อยู่ดีๆ การ์ตูนของเราก็ช่วยชาติได้ด้วยล่ะ

นครชัยแอร์เอาการ์ตูนไปลง

พี่แอ้โพสต์ลิงก์เพจนี้มาให้ดูครับ: จองตั๋วนครชัยแอร์ สมัยก่อน
แล้วบอกว่าการ์ตูนของผมไปช่วยชาติเอาไว้นะ

:55: หา อะไรนะ กูเนี่ยนะ?

พอกดเข้าไปดูงี้กรี๊ดเลยครับ เป็นการ์ตูนที่ผมเขียนไว้ห้าปีแล้ว – ต้นฉบับอยู่ที่นี่: ศึกนครชัยแอร์
ใครจะไปคิดล่ะครับว่านครชัยแอร์จะมาเห็นเข้าและเก็บรักษาต้นฉบับไว้ขนาดนี้ เจ๋งง่ะ!
นี่ขนาดบล็อกผมเน่า จนภาพในตอนเก่าหายไปหมดแล้วนะเนี่ย
(ก็เลยต้องไปก็อปจากเพจนั้นมารีมาสเตอร์อีกที ฮ่าๆๆๆ)

การได้ทำอะไรเล่นๆ แล้วมีคนเห็นประโยชน์นี่มันเจ๋งดีนะครับ
เอามาอวดลูกหลานได้อีกทอดนึงด้วย

จบ คราวนี้บล็อกสั้นได้ดั่งใจซะที เยส!

วันนี้ทั้งวันจ่ายไปยี่สิบบาท

นั่งเขียนในห้องมืด ลูกเมียหลับอยู่ข้างๆ

ตื่นเช้า นอนคุดคู้แป๊บนึงก่อนลุกขึ้นมาเห็นเมียกำลังให้นมลูก
นั่งทำงานหน้าคอมข้างๆ เดี๋ยวลูกร้องก็วิ่งไปดูที่เปล บางทีก็อุ้มออกมาเปลี่ยนผ้าอ้อม
เดี๋ยวก็ลงไปเติมน้ำ อุ่นอาหาร เอานมที่แพ็กไว้ไปแช่ตู้เย็น แล้วแวะเล่นกับแมวกันมันเหงา
ขึ้นมานั่งหน้าคอม ทำงานต่อ เดี๋ยวแป๊บๆ ลูกร้อง เมียเรียกให้ไปทำอะไรก็ทำแป๊บนึง แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ
พอหิวข้าวก็เดินไปในครัวหาอะไรกิน หยิบน้ำหยิบนมขึ้นมาฝากเมียในบางคราว
มีแม่ยายมาช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยซักผ้าอ้อมและทำกับข้าว ใช้ชั้นล่างเป็นที่ตัดผ้า เปิดคาราโอเกะคลอไปด้วย

ตู้เย็นที่เคยว่าง ตอนนี้มีทั้งหมูไก่ไข่เนย ใช้ครัวใช้แก๊สกันจนคุ้มค่า
บางวัน (อย่างวันนี้) ขี่แว้นไปสรรพากร ทำเรื่องภาษีเสร็จก็แวะซื้อเปาะเปี๊ยะมากิน ทังวันจ่ายไปยี่สิบบาท
บางวันไม่ต้องใช้เงินสักบาท เพราะเรามีตู้เย็นเสกอาหารสารพัดนึกของโดเรมอน

ดึกๆ อย่างตอนนี้ นั่งเล่นหน้าคอม อ่านกระทู้ อ่านข่าวเรื่อยเปื่อย คัดมุกลงเว็บเฟล
ก็เพื่อรอให้ถึงรอบของลูก ที่จะตื่นมาร้องหิวนม (จะแกว่งๆ ในรอบเที่ยงคืนถึงตีสอง) เมียก็ตื่นมาให้นม
พอตีสองกว่าๆ ก็อุ้มไปให้แม่ยายเป็นเวรดูแลต่อ (เขาต้องให้แม่นอนเยอะๆ ห้ามอดนอน เพื่อคุณภาพน้ำนม)
ระหว่างนี้ถ้าลูกร้องก่อนเวลาก็อุ้มมาดู อ้าวขี้แตก เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป แล้วโยนเข้าเปล ไปนอนต่อซะ

