุดที่ผมลงจากรถกระป๊อคือหน้าซุ้มวัด แล้วต้องเลาะเลียบกำแพงวัด เดินหลบขี้หมาแล้วไต่ทางเท้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 100 เมตร กว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านซึ่งมีแสงไฟ มียามหมู่บ้าน และถ้าวันไหนกลับไม่ดึกมากก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์นั่งรอผู้โดยสารอยู่ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้นคืออุ่นใจละ กูถึงบ้านละ เดินไปจุดจอดจักรยานได้ก็ถือว่าฟิน อีกไม่กี่วินาทีจะถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียและแมวๆ ละ

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะมันต้องผ่านจุดเปลี่ยว ที่มีผี ที่ผม “เจอทุกวัน” เสียก่อน

คือผมชอบใส่หูฟังเวลาเดินทาง เพราะพบว่ามันสงบดี ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายและกลิ่นเหม็นของกรุงเทพฯ ข้างนอก บางทีก็เปิดเพลง บางทีก็โหลดรายการทีวีย้อนหลังอย่างพวกตอบโจทย์ สยามวาระ หรือเทยเที่ยวไทยมาตุนไว้ในมือถือ แล้วก็เปิดคลอมาตลอดทาง นานๆ ทีจะมีคนอวดผีย้อนหลังมาแจมด้วย (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการฟังอย่างเดียวเท่าไหร่ เพราะมันต้องก้มลงดูด้วย)

ทีนี้พอลงจากรถปั๊บ ก็ถอดหูฟัง เพื่อเรียกตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และก้าวเดิน ผ่านหลังเมรุเผาศพและกำแพงวัดที่มีเฟรนด์ชิปบรรพบุรุษจำนวนมากอาศัยอยู่นั่นแหละครับ

มันจะมีจังหวะนึงที่พอเดินปั๊บ ก้มหลบป้าย แล้วเตรียมลงจากทางเท้า หางตาด้านขวา (ฝั่งเดียวกับเมรุ) ของผมจะเห็นไอ้นี่

ghost-on-the-way

เหี้ย! ไม่ใช่เหี้ยสิ ผี!

คือสะดุ้งทุกครั้ง จำได้ว่าตอนเจอครั้งแรกนี่ตกใจมากจนเดินตัวงอเลยครับ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเคยเจอผีมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันมีจริงอยู่ แต่หลังๆ ไม่ได้กลัวเพราะว่ามันไม่ได้เจอมานานแล้ว พอเดินผ่านไปสักสองสามก้าวก็หันมามองเพื่อดูว่าที่จริงมันคืออะไร (เป็นวิธีสยบเรื่องผีทุกเรื่องในโลก) ปรากฏว่าที่แท้มันคือต้นไม้ที่อ้วนขนาดเท่าแขนขาเราพอดี แล้วมีไม้กระดานพาดไว้

แต่จังหวะและบรรยากาศตรงนั้นนั่นแหละ พร้อมด้วยการจินตนาการต่อยอดจากภาพจากหางตาเวลาแวบเห็น ที่หลอกเราว่ามันคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน ทั้งที่จริง ..แม่งก็เหมือนคนจริงๆ นะ

พอหลังๆ ลงรถและเดินผ่านตรงนั้นอีกทีทีไร ผมจะคอยจับสังเกตครับว่าผีตนนี้จะโผล่มาตอนไหน คือวันไหนสังเกตก็จะไม่สะดุ้งเพราะสปอยล์ตัวเองไว้แล้ว (ถือว่าเสียอรรถรสนะ) แต่วันไหนเสียบหูฟังคนอวดผีอยู่ ก็จะสะดุ้งเฮือกเหมือนเดิมทุกที

ก็นับเป็นการเล่นสนุกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเข้าบ้านครับ

อ้อ เมื่อเช้าเลยแวะถ่ายผีตนนี้มา เผื่อวันนึงมันโตขึ้นจนเกินความสูงที่สายตาจะจินตนาการให้เป็นรูปร่างคล้ายคนแล้ว จะเสียความสนุกตรงนี้ไปฉิบ

รั้ววัดลาดปลาเค้า