ผมใช้ชีวิตเป็นแบบนี้มาได้ครึ่งเดือนแล้วครับ
มีความสุขดี แม้เวลาและนาฬิกาชีวิตจะรวนหมดเลยก็เหอะ
ต่อไปนี้จะเจออะไรเข้ามาอีก ก็คงไม่ทำให้แปลกใจแล้ว
ดูเหมือนเหนื่อย แต่มีความสุขดีครับ
รู้สึกว่าเป็นจังหวะที่โคตรสมดุลเลย

จะขาดสมดุลอยู่บ้างก็ตรงที่ต้องออกเดินทางไปทำงานตอนเช้า
และกลับมาถึงบ้านด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางสุดโหด
ดมควันรถวันละสามชั่วโมงมันไม่ค่อยสนุกนะครับ

ด้วยนาฬิการ่างกายมันไม่เอื้อต่อการทำแบบนั้นเท่าไหร่
แต่ก็พยายามหาทางปรับตัวอยู่ ดูว่าจะปรับได้ไหม คนอื่นเขาได้เราก็ต้องได้สิ!

ต้องให้เครดิตและขอบคุณบริษัทด้วยแหละ ที่อนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้อาทิตย์ละ 2 วัน
ถือว่ามีค่ามากๆ สำหรับพ่อแม่ที่เพิ่งมีลูกและต้องเลี้ยงเอง ให้นมเอง ไม่ได้จ้างเขาเลี้ยงหรือฝากปู่ย่าตายายน่ะ
นึกไม่ออกเลยว่าบ้านไหนในสังคมเมืองที่มีแม่อยู่บ้านคนเดียว แล้วจะเลี้ยงลูกวัยแรกเกิดได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยนะ

เอาแค่ลูกขี้ทั้งวัน (เหมือนพ่อมัน) แค่นี้ก็ผ้าอ้อมเต็มราวแล้วครับ

นิทานล้านบรรทัด

แฮ่.. ในที่สุดผมมีลูกจนได้ครับ

จริงอย่างที่ใครๆ ก็เหยียดหยันว่า มึงน่ะไม่ถ่ายรูปลูกไม่ได้ร้อกกกก
ก็เลยถ่ายแม่งเลย เอาให้เพียบ! แล้วเขียนเล่ายาวมากด้วยนะ

ไปอ่านต่อได้ที่บล็อก bow.iannnnn โลดครับ (เตือนไว้นิดว่าภาพเยอะ โหลดโหดมาก)

ป.ล.
ขอบคุณโคตรขอบคุณทุกๆ ข้อความแสดงความยินดีจากทุกสารทิศในวันนี้นะครับ
ผมเป็นพวกดิบๆ ไม่รู้จักกาลเทศะและมารยาทในการกล่าวขอบคุณเท่าไหร่
เลยไล่ขอบคุณเรียงตัวไม่ไหวจริงๆ คือที่จริงเขินมากและซึ้งใจกับทุกข้อความ ทุกเสียงทักทายครับ
แต่ทำตัวไม่ถูกจริงๆ ว่ะ.. ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ

มะรืนนี้จะมีลูก

***ตั้งใจจะเขียนสั้นๆ*** (ตั้งใจแบบนี้แล้วก็ไม่เคยสั้นได้ซะที)

เพิ่งพาเมียไปโรงพยาบาลมาครับ ไปตรวจครรภ์ก่อนคลอด
ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะผ่าคลอด 20 มี.ค. จะได้วันที่ 20 กันทั้งบ้าน สาระมีเท่านี้แหละ ไม่ได้ดูฤกษ์อะไรหรอก
แต่หมอดูสุขภาพของเด็กแล้ว พบว่าอั้นไว้ให้ถึงวันนั้นไม่ไหวละ คลอดมันอีตอน 37 สัปดาห์เลยละกัน
ซึ่งในทางการแพทย์ก็ถือว่าตอนนี้เด็กสุกแล้วนะครับ พร้อมเฉาะได้เลย ไม่รู้ภาษาหมอเขาเรียกอะไรนะ
คุณหมอหันมามองหน้าสองผัวเมีย แล้วบอกว่า “หมอให้แค่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นะ เลือกเอา”

ฉิบหายละ แม่ยายกูไปดูดวงผูกฤกษ์อะไรสารพัดมาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ
ก็เลยบอกว่างั้นเอา 14 มี.ค.ละกันครับ จะได้มีเวลาตั้งตัว ปรับโหมดกันหน่อย

ทีแรกกะว่าอีกอาทิตย์กว่าๆ จะคลอด ก็เลยวางแผนลางาน-ทำงานอยู่บ้านเพื่อดูแลลูกเมียไว้ช่วงนั้น
แต่พอไปตรวจกับหมออีกที หมอบอกว่า.. อ้าว พิมพ์วนแล้วเนี่ย เลยรู้หมดว่าตื่นเต้นอยู่..

ก็เอาเป็นว่าอยู่ดีๆ ต้องสลับโหมดมาเป็นว่าที่คุณพ่อของน้องนิทานในอีกสองวันข้างหน้าในทันที

ก่อนอื่นก็โทรไปบอกพ่อกับแม่เพื่อแจ้งข่าวก่อนเลย แล้วก็ทวีต เด้งไปเฟซบุ๊ก คนทวีต-โพสต์ตอบบานตะไท
(เดี๋ยวนี้เรานิยมโพสต์กันก่อนบอกพ่อแม่ ส่วนตัวยังมองว่าแปลก อีก 30 ปีคนรุ่นนั้นคงตอบได้ว่ามันดีไหม)

เสร็จแล้วก็ปลอบเมีย (ที่ตื่นเต้นเยอะหน่อย) ว่าดีออก คลอดเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ (ไม่ใช่ก่อนกำหนดนะ)
จะได้ไม่ต้องทรมานแบกท้อง + ได้อุ้มเล่นเร็วๆ ไง เผลอๆ จะได้แข็งแรงพอจะไปคอนเสิร์ตแสตมป์ด้วย…

ทั้งหมดนี้เลยขอจดบันทึกไว้ว่าเออ พอถึงเวลาปั๊บ เราก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว
แต่คนรอบข้างดันตื่นเต้นกว่า (โดยเฉพาะเมีย แปดริกเตอร์ และแม่ยาย สิบสองริกเตอร์)
คือผมเป็นพวกมนุษย์ที่สนใจความเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร กับอะไร
แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปมากมาย มานับๆ ดูก็มีหลายครั้งที่ควรตื่นเต้นนะ แต่ก็ไม่
คือกูเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ได้อีรังขังขอบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ตราบเท่าที่ยังรู้สึกว่าควบคุมมันได้ หรือผ่านการวางแผนมาแล้ว

  • ตอนสอบเข้ามหาลัยได้นี่นิ่งมากครับ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเรายังเด็ก แต่ต่อมาจึงพิสูจน์ว่าไม่ใช่
  • ตอนเรียนจบ อันนี้ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย เพราะคณะนรกนี่แม่งจบยากจริงๆ
  • ตอนจับทหารได้ใบแดงนี่เฉยๆ มากเลยครับ แต่บุพการีแทบสลบ สงสัยไปแอบบนไว้
  • ตอนเข้ากรมกอง อันนี้สนุกมาก แต่ก็ไม่ได้ประหม่าอะไร คือแม่งโลกของการแสดงชัดๆ
    ทุกคนแม่งเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสพวกจ่าเอย ครูฝึกเอย นายทหารเอยหมดเลย
  • ตอนไปขอลูกสาวเขา และแต่งงาน อันนี้นิ่งสนิทเลยครับ เหมือนชีวิตมันผ่านการเตรียมไว้แล้ว
  • และล่าสุดพอรู้ว่าตัวเองจะมีลูก อันนี้กึ่งๆ ตื่นเต้น กึ่งๆ สนใจว่าจะต้องยังไงต่อจากนี้ดี

จะเห็นได้ว่าหลายๆ เหตุการณ์เนี่ย ถ้าเกิดกับเราคนเดียวจะเฉยๆ มั่นใจว่าเอาอยู่
แต่ถ้ามันเกิดกับคนอื่นด้วย เช่นคุณเมีย ก็จะรู้สึกว่ามันนอกเหนือการควบคุมของเราหน่อยๆ
ที่สำคัญคือต้องเก็บอาการนิดนึง ให้มันดูพึ่งได้หน่อย แต่ก็ยอมรับครับว่าไอ้ที่ในหัว มีแต่เพลงติ๊กชีโร่

ภาระตอนนี้ของเราคือเตรียมตัวเคลียร์งาน และกำหนดขอลางานก่อนวาระที่ได้ขออนุญาตบริษัทไว้
(ย่อหน้านี้เราซีเรียสเรื่องงานไม่เสร็จ สลับกับรู้สึกผิดที่ทำให้งานมีส่วนกำหนดชีวิตมากกว่าครอบครัว)

เขียนจดหมายขอคำปรึกษาเรื่องลางานไป แต่บริษัทยังไม่ตอบมา ก็กะว่าจะประท้วงแล้วแหละ

ส่วนเมียก็กลับมาถึงบ้าน ขึ้นไปนอน แล้วเนี่ยตะกี้เพิ่งตื่นลงมา
ซักผ้าปูที่นอน และกำชับให้เตรียมประกอบเปล แล้วก็เตรียมอะไรๆ อีกหน่อยให้ทันพรุ่งนี้

ถ้าใครมีลูกแล้วคงอ่านแล้วอมยิ้มนะครับ ว่าคุณพ่อมือใหม่นี่มันน่าสนใจจริงๆ กูก็เคยเป็นนะ อะไรงี้
แต่เพื่อนฝูงคนไหนที่ยังไม่มีลูก แนะนำให้มีก่อนที่จะแก่ครับ

แต่ก่อนอื่น ต้องหาคนทำลูกกันให้ได้ก่อนนะ

ป.ล.
แม่ง ยาวจนได้..

ป.อ.
อ่านบล็อกของโบว์ จะได้รายละเอียดแบบที่ควรมากกว่าครับ ของผมมันเขียนเรื่อยๆ

ป.ฮ.
มีเพื่อนหลายคนจากหลายสาย ยุให้ถ่ายรูปตั้งแต่เกิด ยันทุกอิริยาบถ
มันคงเห็นว่าเราบ้าบันทึก บ้าถ่ายรูปเปะปะ นิสัยนี้เป็นมาได้จะยี่สิบปีแล้ว
อยากจะตอบไปว่าลูกกูไม่ใช่แพนด้า ไม่สิ จะบอกว่าผมมีเพื่อนที่ทำแบบนี้กับลูกอยู่แล้วคนนึงครับ
คือถ่ายทุกวัน กะว่าพออายุยี่สิบจะเอาทุกภาพตั้งแต่เกิดมาเรียงกันเป็นสุดยอดแอนิเมชันโคตรเท่
เห็นแล้วก็เออ ถ้าใครทำแบบมันได้คงเท่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรา เราแม่งขี้เกียจทำอะไรซ้ำๆ อ้ะ
ที่สำคัญคือพักหลังเป็นโรค “ปล่อยไปเหอะ ไม่ต้องไปบันทึกหรอก เหลือไว้เป็นความทรงจำบ้าง”
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการเกิดใหม่ในยุคที่การอวยพรวันเกิดสิ้นมนตร์ขลังไปเพราะเฟซบุ๊กนั่นเอง
(สรุป: ก็ยังถ่ายนะ แต่ไม่ได้ถ่ายแม่งทุกวัน ลูกกูตาเป็นต้อหินพอดี)

2554: หยุดยืนดูเงาตัวเอง

ตามกระแส ไหนๆ จะหมดปีก็ขอเก็บตกไว้หน่อยนึงละกัน
ข้อความต่อไปนี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในรอบปีเหมือนใครๆ
แต่กะจะเขียนเท่าที่นึกออก ว่าจนถึงบัดนี้ เราเดินผ่านอะไรมาบ้าง..

ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะปลดอะไรหลายๆ อย่างที่คิดว่าฟุ่มเฟือยออกจากตัวเอง
ไอ้คำว่าฟุ่มเฟือยนี่คืออัตตาภายในทั้งหลายแหล่ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ในแต่ละปีที่ผ่านไปมันจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น พอกหนาเรื่อยๆ เหมือนไขมันที่ชั้นพุง
จนรู้สึกว่า “ชีวิตกูชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน” ..แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเขียนบล็อก
ก็ยังอุตส่าห์นึกห่วงว่าเขียนแต่ละครั้งนี่จะมีคนอ่านไหม หรือโชว์โง่ไปแล้วกูจะไม่หล่อไหม
และสุดท้าย วันนึงก็ลุกขึ้นมาหักดิบแม่งเลย เขียนให้ตัวเองอ่านไง แบบตอนนี้ สบายกว่าเยอะ
ชาวบ้านเขาทำได้กันมาตั้งนานแล้ว แล้วที่ผ่านมากูมัวไปหลงอยู่แยกไหนก็ไม่รู้ ควายจริง

งาน

คือสิ้นปี 2553 ผมลาออกจากอาร์เอสเพื่อจะได้มามีชีวิตของตัวเอง

กะว่าเกษียณตัวเองจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วว่างั้น และวไอ้โปรเจกต์ที่ฝันไว้อยากทำนั่นนี่ก็จะได้เริ่มซะที
แต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะพี่เม่น @iMenn ที่เคารพรักก็มาชวนทำอะไรกันสนุกๆ (อ่านแล้วเกย์มาก)
นั่นคือไปเริ่มบริษัทสามย่านด้วยกัน (ขออวดหน้าสวัสดีปีใหม่จากสามย่านที่เพิ่งช่วยกันทำเสร็จไปไม่นาน)

การได้โดดเข้ามาเริ่มชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง แม้ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่หายไป
แต่ก็ได้ประสบการณ์เยอะมากๆ มาแทน อันนี้ไม่เคยรู้สึกเสียดายเลย ตราบใดที่ยังสนุกและรักษาระดับความชิวไว้ได้
ผมก็ยินดีเสมอนะ

อืม.. ใช่ๆ พอพิมพ์ก็นึกได้ว่านโยบายชีวิตของตัวเองคือ กูรักความชิว
เป็นมนุษย์ที่เกลียดการทำอะไรซ้ำๆ อย่างการเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน กลับมาบ้านเหลือเวลาสองชั่วโมง
สองชั่วโมงเท่านั้นต่อวันที่จะได้คุยกับเมียก่อนที่จะแยกไปปนอน ผมก็นั่งอัปเดตเฟลอีกเกือบๆ ชั่วโมงก็นอนบ้าง
นี่ถ้าเว็บเฟลมันไม่ใช่เว็บตลกปัญญาอ่อนนะ ป่านนี้คงเลิกทำไปแล้วเหมือนกัน ที่ยังสนุกกับมันก็เพราะแม่งเพลินดี
และถึงจะมีรายได้จากมันเดือนละนิดหน่อยก็ยังไม่ถือว่าเป็นงาน

เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ชอบวัฒนธรรมเวลาแนะนำตัว จะต้องแบกรับภาระเป็นชื่อตำแหน่งและอาชีพเสมอๆ เช่น
“สวัสดีครับ ชื่อแอนครับ ตอนนี้ทำงานเป็นสะแตร๊ดทิจิกแพลนเนอร์อยู่สามย่านดิจิทัลเอเจนซี่ ฯลฯ”
หูย แห้งแล้งมากอะ ทำไมไม่แบบชินจังบ้าง “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน ชอบกินพริกหยวกครับ” อะไรงี้
ดูเป็นมนุษย์กว่ากันเยอะ เนอะๆ

แต่ทั้งนี้ถ้ามองจากมุมมองของบริษัท การที่พนักงานไม่อินกับความเป็นมนุษย์เงินเดือนคงไม่ดีเท่าไหร่
ซึ่งเป็นบุญหัวของผมจริงๆ ที่ได้ทำกะบริษัทขนาดเล็กและยืดหยุ่นขนาดนี้ หยุ่นพอที่จะบอกว่า “เรื่องของมึง”

เงิน

สมัยเรียนมาลัย ผมแบมือขอเงินแม่เดือนละประมาณ 4000 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว เช่นค่าหอ 2800 บาท)
จะเห็นว่ามันไม่พอ โดยเฉพาะการเรียนคณะผมที่จำเป็นต้องใช้เงินเปลืองมากเวลาต่อโมเดลบ้าบอแต่ละที
ไม่ใช่ว่าที่บ้านฝึกให้เอาตัวรอดอะไรหรอก แต่บ้านผมไม่รวยครับ

ขอบคุณความจน ที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนทำงานตั้งแต่สมัยเรียน หารายได้จากงานรับจ้างออกแบบนั่นนี่
และมันค่อยๆ สร้างชีวิตในทุกวันนี้ขึ้นมา ชีวิตที่พอมีเงินสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมว่าตอนกรอบสุดๆ มันเป็นยังไง
รู้แต่ว่าไม่มีทางลืมตัวแน่ๆ และไม่มีทางเป็นแบบที่เป็นภาพจำของคนที่พยายามจะเหมารวมสลิ่มทั้งปวงแน่ๆ

ถึงปัจจุบันผมมีตังค์พอจะซื้อโทรศัพท์แพงๆ มาใช้เป็นของเล่นได้แล้ว
แต่ตั้งแต่มีเมียเป็นต้นมา ผมก็ปิดโหมดรับรู้เรื่องรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้มีตังค์เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย
รู้แต่ว่าส่งให้เมียหมด และตัวเองก็คอยบันทึกรายจ่ายลงในตารางครอบครัวแบบนี้เสมอมา
อย่างน้อยไอ้ความที่เคยขัดสนมาก่อน ก็ทำให้ระเบียบวินัยในการใช้เงินของตัวเองนั้นเข้มแข็งจนน่าพอใจ

ถึงจะไม่รู้รายได้ แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้ชีวิตมันเริ่มลงตัวแล้ว เพราะผ่านการวางแผนมายาวนาน
อย่างน้อยปีสองปีนี้พอมีตังค์ ก็ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ได้ลงทุนลงแรงไปเยอะตั้งแต่สมัยเรียนเลยละกัน

อาชีพหลัก: พนักงานบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ (พื้นที่โฆษณา: จ้างทำเว็บหรืออะไรก็ได้ออนไลน์นะครับ)
อาชีพรอง: หนักงานร้านสกรีนเสื้อยืดออนไลน์ (พื้นที่โฆษณา: รับสกรีนเสื้อยืดขั้นต่ำ 1 ตัว ขั้นสูง 1 ล้านตัวครับ)
นอกนั้นก็มีงานอื่นๆ ประปราย เป็นวิทยากรบ้าง (ไม่ค่อยชอบ มันต้องเก๊ก) รับจ้างทำเว็บบ้าง วาดการ์ตูนบ้าง ฯลฯ

ความหวัง

ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวก่อนนะ เรื่องครอบครัวเดี๋ยวตามมาในหัวข้อสุดท้าย..
ในปีที่ผ่านมาผมตั้งใจจะทำงานอดิเรกอย่างหนึ่ง คือ “ทำฟอนต์” อย่างที่เคยทำเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้วหยุดไปเลย
คือตั้งแต่เว็บฟอนต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อครั้งกระโน้น มีใครต่อใครมาสัมภาษณ์ ผมจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ที่ผู้สัมภาษณ์เยินยอซะเวอร์ (ไม่ชอบหรอกแต่จะเถียงสวนกลับไปก็ใช่ที่) ว่าใจดียังงู้น พ่อบร๊ะยังงี้
คือกูจะบอกว่าไอ้ที่ทำมาแจกฟรีทั้งหลายเนี่ย กูใช้โปรแกรมเถื่อนว่ะ จนเจ้าของโปรแกรมเขาจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่อยู่ละ
ยิ่งในช่วงนั้นเว็บดังเท่าไหร่ มีฟอนต์มือสมัครเล่นงอกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีคนใช้โปรแกรมเถื่อนนี้มากขึ้นเท่านั้น

ผมละอาย เลยตั้งข้อแม้ไว้กับตัวเองว่าจะหยุดทำฟอนต์ใหม่ไปจนกว่าจะได้ซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมเขามาทำให้ได้
ทีนี้ก็ติดขัดนิดหน่อยตรงที่ตัวบริษัทเองก็มีคนทำงานน้อยเหลือเกิน โปรแกรมมันเลยตกรุ่นไปนานมากๆๆๆ
ทวีตไปถาม เมลไปถามหลายทีว่าเมื่อไหร่จะมีเวอร์ชันใหม่ที่คลอดออกมาและรองรับกับระบบสารพัดใหม่ๆ
ก็บอกว่า “ปลายปีนี้” มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2553) จนปี 2554 ก็บอกว่า Late This Year นะ
และทวีตไปถามล่าสุดเมื่อสักเดืนที่แล้ว ก็บอกว่า In a few months .. โอเค รอต่อไป อยากทำจริงๆ นะเนี่ย

ไม่รู้อันนี้อยู่ในหมวด “ความหวัง” ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าเป็นความฝันเนิร์ดๆ ของผมเอง
ที่อยากทำให้งานอดิเรกชิ้นนี้มันมีส่วนช่วยสร้างสังคมที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ .. ดูเพ้อฝันเนอะ

อนาคต

ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ เมียผมนอนหลับอยู่ข้างๆ .. คนท้องต้องนอนบ่อย จริงหรือเปล่าไม่รู้ หรือเมียผมขี้เกียจก็ไม่รู้
แต่อีกเพียงสามเดือนนิดๆ ผมก็จะได้พบหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ของชีวิต ตรงที่ตัวเองจะกลายเป็นพ่อคน
ทุกวันนี้เวลานอนหลับผมจะเอามือไปจับไว้ตรงพุง เผื่อลูกสาวจะดิ้นให้สัมผัสได้
และก็ไม่เคยผิดหวัง เพราะนังเด็กคนนี้มันชอบดิ้นตอนกลางคืน จนเราเรียกโค้ดเนมกันเล่นๆ ว่า “น้องจ๊ะ”

ดูผ่านๆ อาจจะเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าสเต็ปการใช้ชีวิตในโลกของผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบนี้ๆ
แต่ที่จริงแล้วมันถูกวางแผนไว้พอสมควร ไม่ถึงกับเคร่ง แต่ก็ไม่ได้หย่อน
หลายอย่างทำไม่ได้ (เช่นเรื่องนอนห้าตื่นหกแมน ผมยังทำไม่ได้เพราะว่าถ้านอนเร็วแล้วกรดมันจะไหลย้อน)
แต่หลายอย่างก็ทำได้ บางอย่างเหนือความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ (เช่นอยู่ดีๆ มารู้จักเพื่อนบ้านเพราะน้ำท่วม)

ปี 2554 เป็นปีสุดท้ายในชีวิตช่วงทศวรรษที่ 3 ของผม (หมายถึงช่วงอายุ 20-29 น่ะ)
พอโดดขึ้นเดือนกุมภา​ 2555 ผมก็จะอายุครบ 30 ปี (เมียตูแก่กว่าปีนึง) ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างงดงาม
ถึงจะไม่ได้อะไรกับวันเกิดหรือช่วงอายุ แต่ความสนุกมันอยู่ที่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้าเป็นอะไร

บางทีชาวไซย่าอาจจะบุกโลกลงมาจริงๆ ก็ได้